เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อินทรีย์ธาตุสมบูรณ์ขีดสุดทำให้สัตว์โตอย่างมโหราล

    [SIZE=-1]สัตว์แห่งสุดยอดของนักฆ่า เช่นไทแรนโนซอรัส และสัตว์กินพืชยักษ์ใหญ่ที่สุดแห่งโลกกำเนิดมาในช่วงนี้เช่นกัน

    สัตว์ที่เกิดมาในยุคแรกเริ่มต่างก็เบียดเบียนกันขนานใหญ่
    กรรมชั่วแห่งการกระทำเมื่อเกิดขึ้นมาใหม่ แทนที่จะงดการกระทำเช่นนั้น
    ก็ทำกันเพิ่มเข้าไปอีก

    เมื่อโดนอวิชชาและปรากฏอาสวะกิเลสห่อหุ้มและภวตัณหามากยิ่งขึ้น

    การเกิดแห่งสัตว์เพื่อมาเบียดเบียนกันและกันก็ไม่มีสิ้นสุด และต้องเทียวเวียนว่ายทำกรรม และชดใช้วิบากให้แก่กันและกันหาที่สิ้นสุดไม่

    อนันตธรรม๔ประการ อากาศ วงกลม สัตว์ทั้งหลาย ความปรีชาญาณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อากาศ หาปริมาณที่สิ้นสุดไม่ได้ และมิได้หมายเอาเพียงแค่โลก

    จักรวาล ประกอบไปด้วย ดวงดาวแห่งสุริยะ แกแล็คซี่ ที่นับไม่ถ้วน รวมทั้งช่องว่าง รวมตัวกัน โดยมีกาลเวลาเป็นองค์ประกอบร่วม


    ในคัมภีร์อังคุตตรนิกายที่เก่าแก่

    พระพุทธองค์ทรงกล่าวเอาไว้ว่า "ยังมีดวงอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาวที่มนุษย์ยังมองไม่เห็นอีกมากมาย และยังมีมนุษย์และสัตว์ในโลกอื่น ๆ ภายในแสนโกฏิจักรวาล เพียงแต่ว่าโลกใบนี้มีสิ่งมงคลที่หายากที่สุด ในแสนโกฏิจักรวาลนั้นคือ พระพุทธเจ้า"

    สัตว์ทั้งหลาย มีมากมายมหาศาลไม่ใช่แค่โลกใบนี้ที่เดียว และการกำเนิดของสัตว์ก็ล้วนมาจากองค์ประกอบของเหตุต่างๆ

    โลกทุกที่การพัฒนาการ
    ไม่ได้แตกต่างคือจะมีสัตว์น้ำมาก่อน และมีสัตว์บกที่หลัง

    แต่จะไม่เหมือนกันก็ตรงที่รูปกาย และสภาพแวดล้อมของระบบสุริยะ
    และกาลเวลาของโลกในแต่ละที่

    พุทธญาณ พระปรีชาญาณของพุทธองค์ยิ่งใหญ่ จนกว่าจะคาดคะเนได้
    คำตรัสสอนที่ธรรมดา แต่แฝงนัยยะอันลึกซึ้ง

    สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงยินดีตอบโดยมาก จะเป็นในเรื่องของชีวิตและการพ้นทุกข์
    ชักนำให้เกิดศรัทธา และเข้าหาแก่นแท้ของศาสนา

    คำตอบอันใดที่ชักนำให้งมงายเป็นอจิณไตย จะทรงกล่าวห้ามเพราะผู้ฟังอาจจะหมดความเชื่อถือ เพราะเป็นเรื่องที่คาดคะเนได้ยาก และลึกซึ้งหรือจะกลายเป็นงมงายไร้สาระ และได้ประโยชน์น้อย
    พระพุทธองค์จะปฏิเสธจึงมีน้อยมาก
    ในพระคัมภีร์ต่างๆที่กล่าวถึงโลกอื่น ๆ
    [/SIZE]
     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    โปรดเข้าใจใหม่ว่าอายุขัย8ปีึถึงแสนปีขึ้นอยู่กับระบบสุริยะแต่ละที่ด้วยโลกใบนี้ลองรับไ

    [SIZE=-1]โลกมนุษย์มีมากมาย แต่อายุขัยนั้นแตกต่างกัน
    รวมทั้งรูปร่างและผิวพรรณ


    [/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2010
  3. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    มงคลจักรวาล หมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล เริ่มต้นจากพระองค์ท่าน

    [SIZE=-1]<center>ลมเย็นๆแผ่วพลิ้วมาอ่อนๆ ผสมผสานกับกลิ่นของดอกไม้นานาพันธ์ ท้องฟ้าที่ปราศจากแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ กลับมีแสงแห่งรัศมีคุณธรรมกระจายปกคลุมอยู่ไปทั่วน่านฟ้า

    เทพติ๊กหันไปมองทางทิศเหนือ ที่ปรากฏรัศมีพวยพุ่งไปทั่วน่านฟ้า ปวงเทพเทวา นางอัปสร ในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ
    ต่างก็ใช้เวลามากราบสักการะ พระธาตุของพระพุทธองค์

    มงคลจักรวาล หมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล เริ่มต้นจากพระองค์ท่าน องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงนำพาหมู่สัตว์ ให้พ้นจากทุกข์ ทั้ง ๆ
    ที่สมัยภพชาติเป็นสุเมธดาบส

    ก็สามารถเป็นพระอรหันต์ได้อย่างง่ายดาย ด้วยเพราะสะสมปัญญามาอย่างมาก แต่พระองค์ท่านก็ยังปราณีต่อพวกเรา เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ให้เหี่ยวแห้งเฉาตายไปพร้อมกับกิเลสโลก

    เทพติ๊กยกมือขึ้นสาธุ การพร้อมกับก้มกราบ ระลึกในคุณแห่งพระรัตนตรัย ในขณะที่ก้มกราบ หญ้าก็ม้วนตัวขดมารวมกันเป็นเบาะอ่อน ๆ
    ไปตามอิริยาบถ

    เทพติ๊กก้มลงไปนั่งที่พื้นหญ้าอ่อน ๆ พื้นหญ้าก็ขดมารวมกัน เป็นเบาะพรมนิ่มนวลเหมือนมีชีวิต ทุกอิริยาบถไม่ว่าจะนั่งจะนอน จะมีแต่ความประณีตปรากฏอยู่

    สิ่งนี่ก็ล้วนแล้วแต่อิงบุญอิงกุศล สรวงสวรรค์ที่เต็มไปด้วยกองบุญ
    ต่างก็เกื้อหนุนกันและกันด้วยอำนาจแห่งเดชบุญนั้น ๆ
    เทพติ๊กอดไม่ได้ที่จะเปิดหนังสือหาข้อมูลของตนเองต่อไป</center>
    [/SIZE]
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    กฏพระไตรลักษณ์ ไม่มีคำว่า เที่ยง อมตะ นิรันดร มีแต่เกิด ตั้งอยู่ไม่ได้และดับไป ธรรมทั้งห

    [SIZE=-1]พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า" สรรพสิ่งสรรพธาตุล้วนแล้วไม่เที่ยง
    มีความปรวนแปร ตั้งอยู่ไม่ได้และดับไป "

    นี่เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วนอาศัยเหตุให้เกิด

    พระองค์ทรงแสดงเหตุเกิด เป็นทุกข์ปลวนแปรและดับลงอันเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมทั้งปวง

    เมื่อข้าพเจ้าและเพื่อนต่างก็หันมาดูความจริง อันเป็นหลักเกณฑ์ธรรมชาติที่ธรรมดาแล้ว ก็ไม่เกินวิสัยที่จะอธิบายความจริงในเรื่องของหมื่นโลกธาตุได้

    หมื่นโลกธาตุที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต ทั้งที่กำลังเริ่มมี กำลังตั้งอยู่อย่างสมบูรณ์และกำลังดับไปเริ่มใหม่

    แสนโกฏิจักรวาล ที่กระจายไปอยู่ทั่วทุกหนแห่งบาง ที่มีดวงอาทิตย์เป็นหมื่น เป็นแสนและล้าน ตามขนาดของแต่ละแกแล็คซี่ สิ่งนี้พระองค์ทรงตรัสเอาไว้สมัยเมื่อ2500ปีก่อน ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์พึ่งใช้กล้องฮับเบิ้ลส่องเห็นมาไม่กี่ปี

    ในคัมภีร์ต่างๆที่ปรากฏเรามักจะได้ยินผู้ที่เข้าใจแปลความหมายต่างๆ
    โดยลืมไปถึงความจริงแห่งพระไตรลักษณ์

    ไอน์สไตน์ใช้ทฤษฎีสัมพันธ์ภาพมาคาดคิดคำนวณเอกภพทั้งมวลว่า ขยายไม่มีสิ้นสุด หาขอบเขตอันใดไม่ได้ บางตำราบอกว่า เทวดาที่มีฤทธิ์เหาะไป 16กัลป์ยังหาถึงขอบจักรวาลไม่ได้แสดงว่าจักรวาลไม่มีสิ้นสุด

    จริง ๆ แล้ว

    ล้วนใกล้เคียงแต่ถ้าตีความหมายพ้นไปจากพระไตรลักษณ์แล้วก็ผิดพลาดทั้งหมด ทุกสิ่งอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์หาความเที่ยงไม่ได้

    เรื่องธรรมดาในแกแล็คซี่ทางช้างเผือกแห่งนี้มีทวีปอยู่ 4 ทวีป
    ทวีปที่เราอยู่คือ ชมพูทวีป เป็นทวีปที่เหมาะกับจิตที่ศีลเหลืออยู่
    กระหยิบมือ

    จิตในที่ต่าง ๆ ที่ใดในโลกอื่นที่เหมาะกับทวีปแห่งนี้ย่อมโยกย้ายมาตาม กรรมและวิบากที่หนีไม่พ้น

    และก็เช่นเดียวกัน บุคคลบางคนที่สร้างบุญอย่างมากมายเมื่อจะต้องเกิดเป็นมนุษย์ ศีลที่เคยรักษา บุญที่กระทำมาอย่างมากมาย

    กายมนุษย์แห่งชมพูทวีปแห่งนี้เป็นสิ่งหยาบไปซะแล้ว กรรมและวิบากย่อมจัดสรรให้ไปอยู่ทวีปอื่นที่มีอายุขัย อาหารการกิน ผิวพรรณ รูปร่าง ที่ดีกว่า

    และเช่นเดียวกัน

    คนที่ใจบาปหยาบช้า ศีลที่หาไม่ได้ และน้อยนิดเต็มที เมื่อยามสิ้นอายุขัย ย่อมเสวยกรรมใหญ่ ศีลที่เหลือน้อยนิดย่อมแทรกเข้าหามนุษย์ในโลกใบนี้ไม่ได้กายมนุษย์ในโลกใบนี้ ละเอียดจนเกินกว่าจะปฏิสนธิในครรภ์มารดาได้ จึงต้องท่องเที่ยวเหมือนใยแมงมุม

    แสวงหาสถานที่เกิดไปในแกแล็คซี่อื่น ๆ ที่ระบบสุริยะหยาบกว่านี้
    รูปร่าง ผิวพรรณ อาหาร อายุขัย ย่อมหยาบถึงที่สุด
    [/SIZE]
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อย่าหวังน้ำบ่อหน้า

    ถ้าเพื่อนๆอ่านมาถึง ณ จุดนี้แล้ว

    จะเห็นว่า การหวังน้ำบ่อหน้า เอาดีชาติหน้า สะสมบารมีไปเรื่อยๆ ก็ขอให้ทบทวนความคิดเสียใหม่

    การที่หวังเอาว่าอายุมาก วางงานต่างๆ จะเข้าวัดก็คิดใหม่เสียด้วย

    อย่าเป็นผู้ประมาทในการเกิดที่ยากแสนยาก

    และแสนจะยากที่จะได้เจอพระธรรม

    และสุดจะหาไม่ได้ ถ้าได้ฟังธรรม และเข้าใจในธรรม

    ภพนี้ ชาตินี้ เจอสิ่งที่ดีที่สุด อย่าไปหวังเจอพระศรีอริยเมตตรัยเลยครับ

    ถ้าคิดว่าเจอง่ายๆก็มาฟังทางนี้นะครับ

    ในยุคของพระพุทธเจ้านามว่าพระศรีอริยเมตตรัยนั้น

    ท่านเป็นพระพุทธเจ้าประเภทสร้างบารมีทางด้านพระวิริยาธิกพระพุทธเจ้า

    ทรงมีความเพียรมากที่สุดนานถึง80อสงขัยกับเศษแสนมหากัลป

    อายุพระพุทธศาสนาจะยาวนานและแม้แต่บุคคลที่จะมาเกิดในยุคนั้นก็จะมีอายุขัย

    หลายหมื่นปี ขอบอกว่า โลกใบนี้รองรับคนประเภทนี้ไม่ได้แน่นอน

    เพราะศีลกำลังเสื่อมลงไป และอินทรีย์วัตถุก็มีสภาพที่ด้อยลงไปตามสภาพของโลก

    ต่อให้มีวิวัฒนาการตัดต่อยีนส์ พันธุกรรม ต้านเชื้อโรค หรือทำให้อายุยืนยาวขึ้นเพียงไหน

    ก็ไม่สามารถต่อต้านศีลที่เสื่อมสภาพลงไป และถ้าคำนวนอายุขัยคนในยุค

    พระศรีอริยเมตตรัยแล้ว คงต้องผ่านกาลเวลาอีกหลายล้านปี ที่สำคัญคือศีล

    ทำให้อายุยืนยาว และการรักษาศีลจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่คนทั้งโลกมาร่วมใจ

    กันรักษา ดังนั้นอายุขัยจะค่อยๆเริ่มมีเพิ่มขึ้น ไม่ใช่กระโดดพรวดมามีอายุขัยมาก

    โดยทันที

    คนในยุคพระศรีอริยเมตตรัยจะมีพระอริยบุคคลเกิดมาก และมีผู้ที่สะสมอินทรีย์

    คุณธรรม อัจฉริยบุคคล เกิดขึ้นในยุคนั้นอย่างมากมาย และจะบรรลุธรรมได้เป็นจำนวนมาก ในเบื้องต้นแห่งพระศาสนา

    มาดูที่ตัวท่านดีกว่า อายุขัยตอนนี้ของเราๆแค่ 75ปี แล้วอายุขัย 80,000ปี
    นี่ต่างกันมากมายขนาดไหน เราต้องสะสมศีล และอินทรีย์ี์มากมายขนาดไหน

    ถึงจะเกิดในศาสนาแห่งพระศรีอริยเมตตรัยได้

    ขอบอกทางลัดกระชับสั้น ถ้าหากว่า ไม่สามาถที่จะทำให้พ้นทุกข์ในพระศาสนามิ่งมงกุฎพระพุทธเจ้าแห่งเรา ณ ตอนนี้

    คือเจริญสติ ในระหว่างวัน นี่ละครับ สติเท่านั้นที่ทำให้ศีลเกิดขึ้น ในแต่ละขณะจิต ท่านจะสะสมศีลในขณะจิต ไม่ใช่ในระหว่างวัน

    พวกเรานักขอศีล แต่สติน้อย ศีลคือความปกติของจิตนะครับ

    แต่พวกเราบอกรักษาศีล นี่ รักษาศีลที่สติ ศีลแห่งอริยมรรคหรือเปล่าครับ

    แค่รักษาศีลที่ใจ จิตแต่ละดวงจะสะสมเชื้ออย่างมากมาย ทำให้ท่านสามารถไปเกิดในยุคใดๆก็ได้ตามใจปรารถนา และยังสะสมอินทรีย์ทั้ง5 เป็นปริมาณมากอีกด้วย

    ดูเหมือนยาก แต่ง่ายมากๆ สำหรับท่านที่ทำเดี๋ยวนี้ แค่ไม่เผลอคิด ไม่หลงไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ประคอง ไม่กดข่ม ไม่เพ่ง

    มารู้ที่กายที่จิตที่เป็นตัวเหตุแห่งทุกข์

    อย่าว่าแต่น้ำบ่อหน้าเลย น้ำบ่อนี้ก็จะทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้ ถ้าทำซะอย่าเอาแต่หวังชาติหน้า

    ท่านคิดว่า ชาติหน้าจะเิกิดเป็นคน เป็นเทวดาเหรอครับ

    ขอบอกว่า คิดใหม่ด้วยนะครับ

    คนในยุคนี้สะสมแต่อกุศลมากมายใน100ผมให้แค่5เป็นมนุษย์กับเทวดา

    นอกนั้นเรียบร้อยครับ ขนาดผมเองยังมีโอกาสไปเป็นสัตว์เดรฉานได้เลย

    เพราะมีโมหะอยู่เสมอ หลงคิด ดังนั้นเรามาฝึกสติ เพื่อความไม่ประมาทกันเถิดครับ

    อย่าติดดี ติดสุข ติดอภิญญาเลย ไม่พ้นทุกข์แน่นอน

    มาดูที่กายที่ใจที่เป็นตัวทุกข์กันดีกว่า รับลองไปดีแน่นอนครับ
     
  6. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ทวีปทั้งสี่ในแกแลคซี่ทางช้างเผือก

    [SIZE=-1]<center>ชาวชมพูทวีป โลกใบนี้ของเรา มีรูปร่างใบหน้าทรงรูปไข่ ความเป็นอยู่พอปานกลางไม่จัดว่าดีมากนักแต่ก็ไม่เดือดร้อนจนหาอะไรลำบาก


    ชาวอัปรโคยานทวีป
    มีลักษณะใบหน้าทรงกลม ความเป็นอยู่แร้นแค้นอัตคัด


    ชาวอุตรคุรุทวีป
    มีใบหน้ารูปทรงสี่เหลี่ยม ความเป็นอยู่ดีเลิศ ความเป็นอยู่อย่างเทวดา สุขมาก ประณีต อายุขัยยืนยาว


    ชาวปุพวิเทหทวีป
    มีใบหน้ารูปทรงพระจันทร์ คือโหนกแก้มสูง คางยื่นเรียวแหลม ความเป็นอยู่ไม่ต่างจากนรก


    ชาวทวีปทั้งสี่นี้ ต่างก็วนเวียนเป็นใยแมงมุม หมุนวนกันตามกรรมและวิบาก

    ขอให้ดู โลกใบนี้ของเรา คนหน้าทรงไข่มีเยอะมาก คนหน้าทรงกลมก็มีไม่น้อย แม้แต่ทรงหน้าสี่เหลี่ยมพวกนี้ติดบุญเก่ามาเกิด

    บางคนจึงมีบุญเยอะแต่ก็ไม่เสมอไป
    ส่วนหน้าทรงพระจันทร์เสี้ยวมีน้อย

    บางคนเกิดมาส่วนสูงก็สูงปรี๊ด
    บางคนก็ตัวเล็กจิ๊ด บางคนก็ผิวพรรณออกแตกต่างกัน

    สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ประกอบไปด้วยกรรมและวิบาก

    จิตเป็นธาตุรู้ที่เกิดมาจากธรรมชาติ
    สสารพลังงานแลกเปลี่ยน
    สลับไปสลับมาเมื่อโลกธาตุประกอบไปด้วยมหาภูตรูป 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม

    เรื่องธรรมดาของธรรมชาติอันคือขันธ์จึงต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งอนิจจังคือไม่เที่ยง ทุกข์ขังตั้งอยู่ไม่ได้และเป็นอนัตตาดับไปเพื่อเริ่มต้นใหม่

    สรรพสิ่งไม่มีคำว่า อมตะนิรันดร์ มีเกิดจึงต้องมีดับ จักรวาลไม่มีคำว่าขยายตัวออกไปโดยไม่สิ้นสุด ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งธรรมชาติ นั่นคือ ความจริง


    ความจริงแห่งทวีปทั้ง4



    อายุขัย ผิวพรรณ รูปลักษณะ ความเป็นอยู่ ย่อมมีศีลเป็นที่ตั้ง
    จิตที่เสมอเหมือนย่อมอยู่ด้วยกัน และความจริงคือ ทวีปแต่ละทวีป


    อายุขัยถูกกำหนดกฎเกณฑ์ มาตั้งแต่ระบบสุริยะได้เกิดขึ้นมาแล้ว


    ไม่ใช่ว่ามนุษย์แต่ละทวีปเริ่มมีอายุมากเป็นอสงขัย และทำกรรมมากจึงอายุน้อยลงเป็นลำดับ

    ทุกอย่างต่างก็อยู่ในกฎแห่งธรรมชาติ
    นั่นก็คือ ธรรมชาติของระบบสุริยะนั้น ๆ ย่อมให้กำเนิดมนุษย์ตามความจริงแห่งศีลที่รักษามา

    ขอให้ดูความจริงแห่งระยะเวลา ความจริงแห่งการเกิดของมนุษย์ชาติเช่นโลกของเราใบนี้

    มนุษย์พึ่งผุดขึ้นมาแค่แสนกว่าปีนี้เอง(มนุษย์ถ้ำ) และเริ่มอยู่เป็นชุมชนก็ไม่กี่พันปี

    มนุษย์ที่โลกเราใบนี้เริ่มต้นจากอายุขัยเพียงแค่ 100ปีเท่านั้น ไม่ใช่เริ่มจาก
    อายุขัยเป็นอสงขัยปีแล้วเพราะทำกรรมและศีลน้อยเลยทำให้อายุขัยลดลงหาเป็นเช่นว่านี้ไม่

    มนุษย์โลกเราใบนี้อายุขัยลดลงจากที่100ปีก่อน นี่คือความจริงที่พิสูจน์ได้

    คำว่าอายุขัย จึงเอามาใช้เปรียบเทียบไม่ได้ เพราะมนุษย์เป็นผู้โยกย้ายเป็นผู้ข้ามกาลเวลา เหมือนใยแมงมุมไปทั่วหมื่นโลกธาตุ
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    ผู้ที่รักษาศีลมากขึ้น ละเอียดมากขึ้น ย่อมเป็นผู้ละทิ้งจากโลกเดิมก้าวไปสู่โลกแห่งความละเอียดมากขึ้น

    ผู้ที่ไม่มีศีลก็เช่นกัน ต่างก็หนีไม่พ้น
    กรรมที่จัดสรรและเป็นไปตามธรรมชาติ ก็แค่นั้น

    โลกมนุษย์มีมากมายยิ่งนักในหมื่นโลกธาตุ อายุขัยแต่ละที่จากน้อยสุดไปหามากสุด
    นี่เป็นหลักแห่งวังวนของกรรมทั้งสิ้น</center>
    [/SIZE]
     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    40,000ล้านปีแสง

    [SIZE=-1]รอบแห่งการเกิดดับ 1มหากัลป์ (40,000 ล้านปีแสง)

    ต่อให้เทวดาที่เหาะได้เร็วขนาดไหน ใช้เวลาขนาดใดก็หาได้เหาะพ้นจักรวาลหนึ่งก็หาไม
    ่เพราะความกว้างแห่งจักรวาลหาที่สิ้นไปที่จะหยั่งถึง

    มนุษย์มีสายตาที่มองไปไกลที่สุดคือกลุ่มแกแล็คซี่อันโดรมีดา ที่มีระยะห่างจากโลกใบนี้ที่สองล้านปีแสง

    กล้องดูดาวส่องไปไกลได้ถึง 15,000 ล้านปีแสง

    1 วินาทีแสงเดินทางคงที่ความเร็ว 300,000 กิโลเมตรในสุญญากาศนี่เป็นหลักทฤษฎีสัมพันธ์ภาพของไอน์สไตน์ว่า

    ไม่มีอนุภาคใดเร็วกว่านี้อีก
    แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญขึ้นมาก เมื่อยี่สิบปีผ่านมานี้กลับพบ
    อนุภาคเตคีออนที่มีความเร็วกว่าแสงอีก

    วิทยาศาสตร์มีแต่การหักล้างทฤษฎี และหาว่าจิตเป็นพลังงานไฟฟ้าบ้าง
    เร็วเท่าแสงบ้าง

    ถ้ารู้ว่าจิตที่สะสมพลังงานมากๆและปลดปล่อยออก
    จะรู้ว่าเอาความเร็วมาเทียบไม่ได้หรอก

    การที่จะกล่าวว่าจักรวาลนี้หาที่สิ้นสุดโดยหาขอบเขตไม่ได้นั้น

    ถ้าแปลอรรถคาถาตรงเช่นว่านี้ก็จะค้านกับสรรพสิ่งสรรพธาตุที่อยู่ภายใต้อนิจจัง และจะกลายเป็นว่าจักรวาลนี้เที่ยง

    แต่ถ้าแปลโดยยกนำพระไตรลักษณ์อันคือความจริงประกอบแล้วรับลองไม่ผิดพลาด


    รอบแห่งจักวาลนี้มีรอบแห่งการเกิดดับที่40,000 ล้านปีแสง แต่นักวิทยาศาสตร์คาดเอาไว้แค่สองหมื่นล้านปีแสงยังขาดไปซะครึ่งนึง

    จักรวาลไม่มีสิ้นสุดเพราะนอกขอบจักรวาล

    ก็เป็นจักรวาลอีกมากเป็นแสนโกฏิจักรวาล

    จักรวาลแต่ละที่ ก็มีแรงระเบิดที่แตกต่างกันออกไป

    รูปทรงก็ไม่เหมือนกัน

    จักรวาลบางแห่งก็เป็นจักรวาลแห่งความว่าง

    จักรวาลที่ระเบิดแรงเกิน

    จักรวาลที่ระเบิดเบาเกิน

    ไม่สามารถให้กำเนิดสรรพสัตว์ได้

    มีแต่จักรวาลสมดุล ในแสนโกฏิจักรวาลย่อมมีเรื่องแห่งความพอดีเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับโลกของเราใบนี้

    ในระบบสุริยะหลายๆล้านๆสุริยะย่อมมีเรื่องเหลือเชื่อแห่งความสมดุลและพอดีเช่นกัน

    ถ้าเราแปลความหมายแห่งจักรวาลเป็นเช่นนี้
    ภายใต้กฎแห่งความจริงของพระไตรลักษณ์คือเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ
    แล้วก็ไม่ใช่วิสัยที่จะต้องขบคิดให้มันละเอียดพิสดาลจนเกินจริง

    ยามเมื่อจักรวาลใดพินาศสิ้นขึ้นชื่อว่า ภพภูมิทั่วจักรวาลย่อมมลายหายสูญ

    ยามที่ระบบสุริยะเกิดซุบเปอร์โนวา ดวงอาทิตย์ที่ขนาดใหญ่กว่าโลก10เท่าจะทำลายระบบสุริยะสิ้น และลามไปถึงมิติที่ซ้อนเหลื่อมอยู่กับโลก ลามไปจนสิ้นสุดระยะทางของชั้นอาภัสราพรหม


    ระบบสุริยะที่ถูกทำลาย สรรพสัตว์ต่างก็หาที่อยู่อาศัยเป็นไปตามกรรมจัดสรรที่เหมาะสม ส่วนพรหมตั้งแต่ชั้นอาภัสราพรมหขึ้นไปยังคงอยู่จนโลกกลับมามีใหม่อีกครั้ง

    นี่เป็นเรื่องของระบบสุริยะที่วนเวียนเป็นวังวน

    แต่ระบบที่ใหญ่ที่สุดคือ

    ระบบของจักรวาล
    ยามใดที่หมดเหตุก็ต้องดับสลายนี่เป็นหลักแห่งคำว่าอนิจจัง

    และภพภูมิต่างๆในจักรวาลแห่งนี้ก็มลายสิ้น ไม่มีคำว่ายกยอดกรรมไปเสวยกรรมรวมกัน เพราะสภาพแห่งจิตนั้นแตกต่างตามกรรมและวิบาก อำนาจแห่งสันตติย่อมส่งต่อ

    ไม่มีคำว่าขาดช่วง
    ไม่มีคำว่าไปรวมกลุ่ม

    ไม่มีคำว่าทำดีร่วมกันเพราะจักรวาลจะระเบิดจะได้ไปอยู่ที่เดียวกัน(ผิดปกติของจิต ของธรรมชาติ จิตบังคับไม่ได้ก็รู้อยู่แล้ว)

    ความจริงของจิตในช่วงส่งต่อ สันตติดวงสุดท้ายเป็นเช่นไร
    ก็ต้องก้าวสู่ภพใหม่เช่นนั้น

    นั้นคือเป็นไปตามกรรม กรรมคือการกระทำที่ดับไปแล้วแต่มีเชื้อส่งต่อฝากฝังเอาไว้ที่จิตเป็นบุญและบาป ไม่มีสิ่งใดไปหยุดยั้งหรือระงับกรรมชั่วคราวได้(บุญบาปสะสมเชื้ออยู่ที่จิตในฐานภวังค์
    ไม่มีพุ่งขึ้นไปสะสมเทวโลกนะครับ)

    จิตมีตัณหาเป็นยาง มีกรรมเป็นท้องนา หว่านพืชเช่นใดย่อมให้ผลเช่นนั้น ไม่มีสิ่งใดไปหยุดยั้งเชื้อแห่งกรรมให้หยุดยั้งที่ใดที่หนึ่งได

    ้ มีอยู่สิ่งเดียวคือ ทำลายภพ ทำลายกิเลส ด้วยการคลายอุปทานความยึดมั่นถือมั่นทั้งกายและจิต นี่คือความจริงที่พิสูจน์ได้

    พวกเราเหล่าสรรพสัตว์ก้าวข้ามวังวนแห่งระยะเวลา

    หาที่สิ้นสุดไม่ได้มาอย่างช้านาน
    ย้ายไปทั้งบ้านใหญ่(จักรวาล)

    บ้านเล็ก(สุริยะ)

    ไปทั่วแสนโกฏิจักรวาล

    ย้ายไปทั่วหมื่นโลกธาตุ

    เป็นตั้งแต่ต่ำสุดไปจนสูงสุด

    ไม่มีสิ่งไหนที่เราไม่เคยเป็น
    และไม่เคยไปและไม่เคยทำ
    [/SIZE]
     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อ้างอิงคำสอนหลวงปู่ดูลย์เรื่องของโลกธาตุ

    [SIZE=-1]สิ่งมีชีวิตและ ไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วนรวมแล้วมี
    รูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น

    นามเดิม ก็คือ ความว่างของจักรวาล เข้าคู่กันเป็น เหตุเกิด ตัวอวิชชา
    เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม
    ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา

    ให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และ เกิดกาลเวลาขึ้น
    คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน
    จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย
    รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป
    รูปจึงเคลื่อนไหวได้

    เมื่อสภาวะธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ สสารมีชีวิต
    และไม่มีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็น ไตรลักษณ์
    เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิตไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้

    จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนามของจักรวาล
    มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง
    จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต

    จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ
    แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่างที่ปราศจากรูป นี้ เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม

    ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิด รูปนามพิภพ ต่างๆ
    ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด รูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิด รูปนามสัตว์ เคลื่อนไหวได้
    จึงเรียกกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิต
    ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม

    เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล
    และ(เกิด) การเปลี่ยนแปลง บางอย่างเรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น
    จึงเรียกกันว่าเป็น สิ่งไม่มีชีวิต

    เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์
    และเป็น เหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม

    สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ(มี)ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุ ปัจจัย
    ภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง
    มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง
    ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง
    แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็น สุขุมรูป

    แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้
    ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น

    เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลง มี กรรมชั่ว อย่างเดียว เป็น เหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้อง ใช้หนี้ กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอม ใช้หนี้เกิด กันไม่ มันกลับ เพิ่มหนี้ ให้เป็น เหตุเกิด ทวีคูณ ด้วยเพศผู้เพศเมียเกิดเป็น สุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้ เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ

    ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น
    รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง
    เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ
    หรือจะเรียกว่า รูปถอด ก็ได้ เพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง

    ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยู่คงทนอยู่ ยืนนานกว่า รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่
    ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้

    นอกจาก นิพพานเท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย
    ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕
    กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำนักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง
    รวมกันเป็นที่ทำงานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก

    ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน
    จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่
    และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้
    เป็นผู้รักษา สุขุมรูป

    รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย
    อยู่ในวิญญาณไว้ได้ เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ
    [/SIZE]
     
  9. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ความหมายนิพพานของหลวงปู่ดูลย์

    [SIZE=-1]<center>
    เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ
    ก็หมดไปตามอายุขัย (ของ)

    ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ

    ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ
    จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย

    ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน

    เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด
    จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ

    ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป
    คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป

    ส่วนกิจกรรมดี
    ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู
    คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น

    โดยปราศจากรูปปรมาณู

    ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม

    เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน


    พรหมมากินง้วนดินเริ่มเมื่อไหร่ อ้องมีแสดงเอาไว้ เป็นสิ่งที่พระอริยคุณาธารเส็งสอนเอาไว้

    การกล่าวอ้างอิงในพระพุทธพจน์ต้องใกล้เคียงกับความเป็นจริงของวิทยาสตร์ในปัจจุบัน

    เพราะปัจจุบันวิทยาศาสตร์ในเรื่องรูป ชัดเจนมากที่สุด แต่ไม่ชัดเจนเรื่องความเป็นมาของจิต

    ความเป็นจริงที่หนีไม่พ้นคือ มนุษย์ย่อมมีการวิวัฒนาการ และสามารถสืบค้นได้ในปัจจุบันคือ ดีเอ็นเอ

    โครโมโซม ยีนส์

    สายพันธ์มนุษย์สามารถสืบค้นได้ว่า

    มีวิวัฒนาการมาจากอะไร ทางชีวเคมี

    ทางอารยธรรมโบราณ การขุดค้นพบซากกระดูกของมนุษย์สายพันธ์ต่างๆ

    ในปัจจุบันยังไม่สามารถหาโครงกระดูกมนุษย์ที่เก่าแก่เป็นล้าน ๆ สิบล้าน หรือร้อยล้าน หรือหาอารยธรรมโบราณที่สร้างด้วยฝีมือของมนุษย์ เกินกว่า 5700 ปี เพียงเท่านั้น

    สิ่งที่หลวงปู่ดูลย์เอ่ยถึงคือ สิ่งมีชีวิตมีมากมายมหาศาล ในสากลแห่งจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด

    การเกิดของสัตว์แรกเริ่ม การสะสมภวตัณหา เชื้อกรรม ในจุดเริ่มต้น
    หลวงปู่เทียบเคียงกับวิทยาศาสตร์
    ในปัจจุบันอย่างพอดี และแจ่มชัด มีที่มาที่ไป มีเหตุและมีผล เพราะท่านเป็นคนในยุคปัจจุบัน

    ที่สำคัญท่านเป็นพระบ้านนอก แต่กลับสามารถแสดงความละเอียดของพลังงาน ปรมาณู ได้สอดคล้องกับพระพุทธพจน์แบบไม่ผิดพุทธพจน์อีกด้วย </center>
    [/SIZE]
     
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    จิตและจักรวาลในความหมายของหลวงปู่ดูลย์

    [SIZE=-1]คำสอนของหลวงปู่ อ้างอิงด้วยเหตุและผล

    จิตและจักรวาลในความหมายของหลวงปู่ดูลย์

    จิตและจักรวาล มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอยู่

    หลวงปู่ดูลย์ได้เมตตาอธิบายถึงเรื่องนี้ไว้อย่างพิสดารว่า
    จิต วิญญาณ เกิดจากรูปนามของจักรวาล และ นิพพาน
    เป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์
    ิ์
    และสว่างของจักรวาลเดิม ไว้ดังนี้

    “สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูป กับ นามสองอย่างเท่านั้น
    นามเดิม ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิด ตัวอวิชชา--เกิดเหตุก่อ
    ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป

    รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา---ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ
    รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว
    และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้
    ต้องมีนาม--ความว่าง--คั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้”

    “เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ--สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิต--
    -จึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิต
    ไม่มีวันหยุดนิ่ง ให้คงทนเป็นปัจจุบันเช่นนั้นได้”

    “จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนาม ของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวง
    แล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง
    จากรูปนามไม่มีชีวิตเปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต
    จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิต-ที่มีจิตวิญญาณ

    แล้วจิต วิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ ‘นามว่างที่ปราศจากรูป’ นี้--เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม”

    “เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว ‘จิตเห็นจิต อย่าง แจ่มแจ้ง’ จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง

    มันอยู่เหนือคำพูดและพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่า ‘นิพพาน’ ”

    โดยความจริงแล้ว จักรวาลส่วนใหญ่เป็นความว่างอันมหาศาลไร้ขอบเขต
    ระบบสุริยจักรวาล ดาวนพเคราะห์ เช่นโลก ดาวฤกษ์ เช่นดวงอาทิตย์ แกแลกซี่ ต่างๆ เหล่านั้น ล้วนเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของจักรวาลทั้งหมด

    แต่เราต่างกลับสนใจจักรวาลส่วนน้อยนิดนี้ (ไม่ถึง 5% ของจักรวาลทั้งหมด)
    โดยไม่ให้ความสนใจกับความว่างอันมหึมา ไร้ขอบเขตของจักรวาลทั้งหมด (หรืออีก 95% ที่เหลือจากที่เห็นได้ด้วยตาหรือสัมผัสได้

    ซึ่งหนึ่งในสามส่วนที่เหลือนี้ เป็น Dark Matter และอีกสองในสามที่เหลือเป็น Dark Energy) เสมือนดังคนเราสนใจแต่ตัวเราเอง (อัตตา) ทำให้มองไม่เห็นสภาพที่แท้จริงของตนเอง
    ตลอดถึงสภาวะที่ห้อมล้อมเราอยู่ว่า เป็น อนัตตา ไร้ตัวตน หรือ ความว่าง สุญญตา นั่นเอง

    ในประเด็นนี้ ศาสตราจารย์ ดร. คาร์ล เซกาน (Professor Dr. Carl Sagan) ปราชญ์ทางดาราศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน
    ได้ฝากข้อคิดไว้หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะอำลาจากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง
    (มรณะเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2539)

    โดยกล่าวถึงความบอบบางและอายุขัยอันสั้นของชีวิตมนุษย์
    เมื่อเทียบกับความมหึมาและอายุ (13-15 พันล้านปี) ของจักรวาลว่า

    “มนุษย์เราอาศัยอยู่บนกองหินและแร่ธาตุก้อนยักษ์ ซึ่งโคจรรอบดวงอาทิตย์อันเป็นดาวฤกษ์ขนาดย่อม และดวงอาทิตย์นี้เป็นเพียงหนึ่งในดาวฤกษ์ 400 ล้านดวง

    ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นแกแลกซี่ (Galaxy) ที่เรียกกันว่า ทางช้างเผือก (The Milky Way)

    และทางช้างเผือกนี้เป็นเพียงหนึ่งในพันล้านแกแลกซี่ในจักรวาล และเป็นไปได้ว่า จักรวาลนี้อาจเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาจักรวาลทั้งหลาย
    ซึ่งอาจมีจำนวนนับอนันต์ นี้คือจุดที่ควรใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ลึกซึ้ง
    ด้วยการมองให้กว้างตามสภาพความเป็นจริงต่อชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีของมวลมนุษย์”
    [/SIZE]
     
  11. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    มีแต่รูปนาม

    [SIZE=-1]นอกจากนี้หลวงปู่ดูลย์ได้อธิบายถึงปรากฏการณ์ต่างๆไว้อย่างลึกล้ำว่า
    ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเคลื่อนไหวได้
    ซึ่งตรงกับความจริงที่ค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า

    พระฝ่ายอรัญวาสี พระผู้ถือปฏิบัติธุดงค์วัตรวิปัสสนากรรมฐานสามารถรู้สึกซึ้งถึงสภาพความเป็นจริง ได้ทัดเทียมหรือลํ้ายุคกว่านักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันว่า


    “ต้นเหตุเกิด ‘รูปนามของจักรวาล’ นั้น เป็นเหตุเกิด ‘รูปนามพิภพ’ ต่างๆ
    ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด

    ‘รูปนามพืช’ รูปนามพืช เป็นเหตุให้เกิด ‘รูปนามสัตว์’ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็น สิ่งมีชีวิต”

    “ความจริง รูปนาม จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต มันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผล ให้ เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ (เกิด) การเปลี่ยนแปลง
    เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็น สิ่งไม่มีชีวิต”

    “เมื่อรูปนามของพืช เปลี่ยนมาเป็น รูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์
    และเป็นเหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม”

    ซึ่งคำอธิบายดังกล่าว ต้องตรงตามพุทธพจน์ที่กล่าวไว้กว่า 2500
    ปีก่อนยุคแห่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน
    ใน อุปจาลาสูตร สังยุตตนิกาย ว่า
    สพฺโพ ปจฺจลิโต โลโก
    สพฺโพ โลโก ปกมฺปิโต
    โลกทั้งโลก คือ ความกระเพื่อมไหว/หวั่นไหว (Trembling)
    โลกทั้งโลก คือ ความสั่นสะเทือน (Vibration)
    นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต
    ล้วนประกอบขึ้นด้วยสสารต่างๆ และ สสารทุกชนิดมีส่วนที่เล็กที่สุดคือ
    ปรมาณู ซึ่งได้แก่ อะตอม (Atom) กระนั้นก็ดี อะตอม ยังมีส่วนประกอบย่อยลงไปอีก คือ อนุภาคพื้นฐาน (Elementary particles) โดยมีแกนกลาง (Nucleus) ซึ่งรวมอนุภาคประจุบวก (Proton) และ อนุภาคไร้ขั้ว (Neutron) ไว้ และมีอนุภาคประจุลบ (Electron) วิ่งวนอยู่โดยรอบ

    ในบางครั้ง สสารมีการสูญเสียอนุภาคประจุไฟฟ้าเช่น Electron
    มีการแปรรูปเป็นพลังงานลักษณะต่างๆ เป็นกระแสไฟฟ้า แสงสว่าง หรือ พลังงานปรมาณู เป็นต้น
    หากมีการแตกแยกหรือหล่อหลอมของ Atomic Nucleus จะเกิดเป็นพลังงานปรมาณูขึ้น
    Elementary particles ยังประกอบขึ้นด้วยอณูที่เล็กลงไปกว่านั้นอีก คือ ควอก (Quark) และ Antiquark โดยมีพลังประสาน (Gluon)

    ดึงดูดควอกให้สมดุลไว้ มิได้อยู่นิ่งอย่างที่เห็นโดยผิวเผิน แต่มีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในตลอดเวลา ทั้งในสิ่งไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิต จึงไม่อาจคงทนสภาพเดิมอยู่ได้ และย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด

    มีท่านผู้คงแก่เรียนหลายท่านชอบถามว่า คำกล่าวหรือเทศน์ของหลวงปู่
    ดูคล้ายนิกายเซ็น หรือคล้ายมาจากสูตรเว่ยหล่างเป็นต้น
    ศิษย์ของท่านเรียนถามหลวงปู่ก็หลายครั้ง
    ในที่สุดท่านกล่าวอย่างเป็นกลางว่า

    “สัจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมนั้นแล้ว ก็นำมาสั่งสอนสัตว์โลก เพราะอัธยาศัยของสัตว์ไม่เหมือนกัน หยาบบ้าง ประณีตบ้าง
    พระองค์จึงเปลืองคำสอนไว้มากถึง 84,000 พระธรรมขันธ์"
    [/SIZE]
     
  12. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    จบคำภีร์หมื่นโลกธาตุ

    [SIZE=-1]เมื่อมีนักปราชญ์ฉลาดสรรหาคำพูดให้สมบูรณ์ที่สุด
    เพื่อจะอธิบายสัจธรรมนั้นนำมาแผ่เผยแจ้งแก่ผู้มุ่งสัจธรรมด้วยกัน
    เราย่อมจะต้องอาศัยแนวทางในสัจธรรมนั้น

    ที่ตนเองไตร่ตรองเห็นแล้วว่าถูกต้อง และสมบูรณ์ที่สุดนำแผ่ออกไปอีก
    โดยไม่ได้คำนึงถึงคำพูด หรือไม่ได้ยึดติดในอักขระพยัญชนะตัวใดเลยแม้แต่น้อยเดียว”

    นั่นคือ เมื่อกล่าวถึงสัจธรรมแล้ว ย่อมลงสู่กระแสเดียวกัน
    กระนั้นก็ดี คำสอนของหลวงปู่ดูลย์นับได้ว่าเป็นเอกเทศ และเป็นเอกลักษณ์ของท่านเอง บางตอนท่านอาจหยิบยืมคำสอนของเซ็นจาก ‘สูตรเว่ยหล่าง’ และ ‘คำสอนของฮวงโป’

    มาชนิดคำต่อคำ ด้วยหลวงปู่เห็นว่า ปราชญ์ท่านได้อธิบายไว้อย่างสมบูรณ์แจ่มแจ้งที่สุดแล้ว แต่หลายๆแห่งท่านก็อธิบายถึงเรื่องอื่นๆไว้มากมายอย่างแจ่มแจ้ง พิสดาร เด็ดเดี่ยว
    และ อาจหาญ ด้วยภาษาใจของท่านเอง อาทิ

    เรื่อง อริยสัจ 4 จิต-จักรวาล สสารวัตถุ-สิ่งมีชีวิต-สิ่งไม่มีชีวิต
    ด้วยประสบการณ์ความรู้แจ้งในจิต ในสัจธรรมและธรรมชาติของท่านเอง
    ซึ่งเจาะทะลุหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างค้านไม่ได้

    นอกจากนี้ยังเป็นการชี้ให้เห็นว่า การประจักษ์แจ้งแห่งสัจธรรม
    ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นพระฝ่ายธุดงค์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น หรือ
    พระเซ็นผู้ไม่รู้หนังสือเยี่ยงท่านเว่ยหล่าง
    (สังฆปริณายกองค์ที่ 6)
    ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเถรวาท หรือ มหายาน เพราะความเป็น “พุทธ”

    ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งเปลือกนอกเหล่านั้น และพุทธที่แท้จริง
    ไม่ได้มีการจำแนก แตกแยกเป็นนิกายต่าง ๆ
    ซึ่งเป็นเพียงปรากฏการณ์ภายนอกของสมมติบัญญัติ
    และการบรรลุเห็นแจ้งในสัจธรรม
    ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น
    เป็นปรมัตถสัจจะ ความจริงสูงสุด เหนือเหตุผล

    และล่วงพ้นสมมติบัญญัติ โดยสิ้นเชิง

    คัมภีร์หมืนโลกธาตุ จบบริบูรณ์
    [/SIZE]
     
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    พระธาตุมนุษย์ใช้ตาเนื้อดูย่อมไม่เห็นรัศมีแห่งคุณธรรม

    บางครั้งแล้วเราอาจจะไม่เข้าใจว่า กระดูกคนธรรมดาเวลาเผาไหม้ไปแล้วก็จะกลายเป็นธุลี เป็นผง เป็นขุยไป

    แต่สำหรับพระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์ทำไมเวลาเผาไหม้แล้ว อัฐิท่านจึงกลายมาเป็นพระธาตุอย่างหน้าอัศจรรย์

    สำหรับเพื่อนๆที่อ่านเรื่องรัศมี สีสรร ที่จิตไปสัมปยุตต์พอเข้าใจมาบ้างแล้ว

    อ้องขออธิบายเพิ่มเติมว่า

    ในช่องโพลงกระดูกของคนเราจะมีโพลง มีเยื่อ มีใยอยู่ภายใน

    จิตที่มีอินทรีย์ธาตุที่สมบูรณ์จะไปก่อให้เกิดปฏิกริยากับกระดูกภายใน

    พลังงานที่อัศจรรย์จะแฝงอยู่ในรูปของบารมี คุณธรรมของพระอริยเจ้าแต่ละองค์

    ทำให้อัฐิพระธาตุมีความแตกต่างกันออกไปตามวาสนา บารมี คุณธรรม ของจิตแต่ละองค์

    หลังจากที่เผาไหม้ไปแล้ว ฝุ่นผง กลับสามารถที่จะรวมตัวเป็นผลึกแก้วใส เป็นรูปร่าง สีสรร วรรณะต่างๆที่เราเห็นๆกัน

    แต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเรามันประกอบไปด้วยธาตุหนัก
    เช่นมหาภูตรูปทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

    มาประชุมรวมกันและก็ปลวนแปรไปตลอดเวลาและก็ต้องอาศัย
    อิงแอบกันเพื่อให้ปวงธาตุสมานสามัคคีกันอย่างเป็นกลางเสมอ

    ธาตุใดธาตุหนึ่งจะมีปริมาณมากกว่าก็ไม่ได
    ้มิฉนั้นอาการก็จะปรากฏเกิดขึ้นนั้นคือ ไม่สบาย หนักหน่อยก็ ม่องเท่งแหะๆ

    การมองเราต้องใช้ตาที่เป็นก้อนธาตุมองและก็ต้องไปผ่านสมอง
    ที่เป็นก้อนธาตุชนิดนึงบ่งบอกรายละเอียดออกมา

    จึงทำให้การมองแตกต่างจากการมองด้วยสภาวะจิตล้วนๆไม่ได้ จิตที่ทิ้งกายลงกายไม่มีอำนาจกดข่มจิตให้ซัดส่าย เมื่อจิตรวมตัวแต่ละขณะจึงประกอบไปด้วยกำลัง

    สสารและพลังงานเป็นสิ่งที่สลับกันไปกันมา พลังงานที่รวมกันเมื่อมีปริมาณมากย่อมส่งผลให้มีอำนาจมาก

    จิตก็เช่นกัน เพราะจิตก็เป็นธรรมชาติชนิดนึง
    เป็นธาตุรู้ชนิดนึง

    แต่เมื่อจิตมาอาศัยถ้ำโพลงของกายจึงโดนสภาวะมหาภูตรูป๔กดข่ม
    จิตจึงไร้กำลัง เพราะกายมีแต่สภาวะทุกข์บีบคั้นอยู่เสมอ จึงทำให้จิตซัดส่ายอยู่ตลอดเวลา


    เมื่อเรามองพระธาตุ เราจึงมองไม่เห็นอะไรเลยเพราะเราเอาตาเนื้อที่เป็นธาตุ๔ดู

    เราทำได้แค่นำพระธาตุไปลอยน้ำ ซึ้งถ้าไม่จมก็ใช่ แต่จริงๆแล้ว เม็ดกรวดเม็ดทรายบางชนิดก็ไม่จมเช่นกัน เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ยาก

    ปวงเทพไม่ได้มองพระธาตุที่ตาเนื้อ แต่เห็นไปถึงรัศมีสีสรรที่เปล่งประกายออกมาจากพระธาตุแต่ละองค์

    สว่างเรืองรองและผ่องใส

    ตาของเทพจะเห็นอย่างละเอียดและชัดเจน เพราะเทพปราศจากมหาภูตรูปทั้ง๔ครอบคลุม

    ท่านจึงเห็นมิติซ้อนและรัศมี สีสรร ที่แผ่ออกมา ตามปัญญาบารมีของ พระธาตุแต่ละองค์

    เทพจะชอบอารักษ์ในพระธาตุ เพราะเป็นสิ่งมงคล

    เป็นสิ่งที่สมควรบูชาอันเป็นเยี่ยงอย่างและเจริญลอยตาม

    เป็นสิ่งที่มนุษย์และเทพเทวดาบูชาแลกราบไหว้

    ประกอบไปด้วยความเลื่อมใสแลศรัทธา เมื่อสิ่งนี้ประกอบไปด้วยมงคล ย่อมอันเป็นธรรมดาที่ปวงเทพ

    ย่อมสถิตย์อยู่ใกล้ไปไหนไปด้วย

    เพราะมนุษย์ที่บูชาในองค์พระธาตุ ต้องประกอบไปด้วยบุญแลบารมี ประกอบไปด้วยศีลแลศรัทธาอยู่เสมอ

    ปวงพระธาตุจึงไม่หายไปไหนแลเพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้ใดบูชาพระธาตุจึงประกอบไปด้วยปวงเทพ

    ที่อารักษ์มาร่วมสร้างบารมีด้วยกัน ยามเมื่อเราบูชาและแผ่เมตตา แลแผ่อุทิศในกุศล ย่อมปราบปลื้มในจิตเสมอกัน

    เทพย่อมทราบเสมอก่อนว่าพระธาตุจะไปอยู่กับใครล่วงหน้า

    อันเป็นบุญแลกุศลของผู้ครอบครอง

    ท่านจะมาอนุโมทนาก่อนเป็นอันมากล่วงหน้า

    ถ้ารับรู้สึกจะเกิดความชื่นใจเย็นใจแบบประหลาดอย่างบอกไม่ถูก แต่บางครั้งก็จะเห็นท่านมากันอย่างมากเลยทีเดียว

    แล้วแต่บุญของแต่ละท่านครับ
     
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    สำหรับท่านที่เป็นนักอ่านจิต ขอบอกว่า สำคัญและเป็นประโยชน์มาก

    การแสดงธรรมของหลวงปู่เทสก์ ท่อนนี้ ใช้ได้ทั้งชีวิต

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    ขั้นอบรมสติยังไม่ถึงปัญญาวิปัสสนา สติที่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว พระไตรลักษณญาณจะเกิดขึ้นเอง รวมเรียกว่าขันธ์5
    ลงสู่พระไตรลักษณ์โดยอัตโนมัติ

    ยามที่พิจารณาไม่ชัด อย่าได้ท้อแท้ ท้อถอย แต่ให้เข้าใจว่าที่ไม่ชัด เพราะสติ สมาธิเราอ่อนไป ให้ปล่อยวางการพิจารณานั้นเสีย แล้วให้มาอบรม สติ สมาธิให้มีกำลังมากขึ้น อย่าอยากให้รู้ชัดโดยลืมนึกไปถึงสติ-สมาธิของตน


    ทางเดียวที่จะถอนอุปทานเสียได้มีแต่พิจารณาในขันธ์5 เมื่ออำนาจสติมีกำลังเพียงพอ อุปทานก็ปล่อยวางแล้วทุกข์จะมาจากไหน

    วิปัสสนาต้องพิจารณาลงที่ขันธ์5 เมื่อเกิดก็เกิดจากธาตุ4 แตกสลายก็ลงที่ธาตุ4 กลับไปกลับมาตามสภาพของมันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีตัวตนเค้าเรา หาแก่นสาระอันใดไม่ได้
    ที่คิดว่ามีเพราะไปยึดสมมุติ แท้ที่จริงมันหาได้มีความรู้สึกต่อการไปยึดถือของเราก็หาไม่

    อนัตตา มิใช่ของไม่มีตัวไม่มีตน มีอยู่ แต่เป็นของไม่มีสาระต่างหาก เมื่อผู้พิจารณาเห็นจนไม่มีสาระ
    แล้วปล่อยอัตตา ให้มันเป็นอัตตาไปตามสภาพของมัน เราจึงเรียกว่า วิปัสสนา

    สติที่เกิดขึ้น ที่กลัวต่ออารมณ์ต่างๆนั้น จะต้องเห็นเป็นโทษเป็นทุกข์ เมื่อฝึกมากเข้า สติจะไม่แข็ง ไม่หย่อนจนส่งออกไปข้างนอก สติ สมาธิ ปัญญา สมดุลย์กันโดยอัตโนมัติ ปัญญาย่อมเกิด คือ
    ไม่ว่าจะเห็น จะรู้ อะไรทางอายตนะทั้ง6 พระไตรลักษณ์จะเกิดขึ้นพร้อมทั้ง3

    คำว่าสติสมบูรณ์ สติที่สมบูรณ์จะไม่ต้องควบคุม รักษา แต่มันจะมีสติพอดีกับอารมณ์ ที่จะมาปรากฏขึ้นที่จิต
    แล้วรู้เท่าทันเพราะเหตุมาจาการที่เราได้อบรมมาดีแล้ว ไม่มีส่งจิตออกนอกไปจากอารมณ์ที่ปรากฏขึ้น
    จิตนั้นรู้แล้วก็วางเฉย บางทีก็เกิดสังเวชในเรื่องนั้นๆ เราไม่ต้องเอาสติไปควบคุมจิต

    สติกับจิตมันได้สัดส่วนกันมันคุมกันเอง นี่เรียกว่า สติสมบูรณ์

    กิเลสที่แท้จริงคือ อารมณ์ที่ทำให้จิตเศร้าหมอง บ่อเกิดกิเลสคือ อายตนะ6

    คำว่าผู้หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายนั้น คือใจไม่เข้าไปยึดเอาอารมณ์ทั้งหลาย
    ที่เป็นเครื่องเศร้าหมองมาห่อหุ้มจิตใจของผู้นั้น
    ความหมายนั้นชัดเจนอยู่
    ท่านไม่ได้พูดว่ากิเลสมันหมดสิ้นไป ไม่มีเหลือเหมือนไฟไหม้ฟาง

    กิเลสมันก็เป็นกิเลสตามสภาพของมันอยู่อย่างนั้น
    คำว่าผู้ไกลจากกิเลสทั้งปวง นั้นเป็นโวหาร สำนวน เพราะกิเลสมันเกิดมาจากอายตนะ
    อายตนะก็มีอยู่ที่ตัวเรา
    แท้จริงแล้ว คือ ไม่ยึดเอากิเลสมาไว้ให้เศร้าหมองแก่ใจ
    ด้วยอำนาจของสติ-สมาธิ-ปัญญา
    ที่ได้อบรมมาไว้ด้วยดีนั่นเอง

    ขันธ์5เป็นที่ตั้งของความยึดถือ อุปาทานที่เกิดทุกข์ก็เพราะยึดในตัวขันธ์5
    ส่วนที่ไม่ทุกข์ก็เพราะไม่ไปยึดขันธ์5จึงไม่ทุกข์
    <!-- End Comment 3-->
     
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    รูปหลวงพ่อรัตน

    [​IMG]

    หลวงพ่อปัจจุบันได้มรณะภาพไปแล้ว นี่เป็นภาพและรูปทองเหลืองที่ญาติโยมรวมใจกันทำกันขึ้นมาครับ
     
  16. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    โบสถ์

    [​IMG]

    นี่เป็นรูปภาพโบสถ์ครับที่วัดแคมป์สน เป็นที่ๆอ้องเคยปฏิบัติธรรม อนุโมทนาผู้สร้างถวายมา ณ ที่นี้
     
  17. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    พระประธานที่สร้างตอนบวชครับ

    [​IMG]

    รูปนี้เป็นพระประธานที่บ้านอ้องสร้างถวายครับ ปัจจุบันเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา รอปิดทองใหม่ท่านอยู่เพราะตอนนี้กำลัง

    ซ่อมแซมศาลาที่ทางบ้านจัดสร้างตอนอ้องบวชอยู่ครับ

    ส่วนสาวที่นั่งอยู่แฟนแหะๆ
     
  18. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ศาลาที่บ้านจัดสร้าง

    [​IMG]

    สมัยก่อนมีชั้นเดียว ตอนนี้จะทำเป็นสองชั้นละ
     
  19. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    พระแก้วมรกตเรซิ่น

    [​IMG]


    สมัยที่อ้องลาสิกขาไม่นาน พอมีเงินเลยถวายพระแก้ว ปัจจุบันอยู่ที่ศาลาหลังใหม่ที่วัดแคมป์สนครับ
     
  20. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    รูปพี่สาวที่สอนสมาธิตอนเด็ก

    [​IMG]

    นี่คล้ายที่สุดแล้วครับ ตอนสาวๆสวยมากๆ ตอนนี้50ไปแล้ว ท้วมและใส่แว่น555
     

แชร์หน้านี้

Loading...