เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. ฟลัฟฟี้

    ฟลัฟฟี้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +132
    จากหน้า 505 ขออำนาจบารมีแห่งคุณพระรัตนตรัย ตลอดจนบารมีที่คุณอ้อง เพียรปฏิบัติมาทุกภพทุกชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบันวันนี้ รวมทั้งบุญกุศลที่ดิฉ้นได้สั่งสมมาตามอรรถภาพ ในทุกภพทุกชาติรวมทั้งชาติปัจจุบันวันนี้ เป็นพลังสนับสนุนให้อธิษฐานจิตของคุณอ้องจงดำเนินไปด้วยความเจริญและสำเร็จใจอธิษฐานจิตนั้นโดยทุกประการ ตราบเจ้าสู่พระนิพพานเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  2. Apisada

    Apisada สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    สวัสดีค่ะคุณอ้อง ได้เข้ามาอ่านธรรมะที่คุณอ้องเขียนมีความรู้สึกปลื้มปีติในธรรมะที่คุณอ้องได้อธิบาย เข้าใจง่าย
    ทำให้มีแรงบรรดาลใจเพิ่มในการปฏิบัติ และวันนี้ได้นิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญบ้าน ขออนุโมทนาบุญนี้ให้กับคุณอ้องและครอบครัว และทุกคนในเวปนี้ด้วยค่ะ สาธุ :)
     
  3. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ชื่นใจดีแท้

    ขออนุโมทนาบุญของแต่ละท่านด้วย
    จิตที่ร่มเย็นเป็นสุขช่างชื่นใจยิ่งนัก
    และขออนุโมทนาจิตที่ให้อ้องมาด้วยบางท่านก็ตั้งใจแรงเต็มที่เลย...

    วันนี้คงจะเดินทางเข้าเชียงรายพรุ่งนี้คงทำบุญฉลองพระธาตุ..
    ไว้จะถ่ายรูปสวยๆมาฝากกันนะครับ

    ขอให้อำนาจแห่ง ศีล คุณธรรม บารมี จิตอันยิ่งใหญ่จงปรากฏอยู่ภายใน
    ขอให้อำนาจแห่งสมาธิ รวมเข้าสู่พรหมวิหารแห่งใจที่แกนกลางแห่งอุเบกขา

    ขอให้เดชเดชะบุญทั้งผอง คุณธรรมที่ดีงามจงปรากฏ
    ส่องสว่างแผ่ไปเจิดจรัสทั่วทุกภพ เข้าถึงจิตถึงใจ

    สิ่งใดๆที่ข้าพเจ้ากระทำมาด้วยกาย วาจา ใจที่บริสุทธิ์
    ขอให้อำนาจแห่งทาน ศีล ภาวนา พรหมวิหารจงสถิตย์อยู่ในจิตใจท่านทั้งหลาย

    เพื่อความอบอุ่น ร่มเย็น ชุ่มชื่น ปิติ สุข เพื่อความผ่องใส สบายกาย สบายใจ
    จงบังเกิดโดยพลันทันที ที่รับรู้ถึงจิตข้าพเจ้าด้วย
    ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญแห่งสติปัญญาอย่างไม่ท้อแท้
    ไม่สิ้นหวัง สิ่งใดที่กระทำไปเพื่อความบริสุทธิ์

    ย่อมพบความบริสุทธิ์ด้วยเดชแห่งอำนาจเช่นว่านี้
    ขอให้เพื่อนๆพบสันติภายใน ในไม่ช้าด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    สาธุ ครับคุณอ้อง พูดได้ตรงเลยครับ ผมวางจุดมุ่งหมายมากเกินไป ผมเองก็ปักธงลงใจ

    แล้วว่าชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้าย และด้วยที่เราก็ไม่รู้ว่าจะตายเร็วช้าก็ไม่รู้ พอมาดูการฝึก

    ก็ไปไม่ถึงไหน ถ้าพลาดถ้าตายขึ้นมาทำไง ก็ต้องไปเกิดอีก เซ็งเลยสิแบบนี้ แล้วเมื่อไหร

    จะหลุดพ้นสักที แล้วชาติต่อไปจะได้เกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะมีโอกาสได้มาศึกษาธรรม

    อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ............ ผมคิดมากไปไหมครับคุณอ้อง
     
  5. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    วิสัชนา..คับคุณอาที่เคารพffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    ขอบคุณคับคุณอา ส่วนเรื่องที่อาอ้องแนะนำนั้นตามความเข้าจัยของเบนซ์ก็คือ การที่เบนซ์นั่งแล้วติดความสงบของจิต โดยเอาจิตเข้าไปแช่ติดอยู่กับความสุขในสมาธินั้นมันเป็นการทำให้จิตไม่เกิดการพัฒนาใช่ปะคับ ดังนั้นทุกครั้งที่จิตดิ่งลงสู่ความสงบเราควรจะมีสติ(คือการระลึกรู้)สัมปรัญชัญยะ(คือการรู้ตัวทั่วพร้อม)ระลึกรู้อยู่ให้เต็มรอบ อย่าติดในสุข ให้ดำรงสติเพิ่มตัวรู้เข้าไปพิจารณา เหมือนกับสุขสักแต่ว่าสุข ไม่ยึดความสุขนั้นมาเป็นอารมณ์ แต่หันมาใช้ตัวปัญญาคือวิปัสสนาเป็นเครื่องพิจารณาแทน เช่นหันมาพิจารณากาย ว่ากายนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ขันธ์ที่หลงครอบครองนี้ไม่ใช่เรา มันไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงรูป และ นาม มารวมกัน จนก่อเกิดเป็นสังขาร แล้วพิจารณาแยกธาตุขันธ์ที่หมายครอบครองนี้ว่ามันมีการแตกดับของธาตุทั้งสี่ที่มาประชุมกัน เมื่อขาดลม ไฟจึงดับ เมื่อไฟดับ น้ำและดินย่อมคลายตัวออกจากกันสุดท้ายก็ไม่มีอะรัยเป็นเราเลย เบนซ์เข้าใจถุกมั๊ยคับอาอ้อง ดังนั้นการที่จะนั่งสมาธิแล้วให้จิตเกิดการพัฒนานั้นเราต้องไม่ติดสุข ถึงแม้ว่าความสุขในองค์สมาธินั้นมันเป็นความสุขที่หาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ แต่นั้นมันก้ไม่ใช่สุขที่แท้จริง เพราะจิตที่ติดสุขโดยขาดปัญญาในการพิจารณานั้นเมื่อออกมาเจอกับอารมณ์กระทบของสภาวะของโลกภายนอกนั้น มักจะเกิดอาการฟุ้งของจิต ต้านรับกับปัญหาและอารมณ์ที่มากระทบไม่ค่อยได้ ซึ่งต่างจากคนที่ รู้จักใช้ปัญญาในการตามรู้ดูการเกิดดับของอารมณ์ของจิตอยู่บ่อยๆ เพราะคนประเภทนี้มักจะแก้ปัญหาเก่งเมื่อออกมาเจอสภาวะของโลกภายนอก อะรัยมากระทบก็รู้จักวิธีที่จะใช้ปัญญาในการพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาเกิดจากอะรัย หาเหตุเจอ ก็ย่อมหาผลของมันได้ พอทำบ่อยเข้าจิตจะเกิดความเคยชินกับสิ่งที่มากระทบ ต่อไปสติก็จะเต็มรอบและเข้มแข็งขึ้น เบนซ์เข้าใจถูกรึเปล่าคับอาอ้อง <O:p></O:p>
    **อาอ้องคับแล้วอย่างที่เบนซ์ปฏิบัติอยู่นี่ละคับเพราะรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นคนที่ชอบกำหนดลมหายใจกับการภาวนาพุธโธ และสิ่งที่ชอบมากทีสุดก็คือการกำหนดลมเหมือนอย่างที่โยคีเค้าทำกันอะคับที่หายใจเข้าให้เต็มปอด<O:p></O:p>
    แล้วกำหนดตัวลมนั้นให้เป้นรูปของพลังงานของปราณให้ไหลวนไปตามกระดูกสันหลังจนทะลุกลางกระหม่อม เมื่อทำแล้วเบนซ์จะรู้สึกว่าจิตมันคลาย มันปลอดโปร่ง แล้วมันทำให้สมาธิตั้งมั่นได้มากขึ้นอะคับ<O:p></O:p>
    ผิดถูกเห็นควรยังงัยรบกวนคุณอาแนะนำด้วยนะคับ เพราะเบนซ์ถนัดที่สุดก็ตรงที่การดูร่างกายและเล่นกับกายนี่แหละคับ ถ้าช่วงไหนฟุ้งมากๆก็จะพิจารณาว่ากายที่เราครอบครองนี้เวลามันเน่าแล้วมันเป็นยังงัย ค่อยๆถลกหนังออกแล้วให้เหลือแต่กระดูก ทำแบบนี้แล้วจิตจึ่งสงบลงได้อะคับคุณอา อีกอย่างเบนซ์เป็นคนที่ติดฤทธ์มากๆเลยคับ ทุกครั้งที่หลงในฤทธิ์นั้นเบนซ์จะพยายามๆเอาศีล และพรมวิหารมาใช้ให้มากๆ เพราะเมื่อใดก็ตามที่จิตมีศีลเป็นกรอบ มีศีลเป็นที่ตั้ง ผนวกกับการที่เราเจริญพรมวิหาร4ให้มากๆจิตจะเกิดความเมตตา ดังนั้นมันจะช่วยลดความคึกคะนองของการอยากจะใช้ฤทธิ์หรืออยากจะมีฤทธิ์ (พูดเหมือนมีเลยเนอะ)ได้อะคับคุณอา เบนซ์กลัวว่าซักวันหนึ่งที่เบนซ์มีฤทธิขึ้นมาจริง แล้วเกรงว่าจะขาดสติในการรู้ผิดชอบชั่วดี กระทำการอันใดลงไปด้วยความอะหังกาและหยิ่งผยอง แต่เบนซ์ยังถือว่าชีวิตยังมีความโชคดี ที่จิตมีที่ยึดเหนี่ยวที่มั่นคงคือพระรัตนตรัย อีกทั้งยังมีพระอริยะบุคลที่เรายึดมั่น(แต่ไม่ถือมั่นนะคับ)มาเป็นสังฆานุสติ อย่างหลวงปู่ทวด สมโต หลวงปู่ดู่ โพธิสัตว์กวนอิม ท่านทั้งหลายล้วนแล้วแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรมวิหารธรรมอันดำรงไว้ซึ่งความเมตตา ทุกครั้งที่โกรธ ทุกครั้งที่เราต้อง เผชิญกับการกระทบกระแทกของ โลกธรรม จะนึกถึงคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์และความเมตตาของท่านมีมีต่อมนุษย์หรือสัตว์ เมื่อคิดได้อย่างนี้จิตของเบนซ์ก้จะเย็นลงอย่างบอกม่ายถูก <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    สุดท้ายแต่ม่ายท้ายสุดนี้ผิดถูกยังงัยเกี่ยวกับการปฏิบัตของหลาน ขอความเมตตาจากอาอ้องช่วยแนะนำให้เดินได้ถูกทาง และทำให้เบนซ์ได้เดินทางกลับบ้านได้อย่างเต็มภาคภูมิด้วยนะคับ....อยากกลับบ้านจริงๆคับอารมณ์ นี่มันเป็นควิสัชนา..คับคุณอาที่เคารพffice<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shapetype class=inlineimg id=_x0000_t75 title="Tongue out" src="images/smilies/tongue-smile.gif" alt="" border="0" smilieid="24" stroked="f" filled="f" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" o</v:shapetype>referrelative="t" o:spt="75" coordsize="21600,21600"> <v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></v:f><v:f eqn="sum @0 1 0"></v:f><v:f eqn="sum 0 0 @1"></v:f><v:f eqn="prod @2 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @0 0 1"></v:f><v:f eqn="prod @6 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="sum @8 21600 0"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @10 21600 0"></v:f></v:formulas><V:path o:connecttype="rect" gradientshapeok="t" o:extrusionok="f"></V:path><?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</o:lock><v:shape id=_x0000_i1025 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMIN_~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/omg-smile.gif"></v:imagedata></v:shape>ffice" /><?XML:NAMESPACE PREFIX = O<v /><O<v:shape id=_x0000_i1026 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMIN_~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata>></O<v:shape> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMIN_~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata>><O:p></O:p>
    <O<v:shape id=_x0000_i1028 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMIN_~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata>></O<v:shape> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMIN_~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata>><O:p></O:p>
    <O<v:shape id=_x0000_i1030 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMIN_~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata>></O<v:shape> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\ADMIN_~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata>><O:p></O:p>;aa48
     
  6. อิสสริยะ

    อิสสริยะ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2009
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +22
    ไม่ติดแล้วค่ะคุณอ้อง ครั้งล่าสุดนี้พอได้พักจิตสักครู่ก็กลับไปเจริญวิปัสสนา พิจารณา ไตรลักษณ์ก่อนถอนออกจากสมาธิ ขอบคุณค่ะสำหรับคำแนะนำ
     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบเบนซ์

    [FONT=&quot]อนุโมทนาเบนซ์[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตที่แช่ในปิติ สุข ไม่มีปัญญานี้จริง[/FONT][FONT=&quot]…<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]พี่เรียกว่า จิตเคลิ้มกับอารมณ์ เหมือนสบายๆ ละเอียด ว่างๆ เหมือนไม่มีอะไร กายก็ไม่ปรากฏ มีแต่เสวยอารมณ์ สุขประณีต ปิติประณีต แต่สติอ่อนกำลังลง ใจไม่ต้องการพิจารณาสิ่งใด จึงเรียกว่า สติขาดกำลัง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ช่วงที่เผลอหลงเข้าไปใน ปิติ สุข พอรู้สึกตัวว่า เผลอเข้าไป ให้พิจารณาในช่วงที่เผลอหลง และช่วงที่มีสติตื่นขึ้น[/FONT][FONT=&quot]…<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ปิติ สุข เมื่อไม่หวั่นไหว ไม่คล้อยตาม จึงจะพบความเที่ยงธรรมของใจบริสุทธิ์[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สติจะกลายมาเป็นมหาสติตรงที่สัมมาสมาธิ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]ปรากฏ(ใจ)

    [FONT=&quot]เมื่อใจเที่ยงธรรมจะปรากฏ สักแต่รู้อารมณ์โดยไม่หวั่นไหว สัมปชัญะ (ความรู้ชัด)จึงปรากฏ
    จิต สติ อารมณ์จะเสมอภาคโดยไม่มาบังคับกันและกัน[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อปรากฏใจ ให้พึงพิจารณารูปนามที่ปรากฏตามจริง เพราะสัมมาทิฐิ
    ความรู้ถูกจะปรากฏเมื่อใจเที่ยงธรรมที่อุเบกขาสติเป็นแกนกลาง เมื่อมรรค๘เคลื่อนอริยสัจ๔[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ย่อมปรากฏพระไตรลักษณ์ย่อมแสดงความจริงอย่างไม่ผิดพลาด[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ในส่วนนี้น้องเบนซ์อย่าไปสลับกัน อย่าพึ่งไปแยกแยะพิจารณาในช่วงที่ สติ สมาธิ มีกำลังอ่อนอยู่ การดูปรมัตถ์จะต้องไม่เอาคิดแทรก รู้สึกรูปนามตามจริงโดย ไม่เอาสังขารไปปรุงแต่งให้เกิดภพ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เรามาขัดเกลากิเลสคือ อวิชชา ตัณหา อุปทาน[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การพิจารณาแยกธาตุววัฎฐาน๔ อาอ้องไม่ถนัดครับเพราะต้องใช้ปัญญาแยกแยะโดยละเอียดและกำลังสมาธิมากโขอยู่จึงจะเห็นว่าสรรพสิ่งที่ปรากฏมีแต่ปวงธาตุมาๆไป[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]หมุนเวียนเบียดเบียนแลกเปลี่ยนมีสภาพไม่เที่ยง(อาอ้องไม่ถนัดครับ)[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรเลย มีแต่บริสุทธิ์ สะอาด ว่างแท้จริงนั้น[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]มีเพียงแต่มหาสติบริบูรณ์ที่จะหยั่งเข้าไปเมื่อวิชชาปรากฏเต็มกำลัง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]อินทรีย์แก่รอบ สันติสุขที่ปรากฏจะปรากฏต่อหน้าต่อตาชั่วไม่กี่ขณะจิต[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สุขก็เป็นธรรม ปิติก็เป็นธรรม ถ้าไม่จมแช่ครับ [/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมคือความจริงของธรรมชาติที่ปรากฏ แต่เราพอไปเพลินกับธรรมชาติ ความจริงย่อมเลือนหายไปเช่นเดียวกับกายและจิต เหลือเพียงแต่ สุข ปิติครับ(อนุโทนา เข้าใจถูก)[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้นปัญญาที่แท้จริงอยู่ที่มีสติรู้สึกตัวตามจริงที่ปรากฏ ไม่หนี ไม่กดข่ม พร้อมเผชิญหน้าอย่างท้าทายเพื่อเรียนรู้ เพื่อจดจำสภาวะ เพื่อตื่นขึ้นเมื่อจิตชนิดนี้ปรากฏ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การไม่เผลอหลงย่อมแสดงว่า สมาธิมีกำลังมากขึ้น สภาวธรรมที่ปรากฏได้บ่อย ได้ถี่ ย่อมทำให้จิตอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]อาอ้องจะเห็นกายเป็นเช่นนี้ครับ[/FONT][FONT=&quot]…<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้น วิหารธรรมอาอ้องอยู่ที่อิริยาบถ(ของเบนซ์อาจะอยู่ที่ลม)[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ตรงนี้เรียกว่าจิตถึงฐาน รู้ชัดตรงไหน จิตก็อยู่ตรงนั้น เพราะฐานจิตมีสภาพเลื่อนลอย[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ชัดตรงไหนฐานก็อยู่ตรงนั้น[/FONT][FONT=&quot]…<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่ออาอ้องมอง อิริยาบถ อาอ้องเห็นจิตไหลไปหาเหตุคืออารมณ์ที่จิตไปยกขึ้นมา[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]อาอ้องมองดูสภาวธรรมที่ปรากฏด้วยเพราะชินในสภาวะเพราะการอบรมสติ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]อาอ้องไม่ใช้คิด เพราะคิดไม่ได้ทำให้รู้ได้ ต้องดูปรมัตถ์คือไม่เอาคิดเข้าไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดภพ(กรรม)[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]อาอ้องจะเห็นรูปนามที่ปรากฏในขณะที่ตื่น มันแปลกๆตรงที่ว่า กายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วยจิต[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]และมันเกิดดับเร็วมาก ในขณะที่รู้สึกตัว มันไม่รวมร่าง ไม่รู้อธิบายอย่างไร ไม่รวมร่างเนี่ย)[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]คือ ไม่รวมร่าง มันเร็วมาก ชัดตรงไหนก็รู้มันจะเห็นกายตึง หย่อน ขยับ ไหว เคลื่อน ร้อน เย็น นุ่ม แข็ง หมุน ตอนนี้ละถ้ามาถามอาอ้องว่าเป็นกายอาอ้องหรือไม่[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]คงต้องถามกลับว่า ตึงนี่เป็นเราหรือ หย่อนละ แข็ง นุ่ม อ่อน เคลื่อน ไหว ขยับ สารพัดเลยนะที่รู้สึกตัวตื่นเนี่ย[/FONT][FONT=&quot]…<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตที่ตั้งมั่นจะเห็นสภาวธรรมที่ปรากฏตามจริงแบบเห็นแล้ว มันคลายอุปทานเลยนะ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ว่ากายนี้เป็นเราที่ไหน นี่คือเฉพาะกายนะครับ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่พอกลังสมาธิหมด ความรู้ชัดหายไป สิ่งต่างๆเหล่านี้ มันรวมร่างเลย คือเหมือนละอองน้ำที่กระจายเป็นเม็ดๆมารวมวูบเข้ามาเป็นก้อนนะ[/FONT][FONT=&quot]..<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]นี่ละสรรพสัตว์จึงเห็นว่ากายมี อาอ้องเห็นแล้วกายที่มีไม่ใช่เราแน่ๆ แต่จิตยังละไม่ได้ครับ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สมาธิอิงสุข ถ้าชอบทำอะไร จริตเราชินกับสิ่งไหนแล้วเข้าสมาธิได้เร็วก็ทำเอานะ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนฤทธิ์จะมีจะเป็นก็ไม่เสียหายหรอก เอาไว้เป็นกีฬา ที่พักไม่ให้ฟุ้งเอานะ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าจิตมันเข้มแข็งและมีปัญญามันไม่ติดหรอก ใจก็ไม่ทะนงตนแน่นอนนะว่าเก่ง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะพรหมวิหารนะทำให้จิตอ่อนโยนเมื่อมีอุเบกขาสติปรากฏ มันจะวางลงเพราะ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เห็นความละเอียดก็ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า เรา เค้าตรงไหน[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมทั้งหลายหยั่งลงที่อริยสัจทั้งหมดนะ งานมีชนิดเดียว คืองานรู้ทุกข์[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนสรณะที่พึ่งให้ยึดในพระรัตนตรัยนะ พระโพธิสัตว์เจ้าต่างๆให้เห็นว่า[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นตัวอย่างอันเป็นการสร้างสิ่งที่ดีเพื่อนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือดำเนินรอยตามในพรหมวิหาร ขันติ การเสียสละ บารมีต่างๆ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตก็จะร่มเย็นเช่นท่านได้ครับ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]น้องเบนซ์ มาเหมือนตั๊มเลย ตอบแบบไม่ให้คาใจเลยนะ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]อาอ้องก็รู้บ้างนิดหน่อยก็ขอให้ศึกษาจากครูอาจารย์ที่รู้จริงมากยิ่งขึ้น[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ขอให้เข้าไปเว็บวิมุตินะครับ อาอ้องเองก็ศึกษาธรรมจากครูที่นั่นเช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]วิปัสสนาก็งูปลาๆนะครับ พอเข้าใจนิดหน่อย [/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สุดท้ายกาย วาจาใจ ถ้าข้าพเจ้าล่วงเกินในพระธรรม เพราะความไม่เข้าใจ หรือผิดพลาดอันใดขอให้พระธรรมงดเว้นซึ้งโทษเช่นนี้เพื่อความสำรวมระวังในกาลต่อไป[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สาธุ[/FONT][FONT=&quot]…อนุโมทนาครับ<o:p></o:p>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2009
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณกองกอย

    เรามาดูภพชาติของพระอริยเจ้าที่ท่านต่างก็ระลึกได้มานะครับคุณกองกอย..

    พระอริยเจ้าต่างก็บอกว่าภพชาติมากมาย ก็มีเผลอหลงไปเป็นสัตว์ก็มากโขอยู่
    เช่นปลา สุนัข อื่นๆอีกมากมายเลยที่ท่านเล่านะครับ นี่คือการเผลอหลง

    เพราะคนนี่ติดชอบคิด พอคิดมาก โมหะก็เยอะก็พลาดได้ครับ

    แต่สิ่งที่ติดข้ามภพข้ามชาตินะครับ
    คือปัญญาที่เดินทางถูกแล้วเนี่ยละครับ

    พอภพใด ถ้าเป็นคนมีขันติ อดทน กล้าต่อสู้ และมีความต้องการเสมอๆในทุกภพที่ผ่านมาคืออยากพ้นทุกข์และเดินมรรคมาถูกต้อง

    เมื่อมาในภพนี้ได้เจอพระธรรมที่ถูกจริต ครูอาจารย์ที่สอนในจริตนิสัยเดิม
    และเป็นคนที่มีปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ก็จะไม่หลงทางและเดินทางถูกสะสมพืชกว่านเมล็ดพันธ์ ได้แล้ว และรอวันพืชที่จะสุกงอม

    ครูอาจารย์ที่เราเห็นเก่งๆในปัจจุบัน บางองค์ท่านสะสมบารมีด้านนี้มา31กัลป์
    แหะๆ นานหยังเขียด... นี่คือขันติธรรม มากๆ ไม่เอาแก่แล้วทำ ชาติหน้าค่อยทำ
    พวกนี้สงสัยอสงขัยอีกเศษแสนมหากัลป์ (มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง)

    สิ่งที่เราพลาดไป หลงไป อย่างอ้องเอง ก็ไม่ได้เสียดายชาติที่หลงไปนะ
    คือภพนี้พอรู้แล้วและมาศึกษาเข้าใจและภาวนาดู มันเชื่อโดยตอนสติที่ตื่นนะ
    ว่าเดินทางถูกละ รอวันอินทรีย์แก่รอบนะ

    ดังนั้น การที่เราตั้งใจจะให้หมดชาตินี้ ใจต้องสู้ถึงเลือดถึงเนื้อนะ
    มานั่งเล่นเน็ต สนุกๆไปวันๆ เสร็จหมด
    คุณกองกอยถ้าต้องการจะพ้นทุกข์ก็ต้องสู้มากยิ่งขึ้นนะครับ

    ถ้าเข้าใจและเดินมรรคถูกนะ 7วัน 7 เดือน 7ปี นี่พบสันติแน่ๆ
    ขอย้ำนิดนะครับ คือต้องเริ่มเดินมรรคถูก ไม่งั้น700ปีก็ไม่พ้น แล้วมาบ่นว่า
    ทำมาเป็น20-30ปี ยังไม่มีอะไรเลย
    นี่คือผิดตั้งแต่ต้น มรรคถูกจึงเริ่มนับนะครับ
    ปัญญาก็มีอย่างอ่อน กลาง มาก การบรรลุธรรมจึงต้องให้เวลาครับ

    ไม่งั้นพระภิกษุสงฆ์สมัยก่อนก็คงจะบรรลุธรรมไม่เกิน7ปีแน่ๆ
    ตรงนี้ต้้องอยู่ที่การทิ้งความทนง ดื้อรั้น เชื่อตัวเองมากเกินไป นี่จะทำให้เสียเวลาครับ แต่ถ้าลดทิฎฐิก็จะทำให้เข้าใจและมีกัลยณมิตรคอยช่วยก็จะทำให้ไม่เนิ่นช้าครับ

    อนุโมทนาคุณกองกอย...
     
  9. 5047

    5047 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +116
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
    ขอถามด้วยจิตอันเป็นกุศล (เห็นกระทู้ว่าอย่างนี้)
    ผมสวดพระคาถาชินบัญชรนานนับ 10 ปี อัศจรรย์มีมากไม่ขอกล่าว แม้ฝันร้ายก็สวดพระคาถาในฝันเสมอ สิ่งที่จะเล่าผมจะบาปมากน้อยอย่างไร (แค่ฝัน)
    ผมนอนภาวนาพุทโธ จนหลับ รู้สึกมีคนมาสะกิดขา 1 สะกิดแขน 1
    ผมเอื้อมมือกุมข้อมือคนสะกิดแขน พร้อมสวดพระคาถาชินบัญชรด้วยความเคยตัว
    ผมรู้สึกว่าเขาสั่น และสบัดแขนออกแรงมาก ผมจึงปล่อยมือ พร้อมลุกขึ้นจากที่นอน
    เห็นผู้ชายสองคน แต่งตัวดีเลือดเต็มตัวเลย ผมตวาดไล่เสียงดังมากเลยครับ
    ดังจนสัมผัสได้ว่าดังเหลือเกิน เห็นเขาสั่นกลัวลนลานครับ (ภาพยังติดตา)ผมล้มตัวลงนอน
    และสดุ้งตื่น รู้สึกเสียใจ จะบาปมากมั้ยเนี่ย
     
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณ5047

    กายบุญอันเป็นที่รัก...

    ความที่หมั่นสวดมนต์อยู่เสมอ พระคาถา และศีลจะทำให้กายบุญปรากฏ
    คือทำให้จิตวิญญาณที่อยู่แถวบ้านรับรู้และต้องการมาเยือน

    การจับขา จับแขน สกิด สัมผัส นี่คือมาด้วยมารยยาทอันงามของเค้า..
    แต่การที่พบเจอในช่วงเผลอสติ ลืมตน และเพราะยังไม่เคยชิน
    ก็อาจจะเผลอหลงเพราะความกลัว ความลำคาญ และอำนาจที่สะสมมาเป็นบาทฐานเดิมคือ คนดุ ...

    การที่เราทำให้เค้าตกใจ หวาดกลัวนี่ไม่บาปเพราะไม่มีเจตนา ถ้าสติมีกำลังเต็มที่
    ใจที่มีศีลรักษาคงละอายและไม่ไปกระทำ เหมือนอ้องครั้งแรก ก็ทำไม่รู้ตัว
    ไม่มีสติ กลัวอย่างเดียวนะ...

    คนที่สวดพระคาถา ถ้ารักษาศีล มีใจพรหมวิหาร กายบุญจะมีสภาพที่สว่างมาก
    อ่อนโยนและมีอำนาจที่เคารพและอบอุ่น วิญญาณใกล้ตัวมาก เทพมาก เพื่อนต่างภพเยอะ

    คุณ5047... บาปคือจิตเศร้าหมองเพราะอกุศลครอบงำจิต ความละอายเป็นศีล
    ความกลัวบาปเป็นศีล ความไม่ต้องการเบียดเบียนใครก็เป็นศีล นี่เป็นสิ่งดีครับ

    แต่การยกวิถีจิตเอาสิ่งละอายมาทำให้ใจเศร้าหมอง จิตชนิดนี้ไม่ควรสะสม
    ไม่ควรยกอารมณ์ แต่ควรมา สำรวมระวัง รักษา สติให้มากขึ้น

    เรารักษาศีลเพื่อเตือนตน เพื่อเจริญสติ เอากำลังของศีลมาทำให้เจริญ
    อย่าเอากำลังของศีลมาทำให้เศร้าหมองนะครับ

    ศีลคือความบริสุทธิ์ของจิต เมื่อจิตเศร้าหมองแสดงว่าเผลอหลงคิดไปเป็นโมหะ
    จิตย่อมมีอกุศล จิตชนิดนี้ถ้ามีสติก็เป็นธรรมถ้ารู้สึกกตัวตื่น แต่ถ้าไปจมแช่อกุศล
    ก็เสร็จกิเลส..

    เราสำรวจใจเราได้เสมอครับแค่สำรวมระวังกาย วาจา ใจ สติย่อมถูกปลุกให้ตื่นได้ง่ายเพราะความเคยชินที่อบรมสตติมา ศีล สมาธิ ปัญญา ล้วนแล้วแต่อาศัยสติเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย จบแบบ ไม่เหลืออะไรเลย
    ทิ้งเอาไว้ที่ข้างหลัง มุ่งเดินหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

    รักษาจิตที่ผ่องใสเป็นหัวใจหลักครับ เพียรชอบในปทาน๔ ย่อมเจริญสติได้ถูกต้อง ส่วนจิตวิญญาณ เค้าก็ต้องคอยหาจังหวะ ขอที่พึ่งอันร่มเย็นของท่านเสมอ
    ขอให้เพิ่มพรหมวิหารไปด้วย จิตจะอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น ตื่นได้เร็วขึ้นครับ

    อนุโมทนา
     
  11. 5047

    5047 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +116
    อนุโมทนา สาธุ สาธ สาธุ
    ด้วยอำนาจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆะคุณ บุญกุศลใดที่ท่านปฏิบัติดีแล้ว
    ผมขออนุโมทนาในบุญนั้นเทอญ
    ผมเป็นคนดุ แต่มีใจเป็นบุญ มีหลายรายมาหาแต่ก็ไม่เคยเจอประชิดตัว อย่างสองแม่ลูกมานั่ง (ฝันอีกแล้ว) ร้องให้หน้าห้อง ผมก็แผ่เมตตาเขาก็ไป(อาศัยอำนาจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆะคุณ) ผีมาขอเยอะ ช่วงหลังไม่ค่อยมีเพราะสวดมนต์เสร็จก็ให้เลย ไม่เจาะจง
    นึกถึงบุญที่ปลื้มใจทุกครั้ง บุญไม่หมดเพราะปลื้มใจไม่หมด สาธุ
     
  12. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +373
    อนุโมทนา สาธุ (i)

    คุณอ้อง...พี่ขอเล่าประสบการณ์ กับการสวดชินบัญชร ไม่แน่ใจว่าสัมพันธ์หรือไม่ คือ เป็นคนกลัวผีมากๆ แต่ก่อนไม่ค่อยรู้ซึ้งถึงการปฏิบัติธรรมการแผ่เมตตา... แต่ชอบไปทำบุญ ฟังพระสวดมนต์ ฟังเทศน์ ชอบมาก... พอได้ยินว่าถ้าใครได้สวดชินบัญชรแล้วจะดีขออะไรก็จะได้ตามความประสงค์ บางคนก็ว่าจำยาก จึงลองท่องจำจนจดจำได้ ซึ่งคิดว่าจะเป็นคาถากันผีได้แน่ๆ ไปทำงานกลับจากทำงานระหว่างทางนึกได้ก็ท่องสวดไปเรื่อย จะนอนไหว้พระแล้วก็สวดก่อนนอน... ต่อมาเวลานอนหลับชอบฝันว่าตัวลอยขึ้นฟ้า สูงขึ้นเรื่อยๆ ต้องกดตัวให้หนักไว้ มีความกลัวบอกไม่ถูก บางทีลอยพอประมาณตามที่ยากไปสนุกดี บางทีฝันว่าหมาจะกัดก็ลอยตัวหนีกัดไม่ถึงแต่ใจแป้วเลย... เป็นคนชอบนอนดึกทำงานไปด้วยสมองปลอดโปร่งดีแต่ก่อนยังไม่สนใจการฝึกสมาธิ บางคืนพอลงนอนเป็นคนชอบนอนดึก จะหลับซะหน่อยเหมือนมีอะไรมองด้วยจิตรู้ว่าเหมือนท่อใหญ่ยาวถึงไหนไม่รู้เป็นสีดำมาดึงดูดอะไรที่หัวยื้อกันจนรำคาญเลยบอกด้วยจิตจะดึงไปไหนก็ตามใจ แค่นี้หยุดเลยหลับได้ งง...บางคืนมาหลายตนทั้งซ้ายขวามาฉุดให้ลุกขึ้นบอกด้วยจิตว่าไม่ไปจะนอนแล้ว ใกล้สว่างคงคิดว่าพวกเดียวกันแน่เลย... วันนั้นกำลังทำความสะอาดพระบูชาและโต๊ะตั้ง อยู่ๆ รู้สึกไหว นึกว่าจะมีอะไรหรือ พอสักพักใหญ่ถึงรู้ว่าย่าตายแล้ว ไปงานศพย่าที่ต่างจังหวัดระหว่างนั้นก็กลับมาทำธุระที่กรุงเทพฯ เหมือนย่าตามมาด้วย พอวันเผาก็ไม่กล้าดูร่างย่า กลัวผีนี่นา ไม่กล้านอนที่บ้านย่าด้วย ไปนอนบ้านน้องที่ตลาดห่างหน่อย. ตอนกลางคืนไม่ดึกเลย หมาหอนเหมือนมีคนขึ้นบันได พอลงนอน ย่ามานั่งข้างเตียงมองดู กลัวย่าพูดอะไร เลยบอกด้วยจิตว่าย่าตายแล้ว ย่าก็หายไป เห็นชุดที่ย่าใส่เต็มตาเลย เล่าให้ญาติฟังใช่ชุดที่เผาเลย พอกลับไปกรุงเทพฯ ย่าไปเข้าฝันอีก จะให้คาถาพูดกับผี ให้มาได้หน่อยยังไม่ทันจบ รีบบอกด้วยจิตว่าย่าตายแล้ว ย่าจึงหายไป ย่าคงเสียใจที่หลานไม่สนใจตั้งแต่นั้นมาไม่ติดต่ออีกเลย เคยฝันไปเห็นหมู่บ้านทำด้วยไม้ ปลูกเป็นระเบียบ ดูสะอาดตา แต่ไม่ค่อยเห็นผู้คน เหมือนมีใครบอกแต่ไม่เห็นตัวชี้ให้เห็นว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านย่าอยู่ คาถานั้นฟังเหมือนจะสั้นๆ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกทั้งที่ตอนแรกเหมือนจำได้ แต่ไม่ครบ มาคิดอีกก็ดีแล้วไม่งั้นคงกลุ้มใจตายเชียว....ยาวไปแล้วขอเล่าแค่นี้ก่อน....คุณอ้องช่วยแนะนำให้พี่ทราบด้วยว่าเป็นความฝันเพราะเป็นโรคกลัวผี หรือเป็นผลจากการสวดมนต์

    ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้วได้โปรดดลบันดาลให้คุณอ้องมีแต่ความเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป
    สาธุ สาธุ สาธุ
    (i) (i) (i)
    ขันติธรรม...ศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ได้ถึงนิพพานในกาลอันควร.
     
  13. taw_wan

    taw_wan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +124
    คุณอ้องค่ะ ถ้าศีล5เราปฎิบัติไม่ครบ ขาดไปบ้างบางข้อ แล้วเราทำสมาธิ ถามว่าจะเป็น
    บุญกุศลกับผู้ปฎิบัติมากน้อยแค่ไหนค่ะ เพราะปุถุชนคนธรรมดามันก็ต้องผิดศีลบ้างไม่ข้อไดก็ข้อหนึ่ง ? ขอบคุณค่ะ
     
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณtaw_wan

    เรื่องศีล...

    เราไม่ได้ดูตรงที่ผิดแล้วยาวทั้งวันนะครับ...
    เราดูตรงที่ในขณะที่ผิดพลาด ชั่วขณะจิตหนึ่งที่ไหลไปด้วยเพราะเผลอ หลง
    พลาดพลั้ง จิตจะเป็นอกุศลจิตชั่วขณะ

    ถ้ารู้สึกตัวและสำรวมจิตที่เป็นกุศลก็จะปรากฏขึ้นมาเช่นเดิม

    ศีลคือความปกติของจิต จิตก็จะไหลไปหาเหตุตลอดทั้งวัน
    ศีลจึงมีทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย

    ศีลที่จงใจบังคับ คือเพ่ง กำหนด(เบื้องต้น)
    ศีลที่รู้สึกตัวตื่นในขณะมีสติรู้สึกตัวแบบธรรมชาติ(ท่ามกลาง)
    ศีลที่ปรากฏในขณะจิตหนึ่ง ศีลแห่งพระอริยเจ้า ศีลแห่งอริยมรรค(เบื้องปลาย)

    ดังนั้น ต้องเข้าใจกันนิดนะครับ...
    ว่าศีลผิดตรงขณะที่เผลอไปแค่นั้น พอรู้สึกตัว จิตมันจะเกิดกุศลจิตและสำรวม
    ต่อมา เสร็จแล้วก็เผลอต่อ เป็นอย่างนี้ทั้งวัน ไม่ใช่ศีลบริสุทธิ์ทั้งวันนะครับ
    (จิตปถุชนย่อมไหลไปตามอารมณ์ตลอดเวลา)

    เราอบรมสติเพื่อรู้จักความสะอาดของจิต(บุญ)และความผิดปกติของจิตที่เข้าไป
    จมแช่กับอารมณ์ที่เศร้าหมอง(บาป)

    ถ้าเราเอาแต่สะอาด (ติดดี) ไม่เอาชั่ว ธรรมคู่ก็ไม่ปรากฏ
    จิตก็จะชอบแต่ความละเอียด ความสบายของจิต

    เวลาที่จิตหยาบ จิตเศร้าหมองถ้าเราไม่รู้จักมัน
    เราก็จะพลาดคำว่าการตื่นแม้แต่จิตที่เศร้าหมอง

    ดีก็เป็นธรรม ไม่ดีก็เป็นธรรม ศีลทำให้เรารู้จักความสะอาดและความผิดปกติ
    คือคนที่รักษาความสะอาดบ้านอยู่เสมอย่อมพบความสกปรกของบ้าน

    บ้านจะสะอาด จะสกปรก ก็เรื่องของบ้าน มีหน้าที่ปัดกวาด มีหน้าที่สำรวมเอาไว้
    รู้ว่ามันสะอาด เดี๋ยวก็สกปรกอีกละ

    เวลาโกรธ คนที่เห็นอารมณ์โกรธแล้วคิดว่า

    จะโกรธไปทำไม เดี๋ยวมันก็หายไปอีกละ นี่คือ เข้าใจและเริ่มขัดเกลากิเลสได้ด้วยสติที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

    ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ มันมาเองก็หายเอง มาๆไปๆ

    เพราะฉนั้น ศีลนี่หล่ะที่ทำให้เรารู้จัก ธรรมคู่ เป็นเบื้องต้น ที่อาจจะจงใจ กำหนด
    แต่พอรู้จักความสะอาดของจิตมากขึ้น ความจงใจ การกำหนดจะหายไป
    แต่เป็นการรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เมื่อบ้านมันสกปรก จิตมันมีอกุศล

    ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ธรรมคู่เพื่อพบธรรมหนึ่งดังที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอนอบรมพวกเรามาครับ

    ศีลจึงผิดในขณะนั้น ไม่ผิดทั้งวัน เมื่อไหร่ที่รู้สึกผิดพลาด เมื่อนั้นศีลย่อมปรากฏ
    อย่าติดที่วัน เวลา จงสำรวจใจที่สะอาดในขณะที่พลั้งเผลอ และรู้สึกตัว
    ย่อมเข้าใจว่า จิตที่มีศีล กับจิตที่ไม่มีศีลต่างกันตรงไหน

    เมื่อรู้สึกตัว ศีลย่อมปรากฏ เมื่อเผลอหลง ลืมกายลืมใจ จมแช่กับอารมณ์ที่อายตนะ จิตที่ส่งออก จิตที่ส่งในก็คือการพลั้งเผลอ อกุศลจึงปรากฏ

    ช่วงเวลานี้เราจึงต้องเรียนรู้อกุศลด้วย ว่าเผลอไป หลงไป จิตมีโทสะ
    จิตมีราคะ จิตมีโลภะ จิตมีโมหะ จิตไม่มีโทสะ จิตไม่มีราคะ จิตไม่มีโลภะ
    จิตไม่มีโมหะ

    คุณtaw_wan

    คงจะเห็นแล้วว่า การรักษาศีล เราเอารู้ตรงที่ตื่น เมื่อพลาดพลั้ง เผลอหลงไป ให้เปรียบเทียบช่วงที่จิตมีอกุศลกับจิตที่มีกุศล เพื่อจดจำสภาวะธรรมเอาไว้

    เพื่อตื่นขึ้นมามากขึ้น เพื่อหดตัวลง เพื่อเกิดปัจจุบันอารมณ์มากขึ้น
    เพื่อเข้าสู่ความเป็นกลาง ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่สน ทั้งไม่หวั่นไหว ไม่คล้อยตาม นี่จึงบอกได้ว่า
    ศีลนำพาความสุขมาให้
    ศีลนำพาให้พบโภคทรัพย์
    ศีลนำพาให้พบสันติที่เที่ยงแท้(นิพพาน)...

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2009
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณขันติธรรม

    อนุโมทนาครับที่สวดมนต์เพื่อระลึกในคุณแห่งพระรัตนตรัยอยู่เสมอ...

    สิ่งที่เห็นในฝัน บางทีก็เป็นจริงและไม่จริง
    บางทีก็จริงผสมไม่จริง
    บางทีก็จริงล้วนๆทีเดียว

    เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือไม่จริง...

    ช่วงเวลาที่เราฝันนั้น จิตมันเข้าไปจมแช่กับภวังค์จิต อยู่แต่ภายใน
    ความมฝันก็คือการคิด การปรุงแต่ง
    แต่บางครั้งก็อาจจะมี การสื่อเข้ามา การมาเยือนของมิตรรักต่างภพแหะๆ

    แต่เพราะว่า สติเรามีกำลังน้อย สมาธิมีน้อย จึงทำให้เราเหมือนเห็นภาพ
    แต่ไม่ได้ยินเสียง ภาพชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง ดูเหมือนจริงและเราปรุงเข้าไปบ้าง

    เรื่องนิมิตในฝัน ...เรื่องมิตรรักต่างภพมาเยือน...
    จึงเป็นเรื่องยากพอดู ที่จะเข้าใจว่าจริงหรือไม่จริง

    คือถ้าไม่ตื่นเต็มตัว ไม่ตื่นในฝัน แบบมีสติเต็มกำลัง และย้อนถามใจตนเอง
    ว่านี่คือฝันหรือความจริง...
    ถ้าใครมาเยือนอ้องๆจะย้อนถามใจตนเองว่า...

    ตื่นในฝันหรือไม่ และมีสติเต็มกำลังหรือไม่ เพราะการมาเยือน ถ้าเบลอๆ
    ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง นี่ก็แสดงถึงการสื่อสารมีอะไรที่ขาดๆเกินๆ
    เหมือนคลื่นวิทยุที่ขาดๆหายๆ ซ่าๆ กระท่อนกระแท่น...

    โดยมากอ้องจะย้อนมาถามใจตนเองว่าใช่หรือปรุงแต่งไป...
    ถ้าใช่แสดงว่าอ้องกำลังจะเริ่มมีกำลังจิตที่เข้มแข็งและอ้องจะทำจิตให้ไหลลื่น
    เพื่อรับจูนกระแสคลื่นให้เข้าหากัน...

    ไม่งั้นคุยกํนไม่ได้หรอกครับ...

    วิญญาณที่มาเยือนมักจะไม่พูด...จริงๆนะพูดแต่มันติดที่กายหยาบ
    กายหยาบต้องคุยกับกายหยาบ
    กายละเอียดต้องคุยกับกายละเอียด

    ถ้าอ้องนั่งสมาธิแล้วมีสิ่งมาเยือน อ้องต้องใช้กายในคุย และอ้องต้องลืมตาออกมาเสมอก่อนว่าอ้องหลับหรือเปล่าแล้วไปปรุงแต่ง

    ถ้าอ้องทำสมาธิและลืมตามาได้แสดงว่ามีสติและก็จะทำสมาธิลื่นเข้าไปในฐาน
    ที่รับรู้ถึงกันและจะเจอเค้านั่งอยู่ตรงหน้าเหมือนเดิม

    สมาธิถ้ามีอะไรปรากฏแล้วเราไปรีบหรืออยากจะรู้ สมาธิจะหมดกำลังอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าปล่อยสบายๆ ไม่รีบร้อน ไม่เกร็ง ไม่ตื่น สมาธิจะมีกำลังดำำรงค์ได้นาน

    ความฝันก็เช่นกัน ถ้าเราไม่มีสติ เราก็จะไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่
    และเป็นเรื่องเฉพาะตัวอีกด้วย ว่าจริงหรือไม่จริง

    ถ้าคุณขันติธรรมถามอ้อง...
    อ้องคงบอกได้ว่า จริงผสมไม่จริง ตรงที่ชัดๆบ้างและเบลอๆสลับกัน
    ส่วนการฝันว่าลอยได้ อ้องว่าสนุกสนานนะ...

    แต่ถ้าไปทำตัวให้เข้าไปตื่นแบบเต็มตัวได้เลยนี่เป็นอัปนาณานครับ...

    นิมิต ฝัน... ก็เป็นกีฬานะครับ สนุกดี ถ้าเตือนนตนเองแบบมีสติว่ากำลังฝันนะ
    นี่อบรมสติมาดีนะและจะเห็นว่าความฝันมันก็คือ ความคิดล้วนๆ
    แต่เวลาฝันเห็นญาติมาเยือนนั่นมีคิดของคนอื่นแทรกเข้ามาด้วย

    เหมือนคลื่นสองคลื่นมาป๊ะกัน ผสมเข้าหากัน ถ้าจูนดีๆก็ติด ถ้าไม่มีกำลังจูนก็จะ
    ซ่าส์ๆ....

    นี่ก็คือพลังงานที่ส่งเข้าหากันและกันตามธรรมชาติที่ผูกพันธ์กันมา...
    ถ้ามีสื่อดีๆ แถมสวดพระคาถา และมีศีล
    อ้องบอกได้ว่า การสวดไม่ได้ขับไล่ผีหรอกแต่เรียกมาต่างหากแหะๆ

    อ้องเห็นคนสวดมีแต่เจอ..ฮิๆ
     
  16. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +373
    อนุโมทนา สาธุ (i)(i)(i)

    ขอบคุณ คุณอ้อง เป็นอย่างสูง ที่ให้คำแนะนำที่ดี

    การสวดชินบัญชร เป็นแนวทางให้พี่ปฏิบัติธรรมมาอย่างพี่ไม่รู้ตัวเลย แต่ก่อนพี่ก็คิดแต่ว่าท่องสวดได้เพลินดี ความกลัวผีเบาบางลง ที่กลัวผีเพราะคิดแต่ว่าผีคงมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว อย่าได้พบหน้ากันเลยดีกว่า.....หลายปีแล้วพี่ไปบริจาคโลหิตที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน บริจาคเสร็จแล้วก็เดินลงมารอรถที่หน้าโรงพยาบาล ยืนอยู่ใกล้รถเข็นคนไข้ฉุกเฉิน มีคนขับรถมาจอดใกล้ที่ยืน เขานำคนป่วยลงจากรถพูดว่าคนนี้จมน้ำมาหลายชั่วโมงแล้ว บุรุษพยาบาลนำรถเข็นคนไข้ไปรับ.. พี่มองดูแล้วก็นึกสงสาร นึกให้เขารอดเถอะ มองไปที่ศาลพระภูมิ เริ่มเห็นบรรยากาศเป็นสีส้มอ่อน รู้สึกตัวจะเป็นลมจึงบอกเพื่อน ตัวเริ่มหายไปทีละน้อยแต่รู้ว่าถูกนำตัวขึ้นรถเข็นคนไข้ที่เหลืออีกหนึ่งคันพอดีเลย..มันขาดช่วงไปรู้สึกอีกทีว่าอยู่ที่ไหนไม่เห็นอะไรเลยมืดไปหมด รู้เหมือนรู้ว่าอยู่ตรงจมูกตัวเองแต่ไม่เห็น นึกกลัวคนป่วยคนนั้นจะมาเข้าร่าง ทำไงดีสับสนอยู่ สักพักได้กลิ่นอะไร แอมโมเนียลอยตรงจมูก ลืมตาทันที รีบลุกขึ้น เพื่อนตกใจบอกให้นอนก่อนรอหมอ พี่ไม่ยอมลงจากเตียงกลับเลย.. วันนั้นนั่งบนรถหรืออยู่ที่ทำงานก็ไม่กล้านอนพัก ทั้งที่ร่างกายไม่ไหว รู้สึกเหมือนว่าถ้าหลับไปเขาต้องมาเข้าร่างแน่ แล้วพี่จะอยู่ไหนมันมืดไปหมดรู้แต่ลมหายใจอย่างเดียวทำอะไรไม่ถูกแน่.. เลิกงานกลับถึงที่พักก็นอนพัก อย่างไรก็ต้องมีเจ้าที่คอยกันท่าไว้ พอจะหลับได้ยินคนเรียกชื่อ หลายครั้ง เสียงผู้หญิง ก็คิดว่าพี่ๆ ที่ทำงานคงเป็นห่วง แต่ร่างกายไม่ไหวแล้วขอพักก่อนนะ วันรุ่งขึ้นไปทำงานถามใครก็ว่าไม่ได้ไป และยังล้อว่าคงเป็นผีเรือนเรียกไม่ให้หลับมั้ง....ตอนนั้นไม่รู้เรื่องการฝึกสมาธิเลย.. แต่ก่อนนั้นเคยไปอบรมฝึกสมาธิที่ทางราชการจัดร่วมกับวัดโสมมนัสวิหาร อยู่เฉพาะกลางวัน กลางคืนใจไม่ถึงพอ ทั้งที่ใจหนึ่งก็อยากลองดู...ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ปี 49 ปี 50 พี่ได้ไปปฏิบัติธรรมทั้งกลางวันและกลางคืนครบถ้วน สมที่ใจอยากทำแล้วไม่น่ากลัวเลย รู้สึกดีมาก ๆ อยากมีเวลาไปปฏิบัติแต่ไม่สะดวก จึงปฏิบัติด้วยตนเองที่บ้านที่ทำงานเท่าที่ทำได้...

    พี่จะขอให้คุณอ้องช่วยแนะนำ การฝึกดูลมหายใจ และการปล่อยวางความคิด เพราะเวลาตั้งใจทำเหมือนมีอะไรกดตรงระหว่างหัวคิ้ว.. มีครั้งพี่นั่งสมาธิอยู่ เหมือนเห็นแม่ชีมาอยู่ขวามือ เลยออกแล้วนั่งใหม่สักพักเห็นแม่ชีคนเดิมมาอยู่ทางซ้ายมือ เลยนึกในใจว่าไม่บวชเด็ดขาดไม่ชอบโกนผมนะ ระยะนั้นพบพระในสมาธิ หรือแม้แต่นอนหลับก็พบ ไม่ซ้ำกันและไม่รู้จักด้วย...ตอนหลังพบเห็นอะไรก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่จำ กลับกลายเป็นได้กลิ่นหอมแปลกตอนกลางคืนบ้าง กลางวันบ้าง ถ้าตอนกลางคืนวันไหนกลิ่นมากเหมือนอยู่ใกล้เห็นว่าดึกแล้วก็จะพูดบอกไปว่าเดี๋ยวจะไปนอน ความจริงใจหนึ่งชอบเหมือนมีเพื่อนอยู่ใกล้แต่อีกใจไม่กล้ากลัวเจอตัวจริง....

    ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้วได้โปรดดลบันดาลให้คุณอ้องมีแต่ความเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป

    สาธุ สาธุ สาธุ

    (i) (i) (i) (i) (i)

    ขันติธรรม...ศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ได้ถึงนิพพานในกาลอันควร.
     
  17. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณขันติธรรม

    เวลาที่ดูลมแล้วปรากฏอาการ ตึงระหว่างคิ้ว หนืด หน่วง นั่นเป็นอาการเผลอ
    มีความอยากรู้ปรากฏ มีการเพ่งจ้องมากไปจนลืมอารมณ์กรรมฐาน

    ลมที่พิจารณาดูอยู่ก็หายไป เพราะไปจดจ่ออาการตึง หนืด หน่วง จนเผลอลืม
    ดูลม จิตมันย้ายฐานไปและไปหลงคิดในอาการดังกล่าว

    สิ่งที่หายไปคือสติและเผลอไปจมแช่กับอาการของจิต สมาธิย่อมหมดกำลังลง
    นิมิตที่ปรากฏจึงมีทั้งจริงและไม่จริงเพราะขาดกำำลังสติรักษา ความรู้ชัดเจนก็จะไม่ชัด สังขารย่อมปรุงแต่ง

    ขึ้นชื่อว่าไหลไปหาเหตุ เราห้ามไม่ได้ จิตมันจะไหลก็ต้องให้มันไหล อย่าไปกดข่ม
    แต่ตามรู้ด้วยสติ เมื่อมีสติปรากฏ จะเกิดการสำรวมระวังและรู้สึกตัวว่าเผลอหลง
    ไปคิด เมื่อรู้สึกตัวก็หันมาพิจารณาอารมณ์กรรมฐานเดิมต่อไป

    สมาธิเราต้องทิ้งทุกอย่างไปข้างหลัง เพื่อเข้าสู่ความปกติของจิตที่เที่ยงธรรม
    อยาลืมนะครับว่าเราทำสมาธิเพื่อความสงบ สะอาด เที่ยงธรรม เป็นกลาง มีสติปรากฏรักษานะครับ ส่วนการเห็นอะไรก็ตาม หรือจิตเข้าไปรู้ สุข ปิติ นิมิต
    ให้รู้แล้ววางอารมณ์ดังกล่าว ด้วยการไม่ใส่ใจ ไม่หวั่นไหว สติจะเข้มแข็งและเต็มกำลังจนพบเอกัคคตจิตภายในนะครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  18. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สวัสดีครับอาอ้อง

    ผมเริ่มจะรู้และเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างแล้วครับอา

    ศีล บางครั้งทำเพราะอยากจะได้ดี แต่ศีลจริงๆ มาจากใจครับ และผมก็มีศีลจริงๆ แล้วครับ ศีลจริงๆ จะมาพร้อมอะไรหลายๆ อย่างครับ

    และตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจการดูจิตมากขึ้น จะค่อยๆเป็น ค่อยๆไปครับอา ขอบพระคุณอามาก

    ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเยอะครับ


    ...และก็หลานมาบอกบุญครับอา สงกราน์นี้ ที่วัดจังหวัดอุบลฯ อ.เขมราฐ มีบุญใหญ่ครับอา และผมก็มีซองผ้าป่าด้วย ขอให้อาอนุโมทนาด้วยครับ เพื่อความสบายใจของผู้ให้และผู้รับครับ

    ....สาธุ สาธุ สาธุ... ^^
     
  19. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ขอบคุณคับอ้าอ้องที่ตอบคำถาม..และให้ความรู้ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แต่รู้สึกจัยหายยังงัยก็ม่ายรู้ที่อาอ้องพูดเหมือนผลักไสให้ไปดูกระทู้อื่น*-*!...(ฮื่อๆๆๆ) แต่เท่าที่อาอ้องตอบและ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อธิบายสภาวธรรมต่างๆมาให้ เบนซ์ก็ม่ายเห็นว่าจะมีข้อธรรมข้อไหนที่อาอ้องคนเก่งจะตอบให้ม่ายได้เลยนี่คับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ออกจะอธิบายได้เก่งจะตาย...ทั้งปริยัติ และปฏิบัติ อีกทั้งการเขียนก็ระมัดระวังสำรวมในเรื่องการประมาทพลาด<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พลังต่อคุณของแก้วมณีทั้งสามอยู่ตลอดเวลา (พระรัตนตรัย) ถ้าให้เบนซ์เลือกเบนซ์ขอเลือกแบบสถะดีกว่า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เพราะว่าเบนซ์ถนัดแบบนี้ ...แต่ก็จริงอยู่ว่าในความเป็นจริงแล้วการปฏบัตินั้นทั้งสมถะและวิปัสนานั้นล้วน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แล้วเป็นของคู่กันจะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ เพราะถ้าเปรียบเทียบกันแล้วสมถะก้เปรียบเหมือนรถยนต์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    วิปัสนาก้เปรียบเหมือนกับน้ำมัน ถ้ามีแต่รถยนต์ม่ายมีน้ำมันรถยนต์ก็ม่ายสามารถขับเคลื่อนไปจนถึงฝั่งได้ เพราะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทั้งสองสิ่ง เป็นของที่เกื้อหนุนกันอยู่ ประหนึ่งเป็นลมหายจัยกับสังขาร ที่คอยหล่อเลี้ยงกันให้มีพละและกำลัง....<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในกระทู้ของวิมุตินั้น..เบนซ์เคยทราบคร่าวๆมาเคยแอบเข้าไปดูตอนที่คุณอาแนะนำตั้มให้เข้าไปศึกวิทยายุทธใน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    นั้นอะคับ พอจะทราบมาคร่าวๆว่าหลวงพ่อปราโมทย์ท่านเป็นพระสุปฏิปัณโณที่สอนเกี่ยวกับการ ตามดูรู้สภาวะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จิตว่าในขณะนี้จิตเกิดอาการอย่างรัยเมีอาการแบบไหนใช่ป่าวคับเพราะเบนซ์เคยฟังเทปหลวงพ่อและ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เป็นสมชิกของ วารสารธรรมะใกล้ตัว ที่ผู้ก้อตั้งและทีมงานเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เท่าที่ทราบมาหลวงพ่อท่าน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เจริญรอยตามพระอาจารย์ของท่านซึ่งเป็นพระอริยะเจ้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ (หลวงปู่ดุลย์) เบนซ์ยังนำคำที่หลวงพ่อ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ท่านสอนไว้มาปฏิบัติเลยนะคับ กลับคำสอนที่ว่า ..จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย..ผลของการที่จิตส่งออกนอกจึงเป็น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทุกข์..จิตเห็นจิตเป็นมรรค...ผลของจิตเห็นจิตเป็นนิโรจธ์(ผิดถูกประการใดขอครูบาอาจารย์งดและอดโทษให้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ด้วยด้วยนะคับ)...ว่าแต่ที่อาอ้องบอกว่าเบนซ์กับตั้มมาในแนวเดียวกันนั้น...แฮ่ๆๆ อยากรู้ว่าหมายความว่ากระรัย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    คับคุณอา หรือว่ามาในแนวเจ้าหนูจัมมัย(เจ้าหนูเจ้าปัญหา..เอ้ย!เจ้าหนูเจ้าปัญญาที่ถามเยอะจนเกินไปจนอาอ้อง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    รำคาญจัย(*-*!) ...งันต่อไปหลานจะถามเกี่ยวกับเรื่องพระชินบัญชรพระคาถาก็แล้วกันเนอะ...อาอ้องจะได้ไม่ผลัก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ไส...ลูกนกตาดำๆ..ออกไปจากอก*-*!...555 เพราะว่าหลานเองก้สวดพระคาถามาตั้งกะเด้กๆแย้ว จำได้ว่าเริ่มหัด<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    สวดตอนปฐมต้นเองใช้เวลาสวดประมาณ2วัน จับโน้นชนนี่เพื่อให้สามารถจำตัวบทในพระคาถาได้ อีกอย่างเจ้า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ประคุณสมเด็จ(โต) ก็เป็นครูอาจารย์ทางธรรมองค์แรก(ในสภาวะโลกทิพยะ) ส่วนครูอาจารย์องค์แรกที่ดำรงขันธ์
    <O:p></O:p>
    อยู่..ก็คือหลวงพ่อจรัญวัดอัมพวัลก้าบบ๋ม...ดังนั้นเบนซ์จึงให้ความเคารพ เจ้าประคุณสมเด็จมาก เวลาพูดหรือนึกถึงสมเด็จท่าน
    <O:p></O:p>
    มักจะเรียกท่านว่า..หลวงตา...*-* งัยจะมาถามเกี่ยวกับพระคาถานะคับอาอ้องคนเก่ง..อิอิ*-* ....อาอ้องจะได้สบายจัย....<O:p></O:p>(ping)
     
  20. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +373
    อนุโมทนา สาธุ (i)(i)(i)
    ขอบคุณ คุณอ้อง ที่ให้คำแนะนำในการปฏิบัติ;aa44

    ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้ว
    ได้โปรดดลบันดาลให้คุณอ้องมีแต่ความเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป

    สาธุ สาธุ สาธุ
    (i)(i)(i)(i)(i)
    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1026 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\acer\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/lightbulb.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" id=_x0000_i1027 alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\acer\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/lightbulb.gif"></v:imagedata></v:shape>
    ขันติธรรม...ศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ได้ถึงนิพพานในกาลอันควร. <O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...