เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ที่ถามมาตำแหน่งไหนดีที่สุดคงถามกลับไปว่า
    ตะแหน่งไหนสบายที่สุด ชอบที่สุด ตรงนั้นล่ะทำนะ
    ครูปัจจุบันชอบวางฐานที่ตนถนัดลืมไปว่าตนอาจจะถนัดคนเดียว
    ลูกศิษย์อาจจะทำไม่ได้เลยก็ำได้
    ดังนั้น สมาธิเราชอบแบบไหนที่เราวางอารมณ์เอาไว้ตรงไหน
    สบายๆ ธรรมดา ไม่กดดัน ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ วางตรงไหนก็ตรงนั้น
    อย่าไปวางเยอะเกิน มันจะเกิดการลังเล สงสัยเอา
    เอาตำแหน่งไหนที่เราสบายเข้าไว้เพียงพอครับ

    พี่อ้อง
     
  2. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    วันนี้ช่วงเช้าตักบาตรที่หน้าบ้าน พอตอนสายๆไปทำบุญเดือนสิบที่วัดปรักกริมมาค่ะ เอาอาหารไปถวายพระ และถวายปัจจัยบังสุกุล ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำมา ขอให้ส่งไปยังบรรดาญาติธรรม และกัลยาณมิตรทั้งหลาย เป็นกุศลปัจจัยนำพาทุกคนไปถึงยังฝั่งพระนิพพานด้วยเทอญ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ที่พี่อ้องได้เขียนไว้วันก่อน ว่าตื่นในฝัน กุ้งไม่แน่ใจว่ามันใช่อาการนั้นหรือเปล่านะคะ
    แต่สังเกตว่าวันไหนที่เรานั่งสมาธิก่อนนอน จะควบคุมสิ่งที่เห็นในฝันได้ เหมือนที่พี่อ้องว่าลงไปในน้ำ กุ้งฝันว่าไปว่ายในทะเล แต่รู้สึกสดชื่นมาก ตัวเราจะลอย แล้วก็จะสังเกตุสิ่งที่อยู่ในฝัน จับต้องพวกเพชรพลอย แล้วก็ตื่นขึ้นค่ะ
    แต่มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่นอนไปแปบนึงแล้วรู้สึกว่าเรามีอีกกายหนึ่ง แต่กุ้งจะตกใจมาก
    พอยกแขนขึ้นก็เห็นตัวเองนอนอยู่ ทีนี้จะตกใจแล้วก็จะอึกๆอักๆ เหมือนพยายามตะโกนออกมาแล้วไม่มีเสียง แล้วคือจะพยายามทุกวิธีให้ตื่นมาให้ได้ ถ้าใครนอนอยู่ด้วยคงตกใจว่าเราเป็นอะไร จะสังเกตุว่าจะเป็นตอนที่เรานอนดึกมากๆตี3 ตี4 แล้วคิดว่าจิตหลอน คือไม่เข้าใจค่ะ ว่าเป็นอะไร แต่เป็นมาหลายปีแล้ว คือไม่ค่อยชอบความรู้สึกนั้นน่ะค่ะ ก็กลัวไปเลย
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เวลาที่กุ้งนอนและหลับไปโดยดูสมาธิอยู่และจิตมันเผลอเข้าภวังค์จิต...
    กุ้งจะมีสิ่งที่ติดไปคือกำลังพลังงานจิตที่สะสมเอาไว้ก่อนจะหลับ
    ถึงแม้จะมีอำนาจน้อยแต่จะทำให้กุ้งตื่นในฝัน บังคับฝัน หรือเห็นคตินิมิตที่สดชื่น
    น่ารื่นรมย์ยินดี

    คนเราเวลาก่อนจะนอน อ้องบอกแล้วว่าให้ดูลมก่อนนอนและหลับไป
    คตินิมิตตัวนี้ล่ะที่กุ้งจะไปเป็นนางฟ้าหรือพรหมได้เลยคือการปล่อยวางอารมณ์ที่กังวล
    ไม่ห่วงอะไร ไม่เศร้าหมอง ไม่หดหู่ มีความสบายๆ

    สมาธิที่เกิดเรียกว่าฌานหลับ ไปเป็นพรหมหรือเทวดานางฟ้าสบายๆเพราะเห็นคตินิมิตเป็นอารมณ์ที่ดีและยึดเอามาเป็นภพใหม่

    อ้องถึงบอกเพื่อนๆอยู่เสมอว่าเราควรฝึกก่อนตายคือตอนนอนนี่ล่ะ ง่ายแสนง่าย

    นอนดูลมปล่อยกายและใจสบายๆและหลับไปอย่างปล่อยวางกายและจิต
    ไม่ต้องไปทำอะไรมากหรอก ตอนตายเป็นเช่นนี้ทุกคนแล...
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ช่วงที่กายคนเราอ่อนเพลียมากๆ...
    สภาวะกายจะคล้ายคนป่วยตาย คนใกล้ตาย คนเจ็บหนัก
    คือมหาภูตรูป๔ธาตุมันตีลมสว่านขึ้นมาจนเบลอ มึนงง
    ภายในกระแสเลือดมีแต่ธาตุลมที่หมุนควงเพื่อหาแรงปรับสภาพธาตุต่างๆอย่างเข้มขัน

    ถ้าทำไม่ได้จะเกิดอาการไหลตาย...ซี๊ม่องเท่งทันที

    แต่มีน้อยนะที่จะตายเพราะวิบากกรรมที่สร้างเอาไว้ทั้งดีและไม่ดีมีอยู่ยกเว้นคนหมดแรงยึดอารมณ์ในภพนะ ตายโลด

    ทีนี้พอร่างกายมันมีสภาพที่อ่อนแรง เจ้าจิตภายในมันรู้นะ มันเหมือนวิญญาณแห่งอายตนะภายในเกิดผัสสะที่รุนแรง...

    มันบอกว่าตาย มีสิทธิ์ตาย เพลียจัด อ่อนแรงจัด หรือป่วยหนัก ประสพอุบัติเหตุแบบรุนแรง

    จิตมันจะวิ่งจี๋หารูปและภพใหม่ทันที นี่ความเคยชินของมันนะ

    คนที่ป่วยหนัก คนที่เจออุบัติเหตุ คนที่อ่อนเพลีย คนที่ถูกธาตุลมตีมากๆ
    จะเห็นสภาวะกายเกิดอาการเหลือมเข้าเหลื่อมออก ไม่ใช่กายเนื้อขยับนะ

    และจะเกิดอาการอัมพาตชั่วขณะที่ธาตุลมมันมีกำลังมากจนธาตุต่างๆแปรปลวนนะ
    คนที่ตายแล้วฟื้นเลยมักจะมีเรื่องแปลกๆมาเล่า
    คนที่ผ่าตัด คนที่สลบแบบสนิทและลึก นี่พวกนี้มีโอกาสเห็นการเหลื่อม เห็นวิญญาณ

    แต่มันจะเหมือนฝันก็ได้ ทั้งๆที่เหมือนจริง แปลกแต่จริงคือเหมือนใช่แต่ดูเหมือนฝัน

    จริงๆไม่ฝันหรอกครับ ของจริงเพียงแต่คนละภพ
    จะให้มาเล่าว่าเป็นอย่างไรจึงอธิบายได้ยากครับ
    ยกเว้นคือคนที่เอากายละเอียดออกไปสัมผัส

    นั่นล่ะมีสติล้วนๆ
    ส่วนนอกนั้น กายมีสภาพที่ชำรุด คนป่วย คนใกล้ตาย จึงมีสติน้อยและเป็นคนสองโลกที่สลับกับปรุงแต่ง

    นอนหลับและตามดูลมจนหลับไปนะ ฝันดีและถ้าตายไปดีแน่นอน ถ้าฝึกเสียแต่ตอนนี้
    อนุโมทนากุ้ง
    พี่อ้อง
     
  6. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับ พี่อ้อง และมิตรธรรมทั้งหลาย
    วันที่ 1-4 กันยายน 2552 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเที่ยวที่เกาะเต่า เกาะนางยวน ซึ่งองค์การเภสัชกรรมเป็นคนจัดไป วันที่ขึ้นเครื่องจากขอนแก่นไปสุวรรณภูมิ พอเครื่องขึ้นก็จับลมหายใจ กำหนดจิตมั่น(จริงๆผมจะจับลมหายใจและภาวนาตลอดหากไม่ได้ใช้ความคิด หรือต้องทำอะไร) เวลาเครื่องปรับระดับ มันเบาสบาย กายเบา ใจสบาย ในใจก็พยายามบังคับกายในออกอยู่นาน แต่ไม่ยักออก ประมาณ 20 นาทีเลยถอนออกมาจากสมาธิช้าๆ แล้วมองดูก้อนเมฆ ใจก็คิดไปว่า แหม! หากออกมาได้จะไปคว้าก้อนเมฆเล่น ก้อนเมฆ ขาว รูปร่างสวยงาม... มากเลย
    จากกรุงเทพไป ชุมพรเดินทางโดยรถบัส อันนี้นานหน่อย แต่ก็ดี มีเวลาทำสมาธิเยอะดี จากชุมพร นั่งเรือเร็วไปเกาะเต่า และเช็คอินเข้าที่พักในช่วงเช้า ประมาณสิบโมงเช้าที่เกาะเต่านี่เองที่ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง (ได้พักคนเดียว) เลยได้เดินจงกรม นั่งสมาธิ และได้ฝึกยกวิปัสนากรรมฐานเพื่อจะได้ใช้เป็นแนวปฏิบัติของตนเอง

    พี่อ้องครับผมขออนุญาตพี่นะครับ ขออนุญาตที่จะต่อแถวในขบวนธรรมของพี่ แม้จะเป็นคนท้ายๆในแถวนี้ ผมอยากช่วยเผยแพร่ อยากบอกเล่าประสบการณ์ที่อาจเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนที่อาจมีจริตเหมือนผม เพราะผมได้ประโยชน์จากกระทู้ของพี่มากครับ ผมจึงอยากถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นให้คนอื่นๆได้ทราบว่า มันไม่ยากอย่างที่คิดเลย ถ้าจะเอาจริง!
    เพราะผมเริ่มเอาจริง เอาจังเมื่อเข้าพรรษามานี้เอง และทุกวันนี้อภิญญาเล็กๆน้อยมันเริ่มเกิดขึ้น ถึงขั้นถอดกายในได้ แต่พี่อ้องก็เตือนว่าไม่ให้ไปหลงกับมัน ครับผมเชื่ออย่างนั้น ผมไม่ไปหลงกับมันแต่ แต่เชื่อมั้ยว่าของแถมที่เกิดจากกำลังสมาธินี้มันมีกำลังช่วยในการวิปัสนาครับ
    หากสนใจเอาไปใช้ได้ครับ ไม่มีลิขสิทธิ์
    ก่อนผมเริ่มปฏิบัติ( ก่อนเข้าพรรษา 2552 ) ผมเริ่มด้วยการปริยัติ หลังจากที่ฝันเห็นพระพุทธองค์ ประธานต้นโพธิ์ให้กับผม ผมก็ศึกษา ทั้งสมถะและวิปัสนาอย่างเอาจริง เอาจัง อ่านไป วิเคราะห์ไป ยกเหตุ ยกผลมาวิเคราะห์ ว่าง่ายๆ ธรรมมะของพระอาจารย์ต่างๆ ผมเสาะแสวงหามาอ่าน หลังจากนั้นผมก็เริ่มด้วยการไปถือศีลแปด เพื่อเป็นการเริ่มต้นปรับสภาพจิตใจตนเอง ณ เวลาที่ถือศีลแปดนี้เองผมเน้นการฝึกสมาธิแบบเอาเป็นเอาตาย ผมเน้าไปที่อานาปาณสติกรรมฐาน และพุทธานุสติกรรมฐาน( จับลมหายใจ พร้อมกับภาวนา พุท-โธ) ทั้งวันทั้งคืน ไม่ไปคิดเรื่องอื่น เชื่อเถอะครับ เพียง 1 สัปดาห์ท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลง
    จากนั้นมากำหนดแบบฝึกตนเองครับ
    1. ก่อนนอน สวดมนต์ ยาวครับ แล้วเข้านอนก็จับลมหายใจ พร้อมภาวนาพุทโธ กำหนดสลับกันไปทั้งจุดหลับ และจุดตื่นตามแบบของพี่อ้อง
    2. ตื่นนอนตอนตี 4 ครับ( แรกๆจะยากครับ ถ้าท่านลำบากให้ใช้นาฬิกาปลุกไปก่อนครับ ช่วงนี้ต้องบังคับตัวเองครับ ต้องผ่านมันไปให้ได้ พอทำไปสักสัปดาห์ท่านจะแปลกใจที่ท่านตื่นเอง และต่อไปไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกก็ได้ พอตืนก็สวดมนต์สั้นครับ หรือจะสวดพระคาถาที่ชอบ ผมใชการสวดชินบัญชรครับ (การสวดนี้พยายามจำให้ได้ครับ) ต่อด้วยการเดินจงกรม และนั่งสมาธิ( การฝึกสมาธินี่แล้วแต่ใครชอบแบบไหนนะครับ ผมไม่ขอบอก เพราะคิดว่าคงมีแบบฝึกของตนเอง ) เข้าสมาธิจนถึงเช้าครับ
    3. ในชีวิตประจำวัน หลังจากออกจากสมาธิในตอนเช้า ให้ตามดูความคิด และอารมณ์ของตนเองครับ ( ดูจิตมันดูยาก)แล้วใช้กรรมฐานแก้อารมณ์ใจครับ

    กรรมฐานแก้อารมณ์ใจ

    เชื่อแน่ว่าสิ่ง รูป เสียง กลิ่น รส ...ที่เข้ามากระทบทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...ของทุกคน มันมันพร้อมจะจับคู่กันและเริ่มจากต้องคิด ปรุงแต่ง อารมณ์มันจะตามมา ผมเริ่มตัดที่ตรงนี้เอง ก่อเกิดกิเลสใหญ่ 3 ตัว ราคะและโลภะ โทสะ โมหะ... !!!!!!!
    เดี๋ยวมาต่อนะครับว่าผมใช้กรรมฐานแก้อารมณ์ใจยังงัย. วันนี้มีธุระด่วนต้องไป


    พี่อ้องไม่ว่าผมนะครับ ผมแค่อยากเล่าสิ่งที่ผมปฏิบัตให้คนที่ได้เข้ามาแวะเวียนได้อ่าน เผื่อท่านใดมีจริตตรงกับผมจะได้เป็นประโยชน์ ผมอยากช่วยพี่ครับ แม้มันจะน้อยนิดก็ตาม.

    หนุ่ยครับ
     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ยินดีในธรรมครับคุณหนุ่ย..

    การอบรมพัฒนาตนสำคัญคือต้องมีปัญญาเป็นพื้นฐานเพื่อการดำเนินมรรคอย่างถูกต้อง
    อันเริ่มมาจากสัมมาทิฎฐิคือรู้ถูกต้อง

    การทำสมาธิก็ต้องเข้าใจว่าเราทำเพื่อพบใจและหลักของสมาธิและวิปัสสนาคือทุกสิ่ง
    ต้องธรรมดา ไม่ฝืนอารมณ์ ไม่จมแช่ ไม่ไปกำหนดและต้องสบายๆเป็นไปตามธรรมชาติตามปกติที่เราใช้ชีวิตประจำวันคือรู้สึกตัว

    สมาธิเป็นการรู้สึกตัวมีสติอยู่เฉพาะหน้ามั่นคงไม่ซัดส่ายสบายๆไม่ไปตั้งท่าทางกรือไปกำหนดกดเกณฑ์เพื่อมากดดันตนเอง

    พุทธศาสนิกชนที่ติดอารมณ์กันมากคือติดดี
    ติดดีคืออยากพ้นทุกข์ อยากบรรลุธรรม อยากเป็นพระอริยบุคคล ความอยากเป็นสภาวะเป็นรูปลักษณะที่เป็นอกุศล รู้แล้ววางลงนั้นไม่เป็นไร แต่บางคนรู้แล้วไปสร้างสิ่งใหม่
    ไปดัดแปลง ไปคิดเพ่ง ไปกำหนดตามครูอาจารย์ที่บรรลุธรรมที่ท่านเล่า

    ผลก็คือทำให้จิตและระบบประสาทเกิดอาการตึงเครียดเพราะไปบังคับ ไปเพ่งจ้องและท้ายสุดก็ถูกจิตตนเองหลอกได้เช่นกัน

    สิ่งที่คุณหนุ่ยทำอยู่ดีแล้ว เอาเป็นเครื่องอยู่แบบสบายๆ มีก็มี ไม่มีก็ไม่สนใจ ไม่ไปเกิดความอยากจะได้มันจะได้เอง มันจะเข้าไปเองและสำคัญคืออบรมตนเองและศึกษาพื้นฐาน
    สมาธิและวิปัสสนาอย่างถูกต้องเพื่อไม่ทำให้เกิดอาการกดดันตนเองและเพื่อเข้าถึง

    สัมมาทิฎฐิอย่างถูกต้อง...

    คนทุกวันนี้บางคนก็รีบร้อนอยากบรรลุธรรมจนลืมอบรมพัฒนากายและจิต ติดดีจนนิสัยเปลี่ยนมากดดันตนเองแบบฝืนธรรมชาติ ความอยากดีเป็นสิ่งที่ถูกรู้ รู้แล้ววางลงอย่าไป
    คว้าเอาอกุศลมายึดมั่นหมาย

    พระพุทธองค์สนอให้คลายยึด ไม่ให้หลงติด แต่พุทธศาสนิกชนกำลังถูกมิจฉาทิฎฐิสอนให้
    หลง ให้ยึด ให้งมงาย ทั้งทาน นิมิต แก้กรรม ภาวนา สวดมนต์โดยแอบแฝงเอาบุญ อานิสงส์อันยิ่งใหญ่เป็นเหยื่อล่อ

    พระพุทธองค์ทรงแจกแจงเอาไว้ดีและเลวเพื่อเตือนสติ
    สอนให้เราสำนึกตน
    อย่าไปกระทำและหันหน้าหนีจากสิ่งทั้งหลายด้วยการฝึกทางเอกมหาสติเพื่อตื่นมาในโลก
    แห่งความจริงไม่ใช่หลงไปที่โลกที่แฝงไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันปราณีตเพราะเป็นวิปราสยึดติดและทำให้ทุกข์ไม่ทำให้ถึงโอฆะข้ามถึงฝั่งนิพพานได้

    ครูอาจารย์ทั้งหลายต่างฝึกอบรมตนแบบสบายๆอาศัยเพียรชอบและทำแบบต่อเนื่องธรรมดาและไปตามธรรมชาติแบบไม่ไปกดดันตนคือต้องรีบบรรลุธรรม

    เมื่อครูอาจารย์ท่านทำไปมากแล้วจนวันหนึ่งที่ท่านรู้สภาวะของตนเองท่านจึงเร่งขวนขวายและทำลายเสียไม่ใช่เริ่มต้นก็เริ่มทำจนไม่ลืมสติและปัญญาของตน

    พอดีอ้องมีพี่คนหนึ่งที่รักชอบพอกัน พึ่งเข้ามาทางธรรมแต่ก็เร่งและทำชนิดไม่ลืมกำลังของตนจนบอกว่าได้บรรลุธรรมแล้ว3รอบ อ้องเองก็ได้แต่ไม่สบายใจ จนท้ายที่สุดพี่ที่สนิทกันก็ตึงเครียดและน๊อคไปเกือบเพี๊ยนไปเลย

    นั่นก็เพราะไปติดดี ไปบังคับตนเอง และปัญญาพื้นฐานยังน้อย ยังเข้าใจสมาธิ วิปัสสนาน้อย พอไปอบรมพัฒนาตนก็ข้ามขั้นตอนในการฝึกอบรมทางเอกเพื่อให้เกิดสภาวะธรรมที่ตื่นขึ้นมาเองเพราะจดจำได้หมายรู้และชินสภาวะ

    แต่ไปกำหนดจดจ้องว่าใช่และไปบังคับให่มันอยู่แบบนานๆจนลืม...
    สัพเพธรรมมา อนัตตา คือทุกสิ่งบังคับไม่ได้ต้องสลายหายไป

    การทำสมาธิและเจริญวิปัสสนาจึงขอให้มีครู มีเพื่อนๆที่คอยอบรม สอบอารมณ์กันอยู่เสมอๆว่าใช่หรือผิดทางด้วย ไม่งั้นก็จะมีโอกาสผิดพลาดคลาดเคลื่อนและเข้าใจผิดว่าตนเองบรรลุธรรม

    ซึ่งนั่นเกิดมาจากการยึดติด อยากบรรลุ อยากพ้น จึงไปเอาตัวอย่างครูที่ท่านพบธรรมมาเป็นอารมณ์

    เมื่อวานก็เพิ่งคุยกับพี่เค้ามา...
    ก็ยังติดดี และคาใจ และบังคับตนเองในรูปแบบใหม่คือสงบนิ่ง เรียบร้อย นิสัยเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่ดัดแปลงเพื่อการติดดี คงต้องแก้ไขอารมณ์กันอีกยาวพอควร

    ที่ดีคือเข้าโรงพยาบาลแล้วไม่บ้ามีสติกลับคืนมาได้

    คนเราจึงสำคัญนะอย่าไปหลง งมงายแม้การบรรลุธรรม

    ให้วางลงเสียแทนที่จะพ้นไปเร็วๆจะยิ่งช้าลงเพราะใจมันทุกข์ ทุกข์เพราะติดดี ติดโลกธรรมนี่ล่ะ พอเร่งก็ดัดแปลงตนเองหมด ใจมันรีบร้อนก็ยิ่งกระวนกระวาย นี่หลงดี ติดดี งมงายในสิ่งดี

    ขอให้อยู่กับปัจจุบันนะ อนาคตวางลง ทำปัจจุบันให้ดี อบรมไป มรรคที่แท้ปรากฏ จะกี่ภพกี่ชาติช่างมันนะ ไม่ต้องเอาชาตินี้ ตอนนี้ ปีนี้ วันนี้ ปิดประตูตายไม่กินข้าวนะ

    จิตมันหลุดพ้นก็รู้เอง สร้างนิสัย ปัญญา สร้างคุณธรรมเอาไว้ดีแล้ว
    ขออนุโมทนาคุณหนุ่ยด้วยนะครับที่เข้าใจในธรรม

    ธรรมที่ธรรมดา ธรรมชาติที่ไม่บังคับ ไม่ไปอยากจะมี แต่รู้ธรรมเพื่อพบธรรม
    เข้าใจดีแล้วเจริญให้มากอยู่กับปัจจุบันตรง สบายๆนี่ล่ะพ้นเร็วกว่าเพื่อน
    ทำให้ต่อเนื่องย่อมถึงนิโรธเองครับ
     
  8. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    นี่แหละนะคะพี่อ้อง ที่เค้าเรียกว่าธรรมะต้องใช้จิตสัมผัส มันอธิบายออกมายาก ต้องเป็นคนที่เจอและปฎิบัติด้วยตนเองถึงจะเข้าใจ
    กุ้งก็เจอเหตุการณ์แปลกๆหลายอย่างนะคะ แต่จะเล่าให้ใครฟังเค้าก็บอกว่ากุ้งจิตอ่อน นอนมาก ไร้สาระ ( อ้าว! เป็นงั้นไป )
    เริ่มเหตุการณ์แรกตอนที่ยายเพิ่งเสียได้สักประมาณ 1 เดือน กำลังอ่านหนังสืออยู่ตอนเช้ามืด กำลังสัปหงก ได้ยินเสียงยายชัดเจนว่า "หลับแล้วเหรอลูก ตื่นๆ " มันปิ๊ง ตื่นทันที ก็หาใหญ่ ตอนนั้นอยู่สักม.2ได้ค่ะ
    เหตุการณ์ที่สอง กำลังนอนอยู่กับแม่ อยู่ๆมีเงาดำมายืนข้างเตียง อยู่ตรงฝั่งแม่นอน
    ได้ยินเสียงว่า " เราจะพาคนที่นอนตรงนี้ไปเป็นชายา" เหมือนจิตจะรับรู้ว่าท่านเป็นท้าวเวสสุวรรณ หนูยังไม่รู้จักเลยนะคะว่าท้าวเวสสุวรรณเป็นใคร แต่พอรุ่งเช้าหนูจุดธูปเลยแล้วบอกว่าหนูไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครแต่หนูไม่ให้แม่ไปเด็ดขาด ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวเลยนะคะ
    พอเล่าให้คนในบ้านฟังเค้าก็ว่าหนูเพ้อ ไร้สาระ
    จะรับรู้ถึงวิญญาณคนที่เสียไปแล้วอยู่เสมอ แต่ก็จะเป็นการหลับไป อาจจะเป็นการเข้าสมาธิตอนหลับแต่เราไม่รู้ตัว อธิบายให้ใครฟังเค้าก็ไม่ค่อยสนใจ จะตีเป็นหวยประจำ ก็ถูกมั่งไม่ถูกมั่ง แต่ในใจเราเหมือนกับจะสงสัยว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการจะสื่อกับเรา แต่เราไม่รู้คำตอบ มันยากค่ะ ที่จะอธิบายออกมา
    คือตอนที่เราฝึกสมาธินั้นเพราะว่าอยากให้เรียนเก่งๆ และเรารู้สึกชอบกับความว่างเปล่าตรงนั้นมากๆ เหมือนกับเราเกิดธาตุรู้ขึ้นมาว่า เราต้องเป็นอย่างนี้นะ ต้องทำอย่างนี้นะ
    จำได้ว่าหนังสือเล่มแรกที่ศึกษาคือหนังสือสมาธิ ของคุณหมอเฉก ธนะศิริ
    โหเป็นอะไรที่โดนใจมาก มันใช่สิ่งที่เราหามานาน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทีนี่ก็เริ่มศึกษามาเรื่อยๆ จะสื่อสารกับคนที่เสียชีวิตไปแล้วอยู่บ่อยๆ เช่นยาย ตา พ่อ เพื่อน และเพื่อนแม่
    คือจะฝันเป็นเรื่องเป็นราว จนเราสงสัยว่า เอ๊ นี่มันจริงหรือเปล่าเนี่ยะ
    เหตุการณ์ล่าสุดเพิ่งเกิดไม่นาน หนูฝันว่าไปเจอคุณลุงคนหนึ่งซึ่งหนูก็ไม่รู้จักนะคะ
    ท่านก็บอกว่าท่านไม่ใช่คนหรอกนะ หนูก็ถามว่าแล้วคุณลุงเป็นอะไรตายคะ
    คุณลุงก็บอกว่าท่านน่ะเคยเป็นทหารมาก่อนนะ ที่ตายน่ะเพราะตรอมใจ กินข้าวปลาไม่ได้
    เพราะภรรยาคุณลุงเพิ่งเสีย ก็คุยกันสนุกสนาน จู่ๆคุณลุงบอกหนูว่าไปก่อนแล้วนะ เดี๋ยวเค้าจะมาแล้ว เหมือนกับคุณลุงจะตกใจอะไรบางอย่าง จู่ๆก็วูบละลายลงไปในพื้นเลย แล้วหนูก็ตื่นขึ้นมา แต่ไม่ได้ถามชื่อนะคะ แต่จำได้ว่าคุณลุงอย่าลืมวันเกิดหนูนะ คุณลุงอย่าลืมของขวัญด้วย คุณลุงก็บอกได้ๆ ( ยังไม่ถึงวันเกิดนะคะ แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีเหตุการณ์อะไร )
    แล้วเมื่อวานนะคะพี่อ้อง กุ้งไปทำบุญที่วัด ไปถึงก็แผ่จิตอุทิศบุญให้กับวิญญาณที่นั่น
    กลับมาถึงบ้านรู้สึกบรรยากาศมันแปลกๆ ตอนสัก 3-4 ทุ่ม รู้สึกได้ยินเสียงปึงปังแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจ กำลังล้างขวดนมอยู่ในครัวคนเดียว จู่ๆ ได้ยินเสียงบนเพดานแบบดังมากๆเหมือนตัวอะไรวิ่งไล่กัน แล้วบนเพดานนั้นไม่มีรูสักนิดเดียวอ่ะ แล้วเสียงอะไรคะ ไม่อยากคิด ก็ตั้งสมาธิบอกท่านเจ้าที่ว่าท่านคะ หนูขออุทิศบุญทั้งหลายที่หนูได้กระทำไว้ ขออำนาจขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดมอบอำนาจให้กับท่านได้ปกป้องคุ้มครองบ้านหลังนี้อย่าให้วิญญาณร้ายได้เข้ามา หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรเลยค่ะ
    ได้อ่านพี่อ้องตอบมาหนูได้คำตอบแล้วค่ะ จะพยายามฝึกให้มากกว่านี้ ตอนนี้ก็เริ่มจะชินกับการดูจิต การระงับอารมณ์ได้แล้ว เห็นตัวเองเป็นคนดูอย่างเดียว เหมือนดูละครให้มันผ่านไปเรื่อยๆ
    ต้องกราบอนุโมทนาในข้อมูลที่เป็นประโยชน์ด้วยนะคะ
    วันนี้ไปทำบุญกฐินสามัคคีสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วัดป่าวิเวกภูเขาวง บ้านดงน้อย จ.เลยค่ะ ขอให้บุญเหล่านี้จงส่งไปถึงพี่อ้องและกัลยาณมิตรทุกท่านขอให้มีความสุขมีความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุ
     
  9. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    เรียน พี่อ้องที่นับถือ
    ก่อนอื่นต้องขอบคุณพี่อ้องครับที่ เตือนสติผมครับ แต่สิ่งที่ผมได้มาเป็นแบบฝึกของตนเองนี้ ผมผ่านการปริยัติ ผมได้ศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ ยกเหตุ ยกผล ต่างๆมากมายจากผู้รู้ที่ได้เขียน ได้บอกเล่าเอาไว้ จากการปฏิบัติของท่านผู้รู้หลายๆท่านที่เตือนไว้ ตรงไหนเป็นหลุม เป็นบ่อ ออกนอกลู่ นอกทาง ท่านจะชี้แจงเอาไว้ เหตุที่ผมเริ่มจากการปริยัติเพราะผมไม่ยอมไปหลงทางแน่ และจะไม่ยอมเสียเวลาด้วย เพราะเวลามันยิ่งน้อยลงทุกวันที่ต้องเดินหน้าไปหาความเป็นจริงของกฏธรรมชาติ( เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) อย่างที่พี่อ้องบอกครับ สบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ไม่อยากได้ แต่ไม่ทิ้ง( ต้องมีอิทธิบาท 4 เต็มหัวใจครับ) เพราะงานนี้มันเดิมพันด้วยชีวิต เป็นบุญมากที่ได้เกิดเป็นคน และเป็นบุญมากขนาดไหนได้เกิดมาแล้วมาพบพระพุทธศาสนา และเป็นบุญอย่างยิ่งที่ได้มาปฏิบัติ ผมไม่ยอมปล่อยโอกาสทองนี้แน่นอนครับ ผมเองจบปริญญาโท มาเมื่อปี 48 และวางแผนว่าจะเรียนต่อระดับปริญญาเอก เชื่อมั้ยครับว่า ตอนนี้ผมได้เรียนต่อปริญญาเอกแล้วครับ ปริญญาเอกที่ว่านี่ก็คือสิ่งที่ผมปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้แหละครับ ไม่ได้ไปนั่งเรียนที่ไหนหรอก ผมใช้สติ ควบคุมจิตให้เรียนในธาตุ 4 ขันธ์ 4 ขันธ์นี้ สาขาวิชา วิมุตติ วิชาเอกวิปัสสนา วิชาโท สมถะ ครับ ถ้าสำเร็จปริญญาใบนี้ คงต้องฉลองใหญ่ครับ ฮ่าๆๆๆ..( ฝันกลางวัน)
    มาต่อเรื่องที่ผมอยากเล่าให้ฟังกับแบบฝึกของผมครับ บอกตรงๆว่ามันง่ายๆ ต่อได้ผล อารมณ์ใจเบาสบายมากครับ ลองทำดูนะครับ หลายท่านที่อ่านนี้คงมีจริตเหมือนผม..

    1. ก่อนนอน สวดมนต์ ยาวครับ แล้วเข้านอนก็จับลมหายใจ พร้อมภาวนาพุทโธ กำหนดสลับกันไปทั้งจุดหลับ และจุดตื่นตามแบบของพี่อ้อง
    2. ตื่นนอนตอนตี 4 ครับ( แรกๆจะยากครับ ถ้าท่านลำบากให้ใช้นาฬิกาปลุกไปก่อนครับ ช่วงนี้ต้องบังคับตัวเองครับ ต้องผ่านมันไปให้ได้ พอทำไปสักสัปดาห์ท่านจะแปลกใจที่ท่านตื่นเอง และต่อไปไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกก็ได้ พอตืนก็สวดมนต์สั้นครับ หรือจะสวดพระคาถาที่ชอบ ผมใชการสวดชินบัญชรครับ (การสวดนี้พยายามจำให้ได้ครับ) ต่อด้วยการเดินจงกรม และนั่งสมาธิ( การฝึกสมาธินี่แล้วแต่ใครชอบแบบไหนนะครับ ผมไม่ขอบอก เพราะคิดว่าคงมีแบบฝึกของตนเอง ) เข้าสมาธิจนถึงเช้าครับ
    3. ในชีวิตประจำวัน หลังจากออกจากสมาธิในตอนเช้า ให้ตามดูความคิด และอารมณ์ของตนเองครับ ( ดูจิตมันดูยาก)แล้วใช้กรรมฐานแก้อารมณ์ใจครับ
    กรรมฐานแก้อารมณ์ใจ
    หลายท่านคงทราบมาแล้วว่า อายตนะ ทั้ง 6 เป็นช่องทางที่ทำให้กิเลสพอกพูนในจิตใจ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ให้ท่านเริ่มจากตรงนี้แหละ เหตุที่เริ่มจากตรงนี้เพื่อทำให้กำลังกิเลสมันอ่อนเปลี้ย เหมือนงดให้อาหาร งดให้น้ำ จนกิเลสมันอดอาหารตายไปเลย( ฟังดูใจร้ายครับ)
    เมื่อมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โผฐฐัพผะ มากระทบที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจะเริ่มคิด แล้วตีค่า และก็เกิดอามรมณ์ ความรู้สึก ซึ่งหลายท่านคงรู้แล้ว มันจะเกิดกิเลศใหญ่ๆ 3 ตัวครับ คือ ราคะหรือโลภะ โทสะ และโมหะ สิ่งที่ผมใช้ในการตัดอารมณ์ใจ 3 ตัวนี้ทำแบบนี้
    1. ราคะหรือโลภะ เป็นความความรู้สึกที่อยากดึงเข้ามาหาตัว อยากได้ อยากมี อยากเป็น ฯลฯ เมื่อเกิดอารมณ์ชนิดนี้ ท่านลองแยกให้ออกว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดจากรูป( ธาตุ4 หรือร่างกายตนเอง หรือร่างกายผู้อื่น คำว่าผู้อื่นไม่เฉพาะคนนะครับ) หรือมาจากขันธ์4 ขันธ์
    ถ้าเกิดจากรูป มีราคะเกิด ผมใช้การยกอสุภะกรรมฐาน 10 มาตัดเลย มันสวย มันหล่อนัก พิจารณาจากเนื้อ หนังเข้าไป กระดูก บางครั้งผมมาหยุดที่เห็นกระดูกเดินได้ เพราะหากพิจารณาต่อมันจะว่างปล่าวไม่เหลืออะไรอยู่เลย หรือหากอยากได้สิ่งของ พิจาณาตามกฏไตรลักษณ์ครับ มันเกิดขึ้นได มันตั้งอยู่ได้ มันก็ดับไปได้ เช่นเดียวกับเกิดจากขันธ์ ใช้กฏไตรลักษณ์ ฝึกใหม่ๆการตัดจะช้า กว่าจะมีสติก็ปล่อยอารมณ์จนสร้างบ้าน ก่อร่าง สร้างตัวเสร็จสรรพ แต่พอตัดไปเรื่อยๆจะเห็นความแปลกใจครับว่ามันเร็วขึ้น ๆ และเร็วขึ้น จนถึงแค่เพียงมีสิ่งมากระทบอายตนะ พอเริ่มคิดมาก็ตามรู้แล้ว... น่าสนใจครับ ลองทำดู
    2. โทสะ เป็นอารมณ์ที่ตรงกันข้ามกับราคะหรือโลภะครับ คืออยากจะผลักออกให้พ้น ไม่ต้องการ หลายๆคนไปมุ่งแต่ความโกรธ ส่วนตัวผมคิดว่า โทสะนี้มันก็มีลำดับขั้นของมันครับ ถ้าถึงขั้นโกรธเป็นฟืน เป็นไฟห้ามตัวเองไม่อยู่แล้ว มันเป็นส่วนปลายแล้วนะผมว่า กิเลสตัวนี้ใช้ พรหมวิหารธรรม ครับ อย่างพี่อ้องนี่เป็นผู้ที่ทรงพรหมวิหารธรรมได้อย่างยิ่งยวด ขอโมทนาบุญกับพี่อ้องด้วยครับ ไม่รู้นะในส่วนตัวผมเอง พรมวิหารธรรมนี้เป็นอารมณ์ใจมีความสุขมาก มันเป็นบ่อเกิดแห่ง ทาน และศีล ครับ.. เชื่อเถอะว่าถ้าท่านเมตตาเขา ท่านไม่ต้องการทำร้าย หรือฆ่าเขาแน่นอน ไม่ต้องการลักขโมยเขาด้วย ฯลฯ ศีล 5 เป็นบาทฐานครับ พรมวิหารธรรมนี้ ไม่มีเฉพาะบุคลอื่นนะครับ กายเนื้อที่เราสิงอยู่นี้ด้วยต้องมีพรมวิหารแก่เขาด้วย อย่าไปทำร้ายเขาครับ เพราะเขาเป็นเครื่องมือให้เราพ้นทุกข์ ถ้าขาดเขาเสียแล้วยากนะ ผมว่า...
    3. โมหะ ควาหลง ความฟุ้งซ่าน รำคาญ ฟุ้งซ่านมากบ้าได้นะ อย่างคนบ้านี่ ส่วนใหญ่จะมีโมหะเป็นเจ้าเรือนแล้วพัฒนาไปจนบ้า... สิ่งที่ผมใช้แก้อารมณ์แบบนี้ ผมใช้ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า- ออก และภาวนาพุท-โธ ครับ ไม่ยอมไปเติมอาหารให้กับความฟุ้งซ่าน ครับ เป็น 2 กรรมฐาน จาก 40 กรรมฐานตามแบบ( อานาปาณสติกรรมฐานและพุทธานุสติกรรมกรรมฐาน) ลองไปหาฟังเทปของหลางพ่อฤาษีครับ ท่านสอนดีมาก..

    สรุปก็คือ วันทั้งวัน ถ้าไม่ทำอย่างอื่นหรือต้องคิดงาน ใช้การกำหนดรู้ลมหายใจ พร้อมกับภาวนาพุท-โธ แล้วเมื่อมีสิ่งมากระทบทางอายะตนะ ใช้กรรมฐานแก้อารมณ์ใจตัดมันตลอด เอาเท่าที่มีสติรู้ทัน แล้วมันจะเร็วขึ้นๆ จนแค่คิดมันก็รู้แล้ว รู้แล้วต้องตัด อย่างปล่อยให้มันเตลิด เปิดเปิงไป มันจะกระหยิ่ม ยิ้มใจว่ามันเคยรอดมาได้ เดี๋ยวกำลังมันจะมาก ตัดได้ ตัดเลย และพยายามเข้าสมาธิให้บ่อยครับ เพราะมันมีกำลังกดกิเลส กดคอมันไว้ แล้วงดให้อาหาร งดให้น้ำ ทรมานจนมันขาดใจตายไปเลยครับ
    ขอเป็นกำลังใจให้กำเพื่อนนักเดินทาง ที่ตั้งใจจริงในการเดินทางสายนี้ครับ ผมก็พยายามตั้งหน้าตั้งตา โดยมีอิทธิบาท 4 หนุนหลัง ไม่เครียด ไม่บังคับ ไม่บีบคั้นอย่างที่พี่อ้องบอก ผมเชื่อพี่คนนี้ หากมีโอกาสผมอยากเจอซักครั้ง เพราะผมได้ประโยชน์จากสิ่งที่พี่คนนี้บอกเล่า อธิบายให้ทราบมากทีเดียว และคิดว่าหลายคนคงคิดเช่นนี้เหมือนผม
    หากท่านใด อ่านแล้ว ตรงกับจริตของตนเองลองนำไปปฏิบัติดูครับ ไม่มีลิขสิทธิ์
    จากตื่นนอน จนหัวถึงหมอน ผมทำแบบนี้แหละครับ....


    หนุ่ย
     
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    จิตหลอกเราได้หรือ

    เรื่องถูกจิตตนเองหลอกนั้นมีได้เสมอถ้าไปกำหนด กดข่ม เพ่งจ้อง
    เพื่อให้มันเป็นไปตามความต้องการ อ้องเรียกว่าการสร้างอุปทานซ้อน

    จิตหลอกปรากฏเกิดขึ้นกับคนสองประเภทคือคนทำสมาธิและดาราหนังที่ชอบบิ๊วอารมณ์ในตัวบทละครที่ตนแสดง

    คนทำสมาธิที่รีบร้อน...
    มีอกุศลคือโมหะ มีโลภะปรุงแต่งในการมุ่งแสวงหามักจะเข้าไปจมแช่กับอารมณ์แบบไม่รู้ตัว คือการเข้าไปสร้างอารมณ์ใหม่ สร้างอุปทานตนเอง เข้าไปเพ่งๆๆเข้าไปเพื่อจะบรรลุมรรคผล ตรงนี้ระบบประสาทจะเกิดอาการตึงและถึงขั้นเบลอ

    ไม่ต่างจากดาราหนังที่บิ๊วอารมณ์ สร้างตัวตนใหม่ สร้างสมมุติสิ่งใหม่ เพื่อเป็นไปตามอำนาจของกิเลส ตัณหา ในส่วนของดาราเค้าจะรู้ตัวว่ากำลังทำตามหน้าที่
    แต่ในส่วนของคนติดดี ติดสมาธิ ติดเพื่ออยากจะบรรลุนี่... ไม่รู้หน้าที่

    ดาราที่เล่นหนังในบทที่ต้องสร้างอารมณ์ที่ปวดร้าว เศร้าหมอง แสนเศร้าชนิดแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ไปถามดูได้ว่า น้ำตาเป็นสายเลือดเป็นเช่นใด คั้นอารมณ์
    บีบอารมณ์ สมมุติอารมณ์รุนแรงขนาดไหน เพื่อสร้างอุปทานในใจว่า...

    เราคือคนๆนี้ เราต้องเป็นตัวตนคนๆนี้จึงจะสมบทบาทได้

    คนทำสมาธิก็เช่นกัน...
    เมื่อไปฟังหรือไปอ่านข้อความก็ยินดี เพลิดเพลินไปกับความสุขแห่งอภิญญา
    ความพ้นไปจากโลก ความหลุดพ้นจากอาสวะจะวิเศษล้ำเลิศขนาดไหน
    การได้บรรลุจะยิ่งใหญ่ปานใด จิตจะฮึกเหิม ตัวตนจะใหญ่ยิ่ง นี่กำลังทำลายปัญญาแห่งตน และสร้างจิตทรนงเพื่อเหนือคนอื่นขึ้นมา

    คนทำสมาธิ คนเจริญวิปัสสนา คนถือศีลบางครั้งจะเปลี่ยนลุ๊คใหม่คือนิ่ง...
    กายต้องเรียบร้อย วาจาต้องเีรียบร้อย ใจต้องนิ่งๆ แล้วท้ายสุดก็เปลี่ยนนิสัยตนเอง
    ชนิดกดข่มให้มันนิ่งๆ เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา

    อ้องว่าอย่างนี้เข้าขั้นทื่อๆ แข็งๆ กดข่มตนเอง ให้มันนิ่ง ให้มันดีๆนี่ติดดี

    เราเป็นอย่างไรก็ทำตามเดิมอย่างนั้นเถอะ...
    บางคนขนาดรังเกียจสามี ภรรยาของตนเอง นี่ติดดีเข้าขั้น ติดโลกธรรมจนไม่เอาชั่ว รังเกียจชั่ว รังเกียจอกุศล หารู้ไม่ว่า ตรงที่รังเกียจนั่นล่ะ อกุศลปรากฏขึ้นมา

    เราเอารู้ รู้ในธรรมทั้งดีและเลว ไม่ต้องไปดัดแปลงแก้ไขว่าเรารักษาศีลเราต้องเก็บอารมณ์ ไม่พูด ทำอะไรช้าๆ ในส่วนตรงนี้เข้าใจผิดกันมากกว่า

    ครูอาจารย์ที่ท่านฝึกตนเองมามากแล้วเมื่อท่านเข้าใจสภาวะธรรม
    กาย วาจา ใจ ท่่านจะเริ่มสงบลงไปทีละน้อยเพราะสติที่ตื่นขึ้น

    แต่พวกเราที่เริ่มจะไปเลียนแบบครูที่มีกาย วาจา ใจที่สงบไม่ได้...มันจะบ้าเอา

    เราต้องอบรมตนเองเป็นพื้นฐานเสียก่อน ให้ชินสภาวะธรรมทั้งหลาย เพื่อตื่นและไม่หลงไปกับโลกสมมุติ ไม่ต้องไปเก็บอารมณ์ ไม่พูดไม่จา ไปดัดแปลงตัวตนให้สงบเรียบร้อย พวกนี้ดัดแปลง กดเข้าไป ให้นิ่งๆแต่ใจที่ไม่เคยถูกอบรมมาก่อน

    มันฟุ้ง มันกระวนกระวาย มันอึดอัด มันเศ้ราหมอง นี่ใจนี่ล่ะเราควรเข้าไปรู้

    จิตที่มันหลอกเรา ...

    มันหลอกเราชนิดว่า...

    ตัวเราบรรลุธรรมได้เลย แหวกอาสวะมาหลายรอบ หรือเห็นนิมิตต่างๆ เห็นใครมาวุ่นวายไปหมดนะ ได้ยินเสียงมากมาย ถ้าเราอบรมตนเองเป็นพื้นฐาน ไม่ใส่ใจ
    ไม่สนใจ ไม่หวังผล จิตจะหลุดพ้นก็เรื่องของมัน เมื่อเดินทางถูกซักวันมันก็ต้องหลุดพ้นเอง

    จะเป็นจะตายต้องเอาชาตินี้ ตอนนี้ ส่วนมากแล้วทำไม่ได้ผลกันหมด

    ธรรมะแห่งพุทธ...สบายๆ ธรรมดา ปล่อยวาง อยู่กับปัจจุบัน ไม่เล็งผลเลิศ ไม่เอากิเลส ตัณหานำ ทำเรื่อยๆ ต่อเนื่องเหมือนสายน้ำที่ไหลอย่างมั่นคง

    พวกนี้มีปัญญา พวกนี้เข้าถึงฝั่งเร็วกว่าคนอื่น

    นอกนั้นถูกจิตหลอก ถูกตัณหาความละเอียดหลอกให้วุ่นวายใจ

    ดารานั้นถ้าปรุงแต่ง สร้างอุปทานเพื่อให้เป็นไปตามบทละคร เค้าจะสมมุติตัวเองถึงขั้นว่า ใช่เลย นิิสัยอย่างนี้ จิตใจอย่างนี้ จนบางครั้งที่อินกับบทบาทถึงขั้นว่า...

    กลับมาบ้านยังเป็นตัวละครคนๆนั้นก็มี แม้ขณะที่เล่นและแสดงนั้นบางครั้งการหลอกจิตตนเอง ปรุงแต่งว่าใช่ เพ่งเข้าไป กำหนดเข้าไป จดจ้องเข้าไป สร้างอารมณ์ว่าใช่ๆ จะปรากฏคือตัวตนเดิมกลายเป็นอีกตัวตนหนึ่ง

    สร้างสิ่งสมมุติก็เลยได้อุปทานในสิ่งสมมุติ

    ขอให้เพื่อนๆเป็นตัวของตัวเอง อย่าไปคิดว่าเรามารักษาศีล มาอบรมสติ เจริญกรรมฐาน อบรมวิปัสสนา เราต้องนิ่งๆ เรียบร้อยอย่างครู ตรงนี้เมื่อเราทำมากเข้า
    เราจะนิ่งเอง จะเรียบร้อยเอง กาย วาจา ใจ จะสุจริตปรากฏเองเพราะอบรมสติ สมาธิ ปัญญามาดีแล้วต่างหาก

    ปล่อยกายและใจแบบอิสร เสรี ตามรู้เนืองๆเข้าไว้ รู้แล้วก็วางลง นับหนึ่งเสมอ
    ตรงนี้เป็นคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ที่เตือนสติอ้องอยู่เสมอ

    อย่าให้จิตมันหลอกเรา อย่าให้กิเลส ตัณหา มันมาเร่งรัดรัด มากดดันเรา อยากจะพ้นทุกข์ ก็อย่าขี้เกียจ อยู่กับปัจจุบัน ธรรมชาติความจริงจะปรากฏเอง

    ขออนุโมทนาผิดพลาดขออภัยครับ
    อ้อง...
     
  11. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ช่วงนี้ที่อ้องพูดเรื่องจิตหลอกก็เพราะพี่ทางธรรมอ้องคนหนึ่ง
    ที่มุ่งมั่นจนเกินจริง การที่อ้องเคารพพี่ทางธรรมคนนี้ อ้องจึงคอยเตือนสติ
    ให้ทำตัวตามปกติ ไม่ต้องไปแก้อารมณ์อะไรให้มาเป็นตัวตนที่แท้จริง

    ความร่าเริง ความยิ้มแย้มแจ่มใส นิสัยเดิมให้ทำตัวปกติแล้วศึกษาพื้นฐาน
    สมาธิ วิปัสสนาให้แน่นแล้วค่อยไปตามรู้ทีหลัง

    คุณหนุ่ยเขียนอธิบายธรรมะได้ดี ทำต่อไปนะครับ
    ราคะเวลาปรากฏถ้าสู้ได้ให้จดจำเอามาเป็นสภาวะอย่าหนีบ่อยๆ
    ครูอาจารย์ท่านหนีก็ต่อเมื่อมันแรงกล้ามากจึงต้องใช้อสุภะเข้าไปเพื่อให้อำนาจมันน้อยลง

    อย่าลืมรู้ทุกสิ่ง เราถูกสอนให้รู้ อย่าหนีนะ
    อย่ากดข่มมันด้วยสมาธิแต่จงรู้เพื่อตื่นเพื่อสตินะครับ
    อนุโมทนาครับ
    พี่อ้อง
     
  12. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    เมื่อคืนกุ้งลองฝึกตามที่พี่อ้องบอกค่ะ
    ก็ลองไม่สนใจลมหายใจดู คือถ้าตายตอนนั้นก็จะไม่สนใจแล้ว ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ผลปรากฏคือความว่าง ว่างมากๆ แบบเหมือนเราไม่มีตัวตนอีก ไม่มีอะไรอยู่รอบกายเลย แต่ยังจับความรู้สึกได้อยู่ค่ะ ก็เริ่มมีแสงแล้วล่ะ แต่กุ้งไม่แน่ใจว่ามันเป็นแสงสีอะไร สีเหลืองกับขาว ในระหว่างนั้นอ่ะคะ แต่มันยังกระจายฟุ้งอยู่ นั่นคือจิตเราไม่นิ่งพอใช่มั้ยคะพี่ กำลังจะเพ่งมองแสงอยู่ อยู่ๆก็มีเสียงดังกึกขึ้นมา เลยต้องออกจากสมาธิเลย ตอนนั้นก็ตี 1 กว่าแล้ว ก็เลยนอนเลยค่ะ
    แต่กุ้งนั่งค่ะ กลัวพอหลับแล้วมันจำไม่ได้ แต่ว่าจะพยายามฝึกแบบนอนให้มากกว่านี้
    ช่วงนี้ 1 เดือนเต็มที่ลองฝึกแบบต่อเนื่อง หลังจากที่ทิ้งไปเสียนาน สังเกตุว่าพอเราคิดว่าจะเข้าสมาธิ มันจะจดจำอารมณ์นั้นได้ทันที แล้วก็จะวูบนิ่ง ว่างไปเลย คือแบบเข้าได้เร็วมากกว่าเดิม สังเกตุว่ากุ้งจะนั่งตอนกลางคืนได้ดีกว่ากลางวันค่ะพี่ เพราะบรรยากาศมันเงียบดี
     
  13. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,516
    พี่อ้องคะ ที่ผ่านมาเวลา คิดชั่ว เอ่อคิดไม่ค่อยดี(ยังไม่ได้ทำนะคะ)
    แล้วเวลาพยายามไม่คิด แต่ว่ากลับทวีความรุนแรงมากขึ้น
    อย่างนี้แล้ว ก็เลยปล่อยให้คิดต่อไปจนจบ ผลออกมา แล้วชั่งดูผลดีผลเสีย
    คิดว่าทำแล้วเสียใจภายหลังอย่างมาก ก็เลยเลิกคิดไม่ดีในเรื่องเดิมอีกต่อไป
    ทำนองนี้ นี่เป็นแบบที่ควรหรือเปล่าคะ ขอกราบเรียนถามค่ะ
     
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตรงที่พยายามมีกิเลสคืออยากจะไม่ให้มีอยู่..
    ไปกดๆเ้ค้าเอาไว้คือกดโลกธรรมเพราะติดดี
    คือชอบที่จะอิงกับความสุข สบาย ผ่องใส

    ทุกอย่างมันบังคับไม่ได้นะ...
    มันจะดีมันจะชั่วเราห้ามมันไม่ให้เกิดไม่ได้
    ในเรื่องของความคิดที่สะสมมามันเป็นปัจจัยที่สะสมมาก่อนเป็นอดีตกรรม อารมณ์ เจตสิก วัตถุรูปที่จะปรากฏเมื่อจิตเรายกวิถีจิต

    ดังนั้นเราอย่าไปรังเกียจมันแต่จงรู้มัน
    รู้เพื่อให้เกิดสติที่ตื่นขึ้น เมื่อสติมันจดจำสภภาวะแห่งอกุศลมากเข้า
    สติก็จะเริ่มมีกำลังและต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น

    จนท้ายที่สุด ไม่ว่าดีหรือชั่วก็จะทำให้เกิดการกระเพื่อมหวั่นไหวในอารมณ์นั้นไม่มีคือวางทุกสิ่งลง

    พระพุทธองค์สอนให้มีสัมมาทิฎฐิคือรู้ถูก...
    รู้ว่าความจริงของกายตอนนี้เป็นอย่างไร
    รู้ว่าความจริงของจิตตอนนี้เป็นอย่างไร

    เราถูกสอนเพื่อให้เกิดสติเพื่อตื่นไม่หลงไปปรุงแต่งดีและชั่ว
    ไม่ใช่ให้หนี ให้กดข่ม ให้รังเกียจ

    ทุกสิ่งคือสภาวะมีรูปลักษณะ
    เรารู้รูปลักษณะเพื่อทำลายรูปลักษณะ

    รู้เพื่อคลาย เพื่อไม่หลงยึด เพื่อทำลายอุปทาน เพื่อทำลายกิเลส ตัณหา เพื่อทำลายภพ
    และเพื่อทำลายอวิชชาความมืดบอดเพราะถูกปิดบังความจริงของธรรมชาติ

    ดังนั้นหน้าที่พวกเราคือเข้าไปเรียนรู้เหตุ...ที่ต้นเหตุคือกายและจิต รูปนาม
    ดังนั้นห้ามหนี ห้ามกลัว ห้ามรังเกียจ ห้ามติดดี
    ให้เข้าไปรู้ทุกสิ่งเพื่อทำลายอุปทานในทุกสิ่ง

    จนมหาสติมีกำลังเพราะฝึกอบรมมาอย่างถูกต้อง สติที่ตื่นต่อเนื่องเนืองๆ
    จะทำให้พบความจริงที่แจ่มชัดจนคลายอุปทานในขันธ์ทั้งหลายได้สิ้นลง

    นี่หล่ะจบกิจพรหมจรรย์นะ
    อย่ากลัวนะ ให้หันหน้าสู้กับความจริงจะพบความจริง
    ทำไมจึงกลัวถ้าหนีจะรู้ไม๊
    ทำไมจึงไม่ชอบ และรังเกียจ ถ้ากดข่มไม่ให้มันเกิดจะรู้ไม๊ว่าเพราะอะไรเป็นเหตุ
    แล้วเราจะแก้ไขได้อย่างไร

    ดังนั้นจึงต้องหันหน้ามาสู้ มาทวนกระแสโลกจึงจะพบความจริงของโลกและพ้นโกล

    อนุโมทนา
    พี่อ้อง
     
  15. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    วันนี้ก็ลองฝึกกลางวันดูค่ะ พอสวดมนต์เสร็จ ง่วงมากๆ แล้วคือต้องพักสายตาสักครู่ หลังจากนั้นก็ลองนั่งสมาธิอีกครั้ง ช่วงนี้ก็เข้าสมาธิได้เร็วมาก เนื่องจากว่าจะจำลักษณะของอาการสุดท้ายที่นั่งหลังสุดได้ แล้วก็จะวูบแบบลึกไปเลย นิ่งมาก บางทีเหมือนลมหายใจเราหยุดไปเลย มันสว่างค่ะแต่ไม่มาก ช่วงไหนคะที่เราต้องกำหนดจิต อาราธนาขอให้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคุ้มครอง กุ้งรู้สึกมันนิ่งมากเลยค่ะพี่ แต่หูก็ยังได้ยินนิดๆ แล้วก็เหมือนกับสมาธิออกไปจากจุดนั้นนิดนึง แล้วก็สักพักก็เข้าไปจุดตรงนั้นอีกก็รู้สึกวาบนิ่งอีกครั้งหนึ่ง ก็ทรงตัวอยู่ตรงนั้นสักพัก ที่หูได้ยินแบบเหมือนมีลมพัดผ่าน สักพักหนึ่งก็ออกจากสมาธิ ก็นั่งอยู่พักนึง รู้สึกว่าขนลุกวูบๆวาบๆ ช่วงนี้รู้สึกว่าจะนั่งตอนไหนก็ได้ ไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวันก็จะเข้าสมาธิได้ค่ะ หรือบางทีระหว่างวันในขณะที่เราทำงาน หรือทำอะไรอยู่ถ้ารู้สึกว่าเราจะรวบรวมสมาธิมันก็ทำได้นะคะ แบบวูบลึกไปเลย บางทีนั่งอยู่เฉย ถ้าคิดว่าจะเข้าสมาธิก็ทำได้ อารมณ์ก็นิ่งมากขึ้นแบบเหมือนถ้าใครพูดอะไร ก็จะไม่ค่อยเก็บมาเป็นอารมณ์แล้วมันก็หายไปเองเลยโดยอัตโนมัติ รู้สึกว่ามันว่างๆ นิ่งๆ ค่ะ คือมันปล่อยวางไปหมด รู้สึกว่าไม่มีอะไรแน่นอน ทุกคนมีกรรมของตนเอง
    เหมือนร่างกายมันเบาๆยังไงก็ไม่ทราบค่ะพี่ เป็นอาการอะไรเหรอคะ
     
  16. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ช่วงที่กายมันเบาสบายตรงนั้นหล่ะดีแล้ว
    สมาธิก็เอากัเค้าไม่ได้เช่นกันบางวันก็เข้มแข็งบางวันก็อ่่อนแอ
    จิตก็เช่นกันบางวันก็ผ่องใสบางวันก็หดหู่เซื่องซึม

    หน้าที่เราคือรู้มันในทุกสิ่ง ไม่ต้องไปสนใจ พายเรือข้ามฝากแบบไม่ต้องหันหลังกลับ
    จะถึงฝั่งนะ ตั้งเรือตรงทวนกระแสน้ำ พายถูกต้อง ไม่หวั่นไหว ทำจนสุดกำลังมันจะพบความจริงเอง

    จิตที่วางอารมณ์บางครั้งมันจะวางก็วางเอง แยกจิตกับอารมณ์ออกมาด้วยและพึงพิจารณา
    ในความแตกต่างระหว่างจิตผู้รู้และอารมณ์ที่ปรากฏ

    ฝึกไปเรื่อยๆสบายๆ ทำให้ต่อเนื่องมากเข้า จนสติมีกำลังมากขึ้น สมาธิจะรวมกำลังได้เสมอ
    เพราะความชำนาญในการจดจำตำแหน่งและอารมณ์

    สมาธิถ้าเราจดจำอารมณ์ในตำแหน่งที่เราสบายๆ ว่างๆ เราจะเหมือนเห็นความเหลือ่ม
    มิติ ขีด ขอบวง ตำแหน่งที่เข้าถึง พอโน้มจิตในอารมณ์ดังกล่าว ความชินจะทำให้เข้าได้เร็วมากขึ้นเพราะชำนาญ เพราะทำมามาก เจริญมามาก

    อย่างไรก็ให้รักษาใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ มันขุ่นมัวก็ให้รู้
    คอยปัดกวาดเช็ดบ้านในใจตนเองให้สะอาดแจ่มใส
    ยามใดที่อกุศลปรากฏมันจะตื่นตัวและรีบเช็ดถูด้วยสติ

    ขอให้เพียรชอบในองค์แห่งมรรค อย่าติดดี ติดสุข ติดนิมิตนะ
    บางครั้งมันจะขนลุก ขนพอง วูบวาบ เหมือนใจมันสว่างพรึ๊บ เหมือนมีสิ่งภายในที่ร่มเย็นแผ่กระจาย
    เหมือนความอบอุ่นในใจเปล่งประกาย เหมือนสงบนิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหว
    เหมือนอยู่โดดเดี๋ยวแต่สุขใจแบบประหลาด
    เหมือนใจฟูผ่องสว่างไสว
    สิ่งเหล่านี้ให้รู้เพื่อจดจำสภาวะแต่อย่าไปจมแช่กับสภาวะ

    มันจะทำให้จิตถูกหลอกให้หลงเข้าไปติดดีในอารมณ์ที่ละเอียดเข้า
    ให้รู้และวาง

    พระพุทธองค์สอนให้รู้และละเหตุนั้นเสีย ไม่ว่าดีหรือเลว รู้เพื่อเข้าใจความจริงของธรรมชาติสรรพสิ่ง เมื่อรู้แล้วใจเราจะคลายออกมาได้เพราะรู้ถูกเพราะปรากฏสัมมาสมาธิ
    สัมมาสติ มีความเพียรชอบในงาน มีความคิดชอบ การงานชอบ สิ่งที่ทำอยู่ในมรรค

    จึงจะเป็นทางเดินที่ถูกต้องและพบกระแสแห่งพระนิพพานในที่สุด

    อยู่กับปัจจุบัน ไม่หวั่นไหวในอารมณ์และสรรพสิ่ง
    จงเป็นผู้ตื่นนะครับ

    พี่อ้อง
     
  17. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ช่วงที่กายมันเบาสบายตรงนั้นหล่ะดีแล้ว
    สมาธิก็เอากัเค้าไม่ได้เช่นกันบางวันก็เข้มแข็งบางวันก็อ่่อนแอ
    จิตก็เช่นกันบางวันก็ผ่องใสบางวันก็หดหู่เซื่องซึม

    หน้าที่เราคือรู้มันในทุกสิ่ง ไม่ต้องไปสนใจ พายเรือข้ามฝากแบบไม่ต้องหันหลังกลับ
    จะถึงฝั่งนะ ตั้งเรือตรงทวนกระแสน้ำ พายถูกต้อง ไม่หวั่นไหว ทำจนสุดกำลังมันจะพบความจริงเอง

    จิตที่วางอารมณ์บางครั้งมันจะวางก็วางเอง แยกจิตกับอารมณ์ออกมาด้วยและพึงพิจารณา
    ในความแตกต่างระหว่างจิตผู้รู้และอารมณ์ที่ปรากฏ

    ฝึกไปเรื่อยๆสบายๆ ทำให้ต่อเนื่องมากเข้า จนสติมีกำลังมากขึ้น สมาธิจะรวมกำลังได้เสมอ
    เพราะความชำนาญในการจดจำตำแหน่งและอารมณ์

    สมาธิถ้าเราจดจำอารมณ์ในตำแหน่งที่เราสบายๆ ว่างๆ เราจะเหมือนเห็นความเหลือ่ม
    มิติ ขีด ขอบวง ตำแหน่งที่เข้าถึง พอโน้มจิตในอารมณ์ดังกล่าว ความชินจะทำให้เข้าได้เร็วมากขึ้นเพราะชำนาญ เพราะทำมามาก เจริญมามาก

    อย่างไรก็ให้รักษาใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ มันขุ่นมัวก็ให้รู้
    คอยปัดกวาดเช็ดบ้านในใจตนเองให้สะอาดแจ่มใส
    ยามใดที่อกุศลปรากฏมันจะตื่นตัวและรีบเช็ดถูด้วยสติ

    ขอให้เพียรชอบในองค์แห่งมรรค อย่าติดดี ติดสุข ติดนิมิตนะ
    บางครั้งมันจะขนลุก ขนพอง วูบวาบ เหมือนใจมันสว่างพรึ๊บ เหมือนมีสิ่งภายในที่ร่มเย็นแผ่กระจาย
    เหมือนความอบอุ่นในใจเปล่งประกาย เหมือนสงบนิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหว
    เหมือนอยู่โดดเดี๋ยวแต่สุขใจแบบประหลาด
    เหมือนใจฟูผ่องสว่างไสว
    สิ่งเหล่านี้ให้รู้เพื่อจดจำสภาวะแต่อย่าไปจมแช่กับสภาวะ

    มันจะทำให้จิตถูกหลอกให้หลงเข้าไปติดดีในอารมณ์ที่ละเอียดเข้า
    ให้รู้และวาง

    พระพุทธองค์สอนให้รู้และละเหตุนั้นเสีย ไม่ว่าดีหรือเลว รู้เพื่อเข้าใจความจริงของธรรมชาติสรรพสิ่ง เมื่อรู้แล้วใจเราจะคลายออกมาได้เพราะรู้ถูกเพราะปรากฏสัมมาสมาธิ
    สัมมาสติ มีความเพียรชอบในงาน มีความคิดชอบ การงานชอบ สิ่งที่ทำอยู่ในมรรค

    จึงจะเป็นทางเดินที่ถูกต้องและพบกระแสแห่งพระนิพพานในที่สุด

    อยู่กับปัจจุบัน ไม่หวั่นไหวในอารมณ์และสรรพสิ่ง
    จงเป็นผู้ตื่นนะครับ

    พี่อ้อง
     
  18. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    เรียนพี่อ้องค่ะ
    หนูได้รับหนังสือแล้วค่ะ ดีใจมากๆเลยค่ะ เดี๋ยวอ่านเสร็จแล้วจะให้แม่อ่านและญาติๆอ่านค่ะ
    กราบขอบพระคุณพี่อ้องมากค่ะ
    ขออนุโมทนาด้วยนะคะ หนูขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยจงคุ้มครองพี่อ้องและครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข ขอให้มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ สาธุ
     
  19. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    พี่อ้องคะ เวลาสวดมนต์ บางครั้งก็เป็นอาการนี้ด้วยค่ะ เวลาสวดแบบติดต่อกันนานๆ รู้สึกว่าตัวจะวูบๆ เบาๆ เหมือนไม่มีน้ำหนัก

    เหมือนตัวเราเบาๆ เหมือนหุ่นค่ะ ถึงแม้ไม่ได้นั่งสมาธิแล้ว ก็ยังรู้สึกแบบนี้นะคะ แต่เป็นบางครั้ง
    บางครั้งมันจะขนลุก ขนพอง วูบวาบ เหมือนใจมันสว่างพรึ๊บ เหมือนมีสิ่งภายในที่ร่มเย็นแผ่กระจาย
    เหมือนความอบอุ่นในใจเปล่งประกาย เหมือนสงบนิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหว
    เหมือนอยู่โดดเดี๋ยวแต่สุขใจแบบประหลาด
    เหมือนใจฟูผ่องสว่างไสว

     
  20. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อย่ารักษาศีลด้วยความอยาก

    :09: ทำไมศีลจึงนำพาความสุขมาให้
    ทำไมศีลจึงให้โภคทรัพย์ที่ใครก็แย่งไม่ได้
    ทำไมศีลจึงนำพาเข้าสู่นิพพานได้...

    ทำอย่างไรจึงจะมีศีลด้วยใจบริสุทธิ์โดยไม่จงใจไปกำหนด จดจ้อง ไปรักษา
    ในสิ่งที่เรียกว่า สัพเพธรรมมาอนัตตา

    ทำไมคนที่ไปถือศีลจึงมักบอกว่าตนเองมีศีลบริสุทธิ์ทั้งที่
    ใจมีโมหะ โทสะ ราคะอยู่เสมอๆ

    ศีลปรากฏขึ้นอย่างไรจึงเรียกว่าผ่องใส
    ทำไมจึงมีศีลแห่งอริยมรรค
    ทำไมจึงมีศีลแห่งปถุชนที่ต้องเริ่มต้นเข้าไปรักษา เพื่อรู้ในความสะอาดผ่องใส

    และเมื่อไหร่ศีลแห่งอริยมรรคจะปรากฏได้ด้วยการตื่นขึ้น ระลึกรู้ เข้าถึงแบบธรรมชาติ
    โดยไม่มีกิเลสนำพา

    ทำไมจึงบอกว่าผมถือศีล ดิฉันถือศีล
    ทำไมไม่บอกว่า ผมต้องการรู้ว่า ศีลคือเช่นไร จึงพยายามสำรวมระวังในการรักษา
    เพื่อให้จิตจดจำได้หมายรู้ในสภาวะแห่งความสะอาดผ่องใสปราศจากกิเลสที่มัวหมอง

    เหตุที่เราถือศีลเพื่ออะไร
    ทำไมเราจึงพยายามละอกุศลและเข้าหาใจบริสุทธิ์

    ทำไมความสะอาด ความสำรวมระวัง จึงทำให้ใจที่กำลังมัวหมองเพราะอกุศลกลับตื่นโดยพลันได้ด้วยศีลแห่งอริยมรรค

    คนเราควรเริ่มจากสิ่งหยาบเพื่อเข้าหาความละเอียด
    บ้านคนเรามันสกปรกมันต้องล้างเอาความสกปรกออกมาจากบ้าน

    ห้องครัวที่มีแต่ของเน่า ทำครัวก็ได้แต่ของเสีย ของเหม็น
    เราจึงต้องขจัดเอาของเน่าเหม็น อกุศลที่สะสมให้ออกไปโดยเข้าไป
    ทำความรู้จักกับความสะอาด ผ่องใส

    ศีลจึงนำพาความสุขมาให้
    ศีลจึงให้อริยทรัพย์ คุณธรรมและการเข้าถึงองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ในโพธิปักขิยธรรม๓๗
    เมื่อใจสะอาดผ่องใส ไร้สุข ไร้ทุกข์มากวนใจ มีสติที่มีกำลังต่อเนื่องเนืองๆ

    มีคุณธรรมที่สะสมมามากขึ้น
    ใจที่มืดบอดจะพบกับ
    ความสะอาดหมดจรดคือวิชชาปัญญาวิมุตติ

    ไร้สมมุติ
    ไร้การปรุงแต่ง
    ไร้ภพ
    ไร้ความทะยานเข้าหาหรือผลักออก
    ไร้อุปทานในขันธ์
    สิ้นภพเหนือธรรมก็เพราะมีศีลเป็นส่วนช่วยให้เข้าถึงธรรม

    ศีลเลนิพพุติงยันติ ตัสมา ศีลลังวิโส ธเย...

    ผิดพลาดขออภัยนะครับ เป็นความเข้าใจส่วนตนของอ้องเองครับ :09:
     

แชร์หน้านี้

Loading...