เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ล้วนพบกันบนเส้นทางแห่งสันติ

    [​IMG]<!--endemo--> อนุโมทนาครับ

    คุณกอบอธิบายได้ดีเรื่อง จิตตั้งมั่น(สมาธิ) รู้สึกเป็นกลาง(ใจ)

    หลวงพ่อปราโมทย์ให้อบรมสภาวะเพื่อให้เกิดสติเพราะจดจำได้ในถีรสัญญา <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->

    หลวงปู่เทสก์สอนว่าอย่าพึ่งพิจารณาใดๆโดยลืมกำลังของสติ สมาธิ

    หลวงปู่ดูลย์ ฝึกตัวรู้ "รู้อยู่กับที่โดยไม่ต้องรู้อะไรอื่นเหลือเพียงตัวรู้ รักษาจิตให้รู้อยู่เฉยๆ
    ไม่ต้องแยกแยะ อย่าไปบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยไปตามยถากรรม เมื่อรักษาสักครู่
    จิตจะซัดส่ายไปยังอารมณ์ต่างๆเป็นเรื่องธรรมดา

    เมื่อรู้สึกตัวให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะขณะที่มีผู้รู้กับจิตที่แล่นไปในอารมณ์เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ

    รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้ต่อไป อีกไม่นานมากนักก็จะควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด
    ฉลาดในพฤติของจิต โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

    เมื่อถึงเวลาตาย ให้ทำจิตเป็นหนึ่งแล้วหยุดเพ่ง ปล่อยวางทั้งหมด" <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->

    คุณ วิชาบางครั้งถ้าอ้องจิตมันหดแคบเข้ามาที่กายที่จิต มาอยู่กับผู้รู้ที่กายที่จิตอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ จิตมันยึดกายจึงทุกข์และจิตมันยึดจิตจึงทุกข์ คำว่าหดเข้ามาคือบางครั้งรู้สึกว่า
    โลกภายนอกเหมือนไร้สาระอย่างบอกไม่ถูก

    และ เมื่อหันมาดูกายและจิตโดยไม่ใส่สมมุติบัญญัติ ขันธ์ที่ปรากฏ (รูปนาม) มันแปลกๆอธิบายไม่ถูก เรียกไม่เป็นและมันเหมือนจับเอาละอองของขันธ์เข้ามารวมๆกันจนกลายเป็นรูป ร่างเป็นกายเราและแม้แต่จิตก็เหมือนเป็นเรา

    แต่ยามที่จิตตั้งมั่นด้วยสมาธิ มีความรู้สึกเป็นกลาง มีสติปรากฏเกิดขึ้นเพราะจดจำได้ใน
    ถีรสัญญา ความรู้สึกคือมันมีแต่ไม่ใช่เรา แต่อ้องคงจะต้องพิจารณาจนจิตมันยอมรับให้ได้ในวันใดวันหนึ่ง

    คุณ วิชาครับ ทำไมคนเราจึงกลัวทุกข์ กลัวนรก กลัวความลำบาก
    แต่ทำไมอ้องมันเหมือนมีสิ่งที่ต้องกระทำเป็นหน้าที่แม้ลึกๆก็กลัวแต่ใจมัน ยอมที่จะรับทุกสิ่ง แบกรับทุกสิ่ง มุมมองของอ้องแปลกๆแตกต่างจากเพื่อนๆที่มุ่งหวังเพื่อหนีไปจากโลก เพื่อบรรลุธรรม เพื่อการไม่กลับมา

    แต่อ้องก็ทำสบายๆแบบไม่กดดันตนเองในการฝึกอบรมสภาวะ ไม่หวังผลเพื่อสร้างแรงกดดันตนเอง

    อ้องคิดว่าอนาคตกาลแม้ยาวนานขนาดไหนแต่การที่ได้พบพระธรรมอันบริสุทธิ์ ทำให้อ้องรู้แล้วว่า

    อ้องเกิดมาเพื่ออะไร ต้องทำอะไร กาลเวลาไม่ได้ทำให้อ้องรู้สึกน่ากลัวแต่อย่างไร
    แม้จะต้องผิดพลาด พลาดพลั้งต้องไปอบาย๔และรู้ว่าจะต้องเดินทางอันแสนยาวไกล

    คุณวิชา คุณบุญรักษ์ คุณระนาด คุณกอบ คุณบู คุณอัญญาสิ หลวงพี่รักเดียว คุณดำรงค์และเพื่อนๆ...

    คงจะเดินหนีออกไปจากโลกนี้ไปนานแล้ว ส่วนอ้องก็คงมาคอยปัดกวาด เก็บต๋งเพื่อนๆที่เหลือตามไปที่หลังเพื่อพบเส้นทางแห่งสันติสุขในอนาคตกาล เวลาข้างหน้าด้วยเช่นกัน
    <!--emo&:02:-->[​IMG]<!--endemo-->

    รู้สึกยินดีที่ได้พบกันในเส้นทางแห่งความสว่างกระจ่างใจนะครับคุณวิชา... <!--emo&:11:-->[​IMG]
     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คำตอบจากคุณวิชาครับ

    สวัสดีครับทุกท่าน

    สนทนากับคุณ ชัชวาล เพ่งวรรธนะ นะครับจากคำถาม

    <!--QuoteBegin--><samp>อ้างอิง
    <!--QuoteEBegin-->คุณ วิชาครับ ทำไมคนเราจึงกลัวทุกข์ กลัวนรก กลัวความลำบาก แต่ทำไมอ้องมันเหมือนมีสิ่งที่ต้องกระทำเป็นหน้าที่แม้ลึกๆก็กลัวแต่ใจมัน ยอมที่จะรับทุกสิ่ง แบกรับทุกสิ่ง มุมมองของอ้องแปลกๆแตกต่างจากเพื่อนๆที่มุ่งหวังเพื่อหนีไปจากโลก เพื่อบรรลุธรรม เพื่อการไม่กลับมา

    แต่อ้องก็ทำสบายๆแบบไม่กดดันตนเองในการฝึกอบรมสภาวะ ไม่หวังผลเพื่อสร้างแรงกดดันตนเอง

    อ้อ งคิดว่าอนาคตกาลแม้ยาวนานขนาดไหนแต่การที่ได้พบพระธรรมอันบริสุทธิ์ ทำให้อ้องรู้แล้วว่า อ้องเกิดมาเพื่ออะไร ต้องทำอะไร กาลเวลาไม่ได้ทำให้อ้องรู้สึกหน้ากลัวแต่อย่างไร แม้จะต้องผิดพลาดพลาดพลั้งต้องไปอบาย๔และรู้ว่าจะต้องเดินทางอันแสนยาวไกล<!--QuoteEnd-->
    </samp><!--QuoteEEnd-->

    ธรรมดา ผู้เป็นปุถุชนหรือมีกิเลสอยู่ ย่อมกลัวทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้น ยิ่งเป็นนิยตโพธิสัตว์หรือผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วว่าจะเป็นเอกคัคตะ มหาสาวก จะกลัวบาปเป็นอย่างยิ่ง เพราะการทำบาปนั้นแหละจะนำมาซึ่งความทุกข์ แต่ก็ยังพลาดพลั่งกันได้ ด้วยความหลงของกิเลสที่ผลักดัน เมื่อยังต้องสร้างสมบารมีอีกยาวไกล.

    เมื่อผ่านทุกข์มามากแล้วในชีวิต ผ่านการปฏิบัติธรรมมาแล้ว และยังดำรงณ์จิตอย่างนี้

    แต่อ้องก็ทำสบายๆแบบไม่กดดันตนเองในการฝึกอบรมสภาวะ ไม่หวังผลเพื่อสร้างแรงกดดันตนเอง

    อ้อ งคิดว่าอนาคตกาลแม้ยาวนานขนาดไหนแต่การที่ได้พบพระธรรมอันบริสุทธิ์ ทำให้อ้องรู้แล้วว่า อ้องเกิดมาเพื่ออะไร ต้องทำอะไร กาลเวลาไม่ได้ทำให้อ้องรู้สึกหน้ากลัวแต่อย่างไร แม้จะต้องผิดพลาดพลาดพลั้งต้องไปอบาย๔และรู้ว่าจะต้องเดินทางอันแสนยาวไกล


    ก็หมายความมีจิตใจเป็นมหากุศลปรารถนาก่อคุณประโยชน์ ดำรงฐานะอย่างใดอย่างหนึ่งในอนาคตกาลเสียแล้ว
    และมหากุศลจิตนั้นก็กำลังเจริญอยู่กระตุ่นกระจายปรากฏอยู่ในใจอยู่เนื่องๆ.

    ผู้ ที่มีใจเห็นต่างมุมกันคือปรารถนานิพพานอย่างเร็วพลันอาจจะไม่เข้าใจ ดังนั้นผมจะอธิบายเปรียบเทียบให้เข้าใจอย่างง่ายขึ้นดังนี้.

    การ มีมหากุศลจิตปรารถนาในฐานะใดๆ ที่เป็นคุณประโยชน์ใหญ่ เปรียบเทียบเสมือนดังใจของผู้ที่ข้องอยู่ใน ความรัก และโดยทั่วไปจะเคยเกิดขึ้นกับเกือบทุกตัวคน และน่าจะเข้าใจกันทุกคนที่เคยมีความรักมาแล้ว ทั้งที่สมหวังและไม่สมหวัง.

    ซึ่งความรัก มีคุณลักษณะดังนี้ ทำให้เสียสละเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักหรือรักษาความรักนั้น และก็ทำให้ตาบอดด้วย.

    แม้ ว่าจะมีผู้มาบอกว่า ให้เลิกรักคนนั้นคนนี้เสีย ย่อมไม่ยอมเลิกเมื่อรักเข้าไปแล้ว แม้จะทุกข์แม้จะลำบากก็ยังรักอยู่อย่างนั้น แม้จะถูกพรากจากกันด้วยเหตุสุดวิสัยแต่ก็ยังอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่คลายเกิดเป็น ปมอยู่ในใจอย่างนั้นจนพบรักใหม่ แต่ปมนั้นก็ยังขมวดอยู่ในใจ จนกว่าจะผิดหวังจากคนที่รักนั้นอย่างสิ้นเชิงจึงจะเลิกรักไปได้

    ก็เช่นเดียวกันกับผู้ที่มีจิตเป็นมหากุศลปรารถนาฐานะอันมีคุณประโยชน์ใหญ่ในพุทธศาสนา

    เมื่อ มีมหากุศลจิตปรารถนาแล้ว ก็ย่อยเสียสละเพื่อความปรารถนานั้นเพื่อให้ถึงซึ่งฐานะอันปรารถนา แล้วทำให้ตาบอดก็ไม่กลัวต่อทุกข์ในวัฏสงสาร แม้จะเดินทางอันแสนยาวไกล.

    ตัวอย่างก็ปรากฏมีในพระไตรปิกฏ เช่นดังพระโพธิสัตว์ หรือพระมหาสาวก ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับพระโพธิสัตว์มาอย่างยาวนาน
    ดังนั้นเช่น พระกัสสปะมหาเถระ ที่เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์มาอย่างยาวนานเกินกว่า 20 อสงไขยแสนกัปมาแล้ว.
    และ มีเป็นหมื่นๆ ท่าน โดยมีพระนางยโสธราเป็นต้น ที่ปรารถนาอธิษฐานเพื่อบรรลุในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เมื่อสมัย 4 อสงไขยกับแสนกัปมาแล้ว ตอนที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสุเมธดาบส และได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก และพระทีปังกรพุทธเจ้าได้ตรัสทำนองว่า ผู้ใดที่ยังไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานในสมัยพระองค์(ไม่สามารถขึ้นท่าน้ำ นี้ของพระองค์) ก็สามารถอธิษฐานปรารถนาเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานในสมัยของท่านสุเมธดาบสองค์ นี้(ขึ้นท่าน้ำข้างหน้าของสุเมธดาบัส) ในอีก 4 อสงไขยเศษแสนกัป เบื้องหน้า.

    ก็ มีผู้เทวดาและมนุษย์ อธิษฐานเป็นหมื่นๆ ท่านที่เดียว และหมื่นๆ ท่าน เหล่านั้นก็เสมือนได้รับพุทธพยากรณ์ จากพระทีปังกรพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ว่าเที่ยงแท้บรรลุมรรคผลนิพพานในสมัยของท่านสุเมธดาบสเป็นอย่างช้าแน่นอน คำตรัสของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งไม่มีสอง.

    และก็มีผู้อธิษฐาน เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานในสมัยของพระโพธิสัตว์มาตลอดเมื่อได้เห็นได้รับรู้ใน ขณะที่ พระโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ซ้ำ ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ต่อมา ซึ่งมีมากมายเหลือคณานับ

    แต่ก็น่ายังน้อยกว่า ผู้ที่อธิษฐานปรารถนามรรคผลนิพพานโดยเร็วพลันโดยไม่เจาะจงกับพระโพธิสัตว์ แล้วสร้างบารมีไปตามลำดับ อาจจะเกิดชอบหรือไม่ชอบฐานะใดก็เป็นเพียงชั่วคร่าวเท่านั้น เป็นไหนๆ.

    ดัง นั้นผู้ที่มีมหากุศลปรารถนาฐานะอันยิ่งใหญ่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมีความ สัมพันธ์กับพระโพธิสัตว์โดยตรง จึงเป็นเพียงกลุ่มน้อย เมื่อเทียบกับผู้ที่ปรารถนพ้นทุกข์โดยเร็วพลันทั้งหมด.

    ซึ่งคุณ ชัชวาล เพ่งวรรธนะ อาจจะเป็นเพียงกลุ่มน้อยนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือไม่ใช่ก็ได้ และจะบรรลุถึงรู้ฐานะนั้นเมื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะย่อมน้อมไปสู่มรรคผลอยู่แล้วด้วยการสร้างบารมีที่ผ่านๆ มา ที่เป็นกุศลปัจจัยชักนำไป ไม่ช้าก็เร็ว.
     
  3. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อำนาจของเซ็กส์ ราคะ ดึงดูดให้ลงต่ำ

    :09: ละกามด้วยปัญญา

    ในโลกแห่่งไซเบอร์เนต แค่เพียงคลิ๊ก เราจะเห็นจิตมันปรุงแต่งไปทางดีและชั่วตลอดเวลา

    อำนาจแห่งกามนั้นเหมือนดั่งความหอม ความยั่วยวน ความเพลิดเพลินยินดี การเรียกร้อง
    มีรูปลักษณะที่เกิดขึ้นกลางอกที่อบอุ่น ซาบซ่าส์ หวิวๆ จิตที่สัมปยุตต์ด้วยกามราคะมีสีสรรที่เหมือนดั่งเม็ดทับทิมที่เรืองแสงแวววาว สุกปลั่งกระจายออกมาจากกลางอก มีรูปลักษณะที่วาบหวิว อบอุ่น ซาบซ่าส์ ยินดี และ เรียกร้อง...

    อำนาจแห่งกามนั้นมีจุดดึงดูดให้ลงต่ำเพราะสะสมเชื้ออันเป็นสันดานมามาก
    มีแต่ต้องใช้อำนาจแห่งคุณธรรมในสัมมัปปทาน๔เพื่อเข้ามาคลี่คลายโทษแห่งกามคุณ
    ให้บรรเทาเบาบางลงด้วยอำนาจของสติที่ตื่นรู้ในโทษแห่งกาม

    หลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอนให้รู้ รู้เพื่อละ ท่านสอนพวกเราให้เป็นนักสู้ สู้กับกิเลสทั้งหลายด้วยปัญญา

    ปัญญาจะปรากฏก็ต่อเมื่อมีสติที่เห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัย..

    ยามเมื่ออ้องเกิดอำนาจแห่งกามราคะครอบคลุม อ้องรู้สึกว่าสภาวะธรรมแห่งอกุศลมีอำนาจที่อึดอัด คับแคบ ทั้งยั่วยวนกวนให้จิตไหลลงต่ำ ทั้งหอมหวาน ทั้งน่ายินดีและให้กำลังใจตนเองในอำนาจนั้นๆว่าเป็นสิ่งดี

    อำนาจแห่งกามราคะครอบคลุมจิต ทำให้จิตเกิดอกุศลปรากฏ ความเป็นนักสู้ การตื่นรู้กับอกุศล

    จึงทำให้เห็นว่า...จิตมันพยายามที่จะไหลเข้าไปปรุงแต่งในสิ่งเดิมอันเป็นอดีตกรรม อารมณ์ เจตสิก วัตถุรูป

    ที่มีรูปลักษณะที่ที่วาบหวาม อบอุ่น ทั้งเรียกร้องให้มาเชยชม ซาบซ่าส์ หวั่นไหว

    เมื่ออ้องเห็นอำนาจใฝ่ไปในทางอกุศลสิ่งหนึ่งคือ สติที่ฝึกรู้สภาวะเห็นทุกข์ภัย
    ปัญญาหรือพฤติจิตที่ฝึกมา จิตมันฉลาดขึ้น อำนาจแห่งคุณธรรมที่สะสมมามีกำลังมาต่อสู้มากขึ้น

    แวบหนึ่งนึกไปถึงคำสอนของพระอริยคุณาธารเส็ง
    ในธรรมของหมวด สัมมัปปทาน๔
    ท่านสอนว่า.. อย่าให้อำนาจใฝ่ต่ำมาครอบคลองจิต มันจะดิ้นไม่หลุด ถ้าคิดจะหลุดพ้นจากทุกข์ต้องเห็นทุกข์และละด้วยปัญญา โดยใช้อำนาจของคุณธรรมทั้ง๔ประหารกิเลสเสีย

    จงทำดีให้ถึงที่สุด...

    สัมมัปปธาน 4 เป็นตอนหนึ่งในหนังสือเรื่องโพธิปักขิยธรรม 7 ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ตรงกับ สัมมาวายามะ ในอริยมรรค เป็นความเพียรที่ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ลดละ หรืออาตาปะ เผาผลาญกิเลส ไม่ยอมให้กิเลสเกิดในใจเรา ประกอบด้วย
    1. ความเพียรเพื่อไม่ทำอกุศลใหม่
    2. ความเพียรเพื่อละอกุศลเก่า
    3. ความเพียรเพื่อทำกุศลใหม่
    4. ความเพียรเพื่อเพิ่มพูนกุศลเก่า

    -ความประพฤติในปัจจุบันที่เป็นอกุศลทางกาย วาจา หรือใจ มีสาเหตุมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง
    -จงทิ้งขยะใจเหมือนทิ้งขยะบ้าน
    -ผู้ที่ไม่เคยเจริญวิปัสสนาภาวนา ควรประกอบความเพียรโดยตั้งใจว่า เราจะเจริญวิปัสสนาเพื่อการบรรลุธรรมในพระศาสนา แม้จะมิได้บรรลุในชาตินี้ ก็จะเป็นการสั่งสมเมล็ดพันธ์แห่งวิปัสสนาในชาติต่อไป
    -ความเพียรเกิดจากศรัทธา บุคคลที่ไม่มีศรัทธาเหมือนไม่มีมือ ไม่อาจหยิบฉวยรัตนะต่างๆ ได้
    -พระพุทธองค์ตรัสสอนให้เราบำเพ็ญกุศลทีละเล็กทีละน้อย เหมือนน้ำที่หยดลงทีละหยดลงหม้อ สักวันก็จะเต็มหม้อเอง

    เซ็กส์จึงไม่ได้ทำให้อ้องต้องตายแต่เซ็กส์กลับทำให้อ้องรู้ทุกข์ภัยเพราะเรียนรู้สภาวะของกามราคะที่มีทุกข์ มีอำนาจดึงดูดด้วยปัญญาที่ตื่นรู้เพราะเห็นภัยเห็นทุกข์

    ในโลกแห่งไซเบอร์เนตที่เร็วแรง ยิ่งยุยงให้คนเข้าถึงโลกแห่งราคะ ได้ง่ายที่สุด
    พวกเรามีโอกาสตกหลุมเพลิงแห่งราคะด้วยแรงชักจูงของพวกที่มีโลภะจิต สร้างเว็บไซด์
    ที่เรียกร้องฝูงแมลงให้มาตอมไต่

    ในเว็บราคะคนเข้าดูเป็นล้าน หลายล้าน คนเข้าเว็บธรรมะแค่เพียงหยิบมือหนึ่ง
    ถ้าไม่มีปัญญาก็คงตายเพราะเซ็กส์จริงๆนะครับ ไม่ใช่ตายเพราะโรคภัยแต่ตายเพราะสะสมเชื้อกิเลสให้ลุกโพลง สะสมภพแห่งเปรต อสูรกายอยู่ภายใน รอวันไปยึดอารมณ์ในภพหน้า

    ที่ยาวนานเพราะเหตุแห่งเซ็กส์ ราคะนี่เองครับ :09:
    ผิดพลาดขออภัยด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2009
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ความรักของแม่

    วันนี้อ้องเดินทางกลับมาจากกรุงเทพหลังจากที่ติดธุระต้องพาภรรยาไปตรวจ
    มะเร็งปากมดลูก.. ซึ้งคุณหมอก็ลงความเห็นเหมือนเดิมว่าเป็นเซลที่ผิดปกติ
    ยังไม่เป็นมะเร็งแต่ก็ต้องตัดทิ้งในส่วนที่ผิดปกติออกเสียเพื่อไม่ให้ลุกลามกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

    นี่คงเป็นครั้งที่สองที่อาจจะ้ต้องให้แฟนผ่าตัดอีกครั้งถ้ายังเป็นอีกก็คงต้องเอาออกไปเสียทั้งหมดเพื่อตัดปัญหาทิ้งไป

    ช่วงเช้าอ้องกอดแม่อยู่เพื่อจะกลับบ้านที่เขาปกติแม่จะถ่ายเทจิตแห่งพรหมวิหารโดยไม่รู้ตัวเพราะกอดอ้องด้วยความรักอ้องเองก็คงอธิบายให้แม่ไม่ถูกว่าจิตคนเรามันมีพลังงานชนิดหนึ่งคือถ้าจิตไปยึดอารมณ์ใด

    จิตก็จะถ่ายเทพลังงงานนั้นออกมาถ้าใจเค้าเปิดออกเพื่อให้แก่ใครถ้าเรากำหนดจิตเราจะเห็นจิตชนิดนั้น ถ้าเราไวต่อจิตเรา ทันต่อจิตเรา ควบคุมอารมณ์ได้ด้วยกำลังของสติ เราอาจจะสัมผัสถึงความคิดนึกของคนเราได้ไม่มากก็น้อย

    วันนี้แม่แปลก..แม่กอดอ้องด้วยความรักแต่มีความเศร้าหมองหดหู่อยู่ภายใน
    แม่คงอยากจะให้อ้องอยูู่่กับท่านนานๆ ใจแม่คงจะอดใจหายไม่ได้ที่ลูกจะกลับเขาค้อและกว่าจะได้เจอก็คงอีกหลายอาทิตย์หรือเป็นเดือน

    ช่วงเย็นๆปกติแม่ไม่ค่อยโทรศัพท์มาถามว่าถึงบ้านหรือยังก็โทรมา...
    อ้องจึงคิดว่าความรัก ความกังวล ความผูกพันทำให้แม่เกิดทุกข์ใจ
    ลูกเป็นห่วงเป็นภาระให้แม่เป็นโซ่ที่ติดตรึงอยู่ในภพ

    อ้องจะสะเดาะโซ่ตรวนให้แม่เอง...ไม่ว่ากาลเวลาจะยาวนานขนาดไหน
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ทำไมท่านนอนสมาธิจึงยาวนานกว่าท่านั่ง

    สิ่งที่คนเราไม่สามารถพิสูจน์ในเรื่องของวิญญาณได้นั้นก็เพราะไม่ได้สร้างเครื่องมือที่พิสูจน์ความจริงชนิดนี้เอาแต่ไปส่องกล้องหาผีหรือไม่ก็ไปท้าพิสูจน์ผีในสถานที่ต่างๆ ถ้าถามอ้องว่าผีมีจริงไม๊ก็คงตอบได้ว่า เคยเห็นผีตัวเองและเคยแม้กระทั่งเห็นผีภายในตัวเองเที่ยวนอนนับเสียงกรนของกายที่นอนหลับไป

    กายที่นอนหลับแต่จิตมันตื่นได้อย่างไร ...
    สมาธิถ้าไร้กำลังพอช่วงที่จิตเข้าภวังค์จิตมันจะเคลิ้มชนิดลืมเนื้อลืมตัวลืมตน
    ทิ้งแม้กระทั่งความคิด ทิ้งแม้กระทั่งกายเพื่อหลบเข้าไปอยู่ภายในส่วนไหนก็ไม่รู้รู้แต่วิญญาณที่เป็นตัวรู้อารมณ์มันวิ่งวนอยู่แต่ภายใน

    ในช่วงที่เราจะหลับทุกคืนถ้าเรานอนภาวนาเป็นจริตนิสัยจิตเราถ้ามีกำลังดำรงค์สติอยู่เฉพาะหน้าดูตรงหน้ารู้สึกแต่เฉพาะข้างหน้าที่ไม่ได้เพ่งออกไปไกลแต่อยู่แค่เอื้อมแค่ทำความรู้สึกว่าตื่นอยู่ภายในจดจ่อแต่ความรู้สึกการตื่นอยู่จน...

    จิตมันเริ่มเห็นว่ากายเริ่มสงบระงับแผ่วเบาลงและจิตเริ่มเข้าสู่สภาวะแห่งภวังค์คือเคลิ้มและเริ่มจะทิ้งคิดถ้าเราเฝ้าดูดำรงค์สติไม่หวั่นไหวอย่างเข้มแข็งอดทนกายมันจะหลับเป็นเรื่องของกายซักพักเราจะเห็นกายมันกรนหรือแสดงสภาวะ
    ของคนหลับออกมา...

    (จิตถ้าไม่มีกำลังจะถูกดูดกลืนจมแช่อยู่ในองค์รักษาภพคือภวังค์จิตแต่ถ้าจิตมีกำลังมันจะผ่านขั้นตอนแห่งการตื่นรู้เหมือนคนกระโดดข้ามเหวลึกแต่ไม่ตกเหว ส่วนเพื่อนๆที่หลับไป...ก็คือคนกระโดดแล้วตกเหวลึกวูบไปจนกว่าจะตื่น)

    อ้องเห็นก้อนเนื้อชนิดหนึ่งที่เป็นธาตุแสดงตัวตนของมันในรูปแบบของกล้ามเนื้อที่อ่อนล้าในบางจุดจะเกิดการหย่อนและธาตุลมจะไปกดๆดันๆในตำแหน่งดังกล่าวจนกลายเป็นลมดันเนื้อจึงเกิดเสียงกรนออกมา

    บางครั้งออกชอบนอนเป่าลมออกจากปากเหมือนแม่ไม่มีผิดเมื่ออ้องเฝ้าดูอ้องจะเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เราเลยแต่จิตมันเป็นผู้รู้สภาวะอยู่ภายในกายกับจิตมันแยกออกจากกันจนเห็นว่าผีวิญญาณที่อยู่ภายในที่เรียกว่าวิญญาณเรานั้น

    มันเป็นแค่ธาตุรู้อารมณ์ชนิดหนึ่งที่แสดงตัวและสลายหายไปในแต่ละขณะที่ไปยึดอารมณ์แต่เมื่อสมาธิมีกำลังมากขึ้นในท่านอนอ้องเห็นว่ากายในท่านอนมันสบายตลอดเวลาต่างจากท่านั่งจิตที่รวมมักจะเกิดไม่นานมากนัก

    แต่ท่านอนในสมาธิจิตจะรวมแบบยาวนานแถมเราสามารถเห็นการเคลื่อนของมหาภูตรูปที่แปรปลวนได้ตลอดเวลาและเราก็สามารถที่จะขยัยเคลื่อนไหวนอนในท่าต่างๆโดยที่สมาธิไม่เสียหายอีกด้วย

    การนอนในท่าสมาธิการนั่ง การยืนการเดิน ทุกอย่างมีสมาธิในตัวเองอยู่ตลอดเวลาการฝึกสติการตามรู้อิริยาบทสติที่ตื่นขึิ้นทำให้อ้องเห็นว่าการที่เราพัฒนาก้าวหน้าในทางวิญญาณก็คือศีลและคุณธรรมที่เจริญขึ้นเป็นลำดับ

    อ้องไม่ได้ไปดูว่าอ้องเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้สัมผัสสิ่งต่างๆคือความก้าวหน้า...
    แต่อ้องจะเห็นความฉลาดของจิตที่มีพฤติกรรมที่เจริญเกิดขึ้นคือเห็นภัย...
    คำว่าตื่นคำว่าฉลาดของอ้องคือเห็นทุกข์เห็นภัยเป็นไปตามอริยสัจ๔ประการที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไม่ผิด

    ที่สำคัญสมาธิมีความสำคัญมากเพราะทำให้จิตรวมเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงเมื่อเกิดสมาธิที่ซื่อตรงต่ออารมณ์และพิจารณาลงสู่ขันธ์อ้องเห็นว่าทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสมรรคในสัมมาทิฎฐิคือรู้ถูกเป็นเบื้องต้น

    เมื่อรู้ถูกต้องมรรคทุกอย่างจะเริ่มเดินไปตามอัตโนมัติ์ไม่ต้องไปแยกแยะพิจารณาอันใดอีกเค้าเห็นความจริงตรงหน้าที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ไม่ได้และสลายหายไปเป็นอนัตตา"สัพเพ ธรรมมา อนัตตาติ"ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา

    อ้องเริ่มเข้าใจคำว่าทาน... ทำไมพระพุทธองค์จึงสอนทานในเบื้องต้น
    การที่เรากล้าสละวัตถุที่จิตไปยึดเอาเป็นอารมณ์เมื่ออ้องเข้าใจและกล้าให้วัตถุแต่เมื่อจิตมันเหนือวัตถุก็เริ่มเป็นสละใจที่ยึดอารมณ์ ไม่ว่าสิ่งที่ดีปราณีต ไม่ว่าสิ่งที่หยาบกระด้าง เป็นวิเสสลักษณะมีรูปลักษณะที่แปลกแตกต่างออกไป

    แต่ว่าโดยรวมของสามัญลักษณะนั้นเหมือนกันทุกอย่างคือตกอยู่ภายใต้พระไตรลักษณ์ทั้งสิ้น

    อ้องเข้าใจแล้วว่าทำไมพระพุทธองค์จึงให้รักษาศีลเพราะศีลเป็นความสะอาดของจิตไม่เบียดเบียนแม้กระทั่งตนเองและผู้อื่นอ้องเข้าใจในคุณธรรมแห่ง
    สัมมัปปทาน๔ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสในเรื่องโพธิปักขิยธรรม37
    โพธิปักขิยธรรม หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี 37 ประการคือ

    โพธิปักขิยธรรม ในบางแห่งตรัสหมายถึงโพชฌงค์ 7<sup id="cite_ref-0" class="reference">[1]</sup> เช่น
    "ภิกษุทั้งหลาย ก็โพธิปักขิยธรรมเป็นไฉน? คือ สัทธินทรีย์ เป็นโพธิปักขิยธรรมย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ วิริยินทรีย์ ... สตินทรีย์ ... สมาธินทรีย์ ...ปัญญินทรีย์ เป็นโพธิปักขิยธรรม ย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้."
    "ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์ดิรัจฉานทุกจำพวก สีหมฤคราช โลกกล่าวว่า เป็นยอดของสัตว์เหล่านั้น เพราะมีกำลัง มีฝีเท้า มีความกล้า ฉันใด บรรดาโพธิปักขิยธรรม ทุกอย่าง ปัญญินทรีย์ เรากล่าวว่า เป็นยอดแห่งโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น เพราะเป็นไปเพื่อความ ตรัสรู้ ฉันนั้นเหมือนกัน."
    ส่วนที่ตรัสถึงโพธิปักขิยธรรม 37 ประการโดยตรง เช่น
    "ภิกษุเป็นผู้มีธรรมงามอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วย ความเพียรในการเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการเนืองๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีธรรมงามอย่างนี้แล ภิกษุเป็นผู้มีศีลงาม มีธรรมงาม ด้วยประการดังนี้<sup id="cite_ref-1" class="reference">[2]</sup>


    เราเกิดมาเพื่อสร้างคุณธรรมภายในให้เจริญงอกงามเพื่อมาต่อสู้กับกิเลสภายใน
    เราเกิดมาเพื่อสู้เพื่อเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณธรรมให้งอกงาม ขอให้เพื่อนๆพิจารณาด้วยการสำรวมระวังความเจริญของสมาธิไม่มีวันหายสาบสูญหรือเสื่อมลงถ้าเพื่อนๆทำให้ต่อเนื่องอยู่อย่างสม่ำเสมอ ที่เพื่อนๆไม่ก้าวหน้าสมาธิก็เพราะมักจะขอทำในช่วงเวลานั้นๆ เจาะจงเวลานั้นๆจะต้องทำให้ดี


    โดยลืมไปว่าสมาธิมีตลอดในทุกอิริยาบทในระหว่างวันเมื่อเพื่อนๆฝึกสติอบรมตนตามรู้กายและจิตอย่างเนื่องๆสม่ำเสมอเพื่อนๆจะเห็นว่าเดี๋ยวก็เป็นสมาธิเดี๋ยวก็เข้าวิปัสสนาขออย่าไปบังคับแข็งขืน
    จงปลดปล่อยตัวตนก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งปัญญาวิมุตติพร้อมกันเถิดเพื่อไม่เสียชาติแห่งตน
    ขออนุโมทนา ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    <sup id="cite_ref-1" class="reference">
    </sup>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2009
  6. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,516
    ตั้งใจจะอ่านทุกหน้าเลย
    บางเรื่องบุญไม่ถึงก็อ่านไม่รู้เรื่อง
    แต่เชื่อ
    และเป็นกำลังใจในความเพียรต่อไป
    และขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของคุณอ้อง เป็นอย่างยิ่ง

     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ปิดทวารทั้ง๕ประหารใจ

    อายตนะภายในเปิดอ้าพร้อมรับอายตนะภายนอก
    จิตซัดส่ายวิ่งหมุนวนอยู่ภายใน
    เมื่อมีเหตุมีปัจจัยจิตจะไปสถิตย์อาศัยเพื่อรู้อารมณ์ในช่องวิญญาณแห่งอายตนะ
    รู้แล้วสลายหายไปในช่องวิญญาณแห่งนั้น
    จิตไม่มีตัวตน ใจจับต้องไม่ได้เป็นเพราะอุปทานความไม่รู้จึงถูกอวิชชาครอบงำ
    สร้างร่างกายสร้างทวารทั้ง๕เพื่อก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งแสงสีเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา

    จิตข้าพเจ้าสังโยคอารมณ์เปิดอ้ารับผัสสะกระทบในจุดในตำแหน่งที่กระทบมีภพปรากฏมีขอบเขตให้สืบค้น โสตประสาทข้าพเจ้าตื่นรับรู้แม้เพียงสะกิดจิตที่เป็นผู้รู้อารมณ์จะปรากฏตัวตนในตำแหน่งสะกิดใจ

    จุดรวมข้าพเจ้าอยู่ที่ใจแต่เพราะใจข้าพเจ้ามืดบอกเพราะถูกอวิชชาครอบงำมาตั้งแต่ในยุคโบราณ ใจที่ไม่รู้หนีทุกข์มาตั้งแต่เบื้องต้นสะสมเชื้อในสันดานพร้อมที่จะสั่นกระเพื่อมและหวั่นไหวไปกับอายตนะภายนอก

    ข้าพเจ้าอาศัยอายตนะภายในรับรู้ในทุกสิ่งแต่วิญาณทั้ง๕ล้วนแล้วแต่แฝงไปด้วยทุกข์อยู่เสมอ

    สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าต้องทำคือเข้าไปรู้ในวิญญาณทั้ง๕เพื่อหาทางทำลายในจุดตำแหน่งเสียก่อน ข้าพเจ้าไม่สามารถปิดทวารทั้ง๕ได้ถ้าปราศจากสติที่พัฒนาตนในการตื่นรู้ในช่องวิญญาณ

    ปิดทวารทั้ง๕ประหารใจ....

    ในจุดผัสสะกระทบเมื่อข้าพเจ้าปิดตาลงกายที่สงบระงับทวารทั้ง๕ข้าพเจ้าปิดไป๔ทวารเหลือเพียงแค่วิญญาณทางหู เสียงเป็นหนามแหลมคมมาก่อกวนจิต
    ข้าพเจ้าดื่มด่ำในฌานด้วยความสงบ ไม่หวั่นไหว ไม่เกาะกุม ความสงบเงียบปรากฏ แม้เสียงที่มากระทบได้ยินแต่ไม่กระเทือนถึงใจ ไม่ทำให้ใจกระเพื่อมและสั่นไหว นิ่งสงบ สยบในทุกสรรพสิ่ง

    ความคิดที่ถูกทิ้งลงไปกระเพื่อมสั่นไหวเกิดขึ้นมาใหม่เพราะห่างเหิน
    ใจข้าพเจ้าผ่องแผ้วใสกระจ่าง โดนกวนให้ขุ่นมัวด้วยเพราะความคิดปรากฏทั้งๆที่คิดว่าทิ้งคิดแต่เพื่อนก็มาเยือนเพราะห่างเหิน

    น้ำนิ่งใสกระจ่างอยู่กลางแจ้ง ราบเรียบปราศจากการกระเพื่อมและสั่นไหว
    ไร้คลื่นกระทบบนพื้นผิว ปราศจากผัสสะเหมือนดั่งทุกสรรพสิ่งได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะ

    จิตข้าพเจ้าเหมือนดั่งฟองน้ำที่เริ่มผุดเป็นเม็ดๆเหมือนพรองฟายแห่งน้ำที่ผุดขึ้นเพื่อมารับรู้ผัสสะอีกครั้ง ใจข้าพเจ้าหวั่นไหว ใจข้าพเจ้ากระเพื่อมไปในความคิดที่เริ่มก่อหวอดขึ้นมา

    สลัดคืนกลับสู่ธรรมชาติ ไม่เกาะกุมธรรมชาติ มาก็ช่างแต่ไม่สนใจแม้น่ารักน่าชังก็ไม่เกาะกุมแม้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็
    ไม่ใส่ใจใยดี คิดจึงมลายหายสูญ พลายฟองที่ผุดมลายหายไป

    ใจข้าพเจ้ารับรู้ถึงความแผ่ซ่าน ชุ่มชื่นเบิกบาน ช่างหอมหวนหอมหวาน สดชื่น
    เหมือนดั่งจิตได้ขยายขอบเขตกระจายออกไปเหมือนเปิดรับเอาความสดใส สดชื่น เหมือนได้รับการถ่ายเท
    เหมือนดั่งถูกสรรพสิ่งให้สิ่งสนองในความแจ่มใส
    เหมือนดั่งธรรมชาติให้ความละเอียดไปทุกผัสสะแห่งอายตนะ เหมือนดั่งวิญญาณที่รับรู้ในสิ่งละเอียดฟูผ่องแผ้ว ช่างติดตรึงและหนีไม่พ้นในเหยื่อล่อให้ลุ่มหลง

    ข้าพเจ้าต้องสำรอกมันออกทิ้งเสีย สติที่ตื่นขึ้น คุณธรรมที่ปรากฏละทิ้งในสิ่งละเอียดด้วยการสละอารมณ์จากการที่เคยให้ทาน จากการที่รักษาศีล จากการที่สำรวมระวัง จากการที่คุณธรรมได้งอกเงย ปัญญาที่เห็นภัยร้ายสำรอกออกมาด้วยเอาสติแนบใจที่เป็นผู้เฉยๆ สบายๆ ไม่ว่าสิ่งใดปรากฏ

    นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว ไม่เกาะกุม ไม่หวั่นไหว ไม่ปรุงแต่ง ไม่เพลิดเพลิน ไม่ยินดี

    สติที่ตื่นเกาะกุมใจสรรพสิ่งที่ไหลถ่ายเทเข้ามาก็มลายหายสูญ

    ข้าพเจ้าเหมือนดั่งคนที่หลับลึกลงไปเรื่อยๆแต่แปลกที่ว่าในความหลับลึกดำดิ่งลงสู่ความสงบเงียบกลับยิ่งมีความตื่นมีสติที่พร้อมเผชิญหน้ากับธรรมชาติทุกสรรพสิ่ง

    หลับในตื่น ตื่นในกายที่หลับไหล ทิ้งกายสิ้นเชิงเข้ามาอยู่ในสถานที่ไร้สรรพสิ่ง ไร้ตัวตน
    ลมหายใจที่เงียบหาย
    ลมหายใจที่แผ่วเบาละเอียดไหวเป็นระลอกคลื่นปรากฏเพราะห่างหาย ทำให้กายเนื้อสั่นไหวระลิกปรากฏจุด ตำแหน่งให้สืบค้น

    เมื่อมันจะมาก็ห้ามไม่ได้ เมื่อมันจะไปก็รั้งไม่ไหว

    ลมเป็นพาหะนำสุขทกุข์มากวนให้ขุ่นมัว อยากมาก็มา อยากไปก็ไป เฉยเท่านั้น
    ไม่เกาะกุมลมที่แสดงตนแม้จะเคลื่อนไหวเช่นใดเป็นเรื่องของลม
    ลมไปมาไร้ล่องลอยให้สืบค้นมีแต่ลมเป็นหนึ่ง ใจนิ่งดั่งสายน้ำ

    ลมที่กระทบเริ่มแผ่วเบารวมตัวเป็นหนึ่ง นิ่งเต็มตัวไม่พริ้วไหวเหมือนกลุ่มอากาศครอบลงกลางใจไม่ไหวเอนเป็นหนึ่งระหว่างวัน อากาศธาตุครอบคลุมรอบกายเหมือนลมกลายเป็นฟองน้ำขนาดใหญ่ครอบขันธ์ละเอียด ไม่พริ้วไหว ไม่สั่นกระเพื่อม รวมเป็นหนึ่งทั้งกายและจิตที่ละเอียด ลมละลายหายกลายเป็นฟองน้ำห่อหุ้มขันธ์ละเอียด

    ปิดทวารทั้ง๕ได้เสร็จลง...

    ใจมั่นคงแท้จริงปรากฏไม่หวั่นไหว
    ไร้สุขไร้ทุกข์มากวนใจ
    ความเป็นกลางเที่ยงธรรมปรากฏจริง
    สติมีกำลังมาปรากฏ
    ใจบริสุทธิ์ิ์ผุดผ่องแผ้วดั่งสายน้ำใส
    ไหลย้อนทวนเข้าหาใจ
    เพื่อพบใจประหารสิ้นผ่องอินทรีย์

    (อ่านยากนิดหน่อยนะครับ อ่านด้วยการพิจารณาด้วย เป็นความเห็นส่วนตนครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2009
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    หนีออกจากโลก

    ความดีจิตมีสภาพเย็น ปลอดโปร่ง แจ่มใส จึงมีสภาพที่กระจาย แผ่ออก ปกคลุมกายและจิตด้วยกุศลแห่งจิตชนิดนี้

    ความชั่วมีสภาพร้อน อึดอัด ขุ่นมัว จึงมีสภาพคับแคบ บีบอัด มัวหมอง อับทึบ
    ความดีความชั่วเป็นโลกธรรมอาศัยเหตุปัจจัยให้เกิด

    รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ล้วนเป็นของรวมที่เรียกว่าโลก ไม่ว่าภพภูมิทุกถิ่นทั้ง31ภพเรียกโดยรวมว่ามีโลก
    ส่วนการพ้นโลกก็คือพ้นไปจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
    พ้นจากอำนาจของสิ่งทั้ง๕ที่มีอำนาจแรงดึงดูดทั้งดีและชั่วคือโลกธรรม๘

    พวกเราคือจิตปถุชน มีดีและชั่วและมีโอกาสไปอบายก้าวลงสู่ที่ต่ำได้เสมอ
    อกุศลเกิดขึ้นมากว่ากุศล จิตมีโมหะ(หลงคิด)ก็ไปอบาย๔ ภูมิแห่งสัตว์เดรฉาน
    มนุษย์กลายเป็นสัตว์ท่องเที่ยวความเป็นสัตว์เดรฉานมากมาย มีน้อยแสนน้อยที่ได้ไปสู่ภพที่ดี ที่สูงขึ้นไป เพราะขาดเหตุ ขาดปัจจัยในการสะสม

    ความดี ความชั่ว เป็นชั้นของโลก เป็นอารมณ์ที่จิตเข้าไปสะสมกรรมเป็นเชื้อแห่งการกระทำของตนเองทั้งสิ้น

    สัจจะแห่งธรรมคือการรับรู้ผัสสะที่เข้าถึงจิตถึงใจ ไม่ยึดในดีและชั่วแต่รู้เข้าไปถึงดีและชั่วเพื่อเตือนสติตนให้ตื่นจากหลับไหลไม่เข้าไปจมแช่ในโลก
    เป็นสิ่งที่บัณฑิตผู้มีปัญญาพยายามหนีออกไปจากโลก

    จึงต้องรู้ทุกข์ภัยของ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเสียก่อน ธรรมอันลักษณะสุขุมปราณีตจึงปรากฏ สิ่งที่รู้ได้ยากก็ไม่เกินวิสัยมหาสติที่พัฒนาตนให้ตื่นรู้ในภัยของสิ่งทั้ง๕ที่เรียกว่าโลก เพื่อพ้นอำนาจจากแรงดึงดูดจึงต้องหันหน้าเข้ามาดูที่กายและจิตอันเป็นต้นเหตุเสียก่อน

    โลกกับธรรมอิงอาศัยซึ้งกันและกัน เกื้อกูลกัน ล้างผลาญกัน หรือเฉยๆ
    เมื่อยามที่ท่านมีธรมปรากฏ จิตสดชื่นแจ่มใส หน้าตาผิวพรรณผ่องใส
    เมื่อยามที่ท่านเต็มไปด้วยอกุศล มีความเศร้าหมอง จิตใจห่อเหี่ยว หน้าตาหมองคล้ำ สุขภาพก็ไม่ดี เต็มไปด้วยพยาธิโรค

    ทิพย์อำนาจชั้นสูง...
    ความดีความชั่วอิงกับโลกจึงเป็นสิ่งหยาบ
    ทำใจให้พ้นอำนาจของโลก( รูป เสียง กิล่น รส สัมผัส)มีทางเดียวคือภาวนา
    สมาธิ ฌาน และนำกำลังที่ปรากฏไปพิจารณาขันธ์เพื่อให้ปัญญากระจ่างแจ้งในความจริง

    ฌานชั้นต้นยังอิงแอบกับโลกมากแต่ก็เข้าถึงใจเกิดกับใจแต่อิงโลก

    เมื่อฌานที่สุขุมปรากฏ สภาวะแห่งใจเริ่มทิ้งห่างออกมาจากโลก ไม่อิงอาศัยโลกแต่ก็ยังเป็นสิ่งหยาบในชั้นธรรมยังใกล้โลกยังคล้ายคลึงกับโลก

    เมื่อฌานก้าวเข้าสู่ความปราณีต ทั้งสุขุม เยือกเย็น จึงมีลักษณะห่างออกไปจากโลกแต่ก็ยังมีส่วนที่คล้ายคลึงกับโลกเป็นสิ่งสมมุติที่ยังปรากฏให้คลายออกได้ยากเย็นในธรรมที่ละเอียดปราณีต

    เมื่อก้าวเข้าสู่ธรรมชั้นสูง ฌานชั้นสูง ความสุขุม ปราณีตละเอียดถึงที่สุด
    ไม่มีลักษณะของโลกปรากฏเจือปน ไร้จุด ตำแหน่ง ให้สืบค้น ไร้ร่องลอยให้สืบหา ไร้ช่องว่างแห่งกาลเวลา ไร้ตัวตนให้จับต้องเพราะสิ้นโลกและเหนือธรรม

    โลกุตตรธรรมที่ปรากฏมิได้มีอยู่ในความเป็นมนุษย์ปถุชน อยู่กับธรรมล้วนๆ ตรงข้ามกับโลกในสรรพสิ่ง ไม่อิงรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสมาอ้างอิง อยู่กับจิตหนึ่งไม่มีสองเพราะเหนือธรรม

    ธรรมชาติมีอำนาจแรงดึงดูด
    ผูกมัดใจสรรพสัตว์ให้ดาวดิ้น
    เพราะตื่นรู้อยู่ในโลกและสรรพสิ่ง
    เพียบพร้อมไพบูลย์สมปรารถนา
    ตั้งหน้าพรากเพียรประหารกิเลสตลอดเวลา
    จึงทำให้พบทางสิ้นโลกจนเหนือธรรม
    ความเปลี่ยนแปลงสิ่งบับคั้นความเป็นอื่นไม่ปรากฏ
    รู้แล้วละเพราะแจ้งอริยสัจสมดั่งหวัง
    ดีและชั่วเป็นของโลก โลกธรรม
    สันติสุขพลันสมหวังวางอารมณ์...
     
  9. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    จี๋เอวผี

    การกระทำไม่ดีของตัวเรามันย้อนมาทำร้ายตัวเรา
    จิตที่ไปสะสมภพ สะสมอารมณ์ใดเข้าไว้ มันย้อนมาทำร้ายตัวเราจนสาหัส
    เราคือเจ้ากรรม เราทำสิ่งใดเอาไว้ย่อมไปรับกรรมคือเชื้อแห่งการกระทำของเราที่เหมือนเป็นเชื้อฟืน เชื้อพลังงานแห่งอารมณ์ที่จิตมันสะสม

    เวลาที่อ้องเจอจิตวิญญาณต่างๆในทางสมาธิ บางทีน้องหรือเพื่อนๆมักถามว่าพี่นั่งแล้วเห็นหรือ...

    แหะๆอ้องคงบอกว่าทำไมจะต้องนั่งแล้วเห็นเสมอล่ะ นอนดูก็ได้นี่ สมาธิในท่านอนนะ จิตรวมอยู่นานกว่าท่านั่งเสียอีก อีกอย่างท่านอนอ้องฝึกมาตั้งแต่เด็ก

    คนที่นอนสมาธิได้ต้องแยกกายกับจิตตนเองให้ได้เสียก่อนคือ กายหลับแต่จิตตื่น การดำรงค์สติเฉพาะหน้า ขำเลืองดูลมและเร่งดูลมเมื่อใกล้เคลิ้มเพื่อผ่านภวังค์ จิตต้องมีกำลังจึงผ่านเพื่อเข้าขณิสมาธิอ่อนๆไปได้

    เพาะช่วงขณิกสมาธิอ่อนๆมันจะสลับมีสติกับถูกภวังค์ดูดเหมือนชักคะเย่อกันและกัน ลักษณะของฌานนั้นจิตมันจะผ่านภวังค์เพื่อไปพบองค์ธรรมทั้ง๕และละไปทีละองค์เพื่อพบเอกัคคตารมณ์

    สมาธิที่ดีนั้น ถ้าจะเจริญก้าวหน้า อย่าทำเฉพาะในช่วงเวลาที่อยากจะทำแต่จงฝึกเสมอในทุกเวลาในอิริยาบท๔เสมอๆ เพราะการฝึกเพื่อให้จิตตั้งอยู่ในอารมณ์เดียวเพื่อไม่ให้จิตซัดส่ายนั้น

    ถ้าขาดการรักษาศีล การสำรวม อิทธิบาท๔ คุณธรรมประกอบอื่นๆ สมาธิก็จะมีแต่ขึ้นๆลงๆหาความเสมอต้นปลายไม่มี มาๆหายๆ

    ยืน เดิน นั่ง นอน มีสมาธิทั้งสิ้นครับ
    คราวนี้มาเข้าเรื่อง จี๋เอวผีกันดีกว่า...

    วิญญาณถ้าเจอกันทางจิตนั้นอ้องไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่เพราะมีสติอยู่
    แต่มีวิญญาณตนหนึ่งที่มาแต่ละทีอ้องแสนจะกลัวจนขนหัวลุกตั้งชัน
    นั้นก็คือวิญญาณคนใกล้ตัว ผีพี่สะใภ้ที่เสียไปได้เกือบ2ปีแล้ว มาแต่ละครั้งขนหัวลุกตั้งชัน ใจเต้นระส่ำหลังจากไปแล้วทุกครั้งว่า...

    เจ๊มันจะมาอีกไม๊ ในขณะที่อ้องตื่นแล้ว ถ้ามาก็จะได้ใส่เท้าสุนัขโกยทะลุกำแพงซะเลย

    ตี4กว่า...
    อ้องรู้สึกตัวตื่นหลังจากทำฌานหลับมาช่วงเที่ยงคืน
    ลมเย็นๆของอากาศภายนอกอุณภูมิประมาณ22องศาของเขาค้อยามค่ำคืน
    ไม่เย็นเหมือนห้องแอร์แต่สดชื่น สบายๆพร้อมกับอากาศที่เฟรสเพราะปริมาณอ๊อกซิเจนมากปราศจากฝุ่นละอองเพราะฝนตกมาชุ่มฉ่ำตั้งแต่ช่วงเย็นวาน

    อ้องลุกมานั่งทำสมาธิในท่านั่งต่อและคอยแว่วฟังท่านมหาสุขุมจะนำพระะสวดมนต์ทำวัตรเช้าแต่วันนี้เงียบสงสัยท่านจะติดกิจสงฆ์...

    เมื่อทำสมาธิมาได้เกือบครึ่งชั่วโมงและกำหนดอิริยาบทมาในท่านอน อ้องจะเอาหมอนมาทำหมอนสูง นอนลำบากเอาไว้แล้วดำรงค์สติอยู่ตรงหน้า กายที่มีกำลังมาจากท่านั่งสมาธิ จึงทำให้ท่านอนพอล้มลงกายก็เกิดปัสสัทธิทันทีคือเบาและมีสภาพเหมือนกายหายไปเหลือแต่จิตสติตื่นรู้อยู่ภายใน คิดถูกทิ้งขว้างลงเหลือเพียงจับความรู้สึกที่เฝ้าูลม

    คำว่ายังอิงกับโลกคือบางครั้งจะเกิดผัสสะกระทบคือเสียงที่เหมือนแว่วๆเข้ามา
    แต่จริงๆไม่ใช่แว่วมันคือเสียงกรนของกาย คนที่นอนกรนเสียงระเบิดเถิดเทิงยิ่งกว่าเสียงตระโกนพวกนี้ไปถามดูได้เลยว่า
    เคยได้ยินเสียงกรนตนเองไม๊มีแต่มาบอกว่า ฉันไม่ได้กรน

    นั่นก็เพราะจิตมันไม่เอาอะไรเลย ทิ้งคิดจมอยู่ในภวังค์และไม่โผล่หน้าออกมารับรู้อายตนะภายนอกทั้งสิ้น
    เสียงมีแต่เหมือนไม่มีเพราะไม่ใส่ใจ

    เพียงแต่คนกรนพวกนี้ต่างกันที่คนทำสมาธิที่ตื่นรู้แบบมีสติ คนหลับที่กรนเสียงดังนั้นสติไม่มี

    กายอ้องกรนออกมาเบาๆแต่ก็ยังแว่วเข้ามา
    ทำให้โลกปรากฏเพราะผัสสะกระทบ ความรู้สึกอ่อนนุ่มของผิวเตียงและหมอน
    แรงดึงดูดเหมือนกายมีน้ำหนักปรากฏในชั่วขณะ เมื่อไม่ใส่ใจจิตก็รวมเข้าสู่ความสงบละเอียดต่อ
    คำว่า"นิ่งสงบสยบทุกสรรพสิ่งนี่ของจริง"

    กายยที่หลับแต่จิตที่ตื่นรู้อยู่ภายในทำหน้าที่เฝ้าดูในจุด ตำแหน่งที่มองอย่างไม่พลาดความรู้สึก
    ขณะนั้นเองอ้องก็ไ้ด้ยินเสียงเรียกอยู่ข้างๆเตียง

    "อ้องๆ เจ๊มานะ"อ้องแว๊กอยู่ภายในอย่างสะดุ้ง
    เวรล่ะคราวนี้จะมาสภาพไหนกันอีกล่ะเนี่ย
    ในขณะที่อ้องยังไม่ทันบอกอนุญาตแม่คุณก็มานั่งทับขาทั้งสองข้างอ้องก่อนกลัวอ้องลุกหนีซะฉิบ...

    ความที่สนิท คุ้นเคย เลี้ยงดูกันมาจึงทำให้เหมือนพี่สาวคนโตที่เราเป็นกันเองต่อกันแต่ยายเจ๊เวลามา
    มันมีสภาพที่ตัวเค้าไปยึดภพ ยึกอารมณ์และสร้างสภาวะรูปที่ผิดปกติไม่ใช่คนธรรมดาซะที่ไหน
    นี่เข้าขั้นผีที่อยู่อบายเลยทีเดียว

    เจ๊ผมทำกรรมเอาไว้เยอะ สะสมภพ สะสมอารมณ์ เมื่อจุติจิตใกล้จะดับคตินิมิตปรากฏเป็นอารมณ์ในมั่นหมาย
    จิตไปยึดอารมณ์ชนิดใดภพนั้นก็ปรากฏสันตติจึงส่งต่อไปปฏิสนธิจิต
    เกิดเป็นไปตามอกุศลกรรมที่เจ๊สะสมมา ภพอบายภูมิ...

    อ้องพยายามช่วยเจ๊มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่จิตที่ยึดอารมณ์อย่างแน่นเหนียวก็ทำให้เจ๊เหมือนกับระลึกไม่ออกทั้งกุศลและพระรัตนตรัย

    รูปร่างหน้าตาเจ๊อ้องตอนนี้เหมือนอย่างกะมัมมียุคโบราณผอมแต่หน้าบาน ดำคล้ำ
    ผิวหยาบกระด้าง หน้าเปลี่ยนไปหมดแม้เส้นผมก็ขอดมารวมๆเหมือนไม่ได้สระผมมาซัก1ชาติ

    อ้องมองดูพี่สะใภ้อดนึกสงสารและเห็นใจในการเสวยอกุศลไม่ได้
    เจ๊นั่งทับอ้องไม่พอคราวนี้มายังหันมานั่งคล่อมอ้องอีก
    แต่ไม่ได้ใช้จิตกดอ้องแต่อย่างไรคือถ้าอ้องจะหนีเสียหรือสะบัดก็ทำได้อยู่ แต่ก็คิดจะอนุเคราะห์กันเพราะมาอย่างนี้ก็ดีจะขอลองหน่อย...

    อ้องจับไปที่ขาที่แข็งทั้งสองข้างและแผ่เมตาเป็นอารมณ์เข้าไปเพื่อให้เจ๊พ้นสภาพของทุกข์กายเสีย
    ขอให้สุขกายสุขใจพลันบังเกิดกับพี่สะใภ้ผมด้วย
    ขอให้มีความสุขๆๆๆ อ้องเลื่อนไปแตะเอว มือตามลำดับและที่หัวไหล่แต่เจ๊ไม่มีปฏิกริยาอะไรเลยรู้แต่ว่าเกิดเพียงการผ่อนคลายและถูกดึงชักคะเย่อกันระหว่างภพใหม่ที่อ้องจะให้ตรึกนึกอารมณ์ใหม่ให้ปรากฏ

    แต่สู้กำลังของอารมณ์ที่เจ๊ยึดไม่ได้เลย...คนตกอบายนี้มีกรรมหนัก
    ในยุคที่พระพุทธองค์ทรงอยู่มีพระนางมัลลิกาที่ตกอบายอยู่เกือบ7วันแม้พระพุทธองค์ก็ทรงช่วยอนุเคราะห์ไม่ได้เพราะเธอยึดอารมณ์ในภพอบายภูมิอย่างแน่นเหนียว

    ถ้าอยู่ใกล้ๆโลกอ้องเปรียบเหมือนคนไข้หนักกับคนไข้ที่หมอพอรักษาให้ตื่นและฟื้นไข้ได้
    อบายกับเปรตอสูรกายที่ใกล้โลกและมีทุกข์ไม่มากนัก
    การอุทิศกุศลการแผ่เมตตาย่อมกระทำได้และพอที่จะช่วยกันได้บ้างไม่มากก็น้อยแล้วแต่วาสนา

    แต่กำลังของอบายที่เจ๊ยึดเป็นอารมณ์
    หนักอย่างสาหัส อ้องเหมือนไปชักคะเย่อต่อสู้กับช้าง สู้ไม่ไหวก็เลยขอเป่ามนต์แห่งเมตตาเผื่อจะทำอะไรให้เจ๊ได้บ้าง
    "พ่วงๆๆ" อ้องเป่าไปที่ศรีษะของเจ๊ให้ตายเถอะอ้องร้อง
    "แว๊ก"หัวหายไปเลยวุ๊ย
    นี่ตูเป่ามนต์อะไรให้เจ๊มันฟ่ะเนี่ยที่ เสื้อที่เจ๊ใส่สีเปลือกแมลงทับ คอเสื้อมีปกแต่หัวหายเรียบ

    เวรกรรมของตาอ้อง...
    ซักพักหัวยายเจ๊อย่างกับกระดองเต่าผุดขึ้นมา เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว
    เริ่มเป็นผู้เป็นคนกับเค้าหน่อย หน้าตาเริ่มเข้ารูปล่่องลอยเดิม ผมไม่ขดหงิกงอ
    ดูหน้าตามีผิวพรรณดีขึ้นและรู้สึกเหมือนผีพี่สะใภ้จะหัวเราะอารมณ์ดีเอิ๊กๆตามประสาพี่แกเป็นประจำ...

    ในช่วงขณะที่แกก้มหน้ามาหาอ้องเพราะคิดว่าอ้องช่วยเค้าได้จากทุกข์กายแต่ว่าฉับพลันนั้น...
    โอแม่เจ้า...ช่วยอ้องด้วยพระเจ้าช่วยกล้วยทอดข้าวเหนียวนึ่ง...

    หน้าตาพี่สะใภ้อ้องมันเปลี่ยนรูปไปอย่างรวดเร็วจากผิวพรรณที่เริ่มดูดีกลับขาวซีดเหมือนคนตาย
    ใบหน้าก็มีตุ่มผุดเหมือนเม็ดสิวที่เดือดปุดๆๆๆเต็มไปทั้งหน้าแถมยายเจ๊ก้มหน้ามาหาอ้องพร้อมกับน้ำหนองไหลเยิ้ม

    เจี๊ยกๆคร๊อกๆ ขนอ้องลุกซู่ตั้งชัน โอแม่เจ้า...
    ยายเจ๊คิดว่าตัวเองหาย แต่กรรมมันเร็วเหมือนอย่างกับเอาน้ำมาเทใส่แก้วอย่างรวดเร็ว คืนกลับไปสู่รูปร่างเดิมที่มาหา
    เหมียนเดิม...

    ไม่ไหวแล้วโว๊ย...แกล้งคุยไปก่อนดีกว่า
    "นี่ยายเจ๊... ไม่ไปซักทีหล่ะ"อ้องเอ่ยปากไล่ล่ะ เจ๊หัวเราะ
    "ยังๆ นานๆมาหาอ้องที อยากอยู่นานๆ"อ้องคิดว่าเอ็งอยากอยู่แต่ตูอยากไปโว๊ย
    "แล้วเจ๊มาได้อย่างไรเนี่ย"เจ๊หันไปมองที่ไกลๆพร้อมกับหวาดๆและบอกว่า
    "อู๊ย... ไอ้พวกนั้นมันกำลังร้องโหยหวนกันอย่างเจ็บปวดเลย"อ้องตามจิตเจ๊ที่ตรึกนึกก็เลยเห็นภาพปรากฏลางๆเหมือนมีแต่ป่ารกชัฎ ภายในอึมครึมมืดมัว มีแต่เสียงกรีดร้องโหยหวนอยู่ภายใน เจ๊ทำท่ากลัวตระหงิดๆ

    "เจ๊ต้องโทษด้วยเหรอ"เจ๊สั่นหน้าบอกว่า
    "ลูกหลานทำบุญมาไม่เห็นถึงเลยมีแต่อ้องแผ่เมตตาไปช่วยเจ๊เลยไม่ต้องรับโทษชั่วครั้งคราว ถ้าอ้องตายไปลืมเจ๊ตอนนั้นคงแย่

    "อ๊าวเจ๊ก็นึกพระรัตตรัยตอนนี้เลยซิ"อ้องให้เจ๊ตรึกนึกอารมณ์กุศลเพื่อให้จิตจับยึดภพอารมณ์ใหม่เจ๊ได้แต่ส่ายหน้า
    "นึกไม่ออก"เจ๊บ่นๆ นี่ก็เพราะยายเจ๊เวลาสวดมนต์ไหว้พระ มันทำเอาแต่เป็นพิธีกรรม ปราศจากศรัทธา คนที่ก้มไหว้พระและรับรู้ถึงความเย็น ปืตื สุข พวกนี้เวลามีทุกข์ภัยก็จะมีสติตื่นอย่างรวดเร็วเช่นพระนางมัลลิกานั่นประไร

    พระเทวทัต พระเจ้าอชาติศัตรูนี่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าก็ยังนึกถึงคุณแห่งพระพุทธองค์ไม่ได้เพราะกรรมหนักแสนหนัก แต่เจ๊ยังแค่ขุมตื้นๆแต่ตื่นไม่เป็นเพราะไม่ได้สะสมเชื้อฝ่ายกุศลที่ดีเป็นเรื่องธรรมดาที่นึกไม่ออกเพราะโหลดข้อมูลไม่มี

    "เจ๊แล้วกุศลที่ทำมาล่ะ"เจ๊ส่ายหน้านึกไม่ออก
    "เจ๊แล้วที่ลูก หลานเจ๊มันทำบุญอุทิศไปล่ะ"เจ๊ส่ายหน้านึกไม่ออก จะนึกออกได้อย่างไรบุญอุทิศได้แต่เฉพาะ ปรทัตชีวเปรต พวกนี้ใกล้โลก ทุกข์น้อย แต่ทุกข์น้อยก็คางเหลืองล่ะ

    "เจ๊สรุปว่าจะนั่งคล่อมตัวอ้องอีกนานไม๊เนี่ย"เจ๊หัวเราะเอิ๊กๆ เออพอออ้องนึกได้ก็เลยแซวผีหน่อยเพราะสมัยเจ๊เป็นคนชอบเล่นหวยใต้ดิน หวยงวดนี้ออกอะไรล่ะเจ๊
    "65 ฮิๆ" เอาเข้าไปนั้น อยู่ถึงเมืองผีดันยังรู้หวยจะออกอะไร อ้องไม่มีลาภทางการพนันก็ไม่เอาด้วยหรอก เสียดายเงิน
    คุยกับยายเจ๊จนคิดว่าไล่ไม่ไปก็เลยบอกเจ๊ว่า
    "ไปเหอะ... อ้องจะทำสมาธิต่อล่ะ และจะแผ่เมตตาเข้าไปช่วยบ่อยๆนะ"ผีสั่นหัว แง๊วๆ ทำไงดีฟ่ะเนี่ย อ๋อยายเจ๊มันบ้าจี๋ เลยเอามือไปจี๋เอวเกายิกๆๆๆจนดิ้นพรวดพราดหัวเราะจนหนีไป

    เออแฮะ...ปราบผีต่อไปสงสัยจะใช้วิธีจี๋เอวมันทุกตัวล่ะดูซิมันจะทนได้ไม๊...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ทุกข์เหลือคณาเพราะยึดสมมุติ

    ตี5ครึ่งเจ๊มาก็ไปแล้วแต่เล่นเอาอ้องนอนหลับไม่ลงหัวใจเต้นตึ๊กตั๊ก
    มาแต่ละทีเล่นเอาขนหัวลุก ปกติอ้องจะตื่นช่วง8โมงเช้าวันนี้ก็เลยขอออกไปเดิน
    พิจารณาธรรมนอกบ้านซักหน่อยก็ดี

    อำนาจของรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นของโลก ทำให้จิตที่มีสภาพจับต้องไม่ได้เป็นเพียงแค่ธาตุรู้เดือนร้อนวุ่นวาย เพราะไปยึดอารมณ์เป็นมั่นหมาย

    คนบนโลกมีน้อยกว่าน้อยที่จะหนีรอดอบาย๔
    มีคนถามอ้องว่ามีโอกาสตกนรกกันอีกเหรอ อ้องบอกได้ว่า จิตปถุชนธรรมดามีโอกาสได้ตลอดเวลา
    แม้แต่ตัวอ้องเองก็เหอะ พลาดพลั้งไปยึดอารมณ์เก่าที่เป็นอกุศลและไปเคลิ้มกับอารมณ์นั้นๆเข้า
    อดีตอารมณ์ที่เป็นอกุศลที่สะสมเป็นมั่นหมาย
    ก็จะพบกลับความโชคดีที่จะได้ไปเยือนนรกคงจะสมหวัง แหะๆ...(ไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาด มีผิดพลาดน้อยจนผิดพลาดมากแต่ขอเพียงมีจิตสำนึกและหน้าหนีจากอกุศลเหมือนคนกลับตัวกลับใจ นี่ยังพอแก้ไขได้)

    6โมงเช้า...
    อ้องตื่นขึ้นมาเดินรู้สึกตัวอยู่นอกบ้าน สายลมเย็นๆในยามเช้า เสียงพระตีระฆังเพื่อออกบิณฑบาตรแว่วเข้ามาในโสตประสาทจิตเข้าไปยึดอารมณ์ที่แผ่วๆแล้วคลายออกจากผัสสะที่กระทบด้วยไม่ใส่ใจ

    ท่าเดินก็มีสมาธิจิตที่รู้สึกตัวในสภาวะที่ชินต่อรูปลักษณะ
    ก็เป็นปัญญาวิปัสสนาคือเห็นความจริงได้ในชั่วขณะที่จิตตั้งมั่น
    ในโลกสมมุติทุก31ภพมีแต่สมมุติบัญญัํติ์ที่จิตไปสร้างรูปสร้างนามแล้วให้ไปยึดสมมุติด้วยความวิปลาส คลาดเคลื่อน

    มีแต่ไร้สมมุติจึงพบสันติสุข

    หมาบางแก้วที่บ้านวิ่งเข้ามาหาเดินคลอเคลียอยู่ข้างๆ...
    นี่ก็อีกหน่อนึงที่ไปติดอารมณ์ในภพสัตว์เดรฉาน

    ชาติที่แล้วคืออาซิ้มคนหนึ่งที่เข้าขั้นงกเป็นนิสัย คับแคบ เจ้าอารมณ์ และขี้เหนียวมหาวินาศ วันๆเอาแต่คิดและยึดติดในทรัพย์ ใครมาเอาอะไรของแกๆจะมองจนเหลียวหลังและวิ่งไปถามหาว่ามายุ่งอะไรกับทรัพย์ของแก

    ความที่เป็นคนติดวัตถุ ไม่เสียสละ ไม่คลายออกจากวัตถุ ใจจึงคับแคบตระหนี่ถี่เหนียวและห่างจากศาสนา
    เมื่อสิ้นอายุขัยจิตที่สะสมเชื้อเป็นอารมณ์แกก็เห็นภาพหมาขึ้นมาเป็นคตินิมิต แล้วยึดอารมณ์นั้นๆเป็นภพ องค์รักษาภพจึงทำหน้าที่ติดตรึงเป็นกำลังแห่งการสถิตย์ในภพใหม่ตามอายุขัยของอารมณ์เป็นกฏเกณฑ์
    สันตติจึงส่งต่อไปปฏิสนธิในภพเดรฉานที่มีจริต นิสัย สันดานคล้ายๆที่เคยสะสมมาคือตามกรรม ตามนิสัยของสัตว์

    โอแม่เจ้า... การกระทำมันย้อนเข้าหาเราเพราะเราไปสร้างมันขึ้นมาเองและต้องรับเอง หาได้มีเจ้ากรรมนายเวรอยู่เบื้องหลังกรรมทั้งหลาย ตัวเรานี่เองคือเจ้ากรรมนายเวรของตน

    วันนี้เจอผีแต่เมื่อ2อาทิตย์ก่อน คุณดามาหา
    นางฟ้าแสนสวยมาในรูปที่น่ารัก อ่อนโยน มาตามสายลมที่เย็นโชย มาพร้อมกับเสื้อสีขาวดั่งความบริสุทธิ์ ลอยละล่องดั่งสายลมมาให้เห็น มายิ้มแย้มหัวเราะอ้องที่พยายามออกจากกายแต่ไร้แรงกำลัง เลยคุยกันไม่ได้เพราะกายละเอียดมันต้องคุยกับกายละเอียด

    ได้แต่มองกันด้วยความคิดถึง...
    วันนี้กลับเจอผียายเจ๊รู้สึกว่าโลกธรรมเรานี้มีทั้งดีและชั่ว ใช้ไปก็หมดสิ้นลง
    เหมือนเป็นพลังงานที่สะสมเอาไว้ ใช้ไปก็หมดอารมณ์ที่สะสมและก็เปลี่ยนไปภพใหม่สืบไป

    เราจะหนีอารมณ์ได้ก็ต่อเมื่อเราวางอารมณ์
    อารมณ์ที่เหมือนเหยื่อล่อแมลงที่ไร้จิตสำนึก ไม่รู้พิษภัยแห่งสังสารวัฎ

    แค่วางลง วางลง... สิ่งที่แบกวางมันลง สันติสุขไร้สมมุติจะอยู่แค่พลิกฝ่ามือ
    ใกล้อยู่เพียงแค่ขนตา...เหมือนดั่งเส้นผมบังภูเขาอย่างไรอย่างนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  11. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +373
    ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย โปรดคุ้มครองดูแลรักษาให้ภรรยาคุณอ้องมีสุขภาพดีขึ้นด้วยเทอญ ขอให้คุณอ้องเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปเทอญ
    ;aa41
     
  12. awesomekid

    awesomekid สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +2
    อ่านจบครบทุกตัวอักษร ชอบมากครับ รู้สึกเหมือนผู้ใหญ่ เล่าเรื่องดี ๆ ให้ฟัง ขอขอบคุณและอนุโมธนาสาธุ สำหรับเรื่องราวดี ๆ ครับ

    ไม่ทราบว่าพี่อ้อง ยังมีหนังสือเหลืออยู่บ้างมั้ยครับ ผมอยากเอาไปให้แม่ได้อ่านบ้าง แม่ผมชอบทำบุญครับ เลยอยากให้ท่านได้อ่านสิ่งดี ๆ เพิ่มเติมเข้าไป

    ค่าใช้จ่ายที่พี่อ้องเคยบอกว่า 200 บาท นั้น เทียบกับสิ่งที่ได้ ต้องบอกว่าถูกมา อยากจะได้เป็นเจ้าของ ต้องทำอย่างไรบ้างครับ
     
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบน้องawesomekid

    พี่ขอที่อยู่ของเราด้วยนะครับและจะพยายามหาหนังสือมาให้เพื่อเป็นของขวัญสำหรับแม่ของน้องที่น้องจะให้ธรรมแก่แม่นะครับ

    หนังสือที่จัดทำนั้นเป็นเพื่อนๆที่ทางลานธรรมช่วยกันบริจาคมาแสนกว่าบาท
    จัดทำมาสองครั้ง และหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ได้เป็นเชิงพาณิชย์หรือขายเป็นราคาต่อเล่ม

    เราทำแจกฟรีเป็นธรรมทานครับและมีเพื่อนๆช่วยกันบริจาคเพื่อจัดทำกันแต่ช่วงหลังพี่ไม่ได้จัดพิมพ์เพิ่มเพราะกระทู้และข้อเขียน ยาวมาก...

    ถ้าทำคงจะหลายภาคแวลานี้เลยยังไม่ได้จัดทำใหม่เพราะค่าใช้จ่ายสูงครับ
    ส่วนหนังสือมีคนขอกันมามากครับพี่เองก็เกรงใจที่หาหนังสือให้ไม่ได้แ่ต่สำหรับน้องพี่จะลองถามหาเพื่อนๆที่มีอยู่และจัดส่งไปให้นะครับ

    ขออนุโมทนาในกุศลที่คิดเกื้อกูลมารดาด้วย สาธุ กตัญญูดีเป็นยอดคุณธรรม
     
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ผีที่ไม่มีมารยาท

    ในโลกของวิญญาณบางครั้งเรามักจะมาถามว่า
    เออ...ผีทามไมเข้ามาบ้านได้อีกหล่ะ เจ้าที่เจ้าทางเค้าไม่มากันไม่ให้เข้าเหมือน
    ในหนังที่ยืนกันทางเข้าบ้านหรือไล่ไปตั้งแต่เข้าเหรอ

    อ้องเองก็คิดอย่างนี้เหมือนกันนะ...
    บางครั้งก็ถึงขนาดบ่นๆน้อยใจเจ้าที่เจ้าทางที่รักสงสัยจะไม่รักเราซะแล้วมั๊ง เอาเหมือนกันนะ

    กรณีถ้าเป็นญาติอย่างยายเจ๊ที่อ้องอนุญาตเอาไว้ก็คงไม่เป็นไร
    แต่เมื่อวานก่อนยายเจ๊มาก็แทบไม่ได้หลับได้นอน มาอีกคืนเมื่อวานเจออีกซะ3ตน

    ผีนะที่อยู่ใกล้โลกในปัจจุบันมีผีเปรตและอสูรกายพวกนี้มีทั้งอำนาจฤทธิ์เพราะเคยฝึกสมาธิมาก่อนกับพวกที่ไร้อำนาจ
    เที่ยวคอยขอทานเค้ากินเร่ร่อนลำบากอย่างไร้จุดหมาย
    มองหาเป้าหมายที่จะคอยช่วยเหลือ ที่จะรับรู้เค้าได้เพื่อขอส่วนกุศล...

    ตัวอ้องเองและตำแหน่งบ้านอ้องนั้นมีเจ้าที่เจ้าทางและสิ่งดีๆคอยปกปักษ์รักษาอยู่เสมอแต่อย่างว่า...

    ใครจะมาเฝ้าอ้องได้ตลอดเวลาทั้งวันและทั้งคืน ถ้าพวกท่านเผลอก็อาจจะเจออย่างเมื่อวานนี้

    ในระยะช่วงหลังๆอ้องจะไม่ค่อยสวดมนต์ไล่หรือคลุมห้องเพื่อเปิดรับสื่อที่พวกเขา
    เข้ามาขอความช่วยเหลือซึ้งโดยมากจะมานั่งข้างๆเตียงบ้าง มาเรียก มาขอร้องบ้าง สมาธิของอ้องเองก็ไม่ใช่จะได้เรื่องเสมอเมื่อไหร่ มีขึ้นมีลงตามสุขภาพของกายบ้าง ตามอำนาจของกามคุณทั้ง๕ที่บีบอัดเราให้หลงบ้าง

    มีวิญญาณบางท่านที่เดือดร้อนที่อ้องชอบมากๆก็คือการเข้าหากันแบบสันติ แบบนุ่มนวล แบบอ่อนโยน แบบมิตรสหายที่มาขอความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

    ตรงนี้อ้องชอบนะคือมีมารยาทในการเข้าหา มีธรรมเนียมในการสื่อเพราะมาโดยไม่ได้ใช้กำลังกดข่มหรือบังคับหรือมาแกล้งมาเหยียบมาข่มจิตเรา

    อย่างนี้อ้องบอกได้ว่าวิญญาณที่มีมารยาท น่ารักและทำให้เราช่วยได้อย่างเต็มใจ ยินดี
    แต่ผีที่ไม่มีมารยาท ผีชอบใช้กำลัง ใช้ช่วงจังหวะเผลอของเจ้าที่เจ้าทางแล้ววิ่งเข้ามากรูกันเข้ามาแล้วเข้ามากดข่มอ้อง
    ตรงนี้ไม่ชอบเลยเพราะตกใจเหมือนกันนะ เพราะสมาธิเรามีกำลังอ่อน และเป็นช่วงจิตเราตกและเผลอตัว ดิ่งเข้าภวังค์
    สติที่มีกำลังอ่อน สมาธิที่อ่อนแรงจึงมีอำนาจน้อยสู้กำลังพวกเค้าไม่ได้ในบางครั้ง

    แต่ด้วยเพราะสมาธิที่ทำก่อนนอนทุกคืนเวลาเค้ากด เค้าจะกดข่มแบบเต็มตัวเหมือนสมัยอ้องยังอ่อนหัดในสมาธิคงทำได้ยากอยู่
    เค้าจึงทำได้แต่เหมือนเอากำลังมากดเราเท่านั้น เพราะถ้าเอาจิตมากด อ้องจะเกิดปฏิกริยาความเคยชินคือ ตีกลับเพราะรู้สึกมีภัย...

    วิญญาณพวกนี้้จึงใช้กำลังมากดแขนข้างละคนจับเท้าหนึ่งคนรวม3ตน
    เมื่อกายภายในไม่อึดอัด ขัดข้องเพราะไร้การกดข่ม
    เพียงแต่วิ่งกรูกันเข้ามาแล้วมาจับกดไม่ให้อ้องหนี

    อ้องเลยลุกเกือบในท่านั่งแล้วส่ายหน้าว่า"มาทำอย่างนี้ไม่ถูก อย่างนี้ก็รับสิ่งนี้ไปเถิด"

    อ้องระลึกในคุณพระพุทธองค์ ถ้าใช้พระคาถาชินบัญชรเค้าจะเจ็บตัวแทบแย่เพราะเอาคุณธรรมของพระคาถาแผ่ออกมาแต่ขอเอาพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งก็พอ เพราะพระพุทธองค์ทรงมีเมตตาต่อมวลสรรพสัตว์ ไม่เบียดเบียนกันและกัน

    "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุธธัสสะ"จากห้องที่เต็มไปด้วยความอึดอัด คับแคบ ทึบๆ ทึมๆ มัวหมอง เพราะจิตวิญญาณที่มานั้นเค้าจะมีสภาพสิ่งนี้กระจายปกคลุมไปทั้งห้อง

    ถ้าเราไล่ด้วยปากรับรองไม่มีทางไปแน่... มีแต่ต้องนำเอาแสงสว่างแห่งคุณธรรม ความเย็นของศีล กำลังของสมาธิ จึงจะทำให้เค้าห่างหนีไปได้ ด้วยแสงรัศมีของคุณธรรม

    ขึ้นชื่ว่าปวงเทพ ต่างก็ห่างหนีจากกายบุญ ด้วย รัศมีคุณธรรมที่แตกต่าง เราจะไล่ผีโดยบอกว่า"ไป๊ๆ ชู๊วๆ" รับลองเหอะจะยอม

    เราต้องระลึกในความดีและนำเอาคุณธรรม อำนาจ บารมีของเราออกมา และต้องมีกำลังเพื่อขับดันสิ่งแปลกปลอมที่คลุมห้อง คลุมกายเราออกเสียให้หมดด้วย

    อ้องเพียงแค่ระลึกในคุณของพระพุทธองค์และนำเอาศีลที่เป็นปกติที่ตื่นรู้ด้วยสติ นำกำลังของสมาธิเข้ามาระลึกรู้ที่กายและจิตห้องก็สว่างพรึ๊บขึ้นมาและรัศแห่งกายก็กระจายออกมาเหมือนคลื่นน้ำที่เป็นวงสว่างกว้างกระจายออกไป

    หายไปเรียบที่กดแขน กดขาแม้ห้องนอนที่อับทึบอึดอัดก็หายไปด้วย ความโล่งโปร่งเบาปรากฏแต่เพราะกำลังอ้องที่คนพึ่งตื่นยังน้อย พวกนี้ที่ไม่ได้เจ็บตัวยังไม่ยอมก็วิ่งกรูกันเข้ามาอีก

    จนต้องระลึกในคุณสมเด็จโตให้ท่านมาอยู่เหนือศรีษะ ฉับพลันนั้นเองอำนาจของท่านก็ปรากฏเหมือนตัวท่านลอยมาอยู่ด้านบนในท่านั่งที่เคร่งขรึม
    รัศมีแห่งกายท่านกระจายแผ่ปกคลุมยิ่งกว่าอ้องเป็นร้อยๆเท่า

    คงต้องบอกว่าราบพนาสูญ เผ่นหนีกันจ้าละหวั่นกันล่ะทีนี้ ทำให้ต้องใช้อำนาจฤทธิ์ของหลวงพ่อโตจนได้

    ถามว่าสงสารไม๊ก็สงสารอยู่หรอกนะ แต่การทำอย่างนี้เป็นตัวอย่างไม่ดีและคงเที่ยวไล่ทำเอากับคนอื่นมาไม่น้อย คนดี คนมีศีล ที่มีกำลังน้อย ถ้าเจอพวกนี้
    ก็ต้องยอมศิโรราบเพราะมากันเป็นแทคทีม ต้องไปทำบุญหรือไม่ก็เอาอาหารมาวางเอาไว้ในทางสามแพร่งเพื่อบริการเค้า

    สำหรับอ้องแล้วผีที่ไม่มีมารยาทอ้องทำได้แค่ให้อภัย
    หลังจากตื่นก็มานั่งทำสมาธิต่อและอดบ่นๆน้อยใจเจ้าที่เจ้าทางที่ไม่ดูแลรักษาเราเลย
    จนพวกท่านมาบอกว่า เจ้าพวกนี้เล่นทีเผลอ วิ่งกรูกันเข้ามา

    อ้องก็ได้แต่หัวเราะว่า"คิดถึงพวกท่านเสมอและขอโทษที่อดที่จะน้อยใจไม่ได้"
    พวกท่านก็ได้แต่หัวเราะว่า ใครจะมาเฝ้าดาราคนนี้ได้ตลอดทั้งวัน ตลอดเวลาหล่ะ

    เช้าวันนี้ก่อนที่อ้องจะตื่นก็เลยโดนท่านมาตีมือทักทายเบาๆว่า

    อย่าขี้งอนให้มากนักพ่อคู๊น....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2009
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เหตุให้สมาธิเคลื่อน

    ความสงสัย
    ความไม่เอาใจใส่
    ความท้อแท้ซบเซา
    ความหวาดสะดุ้ง
    ความตื่นเต้น
    ความหยายกระด้าง
    ความเพียรมากไป
    ความหย่อนในความเพียรจนเกินไป
    ความใส่ใจมากไป
    ความเพ่งในรูปมากไป

    สิ่งที่ควรรู้ควรเห็นยิ่งขึ้นไม่ควรติดในสิ่งที่รู้สิ่งที่ได้เห็น...
    ไม่ควรหลงในสิ่งนั้นเป็นตัวตนเป็นของตนเพื่อไม่ให้สิ่งที่ถูกรู้ครอบงำจิตทำให้เคลื่อนออกมาที่โลก
    จงตัดความหลงลืมตนชั่วขณะด้วยสติตื่นรู้และสลัดคืนให้กลับธรรมมชาติด้วยการไม่ใส่ใจ ไม่หวั่นไหวเปรียบดั่ง...

    น้ำที่ไหลช้ามั่นคงไม่หวั่นไหว
    มุ่งทางตรงไม่เลี้ยวลดอย่างมั่นคง
    กิเลสตัณหาเรียกร้องไม่เซซัด
    ใจนิ่งสงบสยบทุกสรรพสิ่ง
     
  16. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ชนะหลับไม่ใช่เรื่องยาก(เราที่แท้จริง)

    การนอนหลับเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตที่ต้องให้มหาภูตรูปที่แปรปลวนเข้าสู่การปรับสมดุลย์ ร่างกายจึงเกิดอาการอ่อนเพลียเป็นรูปลักษณะของคนง่วงเหงาหาวนอน

    การนอนเรานอนเพื่อสุขภาพแต่บางครั้งถ้าเรานอนมากไปมหาภูตรูปที่ปรับสมดุลย์ได้แล้ว อาจจะทำให้เกิดอาการตึงตัวคือถ้าดันทุระรังจะนอนจะกลายเป็นนอนคิดและนอนฟุ้งเหมือนนอนแต่ไม่ได้นอน

    การนอนด้วยสมาธิและหลับไปจะทำให้มหาภูตรูปรวมกำลังและปรับสมดุลย์ได้เร็วกว่าปกติบางคนอาจจะนอนไป3ชั่วโมงก็จะเกิดอาการสดชื่นเหมือนนอนเต็มอิ่ม

    การนอนบางคนอยากจะนอนสมาธิแต่พอไปจ้องดูก็เลยนอนไม่หลับเพราะไปดูผิดที่ผิดตำแหน่ง เราจะมาดูอยู่สองตำแหน่งคือจุดที่ทำให้ง่วงและจุดที่ทำให้ตื่นตัว

    ข้อสังเกตุในการนอนสมาธิแล้วนอนไม่หลับเพราะไปดูจุดตื่น เราจึงต้องรู้จัก
    การใช้การสังเกตุ พิจารณา สลับตำแหน่งกันและกันในบางจังหวะและเวลา

    จุดหลับอยู่ที่บริเวณใต้คางแถวตำแหน่งลูกกระเดือก

    ให้สังเกตุคนนอนคิด นอนไม่หลับเอามือเท้าหน้าผากเค้าจะส่งความรู้สึกไปที่หน้าผาก นี่หล่ะจุดตื่น
    ส่วนคนนั่งทำสมาธิจะดำรงค์สติเฉพาะหน้าและชำเรืองดูลม

    ทั้งสามสิ่งมีความสัมพันธ์ในท่านอนสมาธิทั้งสิ้น คือต้องรู้จักใช้ให้เป็น
    ชนะหลับไม่ใช่เรื่องยาก...
    คุณจะเห็นกายคุณกรน คุณจะเห็นกายส่วนกาย จิตภายในแยกอออกจากกันนี่หล่ะวิญญาณภายในของคุณก็ผีดีๆแท้ๆ วิญญาณดีๆแท้ๆ คนที่คิดว่าผีไม่มี วิญญาณไม่มี ลองทำดูก็จะรู้ว่า วิญญาณมีจริง เพราะไม่เกี่ยวข้องกายเนื้ออย่างสิ้นเชิง เป็นผู้รู้ ผู้ดูอยู่ภายใน

    ในขณะที่อ้องล้มตัวลงนอน มันจะคิดฟุ้งไปเรื่องของมัน อ้องจะเฝ้าชำเรื่องดูลม
    เราเรียกว่าการสำเหนียกรู้ และอ้องจะเอาสติไปไว้ที่ตำแหน่งใต้คางโดยใช้ความรู้สึกไม่ใช้ลูกตา(โปรดลืมตาแล้วใช้ความรู้สึกไปที่ลูกกระเดือกที่ใต้คางและชำเรืองดูลมโดยการสำเหนียก ใช้ตาที่ลืมมาดูให้เป็นก่อนทำเสียก่อน)

    เมื่อทำเป็นแล้วก็หลับตาเอาสติไปตั้งเอาไว้ที่จุดหลับ กายจะเกิดการผ่อนคลายเป็นระยะ จนเริ่มทิ้งคิด เริ่มง่วงนี่คือาการของภวังค์จิตที่เราจะต้องผ่าน

    ให้ย้ายตำแหน่งมาที่จุดตื่นบริเวณหน้าผากบริเวณระหว่างคิ้ว จิตจะเริ่มแจ่มใส
    ในขณะที่กายเกิดการผ่อนคลายไปแล้ว

    สมาธิสำคัญคือการกระทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้กายเกิดปัสสัทธิคือสงบระงับเสียก่อนเพราะสุขทางกายจิตจึงจะรวมเข้าหากันเพื่อปรากฏสมาธิ

    ขึ้นชื่อว่าฌานหลับนั้น ถ้าทำได้ทุกวันตอนตายก็พิจารณาอย่างนี้ ฝึกมาก่อน มันจะทิ้งภาระลงและตายอย่างสง่าผ่าเผย มีโอกาสไปเป็นพรหมมากเสียด้วย

    ช่วงที่กายเริ่มเกิดอาการของภวังค์เข้าแทรกนั้น สติจะปรากฏกับอาการซึมๆ
    เป็นของคู่กัน เป็นการชักคะเย่อ เพื่อดึงดูดเข้าภวังค์ กับการตื่นด้วยเอากำลังมาต่อสู้กับหลุมดำของภวังค์จิต

    เพื่อนๆที่อ่านดูอยู่เราสามารถเล่นชนะการหลับได้ด้วยขณะตื่นโดยเลื่อนตำแหน่งดูเช่นพอง่วงก็เลื่อนไปที่จุดตื่น พอแจ่มใสก็เลื่อนมาที่จุดหลับสลับไปเพื่อฝึกความชำนาญในการเข้าและออก

    เมื่อทำได้บ่อยๆ ก็จะชนะการหลับโดย กายมันหลับแต่จิตมันตื่นอยู่ภายในด้วยการดำรงค์สติเฉพาะหน้าในจุดตื่นแต่กายหลับสนิท เราจะเห็นกายเป็นสิ่งแปลกปลอมเหมือนก้อนเนื้อชนิดหนึ่ง เหมือนเราอยู่ในถ้ำชนิดหนึ่ง เราอาศัยอยู่ภายในถ้ำ โดยถ้ำไม่ใช่เรา

    การละเล่นชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มีผลต่อการควบคุมจิต การฝึกสติตามกายตามจิต

    พื้นฐานใในฝ่ายสมถนั้นเน้นเรื่องรูปอันเป็นสิ่งหยาบเมื่อเห็นสิ่งหยาบด้วยความชำนาญก็ไปดูจิต การฝึกรู้รูป ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นรูปหยาบ การฝึกรู้ เหยียด คู้ ตึง หย่อน หมุน บิด อ่อน นุ่ม แข็ง เป็นรูปละเอียด สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญ

    ในการฝึกสติเพราะรูปเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วยจิต เมื่อเห็นรูปชัดก็เห็นจิตชัด เมื่อเริ่มเห็นจิตชัดก็เฝ้ารู้จิต ในฝ่ายสมถยานิกจึงเน้นเรื่องสมาธิมาก่อนและเฝ้าตามอิริยาบทและมาพัฒนาดูจิตในภายหลัง

    การเฝ้าดูกายที่หลับไป เหมือนเราอยู่ในถ้าโพลงภายใน เราที่เป็นธรรมชาติรู้อารมณ์ เราเหมือนดั่งเงามายาที่ซ่อนลึก ถ้าเราไม่ฝึกหาตัวเราเราจะไม่รู้จักว่า

    เราที่แท้จริงคืออะไร ถ้าเห็นเราบ่อยๆ เราจะรู้ว่า

    เราเหมือนดั่งสายลมพัดผ่านไปละลายหาย
    เราเหมือนดั่งไฟโชนแสงสว่างมาก็ดับสลาย
    เราเหมือนดั่งเงามายาที่ถูกอวิชชาปิดบัง
    เราเป็นอะไรไม่รู้แ่ต่ที่แน่จริงไม่ใช่เรา...
     
  17. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เอาของเน่าออกจากครัวไปทิ้งเสีย

    ห้องครัวที่อ้องพูดหมายถึงอาหารที่มีแต่ของเน่าเสียและอาหารที่เต็มไปด้วยของเลิศรส คนทำครัวที่มีแต่ของเน่าๆ พอจะทำก็ต้องเอาแต่ของเน่า นึกได้แต่ของเน่า เปรียบดั่งคนชั่วที่เต็มไปด้วยอกุศล

    เมื่อคิดจะทำชั่วก็หยิบจับเอาอกุศลที่สะสมมากระทำได้ผลก็คือมีแต่พิษภันย้อนมาทำร้ายตนเองให้มัวหมอง
    ให้คนทำครัวที่มีแต่ของเน่ามาทำอาหารรสเลิศย่อมเป็นไปไม่ได้ และให้คนครัวหาอาหารที่มีของสดของหอมหวานมาปรุงก็ทำให้นึกไม่ออกเหมือนไม่เคยรู้เรื่องในการทำมาก่อน

    ในโพธิปักขิยธรรม37ประการนั้น คุณธรรมแห่งการตรัสรู้ ที่อ้องชอบมากที่สุดในการฝึกสติก็คือละอกุศล ดังนั้นอ้องต้องรู้จักอกุศลและไม่ไปพยายามที่แสวงหาอกุศลมาทำให้จิตสะสมเชื้อเหมือนหาเหาใส่หัว หาเรื่องใส่ตัว

    อ้องจึงชอบสัมมัปปทาน๔ในเป็นการเข้าถึงคุณธรรมและสร้างคุณธรรมให้เจริญงอกงามด้วยสติที่ตื่นรู้ว่า อกุศลปรากฏและเอาของเน่านั้นออกจากห้องครัว
    อ้องเสีย ด้วยการรู้ว่าเป็นของเน่า ของเสีย อกุศลจึงเริ่มละลายหายไปจากครัวเพราะตื่นรู้ในพิษและโทษภัย

    ภายในครัวจึงเริ่มสะสมแต่ของสดของหวานของหอมที่ตื่นรู้ไม่เป็นพิษไม่เป็นโทษแก่ตนเองด้วยคุณธรรมที่สะสมในโพธิปักขิยธรรมที่เจริญมากยิ่งขึ้น

    ขึ้นชื่อว่า ราคะ โทสะ โมหะ โลภะ เป็นอกุศล อ้องไม่เคยรังเกียจเดียจฉันท์
    แต่ชอบถ้ามันมีเหตุปรากฏเพราะอวิชชาความไม่รู้ โดยมีอารมณ์เป็นปัจจัย มีที่อาศัยคือสภาวะธาตุดั่งถ้ำโพลง

    อ้องจึงต้องเข้าไปรู้เหตุและปัจจัยอันมีอยู่ที่อ้องทำไมจึงตกเป็นทาสของอารมณ์มายาวนานเสียได้ด้วยการเจริญวิปัสสนาเพื่อพิจารณาสภาวะธาตุภายในร่างกายจิตใจและอารมณ์ที่มาสัมปยุต ให้รู้เห็นแจ้งตามจริง เพื่อทำลายรังแห่งอวิชชาเพื่อระงับยับยั้งเหตุและปัจจัยให้เกิดกิเลสที่สะสมมาอย่างอเนกอนันต์ให้จบสิ้นลง
     
  18. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    1 ลมหายกายหายไปชั่วขณะหนึ่งเพราะสติไม่คมพอจึงเห็นลมหาย ลมถ้าจะหายต้องเป็นหนึ่งเหมือนลมกลายเป็นฟองน้ำกลมๆมาหุ้มกายและจิต นิ่งแบบเต็มตัวไม่ซัดส่ายอีก

    กรณีที่ลมหายในเบื้องต้น ความสงบจะเข้ามาเป็นอารมณ์ เอาความสงบมาเป็นอารมณ์รู้ชัดว่าความนิ่งไหลเรียบค่อยๆไหลเข้าไปเหมือนดั่งน้ำนิ่งที่ไหลช้าๆมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อกิเลสไม่ต้องไปวางจิต ตรงไหนชัดรู้ตรงไหนจิตอยู่ตรงนั้น

    2 นิมิต บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีแต่เราทำสมาธิเพื่อพบใจเป็นกลางเที่ยงธรรมเท่านั้น
    แขกมาเยือนบ้านเราคือนิมิตจงไล่แขกแบบชนิดไม่สนใจแขก จะมามากมายขนาดไหน เมื่อไม่สนใจ ไม่เกาะกุม นิ่งเสีย แขกที่มาเยือนจะละลายหายไป

    อนุโมทนาในกุศลที่สะสมสิ่งที่ดีเหมือนดั่งลื้อของเสียออกจากจิตนำสิ่งดีเข้าไปเพิ่มให้ผ่องใส เพื่อสร้างคุณธรรมมาต่อสู้กับกิเลส

    สมาธิเราไม่ต้องการสิ่งใด ทิ้งทุกสิ่งเอาไว้ข้างหลัง เดินหน้าแบบไม่สนใจสิ่งใด เพื่อพบใจที่แท้จริง

    อนุโมทนาอีกครั้งครับ
     
  19. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ความคิดถึงคะนึงหา ความห่วงหาอาลัย
    การส่งจิตไปหาคนที่คิดถึง
    การส่งจิตไปยังคนรัก
    การที่ถูกความคิดของเสน่หาของคนที่สัมปยุตอารมณ์แห่งความใคร่

    ตัวจิตไม่ใช่ตัวพลังงานหรือสสารแต่ตัวจิตถ้าไปกระทบผัสสะในอารมณ์หนึ่งนานๆ
    จิตจะมีสภาพสะสมพลังงานชนิดๆนั้นคือพลังงานจิตชนิดหนึ่ง

    เหมือนหลอดไฟถ้าเปิดแล้วปิดทันที ตัวหลอดจะไม่ร้อน แต่ถ้าเปิดนานเข้า พลังงานที่สะสมจะทำให้ตัวหลอดร้อนจี๋ เปรียบกับจิตก็คล้ายๆกัน คนที่เอาแต่นึกในราคะจิตที่สัมปยุตอารมณ์จะแปรสภาพเป็นรัศมีสีแดงระเรื่อดั่งเม็ดทับทิมเรืองแสงกระจายแผ่ออกมา

    ปนสีเทาขุ่นมัวเพราะประกอบด้วยอกุศล แต่จิตชนิดนี้จะมีอำนาจมาก ถ้าคนๆนั้นส่งจิตออกนอกเพื่อโหยหา หวังเสน่หาอาลัย คิดถึง นึกเอาแต่หน้าคนที่คิดและส่งจิตชนิดนี้ออกไป

    ขึ้นชื่อว่าราคะมีอำนาจเรียกรอ้งมีรูปลักษณะที่อกร้อนผ่าว หน้าแดงระเรื่อ มีการเรียกร้องเป็นในรูปของกรรมคือเคยสัมพันธหรือเคยสร้างวิบากร่วมกันมาก่อน

    เมื่อเกิดสภาวะธรรมชนิดนี้ขอให้มีสติและสำรวมในศีลเพื่อสยบความร้อนแห่งเสน่หาที่เย้ายวนด้วยการสละในอกุศลที่ปรากฏเป็นกลุ่มก้อนที่พุ่งตรงเข้าหาทำให้จิตสั่นกระเพื่อมเคลื่อนไหว ทำให้หัวใจร้อนผ่าว กลางอกร้อนรุ่มมีกระแสแห่งการเรียกร้อง

    จึงต้องใช้ศีลที่ระลึกรู้ในกุศลตื่นเพื่อรู้อกุศล ดูสภาวะธรรมตามจริงอย่างไม่หวั่นไหว
    ดูการกระเพื่อมเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ แต่ไม่เข้าไปปรุงแต่งจิต เป็นผู้ดูเหมือนอยู่บนบกเห็นอารมณ์ที่ถูกรู้เหมือนดั่งลอยผ่านหน้า ไม่คล้อยตามอารมณ์

    ภัยแห่งเวรกรรม...
    บางครั้งก็หนีไม่พ้น มีผลที่สืบเนื่องมาหลายภพหลายชาติ ด้วยเพราะอาจจะมีเหตุที่ยังไม่สิ้นกระแสแห่งเวรกรรมที่จองล้างหรือ เวรกรรมแห่งความรักที่ยังไม่สิ้นกระแสแห่งอารมณ์ที่ผูกติด

    วิธีป้องกัน
    ทำจิตให้ผ่องใส มีสติคุ้มครองอินทรีย์ ขัดกระจกให้สะอาดเหมือนละอกุศลด้วยตื่นรู้
    ใช้ปัญญญาพิจารณาหาเหตุผล ต้นปลาย ทำปัญญาเหมือนดั่งกองทัพ สู้กับกิเลสภัยพาล
    มีขันติอดทนต่อสิ่งที่ทำให้ใจกระเพื่อม
    พิจารณารูปแห่งสภาวะที่ทำให้เกิดโทษเพื่อรู้และละเพราะเห็นภัย
    หมั่นเพียรในการรักษา สำรวมระวังในศีลให้มั่นคงยิ่งขึ้น
    จงสร้างความเชื่อมั่นต่อตนที่กล้าที่จะสู้กิเลสทุกชนิด
    แผ่เมตตาแห่งความร่มเย็นไปยังคนที่ส่งจิตคะนึงหาเพื่อให้สงบเสียจากอกุศล

    ขออนุโมทนาครับ...
     
  20. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับ พี่อ้อง (ผมขอเรียกพี่อ้องนะครับ )
    เมื่อคืนผมได้เข้ามาอ่านสิ่งที่พี่ได้เขียนเผยแพร่ใน บอร์ดนี้ อย่างพิจารณาในทุกข้อความอย่างตั้งใจ และไตร่ตรอง และผมเองก็น้อมนำแนวปฏิบัติทั้งสมถะ และวิปัสนาเพื่อปรับแนวปฏิบัติให้เหมาะสมกับตนเอง ความรู้สึกในใจที่ได้รู้สิ่งที่พี่เขียนนี้ช่างเป็นกำลังใจที่ดีแท้ เป็นบุญแท้ที่ได้เข้ามารู้ มาเห็นแม้ผมเพิ่งเริ่มเห็นแนวทางสงบสายนี้ แต่ความตั้งใจ เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ในการเดินทางสายนี้เต็ม100เปอร์เซ็น และสิ่งที่พี่เขียนเผยแพร่นี้เป็นกำลังอย่างดีเยี่ยมสำหรับผม
    ผมขอบคุณพี่มากที่กรุณาตอบคำถามผม และขออนุโมทนากับบุญ บารมีที่พี่ได้บำเพ็ญเพียร ขอให้พี่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    หนุ่ย
     

แชร์หน้านี้

Loading...