เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    -ขอโทษครับกำลังก๊อปข้อมูล

    คือที่ทราบว่าเว็บจะย้ายข้อมูล อาจจะทำให้ข้อมูลศูนย์หายไปซะ
    เสียดายเพราะที่เขียนๆมา จะให้เขียนใหม่ก็คงทำได้ยาก

    เวลาที่เขียนจะเหมือน มีสิ่งหนึ่งดลให้เขียน
    บางครั้งกลับมานั่งอ่านข้อเขียนตัวเอง ยังแทบไม่อยากจะเชื่อว่า
    นี่อ้องเป็นคนเขียนหรืออย่างไร เขียนได้อย่างนี้ได้อย่างไร

    อ้องจึงเชื่อว่ามีสิ่งดลใจ มีสิ่งที่ส่งถ่ายเท

    สื่อแห่งจิตที่อ้องจะรับรู้เมื่อใจว่างๆ
    จะเหมือนมีคนกอยกำชับ คอยสอน คอยบอกกล่าว และคำเขียน

    ข้อมูลก็มักจะมีอาจารย์ที่สนิทๆที่เสียไปแล้ว หรือครูอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่มรณภาพไป
    ตั้งนานมากแล้ว

    สื่อส่งมาให้
    เหมือนเป็นปัญญาที่ออกมาจากพวกท่าน ที่ส่งผ่านกำลังใจ
    และส่งข้อมูลที่มีแต่อ้องที่จะเข้าใจ หรือเพื่อนๆที่บางครั้งก็อาจจะมีเช่นกัน

    เหมือนว่า

    วันนี้เราเขียน เราอ่าน เราไปสถานที่ เหมือนมีสิ่งดลใจ ให้อ่านหน้านี้ ให้เขียน
    แบบนี้ ให้ไปที่นี่เวลานี้ และจะพบเจอในสิ่งที่เราเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า เราเขียน เราไป เราทำ ได้อย่างไร

    สิ่งที่ดลใจ สื่อต่างๆเหล่านี้ ถ้าเราพิจาณาเราจะเข้าใจว่า
    ไม่มีคำว่าฟรุ๊ค หรือบังเอิญแน่ๆ(คนที่ไม่เข้าใจมักใช้คำนี้)

    แต่ที่อ้องเข้าใจคือ มีสื่อชี้นำ
    ไม่ว่าจะเป็นหนังสือก็ดี หน้าธรรมะที่เราไม่เข้าใจก็ดี

    เพื่อนๆกัลยาณมิตรที่ดีก็ตาม สิ่งที่เราพบเจอจึงไม่มีคำว่า บังเอิญอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าเราลองใช้จิตที่ว่างๆ นิ่งๆ

    ผ่านกระแสที่ส่งไหลผ่านเข้ามา บางครั้งอ้องแทบจะรับรู้ด้วยซ้ำว่า
    ครูอาจารย์ท่านใด เพราะกริยาจิต มีปฏิกริยาเชื่อมสัมพันธ์ แบบคุ้นเคย

    อ้องเปรียบเสมือนเรามีแม่ เวลาแม่คิดถึงอ้องมากๆ
    อ้องจะรับรู้กริยาจิตที่แปรเป็นพลังงานกระจายแบบส่งเจาะจงมาหา(แม่อ้องไม่เข้าใจหรอก เพราะท่าน
    ไม่รู้เรื่องพลังงานจิต ชอบแต่ทำบุญ)

    เวลาที่ครู หรือคนที่เรารักเสียไป แต่เวลาเค้าส่งจิตมาหา ส่งใจมาให้
    ถ่ายเทความรู้โดยสัมผัสทางใจ

    อ้องจะเขียนอะไรต่ออะไรแบบไหลลื่น จนบางครั้งก็แปลกใจว่า
    เขียนอะไรออกมาอย่างมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร...

    การส่งใจ เป็นพลังงานชนิดหนึ่งและเราแปรสภาพพลังงานเป็นอีกชนิดหนึ่งได้นั้น

    ยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ อ้องคงเปรียบว่า
    ตัวอ้องเป็นเครื่อรับและแปรสัญญาณเสียงที่แปรสภาพเป็นกระแสคลื่น

    กริยาจิตที่ผ่านเข้ามา เครื่องรับของอ้องก็แปรสภาพพลังงานจากคลื่นที่สั่นสะเทือน
    ให้เป็นภาพหรือเป็นเสียงที่คงจะมีแต่อ้องเข้าใจได้เพียงผู้เดียว

    เพราะพวกครูอาจารย์ท่านส่งความถี่คลื่นเจาะจงมาให้เราโดยตรง
    จะมีก็แต่พวกดูดคลื่น(แหะๆ) พวกนี้เก่งกว่าที่คิด เพราะมีความไวของจิตตนเองมาก
    เมื่อควบคุมจิตตนได้ ก็รับรู้จิตผู้อื่นได้

    เดี๋ยวอ้องมาเล่าเรื่องคนที่อ้องสนิทมากคนหนึ่ง
    ยังไม่ตายแต่อ้องทำจิตที่อุปจารสมาธิและอธิษฐาน เพื่อที่จะรู้วิบากกรรม
    คนๆนี้ สะสมภพแห่งอสูรกายเอาไว้ จนจิตที่เข้าลึกๆๆแล้วถอนออกมาที่อุปจารสมาธิ

    ภาพมันปรากฏให้เห็นเอง อสูรกายรูปร่างงู
    เพราะกรรมอะไร เพราะจิตสะสมอะไร จึงเป็นเช่นนี้ ยังไม่ตายแต่มองอนาคตที่คตินิมิต อ้องเรียกว่า
    อนาคตังสญาณ เหมือนครูที่มักเตือนเหล่าศิษย์ตนว่า

    ยังมีโอกาสไปอบาย นี่ท่านเห็นเช่นนี้ ทั้งๆที่หมู่ศิษย์ของท่านนั่งกันเต็ม

    เดี๋ยวขอก๊อปข้อมูลก่อนเดี๋ยวหายเสียดายแย่เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2009
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อสูรกายรูปร่างงู

    โดยปกติคนที่ตายไปด้วยเพราะเสวยกรรมเป็นอสูรกายนั้น
    จะมีสภาพของกายแตกต่างกันตั้งแต่อย่างหยาบไปหาละเอียด
    มีรูปที่ปกติไปจนพิกลพิกาลหรือมีรูปที่บิดเบี้ยว

    เพราะจิตไปสมมุติสภาวะรูปเสวยอำนาจตามกรรมวิบาก ผุดขึ้นด้วยอกุศลบาปทางใจล้วนๆ

    คนที่อ้องรู้จักบางคน ได้ปลุกเทพศักดิ์สิทธิ์ภายในกายออกมา
    ทุกคนมีภพที่สะสมเอาไว้มากมายในกาย

    มีกายที่ซ้อนกาย มีจิตในมิติที่แสดงสภาวะของรูปกายละเอียดภายในซ้อนๆกันเป็นภพเป็นชั้นๆ

    จากอบายจนถึงพรหม (ขึ้นอยู่ว่าเค้าปลุกสิ่งใดมาอยู่หน้าสุด)

    คนบางคนก็ไปปลุกวิญญาณอันร้ายกาจ รูปหยาบ ให้ปรากฏจนเห็นเป็นเด่นชัด
    แต่บางคนที่มีจิตแห่งคุณธรรม มีความอ่อนโยนอบอุ่น และมีศีลมีธรรมภายใน
    บุคคลเหล่านี้สร้างสภาวะรูปละเอียด ของเทพ และพรหมจนเด่นชัดออกมา

    คงต้องอ้างอิงธรรมชาติตามความเป็นจริง

    พลังงานมีเชื้ออันใดแรงที่สุด
    พลังงานชนิดนั้นจะแสดงกำลังออกมาอย่างเด่นชัดที่สุด
    ยิ่งถ้ามีบารมาเป็นตัวกระตุ้น มีอำนาจที่สะสมมามาก ก็จะเปล่งพลังงาน

    ที่หยาบหรือละเอียดออกมาจนผู้ที่สัมผัสได้

    จะรับรู้ถึงความน่าสะพรึ่งกลัว
    หรือความร่มรื่นร่มเย็นของพลังงานสองชนิด ธรรมสองชนิด โลกธรรม๘ นั่นเอง(ตรงนี้มีอยู่ในกายทุกคน เพียงแต่ว่า รูปหยาบ หรือรูปละเอียดจะซ้อนให้เห็นว่า สิ่งใดมีพลังงานมาก จะแสดงออกมาหน้าสุด)

    ไม่ว่าจะเป็นภพภูมิ ก็คือ ธรรมชาติ
    จิตก็เช่นกัน วัตถุสสารก็เช่นกัน
    ต่างก็คือพลังงาน สสาร ธรรมชาติ ที่ตกอยู่ภายใต้ห้วงแห่งกาลเวลา

    ขอบเขต จุด ตำแหน่ง ของมิติ ของภพ นั้นๆมีอำนาจดึงดูด หน่วงเหนี่ยวในภพนั้นๆ

    มิติ ภพแต่ละที่จึงมีจิตที่เสมอภาคกัน
    แต่กรรมแตกต่างกันตามความหยาบละเอียด เปรียบเสมือนสีชนิดเดียวกันแต่เหลื่อมล้ำจากอ่อนไปจนเข้มที่สุด

    การที่เราจะเข้าถึงพลังงานในรูปแบบต่างๆได้จึงต้องใช้จิตล้วนๆเข้าไปสัมผัส
    และเราต้องสร้างอุปกรณ์เข้าไป นั้นก็คือ การทำให้จิตอยู่ที่ฐานอารมณ์เดียว

    เริ่มจากลูบเข้าหา เริ่มจับถูก และจับจนแน่นกลายเป็นณาน ประกอบไปด้วย
    วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์

    คนทำสมาธิจะรับรู้ถึงจิตรวมโดยอาการวูบเข้าไป และรับรู้ถึงความละเอียด

    ความสงบเป็นลำดับเข้าไป และจะเข้าใจว่า จิตที่เริ่มรวม เริ่มลูบ เริ่มจับได้

    เริ่มมั่นคงได้ก็ตรงที่การใส่ใจพิจารณา

    ด้วยสติที่ตามรู้อยู่ภายใน
    อ้องเรียกว่าการรักษาจิตแจ่มใส สติตามรู้อารมณ์และจิต

    เมื่ออ้องทำสมาธิในช่วงเริ่มต้น อ้องจะรู้ถึงการตกภวังค์และการที่กายเริ่มสงบระงับ
    ปัสสัทธิก่อเกิด กายเบา ลมเริ่มแผ่วเบาสงบราบเรียบ

    แต่ถ้าเพื่อนๆที่ทำแล้วเกิดอาการลมติดขัด แน่นๆ นั่นก็เพราะไปจ้องจับจังหวะลมมากไป

    กายที่แผ่วเบา ปัสสัทธิที่ก่อเกิดจะทำให้ลมเริ่มมีสภาพที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงจุด ตำแหน่งที่เฝ้าดูอีกต่อไป คือแทนที่จะเห็นมันออก แต่กลับคาอยู่ข้างใน

    ในขณะที่จะดูมันเข้ามันกลับไม่ยอมเข้า

    ที่สำคัญลมหายใจเข้ากลับปรากฏให้เห็นสั้นมากขึ้นๆๆ
    แต่ลมหายใจจะยาว (ช่างแตกต่างกันในเรื่องของปริมาณอากาศจริงๆ)

    นี่คือปัสสัทธิก่อเกิดมีสุขปรากฏเริ่มต้น สมาธิจะเริ่มรวมเข้าหาอารมณ์เดียว
    และเริ่มการตกภวังค์วูบเข้าไปในแต่ละฐานสมาธิ

    เราจะเห็นความละเอียดของจิต ความละเอียดของกาย ความละเอียดของลม
    เป็นไปตามโดยลำดับขั้นของสมาธิ

    เมื่ออ้องทำสมาธิไปได้พักนึง จิตที่เริ่มรวมเข้าสู่อุปจารสมาธิ มีสติตามรู้อยู่แบบ
    ไม่หวั่นไหวในอารมณ์ภายนอก อ้องน้อมจิตเพื่อการที่จะรู้ในเรื่องบางเรื่อง
    ตั้งจิตเอาไว้ในสิ่งที่อยากรู้เหมือนถามใจตนเองว่าต้องการสิ่งใด อยากรู้เรื่องอะไร

    และเอาจุด ตำแหน่งของฐานอุปจารสมาธิเป็นตำแหน่งย้อนเวลากลับมาอีกที

    จิตที่ไหลเข้าไปสู่การรวมฐานที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ซัดส่าย
    จนรวมกันอย่างมั่นคงปรากฏ

    สิ่งทั้ง๕คือณานปรากฏและเป็นไปตามลำดับจนเข้าสู่สภาวะใจปรากฏ คือไม่มีคิดนึก

    ไม่มีสุขทุกข์ปรากฏ โลกธรรม๘จืดชืดสนิท
    กามคุณ๕ไม่กินใจ ความเที่ยงธรรม เป็นกลาง ว่องไว นิ่มนวล อ่อนโยน ราบเรียบ ปรากฏอยู่แต่ภายใน

    ความสงบจากกามคุณ๕ เป็นสิ่งที่ถ้าใครได้พบจะรู้เองว่า สิ่งหยาบ สิ่งละเอียดแตกต่างกันขนาดไหน

    อ้องเคยถามพี่แฮม พี่ชายอ้องว่าทำไม ถึงทิ้งสมาธิ ทั้งๆที่เห็นธรรม รู้ธรรมดีแล้ว

    ทำไมจึงปล่อยให้สิ่งดีๆเหล่านี้ผ่านพ้นไปเหมือนไก่ที่เห็นพลอยแต่ไม่รู้คุณค่า

    พี่แฮมบอกว่า เค้าชอบมีอะไรที่พลิกแพลง โลดโผน มีอะไรที่แวบๆวาบๆ
    ทำให้กระตุ้นในการอยากทำ

    อ้องบอกได้ว่า เสร็จกิเลส...

    เพราะคนที่ทำเบื้องต้นจะอึดอัด เบื่อหน่าย ขัดข้อง
    ซึมเซา หดหู่ เซื่องซึม ท้อแท้ สองจิตสองใจ สงสัย ลังเล สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งหยาบที่กีดกั้นสมาธิทั้งสิ้น

    การที่เราจะเข้าสู่ความละเอียดของจิต เราต้องทิ้งนิวรณ์เตะมันออก ด้วยสติ
    เราต้องสละอารมณ์ที่ไปยึดกามคุณ๕ ให้ได้

    บุคคลที่ชมชอบในการทำทาน แบบไม่ยึดติด
    บุคคลเหล่านี้จะมีโอกาสทำสมาธิได้เป็นอย่างดี บุคคลที่มีความฉลาด มีปัญญาย่อมพบกับความจริง

    การที่อ้องทำสมาธิในวันหนึ่งอ้องต้องการที่จะรู้ว่า
    คนที่อ้องสนิทคนหนึ่งจะเป็นอย่างไรบ้างกันหนอ เพราะในชีวิตสะสมสิ่งไม่ดีเอาไว้มาก
    เผื่อรู้จะได้ช่วยเหลือก่อนและป้องกันเอาไว้

    ไม่ใช่ตายไปแล้วไปแก้ไขกันจะลำบากเพราะจิตที่มึนงง ในภพ
    จะไม่ค่อยรับรู้ความจริง เหมือนปลุกไม่ค่อยจะยอมตื่น

    เมื่อจิตที่ตั้งมั่นจนพบใจ สิ่งที่ปรากฏคือ อำนาจพลังงานชนิดหนึ่งที่นำกลับออกมาใช้ได้
    อ้องเรียกพลังจิต ที่มีกำลังรวมสู่ฐาน ไปอยู่กับอารมณ์เดียว
    สะสมจนมีอำนาจมาก จิตที่ไม่กระจายออก จิตที่รวมเป็นหนึ่ง จิตที่เที่ยงธรรม

    จิตฐานนี้แหละคือ จิตมีคุณภาพ เป็นพลังงานที่สดใส สว่าง สะอาด บริสุทธิ์
    มีกำลังมาก เมื่อสะสมอยู่แต่ฐานเอกัคคตาจิตอยู่จนรู้ว่า กำลังมันเต็มตื่น สดใส สว่าง
    ก็ให้สติพละ สัมมาสติ ย้อนทวนกลับมาที่ฐานจิตที่อุปจารสมาธิ

    ในฐานนี้พอจิตไหลย้อนกลับมาที่ตั้งจิตถามเอาไว้ ความสว่างจะเจิดจ้า
    ทุกสิ่งคือแสงนำ สีตาม ภาพ รูป เสียง จะปรากฏ เป็นภาพนิมิต มีอำนาจของสติพละเป็นสิ่งควบคุม จิต อารมณ์

    คนที่อ้องสนิทมาก ปรากฏวิบากรรมที่คตินิมิต นี่คือกรรมที่เค้าสะสม เค้าปลุกวิญญาณร้ายภายในปรากฏ และจะไปเสวยกรรมในอีกไม่นานเกินรอ...

    คนที่อ้องสนิท สร้างวิบากมามากเพราะทำกิจการ ค้ากาม ค้าเหล้า
    มีจิตตั้งอยู่แต่โลภะ เล่นไพ่ ก็จ้องจะเบียดเบียน มีความละโมภ ลุ่มหลง ในอบายมุข
    ชนิดหาตัวจับได้ มีจิตที่แสวงหาจ้องจะเบียดเบียน ในการค้าขายแบบไม่บริสุทธิ์ใจ

    กรรมวิบากปรากฏเป็นรูปร่างและไปเห็นรูปภายในของคนที่อ้องสนิทคนนี้ออกมา

    สิ่งที่เรียกว่าน่ากลัวก็คือ รูปร่าง ลิ้มมีสองแฉก ไม่ต่างจากงู
    หัวกลมใหญ่มีแต่เกล็ด ลำตัวบิดเบี้ยว รูปร่างผิดปกติ จะเหมือนงูก็ไม่เชิง เหมือนคนก็ไม่ใช่
    ร่างกายมีแต่แผลพุพอง กลิ่นกายเต็มไปด้วยความสาบสาง

    นี่คือผลแห่งการไม่มีศีลธรรมเลย ไม่มีความละอายเลย ไม่มีความกลัวเลย
    สะสมแต่โลภะจิตจนเป็นอาจิณกรรมฝ่ายอกุศลแบบเป็นนิจ ตลอดเวลา

    นี่คือแค่อบายในเบื้องต้น ภพแห่งอสูรกายที่จะไปปรากฏขึ้นก่อนคติกรรมอื่นๆ
    อาจจะต้องเสวยกรรมไปหลายร้อยปี พันปี หมื่นปี จนกว่าจะหมดและไปอบายอื่นๆอีกต่อไป

    คนเราใช้ชีวิตในโลกไม่กี่สิบปีแต่ทำร้ายเวลา ทำร้ายตนเองไปกับห้วงแห่งเวลาที่ยาวนานได้ขนาดนี้เชียวหรือ

    อ้องเอาหนังสือให้พี่ที่อ้องสนิท เคารพไปให้อ่านแล้วครับ
    และกำลังเริ่มที่จะเข้าใจและหันหน้ามาทางศีล ทางธรรมได้บ้าง

    ไม้แก่ดัดยาก และต้องดัดก่อนตาย
    ถ้าไปดัดหลังตายซะแล้ว แทบจะปลุกให้ตื่นไม่ได้เลย
    คนที่เสวยกรรมหยาบแบบแรงๆ ช่วยได้ยากมาก แม้คนนที่ตกนรกภูมิก็เช่นกัน

    สภาพทุกข์ที่บีบคั้นจะทำให้เค้าไม่ใส่ใจอันใดเลย มีแต่หนีทุกข์อย่างเดียว
    แต่ก็หนีไม่ได้ ใครเรียกก็ไม่สนใจ เหมือนคนที่วิ่งหนีไฟร้อน ไม่สนใจหน้าไหน
    ขอเอาตัวรอดให้ได้ ณ ตอนนั้น

    ไม่ต่างจากเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

    คนทำกรรมในยุคนี้มีมากมาย ทำหยาบสุดๆ
    อ้องเห็นกรรมวิบากแต่ละคนที่อ้องรัก บางครั้งอ้องยังต้องตั้งจิตว่า
    จะทำหน้าที่ของตน ช่วยเค้าให้รอดฝั่ง แม้จะใช้เวลาแบบนานแสนนาน อ้องก็จะทำ ยอมทนทุกข์จนกว่าหน้าที่จะหมดไป...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2009
  3. kcsn

    kcsn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +111
    Welcome back ค่ะคุณอ้อง ไปเที่ยวเมืองศิวิไลซ์กรุงเทพมหานครมา คงมีเรื่่องราวสนุกๆมาถ่ายทอดให้เพื่อนในนี้อีกนะคะ แต่กรุงเทพเมืองศิวิไลซ์ตอนนี้กับเมื่อ5ปีที่แล้วที่ดิฉันจากมาช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ทั้งมลภาวะ ผู้คน เศรษฐกิจ จราจร โจรกรรม และอาญากรรม...

    แสนเสียดาย.....แต่ก็ยังรักและผูกพันกับกรุงเทพและเมืองไทยอยู่ค่ะ

    อ่านบทความของคุณอ้องหลายบทความแล้วอดที่จะทึ่งไม่ได้ ทุกคำ ทุกประโยคที่ถ่ายทอดมาล้วนน่าศรัทธา และเลื่อมใส ดิฉันเชื่อแน่นอนคุ่ะว่า...คงไม่ใช่เรื่องฟลุ้ค! เรื่องราวประสบการณ์ทางธรรมะไม่ใช่ว่าจะเขียนออกมาได้ง่ายๆถ้าไม่ได้ปฏิบัติและเห็นจริงอย่างถ่องแท้มาจากจิตใจ หวังว่าคงเซฟเรื่องราวที่เขียนมาทั้งหมดนี้ได้นะคะ ไม่อยากให้ตกหล่นไปเลยสักประโยคเดียวค่ะ

    อนุโมทนาค่ะ
    :)
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    สละชีวิตรักษาคุณธรรม

    ในชีวิตถ้าเราเคยรู้จักครูอาจารย์ที่มาทางธรรม เราจะเห็นท่านที่มุ่งแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิตภายใน ค้นหาตัวตนที่แท้ และทำลายความวิปราสที่ไปยึดอุปทาน
    ไม่ต่างจากหมาที่อมกระดูก

    คนบางคนเกิดมาพร้อมกับสัจจอธิษฐานบารมี ฝังเอาไว้ในจิตเบื้องลึกอย่างเหนี่ยวแน่น ว่าจะกระทำสิ่งบางสิ่งที่ท้าทายต่อจิตใจตนเอง พวกนี้จะต้องต่อสู่ ขันติ
    ความอดทน อดกลั้น และพวกนี้จะมีความไว ในการแปรสภาพความทุกข์

    ไม่ว่าจะมาจากทางกาย ทางใจ ทางโลกทุกๆด้าน

    บุคคลพวกนี้จะแปรทุกข์ให้เป็นพลัง
    ในการต่อสู่อุปสรรคต่างๆ อย่างกล้าหาญที่จะหันหน้ามาสู้กับความจริง

    บุคคลเหล่านี้ต่างก็อธิษฐานมาจากเบื้องบน มาจากเทพ นางฟ้า ที่ต้องการที่จะเลื่อนภพภูมิ สร้างคุณธรรมให้ยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปสู่ การต่อสู้ การท้าทาย
    ในสิ่งที่สูงยิ่งขึ้นไป

    ดังนั้น ถ้าในชีวิตเราจะเห็นได้ว่า คนที่ทุกข์อย่างสาหัสทางกาย ทางใจ แต่พลิกผันตนเอง อย่างกล้าหาญ มาต่อสู้กับความจริงด้วยสติปัญญา

    สิ่งที่พวกนี้จะเผชิญคือ การท้าทายทุกรูปแบบ สิ่งแวดล้อมที่บีบรัดเพื่อไม่ให้กระทำในสิ่งที่อธิษฐานได้ ยิ่งถ้าตั้งจิตมาเพื่อกระทำความดีอันยิ่งใหญ่เสียแล้ว

    บุคคลเหล่านี้จะเจอวิกฤตจนถึงขึ้นแลกด้วยชีวิตเพื่อรักษาคุณธรรมแห่งตนทีเดียว

    เราจะพบคนพวกนี้ได้เสมอในข่าวที่กล้าจะแลกชีวิต สละชีวิตเพื่อปกป้องคนอื่น
    แม้คนที่รัก และคนที่ไม่เคยรู้จัก

    เราจะเห็นว่าคนบางคนต้องต่อสู้กับความคิดที่ท้าทายต่อจิตสำนึก
    ขอเพียงแค่ยื่นมือ หรือหันหลังให้กับเรื่องบางเรื่อง เค้าจะมีชีวิตใหม่ที่มีแต่ความสุข
    บุคคลพวกนี้จะต้องสู้กับความคิด เป็นเดือน เป็นปี หลายปี

    ยิ่งระยะเวลายิ่งยาวนาน บารมี คุณธรรม พลังงานแห่งความบริสุทธิ์ก็ยิ่งมีกำลังกล้าแข็ง สว่าง สะอาด บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น


    บุคคลบางคนมุ่งหวังมาที่นิพพานสมบัติ์
    แสวงหาทางหลุดพ้น แสวงหาสันติสงบทางใจ บุคคลเหล่านี้จะวนเวียนกับครูอาจารย์ที่สร้างกรรมผูกพันกันมา

    ถ้าเคยให้ธรมที่บริสุทธิ์แก่คนอื่นมามาก ภพชาตินี้ก็จะเข้าถึงธรรมแท้ และเดินทางเอกได้อย่างไม่เนิ่นช้า มีครู มีเพื่อนกัลยาณธรรมที่ให้ความรู้ถูก

    บุคคลพวกนี้สำรวจตนเองได้ด้วยปัญญาและสำรวจตนเองได้ด้วยผลแห่งการอบรมสติตนเองได้ว่า
    สุขทุกข์ สั้นลงหรือไม่ เข้าถึงความเป็นกลางมากขึ้นได้หรือไม่
    เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติได้มากขึ้น หรือไม่

    บุคคลเหล่านี้ต่างก็มีคุณธรรมสูงมีศีลมีหิริโอตัปปะมีภาวนามีอบรมสติตนเองเสมอ
    เป็นบุคคลที่เราเรียกว่า ตายเพื่อพบธรรม เสียสละชีวิตในความสุขทางโลก
    เพื่อค้นคว้าหาทางพ้นโลก บุคคลพวกนี้ฉลาดแท้ ปรมัตถบารมีบารมีขั้นสูงที่สุดคือ สันติสุขแห่งบุคคลที่แสวงหาความจริงชนิดนี้

    พวกนี้ภพชาติหดลง สวนกระแสโลก
    สรรพสัตว์มีใจกับโลก ยึดโลก แต่พวกปรมัตถบารมีมาล้างภพ ล้างโลกออกไปจากใจ
    ต่างกันสรรพสัตว์ที่เห็นกิเลสเป็นยาหอม สีสรรบรรเทิงสิ้นเชิง บัณฑิตเหล่านี้เห็นว่ากิเลสคือพิษร้ายที่สุดในปฐพี...ควรทำลายเสียให้สิ้นด้้วยการรู้กิเลสที่ตำแหน่งที่ตั้งของกิเลสคือกายและใจ

    ตรงบ่ออายตนะกิเลสทั้งหลาย ปิดช่องวิญญาณทั้ง๕ ประหารใจเสียสิ้นด้วย ศีล สมาธิิ ปัญญา ที่อบรมสติมาด้วยดีแล้วนั่นเอง

    บุคคลเหล่านี้ไม่ทำลายเวลาอันมีค่าแห่งตนในยามที่สิ้นอายุขัย
    ไม่ต้องไปเสียเวลาอย่างยาวนาน ในอบาย๔ หรือพักอยู่กับโลก ติดสวรรค์และพรหม

    ขึ้นชื่อคุณธรรมจึงควรรักษาเอาไว้และทำให้งอกงามในปทาน๔ยิ่งขึ้นไปจนใจสละโลกจึงพบคำว่า สันติสุข บรมสุขอย่างแท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2009
  5. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สวัสดีครับอาอ้อง...
    ...

    อาครับ ศีลคือความปกติของคนใช่มั้ยครับ
    ..
    สมาธิ คือความว่างเปล่ามั้ย

    ..ผมเรียนรู้ด้วยตนเองครับ
    รู้แล้วว่าจะทำอย่างไรจึงจะเป็นสมาธิ... และผมก็รู้วิธีเข้าถึงสมาธิได้เร็วครับเพียงแค่หลับตา... และสมาธิใช่ ที่ว่า กายกับใจรวมเป็นหนึ่งหรือเปล่าวครับอา เพราะมันว่างเปล่าจริง ๆ..เพียงแต่ว่าผมมักจะตกอยู่ในภวังค์อยู่เรื่อยเลย เพราะท่าที่ทำสมาธิจะเป็นท่านอน ทำให้เผลอหลับไป.... แต่ผมจะพยายามทำทุกวันครับ
    ...
    ศีล สมาธิ เจริญภาวนา

    ... ผมไม่เข้าใจ เจริญภาวนาคืออะไรครับ เหมือนการทำสมาธิหรือปล่าวครับ เจริญภาวนาทำอย่างไรครับอา .... และอานิสงค์ของศีลห้า จะมีผมมากมั้ยครับ กับการเจริญภาวนา และผมจำเป็นมั้ยครับอา ที่จะต้องถือ อุโบสภศีลในวันพระ เพื่อให้บรรลุในสมาธิเข้าถึงสมาธิ หรือญาณ

    ...... ตอบผมทีครับอา

    ....... ขอบคุณครับอา...
     
  6. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    อนุโมทนาครับ คุณอ้องที่อธิบายถึงแรงดึงดูด ของภพ และก็นรก

    มันทำให้นึกถึงสมัยวัยรุ่นครับ เวลาทะเลาะวิวาทผมยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ เมื่อเพื่อนวิ่งเข้าไปตี มันจะมีแรงอะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้เราวิ่งไปตีด้วย

    หรือแม้แต่ปัจจุบัน ได้อ่านข่าวหรือทีวีเกี่ยวกับการข่มขืน ก็จะรู้สึกโกรธทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย

    หรือบางครั้งได้อ่านข่าวเจ้าที่หรือผี ทำให้คนตาย หรือข่าวเจ้าที่แกล้งให้หลงทาง บ้างละ จู่ ๆ ก็โกรธเป็นฝืนเป็นไฟ เครียดแค้นขึ้นมาเฉย ๆ ถึงขนาดคิดว่า แม้ถ้าเป็นเรานะจะสาปแช่งให้เจ้าที่ไม่ได้ผุดได้เกิดกันเลย หรือทำให้ตายนะก็จะจองล้างจองผาญ ไปทุกชาติ ดูสิว่า ผีมันจะเก่งกว่าคนได้ไง ทั้งที่ผมเองเป็นคนที่กลัวผีเหมือนกันนะ แต่ถ้ารู้ว่าถูกผีรังแกละก็จะเปลี่ยนจากกลัวเป็นแค้นไปเลย แม้ขนาดที่พิมพ์อยู่นี่ก็มีความรู้สึกโกรธ ๆ เกิดขึ้นมานิด ๆ ครับ จิตมันตอบรับดี แท้

    ตั้งแต่ได้เริ่มปฏิบัติกรรมฐาน เริ่มมีสติ ความรู้สึกพวกนี้ได้เริ่มจาง ๆ ลง อ่านข่าวหรือรับรู้เรื่องร้าย ๆ ก็จะพยายามเจริญพรมวิหาร 4 ก็ช่วยได้เยอะครับ

    ผมเองก็อยากสัมผัสความรู้สึกการลงโทษของนรกครับ เพราะอยากให้จิตมันรับรู้ความรู้สึกนั้นครับ จะได้มีกำลังใจในการปฏิบัติ เพราะบางทีนั่งฟังนั่งอ่าน มันรับความรู้สึกตรงนั้นไม่ได้ มันก็เหมือนลมที่ผัดผ่านไปก็เท่านั้นเอง รู้แค่ว่านรกมันน่ากลัว แค่นั้นเอง แล้วมันยังไง ใจจริงอยากสัมผัสสักครั้งครับ

    ที่ผมฝึกกรรมฐานทุกวันนี้สิ่งแรกที่ผมอยากไปคือ นรกครับ อยากไปสัมผัสสิ่งโหดร้ายให้หนำใจไปเลย จะได้ปรามจิตเลว ๆ ของตัวเองครับ ผมเองเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาครับ
     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบน้องตั๊ม

    ศีลเป็นความปกติของจิต คือ ไม่เบียดเบียนใคร
    มนุษย์ที่ปกติ ก็คือ มนุษย์ที่มีใจ ไม่จ้องเบียดเบียนใคร
    ศีลไม่ได้ปรากฏเพราะกำหนด แต่ศีลปรากฏเพราะมีเหตุ
    ศีลแห่งอริยมรรค เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    ธรรมชาติที่ไม่มีการจงใจ ไม่มีการกำหนด ไม่มีการเพ่ง
    ธรรมชาติชนิดนี้ไม่มีกิเลสนำ จึงเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์แท้ สะอาดแท้

    ถ้าตั๊มอยากถือศีล เพราะต้องการอานิสงส์แห่งศีล ก็เสร็จกิเลส คือมีอยากนำหน้า
    จึงรักษาศีล ให้ดูใจตรงที่อยากนำ มีความทะยานอยาก มีความต้องการที่จะรักษา
    จิตที่ส่งเข้าไปกำหนด จมแช่ อยู่กับการกำหนด การเพ่งจ้อง ความเพียรที่เป็นเพียรผิด ก็ได้แค่เปลือกของศีล

    ศีลแแห่งอริยมรรคมีคุณมาก เพราะลื้อภพ ลื้อชาติ เพราะได้อบรมสติให้กลายเป็นสัมมาสติ เป็นมหาสติ ทำลายเสียซึ้งสังโยชน์ วิปลาส อุปทานในขันธ์

    ตั๊มต้องเข้าใจจุดประสงค์แห่งการสำรวม ระวัง กาย วาจา ใจ เพื่ออบรมสติเสียก่อน จึงจะพบศีลแท้จริง

    ง่ายที่สุดคือ เพียงแค่ตั๊ม รู้สึกตัวว่าทำอะไรอยู่ตามจริง เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน
    จิตมีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ(หลงคิด) ไม่มีโมหะ

    ในขณะที่ตั๊มตื่นขึ้นมากับความจริง ชั่วแวบขณะนั้น รู้สึกตามจริงขณะนั้น ว่าทำอะไรอยู่ นี่คือปัจจุบันอารมณ์ที่เกิดขึ้น

    ชั่วแวบขณะนั้น ศีลแห่งอริยมรรคปรากฏ เป็นมหากุศลจิต ที่มีสภาพ สะอาด บริสุทธิ์ ว่องไว นิ่มนวล อ่อนโยน

    ส่วนการรักษาอุโบสถศีลก็คือ การรักษาสติ สำรวมระวัง ให้มากขึ้น ในการอบรมสติ นี่คือ แก่นแห่งอุโบสถศีลของฆราวาส ถ้าต้องการอานิสงส์มีอยู่ แต่ก็ใช้หมดไป แต่ถ้าสละอารมณ์ ที่มาสำรวมรักษาศีล คือทานแห่งการสละสุขทางโลก

    เพราะคนที่รักษา ต้องสละสุขจึงพบทุกข์ รู้ทุกข์

    จึงมีคนน้อยแสนน้อย ที่อยากจะรักษาแก่นแห่งศีล สำรวมระวัง เพราะจะเกดคำว่า อึดอัด เบื่อหน่าย สงสัย ลังเล

    แก่นแห่งศีลที่แท้คือ การสละออก คือ สละอารมณ์ที่ไปยึดสุขต่างๆ และเข้ามาค้นหาทุกข์สัจจะที่กายและใจอันเป็นที่ตั้งของกิเลสตรงบ่ออายตนะ

    ศีลที่รักษา ย่อมทำให้ตั๊มมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก อุโบสถศีลมีอำนาจของคุณธรรม

    เปลือกและแก่น ต่างที่ สิ่งหนึ่งต้องการห่อหุ้ม(เปลือก)
    อีกสิ่งหนึ่งทำลายห่อหุ้ม(แก่น)
    สิ่งสองอย่างต่างกันที่ใจ

    จงเข้าหาแก่นแท้ นี่คือหลักของพุทธศาสนา ทำลายอารมณ์ที่ไปยึดมั่นถือมั่น

    ส่วนเรื่องของสมาธินั้น
    เป็นแค่การหลอกล่อจิต ให้มาอยู่ในอารมณ์เดียว จึงต้องอาศัยศีลเป็นส่วนผลักดัน คนทำสมาธิยิ่งสูง ยิ่งละเอียด ยิ่งสะอาด นั้นก็เพราะเป็นบุคคลที่มีปัญญา
    ในการสละอารมณ์ ไม่ว่า ปิติ สุข นิมิต รู้แล้ววาง ไม่เข้าไปจมแช่ จะเห็นสิ่งละเอียดไม่เที่ยง หยาบปรากฏก็ไม่เที่ยง

    ถามตั๊มว่า ที่ว่าง ใครรู้ว่าว่าง
    คำว่าว่างเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วยจิตนั่นหล่ะ ยังไม่ว่างสะอาดแท้จริง
    คำว่าว่างแท้คือ ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปทาน ใจนี่หล่ะรู้เพราะได้อบรมสติมาดีแล้ว

    ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องอบรมด้วยสติ จนจิตหด รวมเป็นหนึ่งแบบไม่หวั่นไหวกับโลกธรรม๘ ดี ชั่ว บาป บุญ มีแต่ละลายหาย กาย ใจมีแต่เงาแวบมาหายไป
    ดูเหมือนมีแต่ไม่ใช่เรา

    อบรมสตินะตั๊ม ง่ายๆ รู้สึกตัวว่าทำอะไรอยู่ก็พอ ยังไม่ต้องไปแยกแยะนะ
    เมื่อชินสภาวะมันจะหยั่งลงสู่ขันธ์แบบอัตโนมัติเอง
    สิ่งสำคัญคือ สติ สมาธิ

    สมาธิทำเพื่อให้จิตมีกำลัง ช่วงไหนที่เริ่มฟุ้งซ่านก็ให้เพียรในสมาธินะ
    ตั้งใจดีแล้ว ทำต่อไป ไม่เข้าใจถามนะครับ
     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณ กองกอย

    คุณกองกอยครับ
    จิตไปยึดธรรมคู่ นรกก็เป็นธรรม สวรรค์ก็เป็นธรรม
    เรามารู้จิตบาป จิตบุญ เพื่อละทั้งคู่

    บุญ บาป นรกสวรรค์ เป็นภพ เป็นเชื้อ
    เรามาลื้อโลงศพ เพื่อไม่ให้ขันธ์ปรากฏ
    เรามาลื้อโลกให้ว่างเปล่า

    คำว่าว่าง คือ ว่างจาก สิ่งที่เรียกว่าโลก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
    ใจมันไม่เอาโลก โลกก็ไม่เอาใจชนิดนี้เช่นกัน ยมบาลจึงมองไม่เห็น

    ทุกอย่างก็คือพลังงาน คือธรรมชาติ แต่ที่ไม่บริสุทธิ์แท้ เพราะไปเกาะยึดธรรมชาติเอง ธรรมชาติก็เป็นไปตามปกติ มีเหตุให้เกิดและดับ

    แต่พลังงานไปสร้างปฏิกริยากับธาตุ กลายมาเป็นธาตุรู้ คือรู้ปฏิกริยา
    จิตที่เดิมปภัสสรเมื่อประยุกต์ร่วมกับโลก จึงเกิดกริยาจิต ยึดรูปลักษณ์
    ว่าเป็นเรา

    เวลาทำสมาธิ เราจะหวังที่จะให้เป็นไม่ได้ อยากมี อยากได้ เสร็จกิเลสหมด

    เสร็จตอนไหนหรือครับคือเสร็จตอน

    เวลาที่มีนิมิต มีสุข มีปิติ มีแสง หรือรูปนิมิตอันใด
    1. จิตจะวิ่งเข้าไปจับยึดอารมณ์อย่างเหนียวแน่น คือ อยากจะรู้
    2. จิตจะเพ่งจ้องสิ่งที่ปรากฏแบบตั้งใจไม่ให้คลาดเคลื่อนในรูปนิมิต
    3. จิตจะเข้าไปจมแช่กับ ปิติ สุข แบบสบายๆุอุรา เคลิ้มเหมือนคนฝันหวาน
    4. จิตจะเคลื่อนเข้าไปปรุงแต่งอารมณ์ จนเห็นเป็นตุเป็นตะ
    5. จิตจะดิ่งเข้าไปแบบตกภวังค์เงียบหายจ๋อยแบบหลับคอตกสนิทใจ

    สิ่งเหล่านี้คือ เสร็จนิวรณ์ เสร็จกิเลส ที่สำคัญคือ สติอ่อน และเมื่อมีคูณธรรมภายในที่ละเอียดปรากฏ จะหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหมือนไปเกร็ง ไปตื่นตัว
    ไปจับจ้อง มีอยากนำมากไป คุณภาพของจิตจึงปรากฏเซื่องซึม แข็งทื่อ

    บางคนขมวดคิ้วเพ่งจ้องเพื่อจะตามรู้ให้ชัดๆก็มี บีบจนเคร่งและมีอาการเครียดปรากฏตามมา

    สมาธิที่ว่านี้คือ มิจฉาสมาธิ คือ ตั้งใจมากเกิน หรือไม่ก็ อ่อนแอมากเกิน
    คนที่นั่งแล้วง่วง จึงต้องรู้เวลาในการนั่ง

    ท่านั่งสบายเกินหรือท่านอนที่สบาย ไปจะี่ทำให้สติีถูกภวังค์เกิดถี่ยิบ ก็ไม่ต่างจากหลุมดำที่ดึงดูดเราเข้าไปหลับสนิท

    สติเป็นสิ่งสำคัญ จงนิ่งสยบความเคลื่อนไหว จงรักษาจิตแจ่มใสภายใน เวลาที่ควรเพียรให้เร่ง เวลาเริ่มให้ปล่อยกายใจอิสรเสรี เวลาเคลิ้มให้เร่งเพียรยกบริกกรรม หรือปลุกจิตตนเองที่เคลิ้มๆให้ฮึดขึ้นมาอย่างตื่นตัวอีกครั้ง

    จึงจะเห็นจิตรวมกำลังได้...

    สติจะมากลายเป็นสัมมาสมาธิิ สมาธิสำคัญตรงจุดนี้ต่างหาก
    เมื่อสัมมาสมาธิปรากฏ ศีล สมาธิ ปัญญา จะรู้ถูกเป็นสัมมาทิฎฐิ
    เพราะสัมมาสติจะมีองค์คุณแห่งอุเบกขาธรรม คอยเชื่อมโยง

    ความจริงของธรรมชาติที่ปรากฏในแต่ละขณะอย่างเที่ยงธรรม เป็นกลาง
    จิตที่พบใจ เอกัคคตาจิตที่ปรากฏ มีอุเบกขาธรรมเป็นแกนกลาง
    จะมองทุกสิ่งตามความจริงอย่างไม่หวั่นไหวในอารมณ์ด้วยความเที่ยงธรรม

    กามคุณ๕ไม่ปรากฏ โลกธรรม๘ไม่ทำให้จิตเข้าไปจมแช่อารมณ์ทั้งดีและเลว
    รู้และละ รู้และไม่จม รู้และไม่หวั่น รู้และไม่คล้อยตามอารมณ์

    ใจที่ปรากฏชนิดนี้ ทำลายวิปราส ทั้งดีและเลว เข้าสู่สภาวะจิตที่เป็นกลางถึงที่สุด

    ทำลายขอบเขต ทำลายเวลา เหลือแต่อริยมรรค อริยสัจ๔ ที่เดินเต็มกำลัง
    ลื้อถอนอุปททานที่ปวงขันธ์ จนละสังโยชน์เสียสิ้น แหวกอาสวะกิเลสที่ห่อหุ้ม
    ที่หมักหมมในสันดานจนเข้าสู่สภาพ

    สันติสุข คำว่าว่างแท้จะปรากฏ

    คือว่างจากกิเลส ตัณหา อุปทาน จิตจะอยู่แต่จิตหนึ่ง เป็นมหากริยาจิต
    สติแท้แห่งมหาสติ จะอยู่แต่หนึ่งไม่มีสอง

    จิตปถุชน ไม่ได้อยู่ที่จิตหนึ่ง แต่ไหลเป็นสายน้ำเชี่ยว กระพิบดั่งไฟ ถี่ยิบ

    อ้องเปรียบเทียบให้คุณกองกอยเห็นคำว่าหนึ่งแบบง่ายๆ

    หลอดไฟที่ใกล้จะเสีย จะกระพิบแป๊บๆ ๆๆ ๆ ๆ เราจะบอกในใจว่า ไฟเสีย ไฟไม่ติด นี่ละจิตแห่งพระอริยเจ้า ไม่ต่างกัน ทำลายตรงที่จุดติดคือตัณหาทะยานอยาก ตรงจิตมันหิวอารมณ์

    หลอดไฟก็เช่นกัน มันมีเชื้อไฟ มีประจุไฟฟ้าไปกระตุ้น
    พวกเราคือหลอดไฟคุณภาพดีของโลก คือเปิดปุ๊บ ติดปั๊บ ไฟที่กระพิบถี่ยิบ
    ในเสี้ยววินาทีเกิดและดับถึง45ครั้ง จึงเห็นเป็นรูป แสง เป็นหนึ่ง

    จิตพวกเรากระพิบถี่ยิบดั่ั่งสายน้ำไหลยิ่งกว่าไฟหลายร้อยพันเท่า มันจึงเห็นว่ามีกายเป็นเรา และเห็นว่า จิตก็เป็นเรา

    อ้องว่าพวกเราต้องเข้าใจคำว่า สมาธิให้ถูกต้อง และวิปัสสนาให้ถูกต้อง
    อย่าไปหลง ไปหวั่นไหว สวรรค์ นรกเลย ไม่พ้นทุกข์ แต่มารู้ที่กายและใจ
    พ้นแน่ๆ

    ส่วนที่จะเกิดมันเกิดเอง เหมือนอ้อง ยิ่งเฉยๆ ไม่สนใจยิ่งตื่นในฝัน ยิ่งเห็น
    รู้ก็รู้ไป มันจะเห็นว่า ไม่ใช่เราซักอย่าง มีแต่ดับ รู้สึกและก็ดับ เหมือนเงาที่ทอดหายไปในห้วงเวลา จับต้องไม่ได้เลย ไม่ใช่ซักอย่างที่เป็นเรา มีแต่ถูกรู้และหายไป

    คุณกองกอยมีอะไร ถามอ้องที่กระทู้เลยนะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อน้องๆและเพือนๆร่วมกัน

    กรุณาอ่านด้วยการพิจารณา บางสิ่งอ้องก็อ่านมามาก เข้าใจตามความรู้ของตน
    ผิดพลาดขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
     
  9. สรานุวัฒน์ นวลคำ

    สรานุวัฒน์ นวลคำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +44
    ยอดเยี่ยมมากครับ ถึงจะยาวแต่ก็อ่าน ขอบคุณและอนุโมทนาสำหรับเรื่องดีดีครับ
     
  10. สากัจฉา

    สากัจฉา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +115
    ขอบคุณมากครับ ที่นำสิ่งดีๆมาบอกกัน
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เรื่อง เยอะมากเลย ยินดีด้วยครับ
     
  12. toompom

    toompom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +64
    โอ้โฮ ขยันพิมพ์จังนะ พิมพ์ซะยาวเหยียด
     
  13. kriengkripob

    kriengkripob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,326
    ค่าพลัง:
    +2,048
    อนุโมทนา คงเคยได้ร่วมสร้างกุศลกันมา/อ่านแล้วเกิดปัญญา สาธุ สาธุ
     
  14. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    เป็นตามจริงอย่างที่คุณอ้อง กล่าวไว้เลยครับ ผมเองเวลานั่งสมาธิแล้วเกิดแสงอะไรนิดหน่อย จิตจะตอบรับดีมากเลยครับ ทั้งที่เราก็รู้ว่าอย่าไปสนใจเลย แต่จิตก็อยากจะรู้อยากจะเห็น อยากจะพบรู้สึกได้เลยครับ

    และเรื่องของภวังค์สองสามวันมานี่เกิดขึ้นบ่อยมากครับ ต้องพยายามดึงคำภาวนาบ่อยจน จนบางครั้งตกภวังค์คิดว่าตัวเองกำลัง ภาวนาอยู่ทั้งที่จริงแล้วอ้าวเราไม่ได้ภาวนานี่หว่า (ผมขอเรียกว่าฝันซ้อนฝัน) น่าจะอธิบายได้เข้าใจง่ายสุดครับ

    จนบางครั้งเกิดความสงสัยว่า ตกลงเราฝันอยู่หรือไม่ได้ฝัน เพราะบางครั้งเราก็รู้คำอยู่ว่าเรากำลังนั่งสมาธิ และยังคงไม่ทิ้งคำภาวนา แล้วจู่ ๆ เราก็สะดุ้งขึ้นมา เมื่อกี้ที่เราคิดว่าเราภาวนาอยู่นั่นมันฝันนี่หว่า ตกลงเราฝันว่านั่งสมาธิภาวนาไปด้วยเหรอนี่ ก็เลยเริ่มใหม่พอสักแปปก็เป็นเหมือนเดิม ก็เลยเลิกนั่งครับไม่อยากบังคับตัวเองมากเกินไป เป็นอย่างนี้มาสองสามวันได้ละครับ
     
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ผ่านภวังค์เพราะสังเกตุจิต

    คุณกองกอยครับ

    อ้องสอนเรื่องง่ายสุดเลย ตอนนอน พอ กายมันสบายมากๆแล้ว
    จิตมันจะเริ่มทิ้งคิด(คิดเริ่มหนักหัว)
    สติจะอ่อนกำลังลง และจิตจะถูกเหมือนหลุมดำ ดึงดูด ให้เคลิ้มเข้าไป วูบเข้าไป
    เรียกว่า หมดสติเกลี้ยง วูบหาย

    สังเกตุแฟนหรือคนใกล้ตัว...
    บางทีพอหลับ เค้าจะะมีอาการ วูบ หรือเหมือนสะดุด ตกหล่น เหมือนตกเหววาบลงไป หรือไม่ก็มีอาการแขนกระตุก ขากระตุก หรือสะดุ้ง นี่ละช่วงวูบเข้าภวังค์ทั้งสิ้นเลย

    การที่จะผ่านภวังค์ เราต้องรู้จังหวะเวลาที่เราต้องกระตุ้นสติ
    เรียกมันกลับมา ฮึดสู้กับ ความเคลิบเคลิ้มลืมตน เพราะภวังค์ถี่ยิบ
    มันจะดูดจิต ทำลายสติ เข้าไปจมแช่อารมณ์ที่สะสมภพ ปรุงภายในจนเต็มอิ่มในอารมณ์ มันถึงจะตื่น...

    ช่วงเคลิบเคลิ้ม ซึม ทื่อ แข็งๆ นิวรณ์แห่งถีนมิทธเจตสิกปรากฏ...
    ให้เร่งเพียร นำสติกำลังกลับมา ด้วยการยกบริกรรม หรือจดจ่อกับลม
    หรือกรรมฐานที่ดูมาตั้งแต่ต้น แต่ถูกอำนาจภวังค์ทำลายลงทั้งทิ้งคิด ทิ้งบริกรรม

    เหมือนเผลอไปจมแช่อารมณ์แวบๆเข้าไป

    ตรงนี้รักษาสติเอาไว้ อย่างมั่นคง หลบเข้ามาดูภายใน
    คุณกองกอยลองหลับตาตอนนี้นะ...

    หลบเข้ามาดูภายในรู้อิริยาบทตามจริงที่ปรากฏ
    จะเห็นรูปเป็นสิ่งถูกรู้ และมีจิตเป็นผู้รู้

    ภวังค์มันจะแข็งๆ ทื่อๆ เซื่องซึม นี่เป็นสภาวะธรรมชนิดหนึ่ง
    ช่วงที่รู้และมีสติปรากฏ ความนิ่มนวล อ่อนโยนจะเข้ามาทำลายภวังค์ออกไป

    เราจะเห็นจิตเริ่มรวมคือ วูบเข้าไปตามลำดับของจิต

    จิตไม่ใช่ตัวพลังงานแต่มันสะสมพลังงานชนิดหนึ่ง เป็นธาตุรู้อามณ์ถ้ามันยึดอารมณ์ใดนานๆมากๆมันจะมีพลังงานชนิดนั้นๆ
    เมื่อไปให้มันรวมฐาน นิสัยพวกเราที่ชอบสบายๆ ไม่ชอบการกดดัน พอให้มาอยู่อารมณ์เดียว มันจะเกิด อึดอัด ขัดข้อง เบื่อหน่าย เซ็ง สงสัย คาดหวัง
    พระพุทธองค์จึงวางเรื่องทาน และศีลในเบื้องต้น
    คือกล้าที่จะสละอารมณ์ เพื่อให้จิตมันรวมตัวคือภาวนา

    กรณีของคุณกองกอย...
    ภวังค์ถี่ มีอำนาจสูงและกดข่มสติ ให้ปรับแผนโดยสร้างกำลังเพิ่ม
    โดย...เดินแบบรู้สึกตัวธรรมดา รู้ตัวว่าเดินก็พอ พอกายเริ่มสงบ เบาลง
    ก็มานั่งและยกบริกรรม หรือกรรมฐานที่ชอบ มาพิจารณา

    กำลังในท่าเดินจะมาหนุนเพิ่มและสติจะไม่อ่อนแอมากนัก ช่วงเคลิบเคลิ้ม เบาๆ
    สบายๆ ก็ปลุกสติ เร่งเพียร จะเห็นวูบเข้าเป็นลำดับ กายละเอียดตามเข้าไป
    ลมละอียดตามเข้าไป จิตละเอียดตามเข้าไป ในวงมิติของจิต

    ภวังค์จึงมีหลายระดับ เป็นช่องว่างของจิตที่มาจากหยาบ ไปหาละเอียด
    ดังนั้น เราจึงควรสังเกตุจิต พิจารณาอยู่เสมอว่า...

    ถ้าจิตที่ทื่อๆ แข็งๆ ซึมเซื่อง มึน ทึบปรากฏ ให้ทำลายมันด้วยธรรมอันเป็นคู่ปรับ
    ธรรมชาติของสมาธิ ต้องไหลราบเรียบ นิ่มนวล มีกำลัง ไม่แข็งทื่อ สบายๆแบบไม่ฝืน ตัดอยากนำ ความจริงย่อมปรากฏให้เห็นเองครับ

    อนุโมทนาคุณกองกอยครับ...
    เอาใจช่วยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2009
  16. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    อนุโมทนา ครับเดียวคืนนี้จะลองดูครับ ผมเองก็ลืมการเดินจงกรมไปสนิทเลย สาธุ ๆ ครับ
     
  17. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ขอบคุณอาอ้องมากเลยน่ะครับ...

    .. อาครับ ทำอย่างไรจึงจะละจิตนี้ออกจากกายได้ ... ต้องมีสมาธิเสียก่อนหรือเปล่าครับอา .. หรือเป็นเพราะบุญเก่าจึงจะสามารถทำได้ ...

    .. ทุกวันนี้ผมจะทำสมาธิก่อนนอนจะได้มีสติ..

    ......
     
  18. เลือดเย็น

    เลือดเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +262
    ตอนนี้พยายามสวดมนต์ทุกวันค่ะ
     
  19. ธรรมวิเสโส

    ธรรมวิเสโส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +640
    ขออนุโมทนาด้วยคนครับ ไม่คอยมีคนเล่ายาวๆ และอธิบายอย่างนี้ อ่านแล้วมีกำลังใจในการปฏิบัติดีมากเลยครับ
     
  20. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ตื่นเต้นดีครับวันหลังจะแวะมาอ่านอีกนะครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...