เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    เรื่องทิฏฐิแต่ก่อนไม่ค่อยเกิดกับตัวครับ ผมเป็นคนที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมาก แต่หลัง ๆ มานี่รู้สึกว่าจะมีการถือทิฏฐิมากเกินไป

    มีวิธีไหนไหมครับที่จะลดทิฏฐิในตัวให้น้อยลงจนหายไป เจริญพรมวิหาร 4 หรืออะไรดีครับครับคุณอ้อง
     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณกองกอย

    พรหมวิหารเป็นการยังจิตให้อ่อนโยน ร่มเย็น มองโลกแบบสดสวย งดงาม
    การที่เรายึดอัตตาตัวตนเป็นเค้าเรา บางครั้งก็ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ...

    ว่าสิ่งนี้ถูกหรือผิดจนลืมว่าเรากำลังเผลอสติ

    พระพุทธศาสนาสอนให้รู้เพื่อละ ไม่ใช่เอาสิ่งหนึ่งมากดข่มเพื่อให้บรรเทาเบาบาง
    เช่นมีราคะก็ปลงอสุภะ เมื่อโกรธก็เจริญพรหมวิหาร

    การกดข่มจะทำได้ชัวคราวเท่านั้น เสร็จแล้วพออารมณ์ชนิดเดิมปรากฏก็ต้อง
    กดข่ม ยิ่งกดข่มมากขึ้นก็ต้องใช้กำลังมากขึ้นเหมือนไปสร้างเขื่อนภายในจิตใจ

    มีเพียงสติเท่านั้น ที่จะควบคุมอารมณ์แห่งตน...

    เราจึงต้องมาอบรมสติ เราไม่หนีนะคุณกองกอย..
    ถ้ามันไปเกิดยึดในคิดแห่งตนก็ให้รู้ว่าเผลอไปคิดปรุงแต่ง...
    สติที่ตื่นขึ้นมานี่ละ รู้สึกตัวว่าเผลอไปเห็นทิฎฐิในใจตน

    จะทำให้เริ่มควบคุมอารมณ์ตนเองได้
    นี่เป็นธรรมชาติของจิตเลยนะ ตรงที่สุด ไม่ต้องแก้ไข ไม่ต้องไปกดข่มใจ
    เอารู้ตรงหน้านี่ละ อบรมเข้าไปจนสติ สมาธิมีกำลังนะ
    มันจะละวางอารมณ์ชนิดเด็ดขาดตรง วางอารม์นั้นทันทีครับ..

    ว่าสิ่งที่คิดเป็นโมหะมันทำอะไรเราไม่ได้ ...
    ตรงนี้ต่างหากคือ สติล้วนๆที่จะพัฒนาเป็นมหาสติ จนสติบริบูรณ์เต็มกำลัง
    รู้เพื่อละ นี่แจ้งอริยสัจเลย อย่าลืมอริยสัจแค่นั้น หน้าที่ของพวกเราครับ
    อนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2009
  3. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    ให้เรารู้อย่างเดียวว่าเกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องไปพิจารณา หรือปรุงแต่งเป็นอย่างอื่นใช่ไหมครับ

    ดูอยู่เฉย ๆ พอ มีเกิดก็รู้ เมื่อดับก็รู้

    ปัจจุบันนี้เวลามันเกิดขึ้น ผมก็จะรู้ว่ามันเกิดแล้ว และก็จับมาพิจารณา ถึงอารมณ์ต่าง ๆ
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณกองกอย

    การพิจารณาเราทำต่อเมื่อจิตมันตั้งมั่น สติ สมาธิมีกำลัง
    ตรงนี้เมื่อพิจารณาด้วยใจเที่ยงธรรม ทำให้รู้ถูก

    ช่วงแรกๆพวกเราทำยังไม่ถึงวิปัสสนาหรอกครับ...
    เพราะเหมือนเรายังไม่ชินสภาวะธรรม จิตเรายังไม่ชิน สติจึงยังไม่ตื่น
    มันจะแวบเข้าไปรู้และก็เผลอต่อ...

    นี่เป็นช่วงเริ่มแรกอบรมสตินะครับ..

    แต่พอเราชิน รู้สึกตัวตื่นได้บ่อย ชินกับอารมณ์ที่เราเข้าไปรู้
    มันจะตื่นแบบมีสติ ตรงนี้ละให้พิจารณาแยกแยะว่า...

    ช่วงที่รู้สึกตัวและเผลอหลงมีอะไรที่แตกต่าง เพราะต่างก็เป็นธรรมคู่ทั้งสิ้น
    อกุศลเหมือนบ้านมันสกปรก (บาป)
    กุศลเหมือนบ้านมันสะอาด(บุญ)
    เรารู้ทั้งสองสิ่งเพื่อพบอีกสิ่ง...

    คือเป็นเอก เป็นหนึ่ง เป็นกลาง ตรงที่สติบริบูรณ์นี่ละจะรู้ทุกข์และละมันตรงนี้ละ

    ขั้นอบรมสติ ...
    เป็นพื้นฐานที่สำคัญคือ เราต้องยอมรับความจริงว่า...
    เรายังไม่ชินสภาวะธรรม(ธรรมชาติทุกสิ่งที่เกิดที่กายและใจ)

    ดังนั้นครูอาจารย์อย่างหลวงปู่เทสก์ท่านจึงสอนว่า...
    อย่าพึ่งไปอยการู้ชัดโดยไม่ดู สติ สมาธิแห่งตน ให้ปล่อยวางลงเสียและมาอบรมสติ สมาธิให้มีกำลัง มันจะรู้ชัดเองโดยไม่ต้องไปบังคับมัน...

    ทุกวันนี้อ้องก็ยังอบรมสติตนเองเสมอ เพราะอ้องคิดว่า พื้นฐานสำคัญที่สุด
    ถ้าเราปูพื้นฐานด้วยความหนักแน่น ยามเมื่อเราต่อสู้กับกิเลสที่ละเอียดมากขึ้น
    เราจะผ่านสิ่งละเอียดได้โดยไม่ยากเย็นนัก

    อบรมสติคือ รู้สึกตัวโดยเพียรชอบ
    ช่วงที่มันปรุงก็รู้ว่าปรุงอย่าไปดึงๆมาแต่ให้รู้

    พอรู้ สติมันจะเห็นเหมือนการกระเพื่อม เหมือนเสียงระฆัง เหมือนวงคลื่นของน้ำ ที่กระเพื่อม ใจที่เป็นกลาง สติ สมาธิ จิตที่ต้งมั่น โดยไม่หวั่นไหว
    จะเห็นใจไม่เอาเอง แบบยืนดูสิ่งที่ปรากฏ ที่กระเพื่อม และสลายหายไป
    ต่อความรู้สึกที่เที่ยงธรรมของใจ

    อนุโมทนาครับคุณกองกอย
    จงทำตัวเหมือนสายน้ำไหลช้าๆแต่มั่นคง
    จงทำตัวแบบสบายๆไม่ฝืนตน
    จงปลดปล่อยจิตให้อิสรตามธรรมแห่งความจริง
    เรามีหน้าที่รู้และก็รู้ รู้ให้มากที่สุด

    มันจะเข้าใจเอง มันจะแยกแยะพิจารณาเอง แบบไม่ใช้คิดเลย...
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณกองกอยอีก1ข้อ

    วิธีแก้ไข วิธีป้องกันและวิธีส่งเสริมครับ

    การแก้ไขอารมณ์ที่ปรากฏ

    เมื่อจิตเกิดทิำฐิ ใจย่อมอึดอัด ให้สลัดอารมณ์นั้นทิ้งเสียด้วยการทำใจให้ร่มเย็น
    เพื่อดับพิษไฟที่ปรากฏ ถึงอัตตาตัวตนของตนลง วิธีทำก็คือ

    ขณะที่เกิดทิฎฐิในใจ ให้เปลี่ยนอารมณ์ด้วยการเดินพักผ่อน เปลี่ยนอิริยาบท
    สลัดความทื่อๆแข็งๆภายในที่อึดอัด ด้วยการสูดลมหายใจยาวๆ
    เพื่อแก้ไขอารมณ์ในขณะนั้น

    หรือไปหางานทำอยางอื่นเพื่อให้ลืมเสียของอำนาจทิฎฐิในใจ

    การแก้ไขอย่างที่อ้องบอกคือ ระงับได้ชั่วขณะ ใช้ในกรณีที่ สติ สมาธิ มีกำลังอ่อน พิจารณาไม่ชัดเจน

    นี่คือแก้ไขอารมณ์...

    ส่วนการป้องกัน นี่ของจริง...
    คือเราเผลอหลงไป เพราะขาดการสำรวมระวัง ดังนั้น
    ให้สำรวมอินทรีย์๖(อินทรีย์สังวร)
    ปลุกปลอบใจให้เข้มแข็ง ให้ฮึดขึ้นมา หนีความแข็งๆ ทื่่อๆภายในด้วยการตื่น
    จากความเผลอหลง มาสู่ สติสังวร (ใช้สติควบคุมอินทรีย์)

    เช่นใจเผลอส่งออกนอก ก็ให้นำเอาสติมาควบคุมใจ
    เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์ที่ปรากฏ (ญานสังวรย่อมปรากฏ)
    ให้รู้จักอดทนต่ออารมณ์นี่คือ (ขันติสังวร)และ
    ทำความเพียรชอบด้วย(วิริยสังวร)

    เป็นเรื่องธรรมดาของพวกเราที่เป็นปถุชน จิตมันย่อมซัดส่ายหาอารมณ์อยู่เสมอ
    แต่เมื่อมีอารมณ์ใดปรากฏ ถ้าสติ สมาธิ เรามีกำลังน้อยก็ต้องแก้ไขเสีย

    ถ้าสติ สมาธิ เรามีกำลังมากหน่อย ก็ใช้อินทรีย์สังวรศีลให้ปรากฏ
    ด้วยสติ อดทน เพียรถูก เราย่อมรู้ในชั่วขณะที่ เราเท่าทัน เราควบคุม เราตามรู้จิตว่า อารมณ์ถูกวางลงด้วยสติที่มีกำลัง อำนาจกิเลสถูกขัดเกลา จากทำไม่ค่อยได้ ก็ทำได้ดี จากดีจนเห็นว่าไร้สาระ พออารมณ์ชนิดนี้ปรากฏ

    เราก็สามารถที่จะปล่อยวางง คลายอุปทาน คลายความยึดมั่นในรูปนามแห่งอารมณ์เช่นว่านี้ได้ และก็ไปเพียรชอบ ในอารมณ์ชนิดอื่นๆอีกต่อไป
    เราขัดเกลากิเลส เราลื้อบ้าน เราเก็บเกี่ยวแปลงนา จึงต้องให้เวลา

    สิ่งที่เราสะสมมาด้วย...

    ส่วนการส่งเสริม การต่อยอด ในสิ่งที่ทำนั้นจริงๆก็คือปทาน๔นั่นเอง

    เพราะจิตคนเราเป็นธรรมชาติที่กลับกลอก กลิ้งไปกลิ้งมา เวลาทำดีอันใดปรากฏเกิดขึ้นก็อย่าเพิกเฉย นิ่งนอนใจ ให้ทำความดีเช่นดั่งว่านี้ ความรู้สึกที่ตื่นเช่นนี้
    ทำให้จนสุดกำลัง ถ้าสามารถทำต่อเนื่อง อย่าทอดทิ้ง ให้ใช้ขันติสังวร(อดทนให้มาก) และเพียรชอบให้ถูกต้อง อย่าพลาดโอกาสทองของอสงขัยกัลป์...

    ดังนั้นในช่วงที่จิตปลอดโปร่ง จิตผ่องใส จิตมีกำลัง สติมีกำลัง สมาธิมีกำลัง
    ให้ทำความรู้สึกเช่นว่านี้จนเต็มกำลังของสติบริบูรณ์

    อย่าทอดทิ้งธุระนะครับคุณกองกอย
    อยากพ้นโลก อยากพ้นทุกข์ ต้องสู้ยิบตา
    แค่รู้สึกตัวว่าทำอะไร ตามรู้จิต รู้อารมณ์ ในไม่ช้าไม่นานความจริงย่อมประจักษ์แก่ใจเองครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  6. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ถามอาอ้องเรื่องอานุภาพของพระคาถาชินบัญชรคับบ๋ม

    หวัดดีคับอาอ้อง....เบนซ์อยากจะถามอาเกี่ยวกัยการสวดพระชินบัญชรอะคับเพราะเคยอ่านเจอมาว่าพระคาถานี่ถ้ายิ่งสวดแล้วจะร่นภพร่นชาติ ทำให้เราต้องเผชิญวิบากแห่งกรรมเร็วขึ้น ....บางทีก็นึกกลัวเหมือนกันเพราะมันเหมือนเราต้องโดนอะรัยหนักเพียงตูมเดียว...
    อีกอันนะคับ..ที่บอกว่าสวดพระคาถาหนึ่งจบหรือสามจบจะคุ้มครองได้หนึ่งคืนหรือสามคืนอะรัยประมาณนี่อะคับ ...รบกวนอาอ้องช่วยอะธิบายหน่อยนะคับว่าแท้จริงแล้ว...ตามกฏแห่งพลังงานแห่งพระคาถา..เป็นแบบนั้นจริงๆหรือ....อ้อเกือบลืมอาอ้องคับแล้วอย่างเวลาที่เราสวดพระคาถาชินบัญชรเนี่ยะเราสามารถน้อมนำเอาบุญกุศลจากการสวดพระคาถาแผ่ออกไปให้ เหล่าสัมภเวสี หรือแม้แต่เทพเทวาได้มั๊ยคับอาอ้อง...*-*:z12
     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบเบนซ์

    ถ้าครูอาจารย์บอกว่าทำให้ภพชาติสั้นลง...
    ก็ต้องดูที่ความหมายของท่านด้วยครับ

    ถ้าเราสวดมนต์ด้วยสติ ทำให้จิตตั้งมั่น เวลาที่จิตไหลไปหาเหตุอื่นเช่น
    ในขณะสวดแล้วเผลอไปคิด เผลอส่งจิตออกนอก หรือจิตไหลไปช่องวิญญาณทั้ง๖

    จิตที่เกิดขึ้นกับอารมณ์แล้วสติรู้สึกได้ ตรงนี้คือความหมายของท่านครับ

    การที่เราเท่าทันกิเลสคือ อวิชชา ตัณหา อุปทาน นี่ละทำให้ย่นย่อ หดตัว
    เพราะอยู่กับปัจจุบันอารมณ์

    แม้แต่คำว่าพุธโธ คำเดียว ครูอาจารย์ก็บอกว่า ถึงนิพพานได้เช่นกัน

    ในสมันอดีต มีพระท่านบริกรรม "นกกระยาง" เพราะท่านอยู่แถวริมฝั่งน้ำ
    ก็บรรลุธรรมไ้ด้เช่นกัน

    คำบริกรรม การสวดมนต์ใดๆก็ตาม สำคัญที่ใจ ที่สติ ที่ศีล ที่สมาธิ รู้ไปที่ จิตกับอารมณ์ที่ปรากฏตามจริง โดยไม่ไปควบคุมบังคับ ดูธรรมชาติตามจริง

    ครูอาจารย์จึงสอนเรื่องธรรมชาติแบบง่ายๆที่สุด แต่พวกเราคิดมาก
    ไปดัดแปลง
    ไปตีความหมายให้เลิศภพจบแดนพิศดาลจนเกินจริง...

    คราวนี้มาถึงการสวดมนต์แล้วตีค่าระยะเวลาการคุ้มครองอีกนะ..

    อย่างแรกเราต้องเข้าใจสิ่งหนึ่งคือ จิิต...
    จิตมีสภาพดิ้นรน เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย สลับหมุนวน
    แม้แต่กำลังของจิต เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไร้กำลัง จิตมีคุณภาพ จิตไม่มีคุณภาพ

    ถ้าถามอาอ้องว่าพระคาถา คุ้มครองตลอดเวลาหรือไม่ ตรงนี้ดูที่จิต ดูที่ศีลเป็นองค์ประกอบ เพราะศีลคือความปกติของจิต มีสภาพที่สดใส สะอาด มีกำลัง

    ศีลปรากฏพร้อมกับสติที่รู้สึกตัวแบบธรรมชาติที่ไม่จงใจบังคับ
    นี่เป็นศีลแห่งอริยมรรค...

    ดังนั้น เมื่อศีลปรากฏ สติย่อมปรากฏ จิตย่อมรู้อารมณ์ที่ปรากฏตามจริง

    การที่เราสวดมนต์ ถ้าถามอาอ้องว่า คุณธรรมแห่งพระอริยเจ้าทั้งหลายมาประดิษฐ์ตามตำแหน่งร่างกายได้อย่างไร...

    ตรงนี้จิตของผู้สวดต้องมีศีล มีคุณธรรม

    เมื่อจิตเราเสมอคุณธรรมพระอริยเจ้าท่านใด(แม้ท่านจะมีแสงสว่างมาก สะอาดมากกว่า) อำนาจแห่งพระรัตนตรัย ย่อมสถิตย์ในตำแหน่งที่เราสวดมนต์แนบเอาไว้
    ตามจิต ตามอำนาจแห่งศีล คุณธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย...

    พระคาถาไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวหนังสือ แต่มาจากใจที่บริสุทธิ์ของผู้สวด

    ขึ้นชื่อว่า แก่นทาน แก่นศีล ต้องไม่หวังผล ไม่ต้องการ ไม่อยากได้ อยากเป็น
    เราสวดมนต์เราสละอารมณ์ทุกสิ่งเพื่อระลึกในคุณแห่งพระอริยเจ้า

    เราสำรวมอิทรีย์ เพื่อตรวจสอบใจภายใน ถ้าเราสวดมนต์เพื่อหวังผล
    อำนาจจะน้อย สวดจบแล้วก็จบเลย มีอานิสงส์อยู่แต่ไร้กำลังเพราะไม่มีศีล
    และคุณธรรมยังไม่เสมอเหมือนท่าน ความศักดิ์สิทธิ์ปรากฏแค่ชั่วขณะก็สลายหายไป...

    น้ำสีเดียวกัน ย่อมไหลมากลมกลืนกันและกัน
    ธาตุที่เหมือนกันย่อมไหลมาหากัน
    พลังงานในรูปแบบเดียวกันย่อมผสมกลมกลืนกันโดยไม่ผลักใส
    จิตที่ระลึกในคุณธรรมแห่งพระอริยเจ้าและผู้สวดก็มีศีล มีคุณธรรม

    รัศมีแห่งกาย สีสรรแห่งรัศมี พลังงานแห่งออร่า ย่อมฉายแสง เปล่งประกาย
    ไปตามกำลังของ ศีล สมาธิที่สวดมนต์และตามคุณธรรมของผู้ที่สวดมนต์

    ถ้าเบนซ์ถามอาอ้องว่า สวดแล้วคุ้มครองได้กี่วัน...
    สำหรับอาอ้องแล้ว ศรัทธาที่ฝังใจ จะปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ ได้ทุกเมื่อ

    ถ้าเรามีศีล มีคุณธรรมอยู่เสมอ แต่ยามใดที่จิตเรามีอกุศล มีราคะ โทสะ โมหะ
    จะให้พระคาถาคุ้มครองจิตที่ไม่มีคุณธรรมได้เช่นใด

    บุคคลที่เจริญสติ สำรวมอินทรีย์ ย่อมเป็นผู้ที่ตื่นขึ้นอยู่เสมอ
    ความศักดิ์สิทธิ์จึงมาจากใจ มาจากคุณธรรมของผู้นั้นเอง
    อาจารย์พร รัตนสุบรรณ เคยพูดว่า"ความศักดิ์สิทธิ์ล้วนมาจากวิบากที่ดี"

    ถ้าเราเป็นนกแก้ว ท่องมนต์ ก็ได้แค่อ่่านออกได้...
    ถ้าเราเป็นมนุษย์ สวดมนต์ มีสติตามรู้อารมณ์ตามจริง ภพชาติก็ย่นย่อลง
    เพราะเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนตามจริง ทั้งๆที่เราตั้งใจจดจ่อกับบทสวด

    แต่จิตก็ห้ามมันไม่ได้ ..มีเหตุมันก็จะไหลไปหาเหตุ ไปที่ช่องวิญญาณที่จิตยกอารมณ์อยู่เสมอ

    ส่วนการสวดมนต์ให้ตัดอยากทิ้ง...ความศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏเองตามธรรมชาติของจิตที่ปกติ ที่มีคุณธรรม

    (นี่ละของแท้ นี่ละของจริง วิบากเราเอง เราทำเอง ได้เอง ไม่ต้องไปอยาก มาเอง รักษาเอง เมื่อคุณมีสิ่งที่ดีเอง)

    อนุโมทนาจ๊ะเบนซ์...
     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบเบนซ์อีกหนึ่งข้อ

    การแผ่เมตตาให้สำรวจจิตภายใน...

    เมื่อสวดมนต์ด้วยจดจ่อในบทสวด เมื่อมีกำลังสมาธิปรากฏ
    เราจะรู้สึกภายในมันมีกำลัง
    เพราะสมาธิมีคุณของเค้าคือ แข็งแรงมีพลัง ราบเรียบสงบซึ้ง
    ใสกระจ่าง ว่องไว นุ่มนวลแก่งาน

    ส่วนเอกัคคตาจิตหมายถึง จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง อยู่กับหนึ่งด้วยใจที่เที่ยงธรรม

    เมื่อเรารู้สึกถึงกำลัง และพอสวดมนต์จิตรู้สึกถึงความร่มเย็น ร่มรื่นเป็นอารมณ์ปรากฏ สะอาด สดใส สบายๆ ปลอดโปร่ง ให้จับอารมณ์ดังว่านี้หลังจากสวดมนต์

    เพื่อให้กำลังของพรหมวิหารเต็มกำลัง รับรู้ถึงความรู้สึก ทิ้งคิด อย่าเอาคำพูดนำ
    ว่าสุขแท้ๆ ขอให้ใจร่มรื่น ทิ้งคิดซะ ให้จับกระแสความร่มรื่น ร่มเย็นด้วยใจ

    มันจะเริ่มผ่องใส แวววาว และแผ่ออกไปตามกำลังของสมาธิของเราเอง

    ช่วงระยะเวลาที่เบนซ์ สวดมนต์ มีศีลปรากฏเกิดขึ้น จิตปราศจากกามคุณ๕
    มีคุณธรรมภายในปรากฏ มีคุณธรรมภายนอกปรากฏรักษา

    เมื่อสำรวมใจแล้วก็จงแผ่อำนาจทิพย์อำนาจแห่งพรหมด้วยใจบริสุทธิ์ ย่อมบังเกิดผลเป็นอันมาก หลังจากแผ่เสร็จแล้วก็อุทิศกุศลผลบุญที่เรากระทำมาด้วย
    กาย วาจา ใจ ที่บริสุทธิ์อีกทีครับ

    อำนาจที่เกิดจากใจบริสุทธิ์จะมีพละมาก มีคุณมาก ช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้มาก
    แม้เทพเทวาอารักษ์ก็จะเพิ่มมากเป็นเงาตามบุญที่งดงามเช่นดั่งว่านี้...
     
  9. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    สาธุครับคุณอ้อง ผมพอจะเข้าใจวิธีบ้างแล้วครับ เมื่อวานหลังจากได้อ่านที่คุณอ้องแนะนำ หลังเลิกงานก็ได้เปิดทีวีกดไปเรื่อย ๆ ก็เจอช่องของพระอาจารย์ปราโมทย์ ผมยังไม่เคยฟังท่านเลยสักครั้งครับ

    ก็เลยนั่งฟัง ในรายการจะมีแต่เสียงของพระอาจารย์ปราโมทย์ แนะนำคนที่มาปฏิบัติ เหมือนกับการมาส่งการบ้านครับ เมื่อคืนทำให้ได้รู้แนวทางเยอะเลยครับ และพอรู้แนว

    ทางที่คุณอ้องได้อธิบาย ในเรื่องของการรู้จิต ให้รู้อย่างเดียว อย่าไปกด ไปบังคับ ปล่อยให้จิตมันทำงานของมันไป เรามีหน้าที่รู้เท่านั้น

    สาธุครับ ๆ คุณอ้อง
     
  10. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ส่งการบ้านเพื่อทำความเข้าใจก้าบ

    ขอบคุณคับคุณอา....เบนซ์พอจะเข้าใจแล้วคับ...ศีลเป็นฐานและก็เป็นบาทในการรองรับพลังงานอันบริสุทธิ์ของ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เมื่อเราสำรวมระวังรักษาศีลจนกลายเป็นความปกติของใจแล้ว..ศีลก็จะมีความบริสุทธิโดยที่เราไม่ต้องไปคอยกังวลหรือคอยห่วงว่าจะทำศีลขาดรึเปล่า...เมื่อศีลดีแล้วจิตก็จะดีตามเมื่อจิตเราตั้งมั่นองค์คุณของพระคาถาก็สามารถผสมผสานกลมกลืนผนวกเข้ากับตัวเราได้เพราะเราเป็นภาชนะที่สะอาดเป็นที่รองรับความบริสุทธิ์ของพระรัตนตรัย...และเมื่อเราจิตสว่างจิตตั้งมั่นพลานุภาพของพระคาก็จะมากตาม......เบนซ์เข้าใจถูกมั๊ยคับ;20
     
  11. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ส่งการบ้านอาอ้องเรื่องการแผ่เมตตาคับบ๋ม

    ;welcome3ถามอาอ้องต่อเรื่องการแผ่เมตตาจากการสวดนะคับ...ความหมายของคุณอาก็คือเมื่อเรามีจิตที่ตั้งมั่น...ดำไว้ซึ่งคุณแห่งพรหมวิหารธรรม....และรู้จักการให้โดยไม่มีเงื่อนไข(อยาก)จิตสำรวมระวัง..และมีสติรู้ตัว...พร้อมกับน้อมนำอารมณ์แห่งความชุ่มเย็น และเบาสบาย อีกทั้งความสงบจากตัวพระคาถา ....เมื่อได้สำรวมอารมณ์ไว้ดังนี้แล้วอาณุภาพของพระคาถาก็จะคุ้มครองตัวเราไปโดยตลอด ตราบใดที่จิตของผู้สวดยังคงสว่างสงบ..และบริสุทธิ์.......และเมื่อ;20องค์คุณของพรหมวิหารดีพร้อมแล้ว..จิตตั้งมั่นดีแล้ว..พร้อมทั้งมีศีลเป็นเครื่องรองรับดีแล้ว..เมื่อเราตั้งจิตแผ่เมตาอันเป็นกุศลจิตที่ดีออกไปอาณุภาพแห่งพลังงานอันบริสุทธิดังกล่าวย่อมให้ผลมาก..ให้กำลังมาก..ผู้ได้รับสามารถรับได้แบบเต็มๆ..เบนซ์เข้าใจถุกมั้ยคับคุณอา;k07
     
  12. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ทำบุญพระธาตุวัดสถาน

    [​IMG]
     
  13. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    สวัสดีครับคุณอ้องและทุก ๆ คน วันนี้มีขอสงสัยจะปรึกษาครับ

    1.เรื่องโมหะ ผมเองก็เป็นคนที่มีโมหะน้อย แต่ก็มีให้ได้เห็นอยู่บ้าง นับตั้งแต่ดูโมหะของตัวเองมาสักระยะ ปรากฏว่าหลัง ๆ มานี่การปรุงแต่งของจิตได้เปลี่ยนไป

    ถ้ามีใครมาด่ามาว่า ถ้าเป็นแต่ก่อนจะมีโมหะ ขึ้นมาแต่คราวนี้เปลี่ยนเป็นน้อยใจแทน ซึ่งแปลกใจมาก ๆ ทำไมจู่ ๆ เราไม่โกรธทำไมเราน้อยใจ ที่เขามาตำหนิติเตียนเรา

    2. เรื่องการกินอาหาร ผมได้ฝึกการกินอาหารด้วยครับ คือ เคี้ยวก็รู้ รสอาหารก็รู้ กลืนก็รู้ หลังจากที่ปฏิบัติมาได้สักระยะ สิ่งที่ได้พบก็คือ ความสุขในการกินอาหารได้หายไป ไม่มีการปรุงแต่งความอิ่ม ความสุขในการกินออกมา มันจะรู้สึกทือ ๆ และในบางครั้งจิตมันดิ้นเพื่อจะให้เราเสพความสุขในการกิน และทุกครั้งในการกินแต่ก่อนที่เราจะตักอาหารเราจะเลือกอาหารที่คิดว่าอร่อยหรือ ชิ้นนี้อร่อย แต่ระยะหลังมาไม่มีการเจาะจง เพราะในเมื่อเราไม่รู้ความอร่อย ไม่รู้ชิ้นไหนน่าอร่อย จึงทำให้ตักอาหารแบบไม่เจาะจง และเริ่มแยกความรู้สึกได้ว่า กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกินเป็นยังไง ก็เลยอยากจะถามคุณอ้องครับว่า ผมเดินทางมาถูกแล้วหรือยัง และควรทำยังไงต่อไปครับ
     
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณกองกอย

    จิตไม่มีโทสะก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตน้อยใจก็รู้ อย่าไปดูอาการของจิตที่โลดแล่นไป
    สติที่รู้สึกตัวว่า น้อยใจช่วงแรกจะมีกำลังน้อย แต่พอจิตมันจดจำสภาวะธรรม
    ของจิตน้อยใจชนิดนี้ได้ สติจะมีกำลังมากขึ้น สมาธิก็จะปรากฏ เมื่อจิตน้อยใจชนิดนี้ปรากฏ เพราะเริ่มชินสภาวะมากขึ้น

    ทำไมเราต้องมารู้จิตแต่ละชนิดที่ปรากฏ...
    ก็เพื่อการตื่น การไม่เผลอหลงไปกับโลก
    พอเรามีสติมารู้กายรู้จิตอันเป็นที่ตั้งของทุกข์

    เราจะเห็นแรงผลักของความหิวอารมณ์คือตัณหา(สมุทัย)
    ดังนั้นถ้าเรารู้ทุกข์ชัดแจ้งเราก็ละเหตุแห่งทุกข์ได้

    เราจึงต้องมารู้ที่กายและจิตที่ปรากฏตามจริง ไม่เข้าไปปรุงแต่งจิต

    ส่วนการรัปประทานอาหารนั้น ให้สังเกตุจิตด้วยว่า เดี๋ยวก็ไม่เจาะจง บางครั้งก็เจาะจง บางครั้งขณะทานก็เผลอคิด บางครั้งก็มองสิ่งอื่น ได้ยิน ได้กลิ่น รับรู้รส
    จิตมันจะวิ่งเข้าไปรับรู้อารมณ์และมีคิดปรุงแต่งสลับกับรู้สึกตัว

    คุณกองกอย ยังติดเพ่ง มีปัญญานำในความละเอียดอยู่ อย่าพึ่งไปรีบรู้ชัด รู้ละเอียด โดยลืม สติ สมาธิของตน ข้อนี้หลวงปูู่่เทสก์ท่านสอนเสมอ

    ที่ทำมาดีแล้ว แต่ไม่ได้บอกอ้องว่า มีเผลอ มีหลงไป เพราะขณะทานข้าว
    จิตมันจะเปิดช่องว่างวิญญาณทั้ง๖ทั้งหมดปรากฏ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    จิตจะวิ่งไหลไปหาเหตุ ทั่วไปเต็มไปหมด

    ดังนั้นเวลาทานข้าว สติ สมาธิ ถ้ามีกำลังน้อย จะเป็นการปรุงแต่งคิดตนเอง
    เอาแบบชินๆสภาวะนะครับ อย่าพึ่งรีบร้อน ทำดีแล้วครับ

    แต่อย่าเอาปัญญานำ อบรมสติให้เข้มแข็งชินกับสภาวะก่อน เมื่อนั้นจะรู้ธรรมชาติแบบไม่ต้องเข้าไปแยกแยะ ความชินจะแยกออกมาเอง เห็นเอง รู้เอง
    และก็มาๆไปๆดับไปต่อหน้าต่อตา ด้วยใจที่ไม่หวั่นไหว เพราะขัดเกลากิเลสในรูปนามชนิดนี้ได้มากขึ้น

    แล้วไปขัดเกลากิเลสตัวอื่นอีกต่อไป ...
     
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    พระธาตุวัดสถาน

    เริ่มทำพิธี

    [​IMG]

    ขณะทำพิธี
    [​IMG]

    พระธาตุองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    [​IMG]

    วันที่ได้ไปทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้น เป็นวันที่แปลกอีกวันหนึ่ง
    เพราะเชียงรายเกิดพายุขนาดหนักในตัวเมืองห่างจากวัดไม่มากนัก ฝนตกเป็นลูกเห็บ
    พายุพัดจนร้านค้าข้างทางต้องปิดกันวุ่นวาย แต่ทางวัดสถานกลับไม่มีพายุ
    มีแต่เพียงลมแรงแต่ไม่มากนัก...

    ช่วงเช้าขอให้สังเกตุรูป ในขณะที่เริ่มพิธี..
    ช่วงเช้าฝนยังคงตกปอยๆ เป็นเม็ดดฝนเล็กๆ คนจึงยังหลบอยู่ในซุ่ม
    แต่พอคนทำพิธีเริ่มจุดธูป...
    ฝนที่ตกปอยๆก็หยุดเป็นปลิดทิ้ง ธูปก็ไม่ดับ เทียนก็นิ่ง ไม่ปรากฏลมแรง

    ขอให้ดูรูปเริ่มสวดอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในขณะเริ่มทำพิธี
    หลังจากพราหมณ์สวดมนต์ ท้องฟ้าที่มืดมิดเพราะมีแต่เมฆหมอกก็พลันสว่าง
    อย่างอัศจรรย์ แสงสว่างส่องมากระทบที่พระบรมสารีริกธาตุส่องเป็นแสงสว่างสุกใส..

    รูปที่1-2 กินระยะเวลาไม่กี่นาที แต่สังเกตุที่ท้องฟ้านะครับ ต่างกันจนอดมีปิติ สุขไม่ได้

    ส่วนรูปที่3 เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    การสร้างพระบรมสารีริกธาตุนั้นนับว่าใช้เวลาอยู่เพียง1ปีก็สำเร็จผล
    ทั้งการเงิน การก่อสร้าง ก็สวยงาม น่าชื่นชม...

    ขอเพื่อนๆอนุโมทนาในกุศลกันเพื่อยังจิตให้ร่มเย็น สดใส เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข
    เพื่อเกื้อกูล เพื่อความเป็นทางเดินอันดีที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นตัวอย่าง
    ตลอดเส้นทางแห่งทางดำเนินเพื่อความพ้นไปอันมีแต่ความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

    สาธุ อนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2009
  16. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +373
    อนุโมทนา สาธุ

    ;38 พระธาตุสวยงามจริง ดูแล้วมีความสุขใจไปด้วย ขอให้ทวยเทพที่ดูแลรักษาพระธาตุมีความสุขด้วยเทอญ
     
  17. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สวัสดีครับอาอ้าง

    ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มีเวลาแวะมาอ่านกระทู้อาเลยครับ ยุ่งจริงครับอา แต่ยังปฏฺบัติ อย่างที่อาบอกเสมอครับ

    ... เป็นบุญแท้ที่ อาชอบเอาบุญมาฝากคนในกระทู้จริงๆ ^^ ผมทำด้วยคนน่ะครับอา สาธุ ^^
     
  18. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    เพ่งจิต กับ ตามรู้จิต ต่างกันตรงไหนครับ
     
  19. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณกองกอย

    การเพ่งจิตเป็นลักษณะจงใจกำหนดเข้าไปรู้

    จิตมีสภาพจับต้องไม่ได้ และมีความเร็วอย่างหาใดเทียบ

    จิตดวงเก่าที่ดับไปถูกรู้ด้วยจิตดวงใหม่ถ้ามีสติที่รู้สึกตัวและมีกำลังนี่คือ
    การตามรู้จิต

    ตรงที่รู้สึกตัวในสิ่งที่ผ่านมาชั่วแวบนึง เพราะชินสภาวะธรรม
    นี่คือการตามรู้จิต นี่คือ จิตเห็นจิต

    จิตเห็นจิตก็คือจิตดวงใหม่เห็นจิตดวงเก่าที่ดับไป

    การเพ่งและการตามรู้จิตต่างกันตรงที่ ...
    สิ่งหนึ่งจงใจมีตัวผลักเข้าไปกำหนดจดจ้อง(มีความต้องการธรรมชาติในอารมณ์หนึ่ง)

    อีกสิ่งไม่มีการจงใจแต่รู้สึกตัวด้วยสติเพราะความชินสภาวะเหมือนเห็น
    เหมือนรู้ เหมือนสัมผัส เหมือนรับรู้ในสิ่งที่ผ่านมาชั่วแวบนึง
    (ไม่มีความต้องการธรรมชาติแต่รู้สึกตามจริงของธรรมชาติ)

    ดังนั้น การเพ่ง เราทำเพื่อให้จิตเป็นเอกัคคตาจิต มีสภาพเป็นหนึ่งคือใจที่เที่ยงธรรม สบายๆ เฉยๆ หลุดพ้นจากธรรมชาติ คิดนึกปรุงแต่ง
    เมื่อจิตมารวมกลายเป็นใจ ก็ขัดเกลาใจที่ยังมีอุปทานในขันธ์
    ตามรู้จิตที่มีสภาวะธรรมที่เป็นอนัตตา

    หลวงปู่เทสก์สอนว่า แยกจิตออกจากอารมณ์
    จิตเกิดขึ้นกับอารมณ์เสมอ แต่ถ้าแยกผู้รู้คือจิต สิ่งที่ถูกรู้คืออารมณ์ที่มากระทบ
    รู้และวางอารมณ์ตรงอุปทานในขันธ์๕

    เมื่อไม่ยึดอารมณ์ทุกข์จะมาจากไหนกันดังนั้น การที่เราจะละวางอารมณ์เสียได้

    เราจึงต้องอบรมสติ เมื่อสติบริบูรณ์เต็มกำลัง ไม่ว่าอารมณ์ใดๆปรากฏก็จะรู้และวางลงเสียได้ด้วยปัญญาที่ฝึกมาดีแล้ว

    เราไม่ปฏิเสธเพ่ง เพราะถ้าเพ่งเข้าไปรู้ก็ให้รู้สึกเพื่อจดจำสภาวะธรรมเช่นนี้เอาไว้
    ถ้าชินสภาวะเพ่งมากพอเผลอเข้าไปเพ่ง ประคอง ก็จะรู้สึกตัว สติก็จะตื่นและเห็นจิตดวงเก่าที่ดับไปเมื่อกี้เป็นเพ่งเข้าไปรู้ จิตดวงใหม่ก็คือ จิตที่เห็นจิต

    ถ้าสติมีกำลังต่อเนื่องก็จะเห็นสภาวะเหมือนสายน้ำไหล ตามรู้จิต เห็นความจริง
    จนคลายอุปทานในขันธ์ เบื่อหน่ายในขันธ์ และเห็นว่า ขันธ์ไม่ใช่เราจะยึดไปทำไม เมื่อนั้น จะเกิดสักแต่รู้อารมณ์อย่างแท้จริง คือรู้อารมณ์และวาง ด้วยเพราะไม่มีแรงผลักของตัณหา

    เมื่อละเหตุ(สมุทัย)ทุกข์ก็ไม่ปรากฏ

    หลวงพ่อชาบอกว่า ทำแทบตาย แค่วางอารมณ์ โธ่ถัง(กว่าจะรู้ก็แทบรากเลือดแหะๆ)

    อนุโมทนาครับ
     
  20. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    อนุโมทนาครับ คุณอ้อง ผมเองก็พึ่งจะได้คำตอบ 5 5 5 5 5 5 สงสัยมาตั้งนานแต่ไม่กล้าถาม ตัวที่ไปรู้จิตนี่คืออะไร วันนี้ผมได้รู้แล้วครับมันก็คือจิตดวงใหม่นี่เอง ระหว่างนั่งสมาธิ เราก็ ภาวนาไป แล้วจิตก็ไปโน้นไปนี่ แล้วผมก็สงสัยเอ๊......แล้วอะไรนะที่ไปรู้จิต

    ว่าไปโน้นไปนี่ แล้วอะไรนะที่ภาวนาอยู่นี่ พุธ โธ ๆ แล้วอะไรนะที่ จับลมหายใจเข้า หายใจออก ตัวที่ติดตามรู้นี่คือใครนะ วันนี้ได้รู้แล้วครับ สาธุครับคุณอ้อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...