สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    บทที่แปด



    Ask in faith......9 กันยายน 2527

    วันที่ข้าพเจ้าลืมมิได้ นับได้ว่าเป็นวันพลิกชตาชีวิตทีเดียว
    คืนนั้นเมื่อเสร็จภาระกิจต่าง ๆ ข้าพเจ้าจึงปลีกตัวปฏิบัติธรรม
    การที่ข้าพเจ้าหันมาปฏิบัติธรรม ก็เนื่องจากบุตรสาวคนเล็ก
    ตั้งแต่เกิดเป็นเด็กที่สุขภาพไม่ดี ต้องฝากโรงพยาบาลเลี้ยงดู
    มีปัญหาการหายใจและปอดมักบวมอักเสบอยู่เสมอ นำความ
    ทุกข์มาสู่ผู้เป็นแม่ กลัวว่าจะเลี้ยงลูกไม่รอด

    อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนแนะนำให้ไปกราบคุณยายแม่ชีเธียร
    ธีรสวัสดิ์ ที่วัดปากน้ำ(ภาษีเจริญ) ข้าพเจ้าไปกับกับเพื่อน
    สองคน คุณยายแม่ชีเธียรแนะนำว่า ..........

    "ให้ชีวิตแลกชีวิตทำเป็นไหม"

    ข้าพเจ้าจึงรีบออกไปซื้อไก่ที่เขากำลังจะฆ่าที่ตรอกคาเธ่ย์
    ถนนเยาวราช โดยไม่ต่อรองราคา เมื่อนำไก่ตัวนั้นกลับมาที่
    วัด ฯ คุณยายแม่ชีเธียรให้ข้าพเจ้าเจาะเลือดจากปลายนิ้วแตะ
    ที่สำลีแล้วเอาสำลีนี้ไปคล้องไว้ที่คอไก่ ก่อนทำพิธี "ให้ชีวิต
    แลกชีวิต" เลือดที่หยดแทนเลือดของลูก(บุตรคือสายเลือดใน
    อุทร)เมื่อทำพิธีเสร็จ ก็ให้นำไก่ตัวนั้นไปปล่อย

    คุณยายแม่ชีแนะนำข้าพเจ้าว่า........

    ชีวิตลูกคนนี้ขึ้นอยู่กับข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าอยากให้ลูก
    เลี้ยงรอด ข้าพเจ้าต้องหันมาปฏิบัติธรรม ถึงเวลาแล้วที่
    ข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติ เพราะบุญสมาธิภาวนาเป็นบุญสูงสุด ที่
    จะช่วยชีวิตลูก และข้าพเจ้ามีหน้าที่ในกาลข้างหน้า จงอย่าทิ้ง
    การบำเพ็ญปฏิบัติ

    "อย่าขี้เกียจนั่งธรรมะ ต้องปฏิบัติไปให้ถึงที่สุด วันหน้า
    คุณจะได้รู้จริงกับเขา ทำมากก็ได้มาก ทำน้อย ได้น้อย
    ทำทุก ๆ วัน ก็ได้ทุก ๆ วัน เพราะฉะนั้นจงรีบกลับไปปฏิบัติ
    ภาวนาทำให้ถึงที่สุด บุญหยาบทำมามากแล้ว ให้ทำบุญ
    ละเอียดให้มากเพราะบุญละเอียดนี่แหละ ที่สามารถดับทุกข์ได้
    จริง และคุณคือ พวกขุดรูให้หนูอยู่ ให้จำคำของคุณยายไว้

    ข้าพเจ้ารับฟัง แต่ก็ไม่เข้าใจลึกซึ้งว่าคืออะไร

    เมื่อเป็นสิ่งดีเพื่อลูก ข้าพเจ้าจึงเริ่มต้นหัดสวดมนต์
    ทำวัตรเช้า วัตรเย็นจนกระทั่งวันวิสาขบูชาเวียนมาถึง ข้าพเจ้า
    ไปเวียนเทียนที่วัดปากน้ำ ฯและทราบมาว่า ทุกวันวิสาขบูชา
    ทางวัดจะอาราธนาพระพุทธเจ้ามาปรากฏนิมิตให้ผู้ศรัทธาได้
    เห็นบนท้องฟ้า

    (สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่
    เมื่อถึงวันเวียนเทียนอันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
    ท่านจะทำพิธีอาราธนาพระนิพพานให้ปรากฏในพิธีเวียนเทียน
    ฉะนั้นในวันเวียนเทียนจึงมีสาธุชนมาร่วมในพิธีอย่างคับคั่ง
    เพื่อจะได้เห็นอานุภาพของวิชชาธรรมกายที่หลวงพ่อได้
    อาราธนาพระนิพพานให้ปรากฏแก่สายตาของผู้ที่มาเวียนเทียน
    ก่อนจะถึงพิธี หลวงพ่อจะอธิบายถึงความสำคัญของการเวียน
    เทียนวันนั้นแล้ว สอนว่า ในขณะที่กำลังเวียนเทียน ให้ทุกคน
    ทำจิตเป็นสมาธิไปด้วยคือทำใจให้หยุดนิ่ง ให้เวียนเทียนด้วย
    ความสำรวม ระวัง ไม่พูดคุยไม่แสดงอาการคึกคะนองอย่าง
    หนึ่งอย่างใด สำรวม กาย วาจา ใจให้สงบหลังจากนั้นท่าน
    จะนำไหว้พระสวดมนต์ ขณะเวียนเทียนทักษิณาวรรต 3 รอบ
    ให้ภาวนาว่า สัมมาอะระหัง เรื่อยไป เมื่อใจหยุดนิ่งดีแล้ว
    ให้มองขึ้นสู่ท้องฟ้าเท่าที่เคยปรากฏมาแล้ว บางท่านจะเห็น
    พระพุทธรูปลอยอยู่ในอากาศเป็นองค์ใสบ้าง ไม่ใสบ้าง เป็น
    พระพุทธรูปปางไสยาสน์บ้าง ปางสมาธิบ้างปางประทานพร
    บ้าง บางคนเห็นครึ่งองค์ บางคนเห็เต็มองค์บางคนเห็นเป็น
    กายเนื้อของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า )

    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเข้าไปอธิษฐานจิตในพระอุโบสถว่า......

    "หากข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติภาวนาเพื่อมรรคผลได้
    ขอพระพุทธองค์ทรงโปรดแสดงนิมิตให้เห็นว่า ธรรมะมีจริง
    เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติเถิด"

    อธิษฐานเสร็จก็เดินออกจากวัดเพื่อไปขึ้นรถกลับบ้าน
    พลันต้องตกตะลึงขนลุกซู่ องค์พระธรรมกายลอยเด่นออก
    จากโบสถ์ใหญ่ขึ้น ๆ ๆ ๆ จนเต็มท้องฟ้า กายเนื้อเป็นสีทอง
    เหลืองอร่ามเปล่งแสงสวยงามมาก พระพักตร์ยิ้มผุดผ่อง
    เหมือนมีชีวิตมิใช่พระพุทธรูปข้าพเจ้าและเพื่อนหลับตา ขยี้
    ตา ลืมตา มองซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าก็ยังเห็นงามจับใจ ความปีติ
    แผ่ซ่านไปทั่วกาย - ใจ พูดไม่ได้และขนลุกอยู่จนข้ามวันข้าม
    คืนทีเดียว

    นับตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
    สวดมนต์ทำวัตรเช้า วัตรเย็น ทำบุญใส่บาตร
    และหัดเจริญสมาธิภาวนาก่อนนอนด้วยจิตตั้งมั่นใน
    คุณพระศรีรัตนตรัยและก็ได้ผลบุตรน้อยหายเจ็บหายไข้
    โตวันโตคืนจนสามารถกลับมาเลี้ยงเองได้

    4 เดือนต่อมา.........

    วันนั้น จำได้ เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10
    (ซึ่งภายหลังจึงทราบว่าเป็นวันธรรมกาย
    วันที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฯ บรรลุธรรม)
    ขณะที่ปักธูปใส่กระถาง ปากก็เริ่มสวดมนต์ ปรากฏจุด
    เล็ก ใสสว่างจ้าวิ่งออกมาจากรูปบูชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    (ภาษีเจริญ) จุดเล็กใสวิ่งวนรอบตัวข้าพเจ้า 3 รอบ แล้ววิ่ง
    เข้าชนกลางหน้าผากอย่างจัง ข้าพเจ้านั่งก้นจ้ำเบ้าลงทันที
    ใน ท่านั่งสมาธิด้วยความตกใจ

    น่าอัศจรรย์.......จุดเล็กใสสว่างขึ้นเป็นดวงกลมใสแจ่มเลื่อนลง
    สู่ศูนย์กลางกาย ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งหมด
    แม้ลมหายใจก็ละเอียดอ่อน
    จนแทบจะไม่หายใจ กายเบา ใจเบา ดุจอากาศธาตุ

    ดวงกลมใสแจ่มเปล่งแสงสว่างดุจพระอาทิตย์ แต่เย็นตาเย็นใจ
    ดังแสงพระจันทร์วันเพ็ญ ดวงขยายใหญ่จนลับตา ดวงใหม่ก็
    ผุดขึ้นมาแทนดวงแล้วดวงเล่า จิตเข้ากลางของกลาง ๆ ๆ ๆ
    ดับหยาบไปหาละเอียดกายแล้วกายเล่าจนถึงองค์พระธรรมกาย
    ใสดุจแก้วที่เจียรนัยแล้วโดยเฉพาะลูกคางมนกลมรูปลักษณ์ที่
    เหมือนข้าพเจ้าไม่มีผิด

    จริงหนอที่ว่า...พระธรรมเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็น
    ได้ด้วยตนเองเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และได้ผลไม่จำกัดกาล
    เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด........
    เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้าใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้แล

    โยโส สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
    สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก
    โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ
    ตะมะหัง ธัมมัง อภิปูชะยามิ
    ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ

    ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่งเฉพาะพระธรรมนั้น
    ข้าพเจ้านอบน้อมพระธรรมนั้นด้วยเศียรเกล้า
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    บทที่ สิบ



    Come Lord ! Day after day, Come for Samadhi ,
    Come for Panya , Come for me.











    2528

    ภายหลังจากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    (ภาษีเจริญ) ประทานธรรมะให้ข้าพเจ้าก็ตั้งใจทำบุญอย่างสม่ำ
    เสมอตลอดมา ตื่นแต่เช้าใส่บาตร 1 องค์และรับฝากใส่บาตร
    แทน เพื่อน ๆ ที่ไม่สะดวกตอนเช้าโดยฝากเข้าของให้ทำแทน
    สวดมนต์ทำวัตรเช้า - วัตรเย็น และใส่เศษสตางค์ที่มีเหลือ
    ในแต่ละวันลงในกระปุกออมสิน เมื่อเต็มก็นำไปทำบุญตามวัด
    ต่าง ๆถือว่าเป็นบุญสะสมที่ทำทุก ๆ วัน สม่ำเสมอไม่ขาดสาย
    และทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์เป็นทาน (ปลา,เต่า,นก,หอยขม,
    วัว,ควาย)ทุกลมหายใจเข้าออก ตรึกอยู่ในบุญ จนกระทั่งหลับ
    ก็เห็นดวงธรรมผลุดขึ้นมากลั่นตัวเองอยู่ศูนย์กลางกาย จนใส
    ละเอียด เย็นกาย เย็นใจ เป็นสุขยิ่งนัก

    ทุกเช้ามืด ข้าพเจ้าต้องต่อสู้กับเสียงหลวงพ่อมาปลุกว่า

    "ตื่น ๆ ๆ ตื่นขึ้นมานั่งสมาธิ"

    เวลา 4.00 น. ปั๊บเสียงก็จะดังก้องออกจากศูนย์กลาง
    กายทันที ไม่ว่าจะมุดหนีเข้าผ้าห่ม เอาหมอนอุดหู สารพัด
    วิธี ที่สุดดวงธรรมที่กลางท้องจะแตกเป็นสองดวงเล็ก ๆ
    แล้ววิ่งรี่มาจ่อลูกตาทั้งสองข้างระเบิด "เปรี๊ยะ" โอ้โห !!
    ต่อให้ง่วงงัวเงียเท่าไรก็ตาสว่างโพลงทันที สักประเดี๋ยวจะมี
    แรงผลักดันให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่ง ข้าพเจ้าก็กดตัวเองลงนอน
    โธ่ ๆ ๆ ! นอนต่อได้อีกตั้งสองชั่วโมง ตื่น 6 โมงเช้าไปทำ
    งานยังสบาย ๆ แรงดันภายในผลักข้าพเจ้าให้นั่งขึ้นมาอีก
    ข้าพเจ้าสู้ผลุดลุกผลุดนั่งเหมือนตุ๊กตาล้มลุกจนเหนื่อยกว่า
    จะยอมนั่งสมาธิยามเช้ามืด

    อ้าว !! ก่อนนอน 5 ทุ่มจะเข้านอน หลวงพ่อมาอีก
    แล้ว มาบังคับนั่งสมาธิก่อนนอน เป็นอันว่าข้าพเจ้าต้องต่อสู้
    กับพระเดชพระคุณหลวงพ่ออันเป็นที่รักของลูกคนนี้ วันละสอง
    รอบ รอบเช้า 4.00 - 6.00 น.และ รอบดึก 23.00 -
    24.00 น.

    ทำไมหลวงพ่อไม่ไปบังคับคนอื่นมาบังคับข้าพเจ้า
    ทำไม ทำไม ข้าพเจ้าไม่เข้าใจเลย

    "นั่งสมาธิต่อไปจะได้ช่วยคน"

    จะไปช่วยคนทำไม ตัวข้าพเจ้าเองยังเอาตัวไม่รอด ชีวิตยัง
    ลำบากจะตายยิ่งดื้อมาก ๆ หลวงพ่อยิ่งจะมาปลุกตั้งแต่ตี 3
    โอ้โห !! ยอมแพ้ดีกว่าตี 4 ก็ตี 4 ยัง !! ยังไม่พอ !!
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังบังคับไปทุกสิ่ง ข้าพเจ้าต้องทำ
    บุญใส่บาตรทุกเช้า รักษาศีล ละโลภ โกรธ หลง เวลาเกิด
    โทสะ จะโกรธ หรืออาละวาด ถกเถียงใคร จะมีเสียงพระ
    เดชพระคุณหลวงพ่อดังก้องอยู่ศูนย์กลางกาย

    "อย่าโกรธ อย่าโมโห ดูสิ !! เวลาอารมณ์กระทบกาย
    วาจา ใจเราเป็นอย่างไร ? ร้อนรุ่ม ความดันโลหิตสูง
    เห็นตัวโกรธหรือยัง"

    เหล่านี้เป็นต้น ทำบุญทำทานนี้ไม่ว่ากัน เพราะเป็นอุปนิสัย
    ของข้าพเจ้าอยู่แล้วแต่รักษาศีลห้า นี่สิ !! ยังยากอยู่เพราะ
    ต้องฆ่ามดยุง กลัวมันจะมากัดเด็ก ๆ หลวงพ่อก็สอนให้เลิก
    เบียดเบียนสัตว์ แล้วสัตว์เหล่านี้ก็จะเลิกเบียดเบียนเราเอง
    การโกหกก็เช่นกัน หลวงพ่อให้พูดเลี่ยงเสีย หรือไม่เช่นนั้น
    เงียบไว้เสียดีกว่า



    คิดดูสิ !! ตัวข้าพเจ้าลำบากแค่ไหนเหมือนนักโทษคนหนึ่งที่
    ถูกผู้คุม คอยติดตามอยู่ทุกฝีก้าวให้บำเพ็ญทาน ศีล และ
    ภาวนา ให้ครบ เพื่อจะได้เป็นคนงามของพระเดชพระคุณ
    หลวงพ่อ คือ

    อาทิกัลยาณัง งามเบื้องต้น คือ ผู้มีศีล
    มัชฌิมกัลยาณัง งามเบื้องกลาง คือ ผู้มีสมาธิ
    และปริโยสายะกัลยาณัง งามหมดจด คือ ผู้มีปัญญา

    ทำไม ? ทำไม ? หลวงพ่อไม่ไปบังคับพวกผู้คนใน
    วัด มาบังคับคนนอกวัดอย่างลูกคนนี้ ทำไม ? บำเพ็ญธรรม
    ลูกปฏิบัติเองก็ได้ ลูกจะอ่าน จะฟัง จะศึกษาธรรม

    โธ่ ....ไม่ได้ผล แถมยังถูกหลวงพ่อบังคับให้เอา
    หนังสือธรรมะ เทปธรรมะ อะไร ๆ ที่เกี่ยวกับธรรมะ ไปแจก
    วัด เพราะท่านจะให้ปฏิบัติเอง เดี๋ยวจะเรียนรู้ เรียนจำ จาก
    หนังสือ และก็พูดหรือเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ ปากพอง กินข้าว
    ไม่ได้ไปหลายวัน (เรื่องนี้โดนมาเยอะ จนเข็ดขยาดไปเลย)

    พายเถอะนะเจ้าพาย ตลาดจะวายสายบัวจะเน่า
    โซ่ไม่แก้กุญแจไม่ไข จะไปได้อย่างไรกันล่ะเจ้า ฯ

    จนกระทั่งเวลาล่วงผ่านไปเป็นปี ที่ข้าพเจ้าต้องต่อสู้
    กับความเกียจคร้าน ตามวิสัยปุถุชน ข้าพเจ้าถูกบังคับให้นั่ง
    บำเพ็ญภาวนาทุกเช้า - ค่ำ แต่เหนือสิ่งอื่นใดข้าพเจ้าไม่อาจ
    ปฏิเสธได้ว่า

    "ข้าพเจ้ามีความสุขที่สุด"

    ธรรมะผลุดเพิ่มพูนกลางใจทุกวันวาร

    แม้กายละเอียดจะถูกบังคับให้ไปต่อธรรมะกับครูบาอาจารย์ใน
    ภพต่าง ๆ จนสุดละเอียดที่จะไปถึง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อาจหนีพ้น
    จากศูนย์กลางกาย ของหลวงพ่อไปได้ หลวงพ่อปกครองธาตุ
    ธรรมของท่านอยู่เสมอมิได้ขาด

    ใครเลยจะรู้ได้ว่า ในตัวเรานี้
    มีธรรมกายเป็นใหญ่ในท่ามกลาง

    แก้วกลางใจ ประมาณค่า บ่ มิได้
    กลางลงไป เห็นเมืองแก้ว แดนสวรรค์
    กลางของกลาง กลางของกลาง ยิ่งมหัศจรรย์
    ในกลางนั้น มีกายธรรม ของฉันเอง

    "แก้วกายธรรม แก้วกายธรรม แก้วกายธรรม"

    เสียงพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรียกตัวข้าพเจ้า ชื่อนี้
    ช่างเพราะจับใจ เมื่อถูกเรียกทีไร ตัวข้าพเจ้าจะกลายเป็น
    แก้วขึ้นสู่ฟ้าในบัดดล

    แก้วกายธรรม เป็นธาตุธรรมเป็น คือ ........

    ธาตุเป็น เป็นก้อนกลม
    ธรรมเป็น เป็นแสงลิบ ๆ อยู่ในก้อนของธาตุเป็น
    กายเป็น คือกายแก้วใสบริสุทธิ์อยู่ในท่ามกลาง
    ธาตุเป็นธรรมเป็น)

    แล้วปรากฏต่อหน้าหลวงพ่อ นั่งพนมมือต่อธรรมะทุกเช้า - ค่ำ

    "ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง"

    "ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า"

    "สิ่งใดที่ไม่เที่ยง สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์หรือสุขเล่า"

    "เป็นสุขไม่ได้ เป็นทุกข์พระเจ้าข้า"

    "ก็สิ่งใดหนาเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเยี่ยงธรรมดา
    ควรหรือจะตามเห็น สิ่งนั้นเป็นของเรา
    เราเป็นนี่เป็นนั่น เป็นตัวของเรา"

    "หาอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า"

    "ฉะนั้นขันธ์ 5 ทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ภายในก็ดี
    ภายนอกก็ตาม หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี อยู่ใกล้หรือไกลก็ตาม
    เราไม่เป็นนั่นและไม่เป็นนี่ นั่นไม่ใช่ตนเรานา เจ้าพึงเห็นด้วย
    ปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า.......

    สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
    อย่าหลงยึดมั่น ถือมั่นว่า เป็นของมีตัวตน
    ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ขณะหนึ่ง แล้วย่อมแตกดับไป"

    ทุกข้อธรรมจะต้องตอบเข้าไปทุกกายจากกายมนุษย์หยาบ
    กายมนุษย์ละเอียด....................จนถึงกายสุดละเอียด
    เป็นเถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด แต่ละกายต้องผ่านดวง
    ธรรม ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ และดวง
    วิมุตติญาณทัสสนะ จนครบ 108 ดวง จึงจะจบรอบหนึ่ง
    (18x6=108) จากหยาบไปหาละเอียด..............

    ทุกข้อธรรมยังต้องด้วยพระไตรลักษณ์(3)
    คือ1.อนิจจัง 2.ทุกขัง 3.อนัตตา
    และยังต้องด้วย 3 กาล คือ 1.อดีต 2.ปัจจุบัน 3.อนาคต
    รวมความแล้วอีก 108 ดวง จะจบบทธรรมนั้น ๆ

    เช่น อายตนะ 12 ประกอบด้วยอายตนะภายใน 6 กับ
    อายตนะภายนอก 6

    อายตนะภายใน 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ ธัมมารมณ์

    อายตนะภายนอก 6 มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    อายตนะ 12 x 3(ไตรลักษณ์) X 3(กาล) = 108

    เป็นต้น และต้องตอบซ้ำ ๆ เข้าไป จากกายหยาบถึงกาย
    ละเอียดรวม 108 กาย

    (บอกได้เลย ตอบจนเดินละเมอ "พระเจ้าข้า" ทั้งวัน
    เข้าถึงไขกระดูกทีเดียว)

    ดังนั้นกว่าจะสอบผ่านธรรมะแต่ละข้อ จึงซึมซาบเข้าไปทุก
    กาย ใจ จิต วิญญาณ เลือดเนื้อทุกหยาดหยดว่า

    ขันธ์ 5 เป็นภาระ ที่บุคคลจะนำไป
    การถือภาระไว้ นั้นเป็นทุกข์ในโลกหนา
    การปลงภาระได้ สุขสบายพ้นพรรณา
    บุคคลผู้ทิ้งภา - ระอันหนักเสียแล้วหนอ
    ไม่ฉวยสิ่งอื่นใด ไว้ให้เป็นภาระต่อ
    ตัณหาพร้อมรากก็ ถอนได้แล้วหมดสิ้นไป
    อันความปรารถนา ก็หมดสิ้นหาเหลือไม่
    ดั่งนี้ที่ได้ไซร้ เป็นการได้ปรินิพพาน


    ธาตุธรรมของข้าพเจ้าค่อย ๆ เปลี่ยนไป จากคนเจ้าโทสะ
    อารมณ์ใจร้อน อยากได้โน่น อยากได้นี่ อยากเป็นนักธุรกิจ
    ร่ำรวยเหมือนคุณพ่อ ข้าพเจ้ากลายเป็นคนยิ้มแย้มแช่มชื่น
    และใจลึก ๆ ก็เกิดความเบื่อหน่าย ในวัฏสงสาร คือ การเวียน
    ว่ายตายเกิด ใจค่อย ๆ รักการ ปฏิบัติธรรม ไม่ดื้อมากเหมือน
    แต่แรกที่ถูกบังคับ แต่ก็ไม่เข้าใจว่า........
    ทำไมหลวงพ่อต้องสอนละเอียดละออมากเช่นนี้ เพื่อการใด
    ถึงจะดื้อ ไม่ตั้งใจเรียน พยายามหลบ พยามยามเลี่ยง
    แต่ธรรมะและคำสอนของหลวงพ่อจำได้ขึ้นใจเสมอ

    ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนลิงตัวหนึ่ง กว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    จะปราบได้ ข้าพเจ้าก็ออกฤทธิ์ออกเดชมามากพอแรง

    "เรียนไป จะได้ช่วยคน ต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จำไว้"

    อันความคิด วิทยา เหมือนอาวุธ
    ประเสริฐสุด ซ่อนใส่ เสียในฝัก
    สงวนคม สงวนค่า ใครฮึกฮัก
    จึงค่อยชัก เชือดฟัน ให้บรรลัย

    บนโลกนี้ มิได้มี สิ่งใดนิ่ง
    ทุกทุกสิ่ง ทุกทุกอย่าง ต่างเคลื่อนไหว
    จงอย่ายึด อย่าเหนี่ยว กับสิ่งใด
    เพราะจะไม่ มีสิ่งใด ทีจีรัง

    คนจะเก่ง ต่อเมื่อพบ สบปัญหา
    จงก้าวหน้า ต่อไป อย่าถอยหลัง
    หลวงพ่อสอน สิ่งสิ่งใด จงเชื่อฟัง
    จงอย่ารั้น เอาแต่ใจ ตามตัวเรา

    จงอย่าเป็น ดังจันทร์ บนฟากฟ้า
    มีหลายหน้า สารพัด ไม่ขัดเขิน
    ช่างเปลี่ยนผัน ทุกวี่วัน ที่ดำเนิน
    ดังจะเพลิน เปลี่ยนไป ดังใจคน

    จงเป็นดัง อาทิตย์ บนฟากฟ้า
    ที่แผดแสง แจ่มจ้า ในทุกหน
    ที่อยู่สูง เหนือสุด กว่าทุกคน
    ทั้งทำตน เป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวม
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    บทที่ สิบเอ็ด
    Keep Looking Up





    Keep Looking Up




    ขณะที่กำลังสวดมนต์ทำวัตรเย็นอยู่นั้น ..........
    พลันสายตาทั้งคู่ก็ค่อย ๆ เบิกม่านมิติออกไป ปรากฏลำ
    แสงกลางหน้าผากระหว่างหัวคิ้วทั้งสอง ข้าพเจ้าหยุด
    สวดมนต์พร้อมกับมองจ้องลงไป ภาพต่าง ๆ วิ่งผ่านมิติ
    อย่างรวดเร็วมาก จนกระทั่งมาหยุดนิ่ง ณ ที่แห่งหนึ่งมีเปลว
    ไฟแดงฉาน ร้อนระอุ เหล่าวิญญาณทุรนทุราย น่าเวทนา
    ร้องขอความช่วยเหลือ มือกวักไกวไปมา ข้าพเจ้าหลับตาลง
    ลืมตาขึ้นใหม่ แม้กระทั่งเอามือมาปิดบังกลางหน้าผาก ก็ยัง
    เห็นภาพอยู่นั่นเอง เมื่อแน่ใจว่า ไม่ใช่ตาฝาดแน่แล้ว และไม่
    ได้ฝัน เหงื่อเม็ดโป้ง ๆ ผลุดเต็มตัว รีบกระโดดขึ้นเตียงนอน
    เอาผ้าห่มคลุมโปง อุดกลางหน้าผาก แต่ไม่ได้ผล ภาพต่าง
    ๆ ยังคอยผ่านมิติมาให้เห็น ทั้งลืมตา และหลับตา ก็
    เห็น........

    "โอ !!!! หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยลูกด้วย ตาลูกเป็นอะไร
    หลวงพ่ออย่าล้อเล่นเลย ลูกจะหัวใจวายตายอยู่แล้ว
    หลวงพ่อช่วยด้วย ๆ ๆ ......... "

    ข้าพเจ้ากลัวตัวสั่นงันงกอยู่ใต้ผ้าห่มที่คลุมโปงอยู่ จน
    เหนื่อย จิตเริ่มเข้าสู่ความสงบตกลงสู่ศูนย์กลางกาย เห็นพระ
    เดชพระคุณหลวงพ่อ

    "อย่ากลัว นี่คือประสาทตาพิเศษในการเห็น เรียกว่า
    ตาทิพย์ ซึ่งน้อยคนนักจักมี สิ่งที่เห็นคือ สัตว์นรกที่เป็นเหล่า
    ญาติมิตร ของเจ้าที่มาขอส่วนบุญส่วนกุศล..."

    "ลูกไม่มีหรอก ญาติมิตรที่ตกนรก"

    ข้าพเจ้าเถียงทันที

    "ภพชาติอันยาวไกล มากมายนับไม่ถ้วน เจ้าจำไม่ได้ต่างหาก
    จงเอาบุญธรรมกายช่วยเขาเหล่านั้น"

    สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท ทิพฺจกฺขํ วิโสธยิ อิ กะ วิ ติ
    พุทฺสงฺมิ โลกวิทู

    ประมาณเดือนเศษ ๆ ที่ข้าพเจ้าทดลองศึกษาการใช้ตา
    ทิพย์ ซึ่งหลวงพ่อสอนวิธีปิดเปิดให้ตรวจดูโน่น ดูนี่ แต่ไม่
    สนุกเลย!!!!!! ที่สามารถเห็นเหล่าวิญญาณสัมภเวสี หรือ
    ภาพอื่น ๆ ในต่างมิติ แม้ขณะที่จะขึ้นรถประจำทางไปทำ
    งาน ต้องคอยพิจารณาภาพที่ซ้อนมิติ ว่า คน หรือ ผี !!!
    และเหล่าวิญญาณก็คอยติดตามมาขอส่วนบุญส่วนกุศล

    โธ่เอ๋ย... ! ลำพังนัยน์ตาปรกติ 1 คู่ พร้อมแว่นตาก็
    เหน็ดเหนื่อยพออยู่แล้ว ยังต้องมา เพิ่มภาระอีกมากมายกับ
    เจ้าตาทิพย์นี่อีก ฉะนั้นเมื่อพิสูจน์จนแน่ชัดว่า "ตาทิพย์"
    มีจริง ข้าพเจ้าก็ปิดตาที่สามนี้อย่างถาวรจนทุกวันนี้
    เพราะตาทิพย์สามารถส่องไปเบื้องหน้า 180 องศา เท่านั้น
    แต่ตาธรรมกายสามารถดูได้ทั่ว 360 องศา ซ้าย ขวา
    หน้า หลัง ล่าง บน ริมข้าง ตรงกลางระหว่างหัวต่อ
    วิชชาละเอียดกว่ากันมาก

    ข้าพเจ้าเพียงแต่ประจักษ์ชัดว่าเมื่อปฏิบัติธรรมถึงระดับ
    หนึ่งแล้ว เมื่อตาเห็น หูได้ยิน จิตก็สัมผัสเป็นอัตโนมัติ
    อายตนะทั้ง 12 เชื่อมเป็นหนึ่งเดียว

    หลวงพ่อสอนว่า.........

    "จงใช้ความสามารถพิเศษเหล่านี้ในทางที่ถูกที่ควร
    อย่าใช้เพื่อผลประโยชน์แก่ตนเอง จงใช้เพื่อช่วยเหลือเพื่อน
    มนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ยาก และอย่าเปิดเผยในสิ่งที่รู้
    ที่เห็น เมื่อความจริงนั้นจะทำให้ผู้รับทราบกระทบกระเทือน
    และอย่าให้ความสามารถพิเศษนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขา
    เพราะมนุษย์นั้นจะต้องเลือกทางชีวิตของตนเอง และฟันฝ่า
    อุปสรรคในทางนั้นด้วยตนเอง จงช่วยบำบัดรักษาแต่เฉพาะ
    ในเรื่องเจ็บป่วย และความทุกข์ทรมาน แต่อย่าช่วยเลือกทาง
    ชีวิตให้แก่ใครเป็นอันขาด"

    สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นกลับไม่สนใจที่จะเรียนรู้วิชชาสาม
    หรือฝึกหัดให้ชำนิชำนาญแต่อย่างไร จิตข้าพเจ้าชอบแต่จะ
    เรียนธรรมะ อย่างเดียว หลวงพ่อจึงให้ไปต่อวิชชา ......

    "มณีรัตน์ การแก้โรค แก้กรรม"

    กับครูบาอาจารย์อื่น ๆ หลายท่าน ตั้งแต่หยาบไปหาละเอียด
    หยาบ คือ การรักษาโรคด้วยยา การปรุง การประกอบยา
    การเรียนรู้สมุนไพรต่าง ๆ การทำยาให้มีฤทธิ์ในการรักษาโรค
    ละเอียด คือ การตรวจโรคด้วยวิชชาธรรมกายว่าเนื่องด้วย
    กรรมอันใด

    เมื่อศึกษามาถึงเรื่องกรรม พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้พาไปท่อง..
    นรกขุมต่าง ๆ ควบคู่กับวิชชามณีรัตน์ นรก 456 ขุม
    ประกอบกันเป็นเครือข่าย ข้าพเจ้าได้เห็นความทุกข์เวทนาของ
    สัตว์นรกตามขุมต่าง ๆ ตามแต่โทษทัณฑ์ที่ได้รับแล้ว
    ข้าพเจ้าสงสารมาก อีกทั้งกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วที่เป็น
    ปัจจัยให้ไปตกนรก จนกระทั่งมดยุงก็เลิกฆ่า และพยายาม
    รักษาศีลอย่างเคร่งครัด

    (สำหรับจักรพรรดิของหลวงพ่อท่าน 3 ดวงที่บรรจุอยู่ในรูป
    หล่อยืนบนหอหลวงพ่อที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีชื่อดังนี้ คือ

    ท่านมณีรัตน์จักรพรรดิ ผู้ใดจะให้ท่านช่วยรักษาเรื่อง
    โรคภัยไข้เจ็บ ไปบอกกล่าวพร้อมปิดทองส่วนที่เจ็บป่วยในองค์
    หลวงพ่อยืนนี้ อธิษฐานให้หายเจ็บหายไข้ ดีนักแล

    ท่านรัตนชาติจักรพรรดิและ ท่านอุดมจักรพรรดิ
    ให้ความอุดมสมบูรณ์พูนสุข ความสำเร็จ เป็นจักรพรรดิภาค
    ผู้เลี้ยงคอยดูแลความเป็นอยู่ให้สุขสบาย แก่เหล่าธาตุธรรม
    ของหลวงพ่อท่าน)

    หลวงพ่อบอกว่า ในสมัยที่ท่านได้ธรรมแล้วคิดจะหลีก
    เร้นเข้าป่า แต่คิดถึงเพื่อนมนุษย์ที่ยังมืดมนอนธกาล ไร้ที่พึ่ง
    ยังมีกิเลสและโมหะเข้าครอบงำจิตใจ มีอีกเป็นจำนวนมาก
    ถ้าหากว่า...ท่านคิดหลีกเร้นไปหาประโยชน์ส่วนตัว ท่านจะไม่
    มีโอกาสสงเคราะห์ เพื่อนมนุษย์ ในสมัยนั้นคณะสงฆ์ไทยและ
    คนทั่วไป ยังสนใจ การปฏิบัติน้อยมาก พระภิกษุที่สนใจการ
    ปฏิบัติมักจะ ปลีกตัวไปอยู่ ตามป่าเขา หรือตามหมู่บ้าน
    ชนบท การปฏิบัติธรรมจึงไม่แพร่หลาย

    และเมื่อตรวจเข้าไปในสมาบัติ พบว่า มารทำหัวแก็ส
    ฝ่ายธรรมของประเทศชาติ ย่อยออกเป็นสองส่วนและทำให้
    เรียวลง ๆ ทำให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร ทั้งนี้เพื่อให้
    ศาสนาพุทธหมดไปจากประเทศไทย และหมดไปจากสุวัณ
    ณภูมิ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้า
    ป่า มาอยู่เมืองแทน

    หลวงพ่อพยายามทุกวิถีทางที่จะให้สาธุชนเข้าวัดปฏิบัติ
    ธรรมมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ มิใช่นับถือแต่ปาก หรือตาม
    บรรพบุรุษเพราะท่านตระหนักดีว่ามนุษย์ทุกคนมีความเกิดเป็น
    เบื้องต้นความชราในท่ามกลาง และความสูญสลายในที่สุด
    เป็นลักษณะของไตรลักษณ์ที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    แต่ก่อนที่ทุกคนจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตนั้น จะต้องพบกับ
    ความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง คละเคล้ากันไป ความทุกข์นั้นไม่มี
    ใครปรารถนาทุกคนจะดิ้นรนแสวงหาที่พึ่งเพื่อดับความทุกข์ยาก
    เดือดร้อนบางคนก็มีสติปัญญาพิจารณาหาที่พึ่ง บางคนก็ไร้
    ปัญญาไตร่ตรอง

    หลวงพ่อได้นำวิชชาธรรมกายมาเผยแผ่เพื่อบรรเทา
    ความทุกข์ ท่านได้ทดลองให้เห็นว่า วิชชาธรรมกาย เป็นที่
    พึ่งของมนุษย์ทุกคนได้จริง คือสามารถยกระดับชีวิตของทุกคน
    ที่ปฏิบัติสูงขึ้นได้ สามารถรักษาโรค ภัยไข้เจ็บให้หายได้ จึง
    นำวิชชามณีรัตน์มารักษาความเจ็บป่วย มีทั้งผู้ป่วยที่มาเองหรือ
    ญาติผู้ป่วยมาส่งอาการที่วัดปากน้ำ

    วิชชาธรรมกายช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งทำให้ผู้ป่วย
    หรือญาติผู้ป่วย ที่มาปฏิบัติยังบรรลุวิชชาธรรมกายอีกด้วย ทำ
    ให้หลวงพ่อมีกำลังใจ มากขึ้นและแน่ใจว่า วิชชาธรรมกายที่
    ท่านพากเพียรปฏิบัติมานาน ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ อย่าง
    เอาชีวิตเป็นเดิมพัน นั้นเป็นวิชชาที่เป็นที่พึ่ง ทำให้คนพ้นทุกข์
    ได้จริงแน่แท้ หลวงพ่อมิได้พูดแต่ปาก แต่ท่านทำจริงและ
    สามารถพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นจริง ประวัติการรักษาโรคด้วยวิชชา
    ธรรมกายก็มีให้ชนรุ่นหลังทราบ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงสนใจที่จะฝึก
    วิชชาแทนการเรียนธรรมะอย่างเดียว

    เมื่อข้าพเจ้ากลับจากการทำงาน เวลายามว่างก็จะปั้นยา
    สมุนไพร เพื่อเก็บไว้รักษาโรคสำหรับคนไข้ที่รู้จักกันเท่านั้น
    เมื่อปั้นยาเสร็จ จะต้องเจริญพุทธมนต์บทพระธารณะปริตร เพื่อ
    เป็นสิริมงคล ให้ความศักดิ์สิทธิ์สามารถตัดโรคร้ายให้หาย
    ขาด แม้เซลที่ตายยังฟื้นคืนชีพ

    ขณะทำยา จิตก็สลักเข้าไส้กลางสุดละเอียด ปรากฏ
    ภาพเห็นเณรน้อย เดินเก็บยาสมุนไพร หยิบใบไม้ต่าง ๆ ขึ้น
    พิจารณา พร้อมทั้งฉีกใบไม้ เพื่อดมกลิ่น ชิมรส
    นี่ใบเหลี่ยมยาว ธาตุไม้ รักษาตับ มีรสเปรี้ยว
    นี่ใบแหลม ธาตุไฟ รักษาหัวใจ มีรสขม
    นี่ใบเหลี่ยมกว้าง ธาตุดิน รักษาม้าม มีรสหวาน
    นี่ใบกลม ธาตุทอง รักษาปอด มีรสเปรี้ยวอย่างกรด
    นี่ใบหยัก ๆ กลม ๆ ธาตุน้ำ รักษาไตทั้งสองข้าง มีรสเค็ม

    บางครั้งก็ต้องปีนป่ายเขาสูงเพื่อไปเก็บตัวยาสำคัญ ๆ
    เมื่อกลับเข้าที่พัก ในกุฏิจะมีภาพยาสมุนไพรพร้อมชื่อที่ต้อง
    ศึกษาท่องจำต่าง ๆ

    ภาพก็ตัดกลับมาเป็นนายแพทย์เดินลุยหิมะไปรักษาโรคที่
    บ้านคนไข้ ขณะเดินทางกลับบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยมาทั้ง
    วัน และความหนาวเหน็บ ล้มลงสิ้นใจตายคากองหิมะนั้น

    ข้าพเจ้าจึงค้นไปที่ในเหตุ จึงพบว่า ตนป่วยเป็นโรค
    หัวใจและตายเพราะโรคหัวใจมาหลายชาติ ข้าพเจ้าจึงค้นต่อ
    ไปถึงเหตุในเหตุ......

    ภาพที่เห็นเป็นเด็กชายสองคนวิ่งเล่นอยู่ในท้องทุ่ง ชวนกันเก็บ
    กิ่งไม้ ไปตีขาโคตัวหนึ่ง ต่างคนต่างตีคนละข้างอย่างสนุก
    สนาน แล้วเด็กชายคนหนึ่งวิ่งปลีกตัวไปริมคุ้งน้ำ เหลาไม้เรียว
    แหลมตรงปลาย ไล่จับปลา เมื่อได้ปลามาแล้ว จะเสียบร้อย
    เข้าที่ไม้เป็นตัว ๆ เรียงไป เมื่อมองดูใบหน้าเด็กคนนั้น จึงเห็น
    ว่า แท้ที่จริงคือตัวข้าพเจ้าเอง

    ผลแห่งกรรมที่ก่อขึ้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพียง
    เพื่อสนุกคะนอง ทำให้ข้าพเจ้ามักจะส้นเท้าพลิกเพลงเป็น
    ประจำ และผลกรรมที่ทำให้ปลาตายทั้งเป็นจากการร้อยไม้ไหว
    นี้ ข้าพเจ้าต้องเป็นโรคหัวใจรั่วและตายเพราะโรคหัวใจมานับ
    ชาติ

    ท่านทั้งหลายเอ๋ย.......
    ท่านจงอย่าประมาทในเศษกรรมเพียงน้อยนิด
    ก็อาจจะคร่าชีวิตท่านได้

    ดุจดังตัวของข้าพเจ้าที่จะต้องประสบชะตากรรมต้องเข้าผ่าตัด
    โรคหัวใจรั่ว ซ้ำร้ายยังมาไวรัสเข้าหัวใจอีกครั้งดังจะเล่าในตอน
    ต่อไป ทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว และหัวใจพิการตราบจนทุกวันนี้

    เมื่อทราบคู่กรรมแล้ว ข้าพเจ้ารีบเดินเครื่องกำหนดเจ้าโคตัว
    นั้น และเหล่าฝูงปลาที่ข้าพเจ้าไปก่อเวรไว้ขึ้นที่ศูนย์กลางกาย
    สุดละเอียด อธิษฐานบุญที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมาทั้งอดีต
    ปัจจุบัน และอนาคต ขอท่านจงรับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้า
    ตั้งใจบำเพ็ญธรรมนี้ เมื่อรับแล้วจงอโหสิกรรม อย่าได้มีโทษ
    มีกรรมต่อกันและกันเลย

    ไม่ควรประมาท ในการทำบาป หรือทำบุญว่าทำไว้เพียง
    เล็กน้อย เพราะทำครั้งละนิดหน่อย แต่หลาย ๆ ครั้ง
    ก็จะมีจำนวนมากขึ้นได้ เหมือนน้ำหยดลงในหม้อทีละหยด
    ยังเต็มหม้อได้ในที่สุด
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    บทที่สิบสอง




    I will go without fear to my Goal with You.




    2529

    นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้ารู้จักร้องไห้ น้ำตาคลอเบ้า...
    ขณะที่นั่งมองรูปหลวงพ่อบนโต๊ะหมู่บูชา เงินสักบาทไม่มีติด
    บ้าน ไหนจะลูกสองคนเล็กที่กำลังกินกำลังนอน ต้องมาอดนม
    ระยะหลังนี้ เพราะแม่ไม่มีเงินซื้อนมผงกระป๋อง
    ไหนจะลูกชายคนโตนอนป่วย รอการผ่าตัดหัวใจอยู่ที่
    โรงพยาบาลจุฬาไหนจะต้องหาเงิน 25,000 บาท จ่ายพิเศษ
    ค่าอาจารย์หมอผ่าตัด

    ทำไมการที่ข้าพเจ้าเลือก "ธรรมะ"
    ต้องแลกกับความทุกข์ยากเช่นนี้

    สามเดือนมาแล้วที่ครอบครัวต้องลำบากเพราะคืนนั้นที
    เดียว..... ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเจริญธรรมะอย่างเป็นสุข องค์
    พระขยายใหญ่สุดประมาณอยู่นั้น พลันปรากฏร่างอสูรกลุ่มหนึ่ง
    แบกภูเขา เงิน ภูเขาทอง เหาะมากองต่อหน้าข้าพเจ้า
    และพูดขึ้นว่า........

    "ขอให้ท่านจงหยุดเจริญธรรม แล้วเราจะให้ท่านเป็น
    มหาเศรษฐีใน 3 วัน 7 วัน สมบัติเหล่านี้จะเป็นของ
    ท่านทันที"

    ข้าพเจ้ามองดูสมบัติเหล่านั้นอย่างไม่ยินดียินร้าย

    "พวกท่านจงไปเถอะ ข้า ฯ ไม่ต้องการสิ่งใด"

    "คิดดีแล้วหรือ แล้วท่านจะเสียใจ เราจะได้เห็นดีกัน"

    ขาดคำเท่านั้น ลูกชายที่นอนอยู่ข้างตัวข้าพเจ้า
    (ข้าพเจ้านั่งสมาธิบนเตียงนอนกับลูก) ก็ร้องไห้จ้า ยกแขนขา
    ขึ้นเหมือนถูกใครดึงลากตัว

    "แม่จ๋า !!! หนูต้องตายแล้ว เพราะแม่นั่งสมาธิ
    แม่ช่วยด้วย หนูไม่อยากตาย"

    เสียงลูกร้องดังก้องห้อง ข้าพเจ้ารีบถอนออกจาก
    สมาธิถอดสร้อยคอ ที่มีพระสมเด็จวัดปากน้ำรุ่น 1 ฟาดไป
    กลางอากาศรอบ ๆ ตัวลูกชาย แขนขาของลูกที่ถูกดึงลาก
    ตกลงมาทันที ลูกชายลืมตาร้องไห้อย่างขวัญเสีย

    "แม่ หนูกลัว เขาจะเอาชีวิตหนูไป หนูต้องตายแล้ว
    แม่ช่วยหนูด้วย"

    พูดเสร็จลูกชายห็หมดแรงนอนหายใจแผ่ว ๆ ข้าพเจ้า
    รีบอุ้มลูกลงจากบ้าน ลุงยามได้ยินเสียง รีบเข้ามาช่วยเรียกรถ
    รับจ้างให้ส่งไปโรงพยาบาลทันที

    ขณะที่อยู่บนรถ ลูกชายเริ่มหมดแรง การหายใจขาด
    เป็นช่วง ๆ จนเกือบหยุด ข้าพเจ้าบีบปากลูก ให้ลูกพูดตาม
    ว่า .......... "สัมมาอรหัง ๆ ๆ ๆ "

    ซึ่งลูกชายก็พยายามพูดตามอย่างยากเย็น สักพัก ลูกชายลืม
    ตาขึ้นได้

    "แม่... หลวงปู่อยู่ในท้อง"

    ข้าพเจ้าดีใจจนแทบจะร้องไห้ รีบจับมือลูกชายพนมมือ
    อธิษฐานว่า

    "หลวงปู่โปรดช่วยชีวิตลูกด้วย แล้วจะบวชเณรถวายหลวงปู่"

    เมื่อถึงโรงพยาบาลและเชิญนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    หลายท่านมาวินิจฉัยโรค ทุกคนสงสัยว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้
    อย่างไร เด็กที่สุขภาพดีมาตลอด อยู่ ๆ หัวใจรั่วและหัวใจ
    วายอยู่ตลอดเวลา กำลังจะตายอยู่ทุกนาที คณะแพทย์แนะนำ
    ให้ผ่าตัดหัวใจช่วยชีวิตลูก แต่อาการที่น่าวิตก ผ่าตัดยังไม่ได้
    ต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้

    ข้าพเจ้าต้องลาออกจากงานทันที เพื่อมาดูแลลูก
    ชายที่นอนป่วยอยู่ และต้องเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะลูกกลัว
    ต้องจับมืออยู่ตลอดเวลา

    "แม่อย่าทิ้งหนูนะ เค้ากลัวแม่ แม่อยู่เค้าเอาลูกไปไม่ได้"

    ข้าพเจ้าต้องทำน้ำมนต์ให้ลูกกิน เพราะเด็กทานอะไร
    ไม่ได้เลยปรากฏว่า เด็กอาเจียนออกมาเป็นก้อน ๆ เหมือนตัว
    หนอนขดกันเต็มขัน ลูกจึงสามารถจะรับประทานอาหารได้
    บ้าง แต่ไม่มากพอ

    จนกระทั่งคืนหนึ่งข้าพเจ้าเผลอหลับไป อยู่ ๆ ก็
    สำลักควันธูป จนไอตื่นขึ้นมา มองไปมองมา เอ๊ะ!! ไม่มีใคร
    จุดธูป และไม่มีควันธูปในห้องด้วย
    นึกขึ้นได้ว่าตนเองเผลอหลับไป หันไปจับตัวลูกต้องตกใจสุด
    ขีด ทำไม !! ตัวลูกเย็นเจี๊ยบและแขนขาตกชี้ลง

    "โธ่ !! นี่ลูกตายหรือ แม่ไม่ยอมเด็ดขาด ไม่ยุติธรรม "

    ข้าพเจ้านั่งสมาธิเรียกท่านท้าวมัจจุราชขึ้นมาทันที
    ท่านท้าวมัจจุราชก็เข้ามาสิงร่างญาติผู้ชายคนหนึ่งของผู้ป่วย
    อื่นเดินไปที่เตียงลูก จับตัวเด็กขึ้นมาตบ ๆ ๆ ๆ ไปทั่วร่าง สัก
    พักเด็กร้องไห้จ้า ยิ่งร้อง ยิ่งตบ เสียงท่านท้าวมัจจุราชหัวเราะ
    ดังก้องตึกอย่างชอบใจ

    "ฮึ ฮึ ฮึ !!! ไม่ต้องกลัวปู่เอง มาเกิดก็ต้องให้อายุยืนสิ
    จะได้อยู่ช่วยแม่ ต่อไปมีอะไร เรียกปู่ได้เลย
    จะไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้"

    พูดเสร็จท่านท้าวมัจจุราชก็กลับ ร่างผู้ชายนั้นล้ม
    ตึง !! ลุกขึ้นมามองอย่างง ๆ ว่าตนเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้อย่าง
    ไร แล้วรีบเดินออกไปอย่างงุนงวย ลูกชายก็ลุกขึ้นเต้นเหย็ง ๆ
    บนเตียง ไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน แล้วก็อาการดีวันดีคืน กิน
    ข้าวได้ น้ำหนักขึ้นจนพอเพียงที่จะผ่าตัดได้แล้ว

    และในวันนี้ ข้าพเจ้ารันทดใจเหลือเกิน หมดเงิน
    รักษาลูกจนบาทสุดท้าย

    "หลวงพ่อคะ ลูกจะทำอย่างไรดี ลูกไม่เคยจนทางเช่นนี้จริง ๆ"

    ทันใด ปรากฏแสงสีเขียวเป็นลำแสงส่องลงมาบน
    โต๊ะหมู่บูชา ข้าพเจ้าเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นองค์
    แก้วใสขนาดเท่านิ้วมือยืนอยู่บนโต๊ะ รัศมีใสสว่าง และพูดขึ้น
    ว่า
    "ร้องไห้ทำไม ต้องการเงินมากหรือ"

    ขาดคำสมบัติเพชรนิลจินดาก็กองอยู่แทบเท้า
    ข้าพเจ้า

    "หยิบไปซิ นี่สมบัติของเจ้านะ หยิบ 1 จะได้ 3 "

    ข้าพเจ้าขณะนั้นมองดูสมบัติเหล่านั้นอย่างจิตใจที่ว่าง
    เปล่า ทั้ง ๆ ที่กำลังร้องไห้เพราะต้องการเงินอยู่เมื่อกี้ กราบ
    เรียนหลวงพ่อไปว่า

    "สมบัติใด ๆ ลูกไม่ต้องการ อะไรจะเกิด
    ลูกยอมรับสภาพทั้งนั้น"

    อัศจรรย์ !!! ข้าพเจ้าหลุดเข้าไปทันทีบนปราสาททำ
    วิชชาของหลวงพ่อ เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่งสง่ารัศมีสด
    ใสเปล่งปลั่งบนธรรมาสน์ จีวรเหลืองทองอร่าม งามจับใจ
    ข้าพเจ้าที่สุดเท่าที่เคยพบหลวงพ่อมา หลวงพ่อเดินตรงเข้ามา
    หาข้าพเจ้าที่นั่งพนมมืออยู่ท่ามกลางหมู่สาวก ภิกษุสงฆ์ซ้าย
    ขวา หลวงพ่อยิ้มอย่างพอใจ กล่าวขึ้นว่า

    อันชีวี ของคน เรานี้
    ล้วนมีเกิด มีแก่เจ็บตาย ทุกแห่งหน
    เมื่อรู้ธรรม ประกอบตน จงอดทน
    หยุดเวียนวน เร่งเพียรมุ่ง นิพพานเทอญ

    กล่าวจบเหล่าสงฆ์สาวกสาธุการขึ้นพร้อมกัน ข้าพเจ้าตกใจ
    รู้สึกตัวทันที เอ๊ะ!! เราไม่ได้ฝันไปนี่ หลวงพ่อมาให้สมบัติ
    โธ่ !! ทำไมไม่เอา ช่างเถอะ !! ใจลูกคนนี้ผ่านความทุกข์
    ยากมามากแล้ว ลูกจำคำสอนของหลวงพ่อได้เสมอว่า

    ผู้ปฏิบัติธรรมควรมีความสงบเยือกเย็น มีความคิดที่หนักแน่น
    แม้จะประสบกับพายุฝนกระหน่ำ ก็ไม่สะเทือนสภาวะจิต
    สามารถอดทนอย่างเป็นสุข มิฉะนั้นเพียงเท้ายืนไม่นิ่ง
    คลื่นลมก็จะกวาดพัดพาไปได้
    และท่ามกลางความทุกข์ยาก สามารถฝึกสำเร็จเป็นยอดคน

    แค่นี้ลูกก็ชื่นใจที่หลวงพ่อมาให้กำลังใจ ซึ่งล้ำค่ากว่า
    สิ่งใด ๆ ในโลก เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ประทับใจข้าพเจ้าที่
    สุดในชีวิต และจำภาพหลวงพ่อบนธรรมาสน์ที่งามมากได้ติด
    ตาตราบเท่าทุกวันนี้

    ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระพุทธ พระธรรม และพระ
    สงฆ์(คือหลวงพ่อ) เป็นสรณะอันสูงสุด ข้าพเจ้าก็สามารถผ่าน
    พ้น อุปสรรคขัดข้อง ได้เงินจากเลข 13 (หยิบ 1 ได้ 3 )
    และถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 5 ชุดใหญ่ ที่เพื่อนร่วมงานซื้อให้
    เพียงพอ ค่าผ่าตัดหัวใจให้ลูกในเดือนมีนาคม 2529 ลูก
    ปลอดภัยและ สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์เช่นเด็กปรกติ และในปี
    รุ่งขึ้นก็ได้บวชเณรถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆ
    บูชา แด่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ)








    ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

    เพราะข้าพเจ้ายอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อธรรมนั่นเอง
    ธรรมจึงรักษาข้าพเจ้าและชีวิตของลูกชายไว้ได้

    ท่านลองคำนึงถึงตัวท่านเองสิว่า....

    เวลานี้ท่านมีธรรมข้อใดบ้างที่พอจะคุ้มครองตัวท่านได้บ้าง
    จงสร้างเครื่องคุ้มกันตัวด้วยการประพฤติธรรม
    ประเสริฐกว่าสิ่งใด ๆ ในโลก
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    เสียงสอนกรรมฐาน หลวงพ่อวัดปาน้ำ(สด จันทสโร)

    https://youtu.be/lWtIHWsV9JU
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    บทที่ สิบสาม



    Day after day,train your heart out,
    Refining your technique use the One to strike
    the Many !! And collect the Many to be One,
    That is the discipline of Dhammagaya.







    2530

    วันแล้ววันเล่า เฝ้าฝึกจนใจแทบขาด ขัดเกลาเทคนิค
    ใช้หนึ่งไปตีมาก และรวมมากให้เป็นหนึ่ง นี่แหละคือวินัยของ
    วิชชา ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ทำทุกค่ำคืน การเจริญ
    ฌานสมาบัติ ต้องหมั่นปฏิบัติทุกอิริยาบถ ข้าพเจ้ามีหน้าที่เดิน
    เข้ากลางในกลาง ๆ ๆ ๆ



    หยุดในหยุด ๆ ๆ ๆ ดับหยาบไปหาละเอียด ๆ ๆ ๆ ตรึก
    ในตรึก ๆ ๆ ๆ ตรึกเข้าไปในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์
    หยาบละเอียดตัวเรา ทั้ง 18 กายและกายมนุษย์ คำนวณจาก
    มากเป็นหนึ่ง และใช้หนึ่งเดียว(เอกจิตหรือรัตนจิต) นี้ได้
    นานัปการ

    หลวงพ่อควบคุมไปหมด ยกเว้นการทำมาหากินและภาระ
    ลูก ๆ แล้ว ทุกเวลาต้องตรึก หยุดอยู่ในวิชชา ปฏิบัติสม่ำเสมอ
    ทุกวัน แม้ยามหลับก็หลับเข้าไปในดวงธรรมที่ใส สว่าง จนถึง
    อรุณรุ่งจนรัศมีในรัศมี ที่เป็นสีหลาย ๆ สี ปราฏซ้อนกันเป็น
    วง ๆ ออกจากศูนย์กลางกายที่สุดละเอียด นับวงไม่ถ้วนขณะ
    บำเพ็ญ คือ

    รัศมีในรัศมีฉัพพรรณรังสีของธาตุล้วนธรรมล้วน
    ของพระรัตนตรัย ที่หลวงพ่อได้ให้ศิษย์ทุกคนเจริญให้เข้าถึง
    ให้รู้ ให้เห็น และให้เป็นอยู่เสมอทุกขณะจิต

    ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดจะมีจุดสว่างเล็ก ๆ ใสละเอียดประดุจแก้ว
    ที่เจียรนัย โดยรอบ คือ อสังขตธาตุ อสังขตธรรม ของพระ
    พุทธเจ้า องค์ต้นธาตุต้นธรรม และกลาง ๆ ธาตุ ซึ่งมีมากมาย
    จะนับจะประมาณมิได้ ในสถานที่แห่งนั้น ๆ

    ในเวลาเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าก็ฝึกวิชชาสามอยู่ คือ

    หูทิพย์

    หลวงพ่อให้ซ้อนแก้วหูทุก ๆ กายจรดเข้าเป็นหนึ่ง
    แล้วกลั่นให้ใส กำหนดจิตว่าไปฟังเสียง ณ จุดใด เช่น
    ไปฟังเสียงสวดมนต์ ณ สวรรค์ชั้นที่สามที่เฝ้าสวดมนต์กัน
    ตลอดเวลาหรือไปฟังพระธรรมเทศนา ณ ธรรมสภาที่มีอยู่กัน
    ทุกชั้นแดนสวรรค์วิชชานี้ข้าพเจ้าชอบมาก เพราะทำให้
    สามารถเรียนธรรมะได้สะดวก ในขณะที่ข้าพเจ้าซักผ้า ถูบ้าน
    จะจรดแก้วหูทิพย์ขึ้นฟังธรรม โดยเฉพาะรอบที่มีครูบาอาจารย์
    ของข้าพเจ้าลงแสดงธรรม

    ตาทิพย์

    ที่มีอยู่ระหว่างกลางหน้าผาก ทำความลำบากให้แก่ข้าพเจ้า
    มาก ๆ ๆ ระยะทางที่เดินทางไปทำงานจะมองเห็น เหล่า
    สัมภเวสีมากมายตามท้องถนน ทั้งสภาพที่ขาดกระรุ่งกระริ่ง
    เพราะประสพอุบัติเหตุ เลือดนองท่วมบ้าง น่าเวทนา มีทั้ง
    ชาย-หญิง-เด็ก วิญญาณเหล่านี้สามารถสัมผัสกระแสบุญ
    จะติดตามข้าพเจ้าเพื่อขอส่วนบุญ ไอวิญญาณจะเย็นมาก
    ข้าพเจ้าต้องเหน็ดเหนื่อยสงเคราะห์คำนวณบุญให้
    บ้างก็ดับเวทนาได้ บ้างก็เปลี่ยนภพภูมิ บ้างก็ไปเกิดใหม่
    เรื่องตาทิพย์ข้าพเจ้าทนไม่ได้ จำต้องขอหลวงพ่อปิดทิ้งมา
    ตั้งแต่บัดนั้น เพราะข้าพเจ้าเป็นโรคหัวใจ บางครั้งตั้งตัวไม่
    ทัน ตกใจก็ไม่สบายไปเลย แต่ก็เรียนรู้ว่า เกิดเป็นผีนี่
    ลำบากจริง ๆ

    และการรู้วาระจิตของคน

    หลวงพ่อสอนให้ดู ดวงจิต ดวงธรรม ของเขา ว่า สุขหรือ
    ทุกข์ สะอาดหรือสกปรก จิตของคนปรกติจะลอยในในเบาะน้ำ
    เลี้ยง ที่มีปริมาตร เท่าหนึ่งอุ่งมือ ลอยอยู่กึ่งกลาง ถ้าใจลอย
    ขึ้น จิตจะฟุ้ง ถ้าจมลง จิตจะเศร้าหนักอกหนักใจ ถ้าจมดิ่งจะ
    คิดสั้นฆ่าตัวตาย (วิชชานี้มีประโยชน์มาก และได้ใช้ช่วยชีวิต
    ของผู้คนที่มีทุกข์ คิดฆ่าตัวตายมามากต่อมากโดยเฉพาะใน
    ยุค 3 ภัย 8 ทุกข์)

    - จิตของปุถุชน คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส เป็นจิตที่มีสีเนื้อ
    เต็มไปด้วยความสกปรก ไม่สะอาดผ่องใส
    - จิตของคนที่ได้ปฐมฌาน จะใสเหมือนแก้วเคลือบ
    ปฐมฌานละเอียดเป็นเนื้อแก้วลึกลงไปประมาณ 25 %
    - จิตของคนที่ได้ฌาน 2 จะเป็นแก้วลึกลงไปประมาณ
    50 %
    - จิตของคนที่ได้ฌาน 3 ละเอียดเป็นแก้วทั้งดวง
    แต่มีจุดอยู่ตรงกลาง
    - จิตของคนที่ได้ฌาน 4 จะเป็นแก้วทั้งดวง สะอาดมาก
    แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีประกายรัศมี
    - จิตของพระโสดา จะเป็นประกายรัศมีเข้าไปประมาณ
    25 %
    - จิตของพระสกิทาคามี จะเป็นประกายรัศมี (แสงลิบ ๆ )
    เข้าไป 50 %
    - จิตของพระอนาคามี จะเป็นประกาย (แสงลิบ ๆ ) ทั้ง
    ดวง แต่มีจุดอยู่กลางข้างใน (จุดกำเนิดธาตุธรรมเดิม
    เรียกว่า พืด )
    - จิตของพระอรหันต์ จะเป็นดาวทั้งดวงไม่มีจุด ส่องแสง
    ระยิบระยับตลอดเวลา

    หลวงพ่อสอนให้ดูสภาพจิตที่มีกิเลสและไม่มีกิเลส สกปรกมาก
    หรือสกปรกน้อย ฉะนั้นพอได้ยินชื่อคน หรือรู้เรื่องราวของคน
    เห็นหน้าให้ดูจิตก่อน อย่าไปดูหน้าตา ฟังเสียง อันนี้ไม่แน่
    นอน คนมีกิเลสอย่างพวกเรา ๆ โกหกได้ แต่ว่าจิตของคน
    โกหกไม่ได้ ถ้าดูความทุกข์ ความสุขของจิต คนมีความทุกข์
    มาก จิตมีสีดำ สีหมองคล้ำ ทุกข์น้อย สีดำจางลงไป คนมี
    ความสุขเพราะมีอามิสมาก จิตมีสีแดงมาก อามิสน้อย
    จิตมีสีแดงน้อย คนที่มีจิตสบาย ๆ ไม่กระทบกระทั่งกับอารมณ์
    ต่าง ๆ จิตเป็นสุขมีสีขาว

    และในวันหนึ่ง ๆ เราต้องชำระจิตของเราที่ไม่ผ่องใส ที่ไม่
    สะอาด เราต้องชำระนิ่งเข้าไป กลางของกลาง ๆ ๆ ดับหยาบ
    ไปหาละเอียด ๆ ๆ ใสละเอียด ๆ ๆ ๆ นอกจาก เราชำระวิถีจิต
    แล้ว ในใจต้องกำหนดธรรมอยู่ในใจ

    1.เรียกว่า ปัญญา คือ ปัญญาพิจารณาที่คิด พิจารณากิเลส
    พิจารณาความชั่วนั้น ทุกข์ สุข เกิด ดับ นั่นแหละ
    การสร้างปัญญา ปัญญา คือ องค์พิจารณานั่นเอง
    เมื่อพุทธกาล พระอรหันต์จะสำเร็จได้ บางองค์เห็นฟันสีกาที่
    อมยิ้ม ท่านพิจารณาถึงฟันนั้น พิจารณาการเกิด - ดับ ก็
    สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ มีพระอรหันต์องค์หนึ่งนั่งอยู่ในกุฏิ
    มีสีกาไปตักน้ำในบ่อข้างกุฏิ สีกานั้นร้องเพลงที่เกี่ยวทุกข์ใน
    ใจ ท่านเอา เสียงเพลงนั้นมาพิจารณา ในที่สุด ท่านก็
    สามารถสำเร็จพระอรหันต์ได้ อาหารก็เหมือนกัน ตาที่เราเห็น
    รูปก็เหมือนกัน ใจที่ เรานึกคิด ที่มีทุกข์ก็เหมือนกัน ถ้าเรา
    หมั่นไปพิจารณา ไตร่ตรอง แล้วปัญญาก็เกิด นี่แหละหนึ่ง ให้
    มีธรรมะประจำใจ นั่นคือ ปัญญา

    พิจารณา มหาพิจารณา

    2.สัจจะ (เที่ยงธรรม) สัจจะที่ชั้นต้น คือ ตัวเที่ยงธรรม
    หรือตัวประพฤตินั้นเอง ชั้นสูงที่สัจจะไม่ใช่อย่างนี้ แต่เรียกว่า
    อริยสัจจะ 4 เราต้องรู้ว่า อะไรเป็นทุกข์
    อะไรคือตัวสมุทัย ที่เกิดภพชาติ
    อะไรคือ ตัวดับทุกข์
    อะไรคือ องค์มรรค นั่นคือ อริยสัจ 4

    3.ตัวจาคะ คำว่าตัวจาคะ คือ ตัวเสียสละ
    เราทำบุญให้ทานให้บุคคลผู้อื่น หรือ สมณะชีพราหมณ์
    นั่นเป็น ตัวจาคะเบื้องต้น ตัวจาคะชั้นสูง นั่นคืออะไร
    ให้สละทิ้งตัวกิเลส ตัวความชั่ว ที่ติดอยู่ในตัวตนของเรา
    นั่นเอง
    ตัวจาคะนั้นให้สละทิ้งไป

    4.ให้มีอุปสมะ คือ ตัวสงบ ระงับ
    ระงับถึงตัวกิเลส จิตไม่มีกิเลสปรุงแต่ง
    ระงับทางกาย ทางกายของเราไม่ไปสร้างความชั่ว
    ระงับถึงวจีสังขาร คือ ระงับถึง ทั้งกาย ทั้งวาจา และใจ
    ข้อสำคัญที่สุด คือ ใจ เรียกว่า จิตของเรา จิตของเรามีสงบ
    ระงับแล้ว กายของเราก็เหมือนกัน จิตของเรามีความ
    ละเอียดพอจิตของเราหลุดพ้นกิเลส หรือแยบคายเอากิเลส
    ทิ้งได้ ทั้งกายของเราจะเกิด "โสรัจจะ" ขึ้นมา คือ มี
    อาการ สงบ และเสงี่ยม เราจะสังเกตเห็นพระที่มีวินัย
    ที่ถือเคร่ง วินัยที่อยู่ในศีล 227 โดยไม่ต้องอาบัติ อาบัติ
    เล็ก ๆ น้อย ๆ มีแต่พระอรหันต์นั้น จะมีอาการสงบและ
    เสงี่ยม อ่อนช้อย องค์ที่สงบ เสงี่ยม นั้นแหละ เรียกว่า
    โสรัจจะ

    ในชาตินี้ ถ้าใครยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม เห็นแสง
    ประทีปของธรรมะ พยายามพิจารณา ใช้องค์ของสมาธินี่
    แหละ พิจารณากิเลสภายในตัวของเรา ให้มีธรรมะประจำใจ
    ทั้ง 4 นี้ คือ

    1.ให้มีปัญญา เกิดจากองค์พิจารณา
    2.ให้มีสัจจะ ชั้นต้นเรียกว่า เที่ยงธรรม
    ชั้นสูงเรียกว่า อริยสัจ 4 ( ทุกข์ สมุทัย
    นิโรธ มรรค )
    3.ให้มีจาคะ เสียสละ ชั้นต้น คือ ให้ทาน
    ชั้นสูง ให้รู้ถึงอริยสัจ 4 ทำทานใน
    รัตนะ 7 (รายละเอียด มีในฉักกะวิถี เล่ม
    กฏสวรรค์)
    4.อุปสมะ สงบ ระงับ กายของเราก็ สงบ เสงี่ยม
    ใจของเราก็สามารถระงับถึงตัวกิเลสตัณหา

    เราพยายามพิจารณาเช่นนี้เข้าไป จิตของเราก็จะค่อย ๆ
    พัฒนา จากหยาบไปหาละเอียด วันละเล็กวันละน้อย มรรค
    ต้องพูนผลต้องพร้อม

    กิเลสนั้นเสมือน กองไฟ รวมยอดขึ้นมา มี โลภะ โทสะ
    และโมหะ กองไฟนี่แหละชาติก่อน เราเคยสร้างสมไว้ ฉะนั้น
    ในชาตินี้เราจึงไปรับกรรม มีกรรมที่ไม่สมบูรณ์เหมือนกับผู้อื่น
    แต่จะพูดว่ามีกรรมก็ไม่จริง เราก็มีกรรมดีที่สั่งสมมาด้วย ถ้าไม่
    มี ก็ไม่มีโอกาสมานั่งหลับตา ทำสมาธิจิต แต่ที่เรามีโรคภัยไข้
    เจ็บ หรือชะตาชีวิตที่ตกต่ำ ไม่ร่ำรวยเหมือนอย่างเขา ก็เพราะ
    ว่า เรามีกรรมชั่ว กรรมดีมันหย่อน มันยาน

    พวกกรรมทั้งหลายเหล่านี้แหละ ในอดีต เป็นเหตุทำให้
    ชาตินี้เกิดผล ผลในชาตินี้ ก็กลายเป็นเหตุอีกที ส่งผลไปใน
    ชาติหน้า ชาติหน้า ผลก็กลายเป็นเหตุเป็นผลอีกที ไม่มีที่สิ้น
    สุด เรียกว่าเหตุในเหตุ

    วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ แต่ในชาตินี้ เราพยายามตัดทีละเล็ก
    ทีละน้อย เหมือนกับเราไปถางหญ้า ถางป่า วันละคืบ วันละ
    ศอก ต่อไปหญ้าหรือป่าก็เตียน แล้วขุดรากถอนโคนกันทีเดียว

    นี่คือข้อสำคัญ ที่หลวงพ่อสอนให้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
    มีคุณค่าอเนกอนันต์ หากแม้ชาตินี้ เรายังไม่สามารถสำเร็จ
    เป็นพระอริยบุคคลได้แล้วไซร้ แต่ก็สร้างวิถีจิตของเรา ค่อย
    หลุดพ้นไป คือบ่มให้อินทรีย์ค่อย ๆ แก่กล้า อินทรีย์ที่แก่กล้านี่
    แหละ เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ที่จะจุนเจือถึงสมาธิจิต
    แล้วกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา เครื่องเศร้าหมองทั้ง
    หลาย เราก็สามารถดับมันได้ในที่สุด ไม่ต้องกลัวไม่ได้ ไม่
    เป็น จงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ผลจะเกิดสักวันไม่ต้องสงสัย

    สำหรับการดูวาระจิตนั้น เมื่อเห็นสภาพจิตแล้ว ให้จรดนิ่งเข้า
    สุดละเอียดของหูทิพย์ ก็จะได้ยินเสียงที่จิตของคนนั้นคิดเรื่อง
    ราวต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา จากประสบการณ์ที่เรียนรู้ จึงทราบ
    ได้ว่าจิตของคนไม่เคยหยุดคิดได้ คุ้นเคยแต่จะส่งออกนอกตัว
    คิดเรื่องโน้น คิดเรื่องนี้ สารพัดคิด คิดไม่หยุด

    ข้าพเจ้าจึงหมดสงสัยเลยว่า ทำไมคนจึงปฏิบัติสมาธิจิตกันไม่
    ได้ส่วนมาก เพราะคำสอนของหลวงพ่อที่ว่า ......... หยุด
    คือ ตัวสำเร็จ แต่จิตคนหยุดคิดไม่ได้แม้สักหนึ่งนาที
    ท่านฟังแต่จิตของท่านพูดอยู่ตลอดเวลา ท่านเคยคิดจะหยุด
    นิ่ง เพื่อฟังพระเจ้าพูดกับท่านบ้างไหม







    God speak in silence.
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    บทที่ 14 My heart is full of fertile seeds, waiting to sprout.






    มิถุนายน 2530



    เมื่อออกจากสมาธิและรู้ว่าตนจะต้องถูกผ่าตัดอีกครั้ง
    ซึ่งใน ขณะนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้เรียนวิชชาการตั้งผัง ได้เรียนรู้
    แต่ธรรมะ และวิชชามณีรัตน์การรักษาโรคเบื้องต้นเท่านั้น
    ข้าพเจ้าจึงเอ่ยขึ้นว่า

    "เจ้ามารร้ายเอ๋ย เราไม่กลัวเจ้าหรอก ถ้าจะเจ็บป่วยผ่าตัดอีก
    ก็ให้ได้แค่ผ่าตัดไส้ติ่งเท่านั้นก็พอ"

    รุ่งขึ้นขณะที่ข้าพเจ้าออกไปธุระนอกบ้าน อยู่ ๆ ก็เกิด
    อาการปวดท้องขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนอาการปวดท้อง
    มากขึ้น ทำท่าจะอาเจียนจึงรีบนั่งรถกลับบ้าน แต่ระหว่างทาง
    อาการปวดท้องข้างขวารุนแรงขึ้นจนเหงื่อแตกทั่วตัว จึงบอกรถแท็กซี่เลี้ยวเข้าโรงพยาบาลซึ่งอยู่ระหว่างทางที่จะกลับบ้าน
    เมื่อพบแพทย์ตรวจในห้องฉุกเฉินจึงทราบว่าไส้ติ่งของข้าพเจ้า
    กำลังจะแตก ต้องรีบผ่าตัดด่วน

    "โอ้โห !!! อะไรจะเร็วปานนี้ เพิ่งท้าเมื่อคืนหยก ๆ
    วันนี้โดนผ่าตัดเสียแล้ว เจ้ามารเอ๋ย...เองแน่มาก"

    หลังการผ่าตัด ข้าพเจ้านอนแพ้ยาสลบอาเจียนเสียจน
    หมดเรี่ยวแรงและนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เกิดนิมิต
    ฝันเห็นหลวงพ่อมาเยี่ยมและพูดว่า.........

    "ลูกเอ๋ย......ต่อไปเจ้าอย่าได้พูดหรือคิดตั้งผังใน
    ทางอกุศลกรรมให้พูดและคิดแต่สิ่งดี ๆ สิ่งที่ไม่ดีอย่าได้ไป
    ท้าทายเด็ดขาด หากเจ้าพบเห็นและแก้ไขไม่ได้ ให้ขอ
    บารมีคุณพระศรีรัตนตรัย และคุณครูบาอาจารย์ช่วยปัดเป่า
    ให้พ้นภัย หรือขอให้หลวงพ่อช่วยก็ได้ว่า

    "ลางได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เหตุยังไม่ได้เกิด
    ขอหลวงพ่อโปรดระงับเหตุเภทภัยด้วยเถอะ"

    ต่อมาข้าพเจ้าได้เรียนเรื่องกรรมละเอียด จึงทราบว่า
    บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
    บุญสามารถสะเดาะห์เคราะห์กรรมจากหนักเป็นเบา
    และจากเบาก็เป็นอโหสิกรรมกันไป

    และบุญที่สัมฤทธิผลดังใจปรารถนา ต้องเป็น
    บุญศักดิ์สิทธิ์บุญศักดิ์สิทธิ์ คือบุญที่บริสุทธิ์
    ไม่มีบาปอกุศลปนเป็น เช่นเวลาทำบุญใจต้องไม่ขุ่นมัวเศร้า
    หมอง จิตต้องใสสะอาด ความเป็นจริงน้อยคนที่จะทำได้
    จริง ๆ หลวงพ่อจึงสอนให้รู้จักกลั่นบุญจรดจิตอยู่ที่ศูนย์กลาง
    กายเวลาทำบุญทำกุศล ถ้าไม่ได้ก็ให้อธิษฐาน

    ขอน้อมถวายบุญกุศลนี้แด่องค์พระต้นธาตุต้นธรรม
    พระพุทธเจ้า จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงผู้รักษา และพระเดช
    พระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ โปรดกลั่นบุญกุศลของข้าพเจ้า
    ไม่มีบาปอกุศลปนเป็น และทับทวีผลบุญบริสุทธิ์นี้ให้แก่
    ข้าพระพุทธเจ้า โดยทับทวีตลอดไป

    เมื่อสุขภาพของข้าพเจ้าแข็งแรงดีแล้ว ข้าพเจ้าก็
    กลับเข้าทำงานอีกครั้ง และได้พบปะเพื่อนฝูง มิตรสหาย
    เพราะย้ายมาอยู่กรุงเทพ ฯ ถาวรแล้ว ข้าพเจ้าพยายามทำ
    หน้าที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดี นำพาเขาเหล่านั้นรู้จัก บำเพ็ญ
    ทาน รักษาศีล และสอนการเจริญภาวนาเบื้องต้น ให้ทุกท่าน
    ที่สนใจจะปฏิบัติธรรม เพราะข้าพเจ้าทราบว่า..........

    เมื่อหลวงพ่อลงมาเกิด ท่านได้คำนวณธาตุธรรมต่าง ๆ
    ลงมาช่วยงานอย่างมากมาย เป็นกองทัพธรรมเพื่องาน
    กึ่งพุทธกาลเพื่อรักษาศาสนจักร อาณาจักร พุทธจักร
    มรรคผล นิพพาน ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว
    ผู้คนเหล่านั้นแบ่ง หน้าที่ลงมาเกิด

    บ้างก็มีหน้าที่ทำวิชชารบกับมาร

    บ้างมีหน้าที่สร้าง - ดูแลศาสนสถาน

    บ้างมีหน้าที่เผยแผ่สั่งสอนสาธุชน

    และบ้างก็เป็นกำลังของกองทัพธรรม
    คือหน่วยเสบียงที่จะบำรุงเลี้ยงดูกองทัพ กองเสบียงนี้ท่าน
    คำนวณ มามาก มีหน้าที่เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ผู้ใจบุญ


    กองทัพเดินด้วยท้อง ฉะนั้นหน่วยนี้สำคัญมาก
    หลวงพ่อจึงสอนให้ รู้จักนำพาผู้คนอยู่ในบุญในกุศล รู้จักการ
    ปฏิบัติธรรม และรู้จักยึดมั่นอยู่ในคุณพระศรีรัตนตรัย เพื่อเขา
    เหล่านั้นจะได้เป็นกำลังสำคุญแห่งงาน ศาสนจักร อาณาจักร
    พุทธจักร มรรคผล นิพพาน สืบต่อไป

    ในสมัยหลวงพ่อสอนวิชชาธรรมกายให้กับลูกศิษย์
    ที่วัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
    เจริญรุ่งเรืองมาก ผลการปฏิบัติที่ก้าวหน้า เด่นชัดของลูก
    ศิษย์ ทำให้ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งในและนอก
    ประเทศ หันมาสนใจพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจัง ทั้งด้าน
    สมถะและวิปัสสนากรรมฐาน

    ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพไปไม่นาน ท่านได้
    เรียกประชุมลูกศิษย์ทั้งหมด และสั่งว่า.......

    ถ้าหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว
    ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันสั่งสอนการปฏิบัติธรรม
    วิชชาธรรมกายนี้สืบไป ไม่ย่อท้อ จนกว่าจะสิ้นชีวิต
    เพราะว่ายังมีธาตุธรรมประเภทเดียวกันกับเรา
    กำลังจะตามมาอีกเป็นระลอก ที่ 2
    ธาตุรรมเหล่านี้มากันเป็นหมู่คณะใหญ่ทีเดียว
    เขาจะเป็น กำลังให้พระศาสนา


    หลวงพ่อสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักนำผู้คนอยู่ในบุญใน
    กุศล ให้ผู้คนรู้จักทำทาน ทั้งด้วยกำลังกายและกำลังทรัพย์
    ให้รู้จ้กเลือกผู้ที่จะทำบุญด้วย ให้ผู้คนรู้จักรักษา มนุษย์
    สมบัติ มนุษย์อยู่อาศัยกันเป็นสังคมหมู่ ต้องมีบิดา
    มารดา ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทมิตรสหาย สามีภรรยา บุตร
    บริวาร ที่เรามักเรียกว่า"พรรคพวก" มีพรรคมีพวก คนที่จะมี
    พรรคมีพวกได้นั้นต้องประกอบกรรมดีร่วมกันมาแล้ว หลวงพ่อ
    สอนว่าถ้าเห็นคนดี ๆ ทำบุญ บริจาคทานกันละก็ ให้พยายาม
    ไปร่วมกับเขา ไม่จำเป็นต้องร่วมด้วยเงิน เพราะคนบางคนเขา
    ก็มีทรัพย์สินเงินทองเหลือเฟือ เขาไม่ต้องการเงิน แต่เขาต้อง
    การให้มีคนมาช่วยงาน เราก็ไปช่วยด้วยแรง เพื่อภพชาติต่อ
    ไปจะได้มีพรรคมีพวกที่เป็นคนดี ๆ

    การจะมีมนุษย์สมบัติดีนั้น ก็เป็นด้วยเหตุ 2 ประการ คือ

    1.ปุพฺเพกตปุญญตา การทำบุญร่วมกันมาในอดีตชาติ

    2.การร่วมบุญกันใหม่ การได้ร่วมสังสรรค์ร่วมแรงร่วมใจในภพ
    ชาติปัจจุบัน

    มนุษย์สมบัติเมื่อมีแล้วก็ต้องรู้จักรักษาให้ยืนยงต่อไป ด้วย
    สังคหวัตถุ 4 หมายถึงธรรมอันเป็นเครื่อง
    สงเคราะห์กัน 4 ประการ ได้แก่

    ทาน คือ การแบ่งปันทรัพย์สิน สิ่งของต่าง ๆ
    การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

    ปิยวาจา คือ การพูดจาไพเราะอ่อนหวานด้วยจริง
    ใจ ปราศจากโทษ

    อัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ต่อกัน

    สมานัตตา คือ ความเป็นผู้เสมอต้นเสมอ
    ปลาย ความไม่ถือตัว การวางตนเหมาะสมแก่ฐานะ

    นอกจากนี้แล้วยังต้องเป็นบุคคลที่รู้จักการเสียสละ รู้จักอดทน
    สังคหวัตถุ 4 นี้ เป็นสิ่งสำคัญมากในสังคมมนุษย์
    บุคคลใดถึงพร้อมด้วยธรรม 4 ประการนี้ ย่อมเป็นที่รัก
    ที่เคารพยำเกรง ของผู้คนทั่วไป บุคคลนั้นได้ชื่อว่า
    เป็นผู้รู้จักรักษามนุษย์สมบัติ

    ข้าพเจ้าจึงก่อกำเนิดกลุ่มปฏิบัติธรรมย่อย ๆ กลุ่ม
    เล็ก ๆ ขึ้นเป็นหนุ่มสาวผู้ร่วมงาน ต่างร่วมแรงร่วมใจจัดงาน
    บุญกันอย่างบันเทิง ทุกเวลาที่พอจะทำได้ จะทำบุญ ทำ
    สังฆทาน จัดผ้าป่า กฐิน เป็นที่สนุกสนานเบิกบานใจในกอง
    บุญกองกุศลกันทั่ว

    เมื่อมีวันหยุดสุดสัปดาห์ติดต่อกันจะเดินทางไป
    ต่างจังหวัด ตามวัดต่าง ๆ ระหว่างเดินทางข้าพเจ้าก็ได้อาศัย
    ป่าเขา ลำเนาไพรฝึกหัดทดลองวิชชา จึงทราบว่า..

    อำนาจจิตนี่ยิ่งใหญ่มหาศาล สมกับคำที่ว่า



    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน
    ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ

    เป็นฉะนี้แล สิ่งเหล่านี้ก็ได้ตอกย้ำให้ทุกท่านที่ได้มาสัมผัส
    วิชชาที่ฝึกหัด ยึดมั่นและศรัทธาในคุณพระศรีรัตนตรัยและ
    ในอานุภาพของวิชชา ธรรมกายยิ่งขึ้นเหมือนดังคำสอนของ
    พระเดชพระคุณท่านที่ว่า

    รักษ์ร่าง พอสร่างร้าย รอดตน
    ยอดเยี่ยม ธรรมกาย ผลผ่องแผ้ว
    เลอเลิศ ล่วงกุศล ใดอื่น
    เชิญท่านถือเอาแก้ว ก่องหล้า เรืองสกล
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    กัลยาณมิตรธรรม : พระราชญาณวิสิฐ - กัลยาณมิตรธรรม



    ธรรมบรรยายโดย พระเทพญาณมงคล
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    คติธรรมโดย พระเทพญาณมงคล ขอบคุณหนังสือ "๑๐๘ มงคลธรรม ๑๑๗"




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    บทที่ 15 If you do not know where you are going,
    You will end nowhere.








    2530

    เมื่อผ่านพ้นวิกฤตกาลเรื่องลูกชายแล้ว เหตุการณ์
    ความทุกข์ยากต่าง ๆ ทำให้ข้าพเจ้าได้คิดว่า เมื่อมีความมุ่งมั่น
    จะทำมรรคผลนิพพาน ข้าพเจ้าจำต้องมีพาหนะ คือ เรือ
    ที่จะนำพาข้าพเจ้าข้ามทะเลโอฆะ เมื่อถึงฝั่งแล้วค่อยสละเรือ
    เพื่อขึ้นสู่ฝั่งพระนิพพาน ซึ่งหมายถึงการสร้างบุญสร้างกุศล
    ข้าพเจ้าควรจะตั้งใจปฏิบัติธรรม อย่างจริงจัง มิใช่รอแต่จะให้
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อมาคอยป้อน ธรรมะ - วิชชา เหมือน
    เด็ก ๆ ที่ถูกบังคับให้ไปเรียนหนังสือ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์
    อย่างแท้จริงทั้งแก่ตนเองและแม้กระทั่งผู้อื่น

    คิดได้เช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงกราบทูลหลวงพ่อไปว่า

    "ลูกจะพยายามฝึกฝน อดทน ฟันฝ่า ทำความสำเร็จ
    แห่งชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยตัวของลูกเอง"

    ประสพการณ์ชีวิต สอนข้าพเจ้าว่า

    ความสำเร็จ เป็นเรื่องการเสาะหา ไม่ใช่เกิดมาเป็น
    เป็นเรื่องของการต่อสู้ ไม่ใช่นั่งดูดวง
    เป็นเรื่องการฟันฝ่า ไม่ใช่ฟ้าบันดาล
    เป็นเรื่องความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่โชคช่วย
    เป็นเรื่องการฝึกฝน ไม่ใช่บุญหล่นทับ
    เป็นเรื่องความสามารถ ไม่ใช่วาสนา
    เป็นเรื่องพรแสวง ไม่ใช่พรสวรรค์

    ฉะนั้นสิ่งแรกที่ข้าพเจ้าคิด คือการเข้าไปสมัครเป็นลูก
    ศิษย์ของครูบาอาจารย์ ที่สอนวิชชาธรรมกายที่วัดปากน้ำ
    (ภาษีเจริญ) ด้วยความคิดว่า.. ตนจะได้เป็นศิษย์ที่มีครู
    เป็นตัวตน มิใช่หลวงพ่อท่านที่มรณภาพไปก่อนแล้ว
    เดี๋ยวใครจะหาว่าข้าพเจ้ากล่าวแอบอ้าง

    รุ่งขึ้นข้าพเจ้าจึงจัดเตรียมธูปเทียนแพรใส่พานทอง
    2 ชุด ชุดหนึ่งเพื่อกราบสักการะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัด
    ปากน้ำ อีกชุดหนึ่งเพื่อกราบไหว้ครูที่วัด เมื่อถึงวัด ฯ และ
    เสร็จจากการกราบ หลวงพ่อท่านเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็เที่ยว
    ถามคนโน้นคนนี้ว่า มีผู้ใดสอนวิชชาธรรมกาย เขาก็แนะนำ
    ครูบาอาจารย์ทั้งพระภิกษุและแม่ชี ข้าพเจ้ารีบจัดแจงเข้าไป
    กราบตามกุฏิและห้องพักเขาเหล่านั้น

    แปลกแต่จริง ไม่มีผู้ใดรับข้าพเจ้าเป็นศิษย์สักท่าน
    หนึ่ง ทั้ง ๆ ที่มีผู้ปฏิบัติธรรมนั่งกันเต็มห้อง แต่มีข้าพเจ้าเพียง
    คน เดียวที่ถูกเชิญ ให้ออกไปนั่งเองที่หอหลวงพ่อ ไม่เว้นแม้
    แต่นายกสมาคมศิษย์หลวงพ่อ ฯ

    ข้าพเจ้ารู้สึกน้อยใจมาก หันซ้ายหันขวา คิดไม่ตก
    ว่าจะจัดการกับ ธูปเทียนแพอีกชุดอย่างไร พลันสายตามอง
    ข้ามฝั่งน้ำไปเห็นอีกวัดหนึ่ง จึงเดินเลียบประตูน้ำข้ามไป
    วัดประดู่ฉิมพลี ขึ้นไปเห็นรูปหล่อพระแม่กวนอิม
    จึงลงกราบว่า........

    "พระแม่คะ วัดโน้นไม่มีใครยอมรับพานของลูก
    ลูกขอถวายพระแม่แทนแล้วกัน"

    เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็เดินกลับมาที่วัดปากน้ำอีกเพื่อ
    กราบลาหลวงพ่อ ระหว่างทางหน้าตึกหอขาว เดินสวนทางกับ
    พระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งท่านก็เดินผ่านไปแล้ว กลับเดิน
    ย้อนกลับมาหาข้าพเจ้าพร้อมถามขึ้นว่า

    "โยม... ผู้หญิงกับผู้ชายต่างกันตรงไหน"

    "ผู้หญิงบวชได้แต่ใจ ผู้ชายบวชทั้งกายและใจค่ะ"
    ข้าพเจ้าตอบท่านไป

    "ดี เมื่อเข้าใจเช่นนี้ จงกลับไปตั้งใจปฏิบัติ
    อย่าดื้อ เพราะโยมมีครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐที่สุดแล้ว"

    ข้าพเจ้าถามกลับไปอย่างสงสัยว่า

    "ท่านหมายความว่าอย่างไรคะ"

    "วันนี้โยมมาวัดเพื่ออะไร มาหาครูบาอาจารย์
    แล้วไม่มีใครรับโยม โยมรู้ไหมว่าทำไม"

    ข้าพเจ้าส่ายหัวแทนคำตอบ

    "โยมมีครูบาอาจารย์ที่ใครจะหาได้ ขอเพียง
    ตั้งใจปฏิบัติ ต่อไปโยมจะรู้เองว่า อาณาจักรแห่งวิชชา
    ธรรมกายเป็นเช่นไร ถ้าโยมได้ครูที่ผิด ๆ จะทำให้หลงทาง
    เสียเวลา และอาจเสียงานด้วย กลับไปตั้งใจปฏิบัติเองเถอะ"

    "ท่านทราบ งั้นท่านรับดิฉันเป็นศิษย์ได้ไหมคะ"

    "ไม่ได้หรอก แต่หากจะสนทนาธรรม
    ซักถามข้อข้องใจในธรรมะใด ๆ ก็เชิญ"

    แล้วพระสงฆ์ท่านนั้นก็เดินเข้าไปทางตึกเนกขัมมะ
    ลับสายตาไป

    ข้าพเจ้าจึงกลับบ้านไปด้วยกำลังใจที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติ
    ธรรม หาความสำเร็จด้วยตนเอง ไม่มีครูบาอาจารย์ที่มีตัวตน
    อยู่ ก็ไม่เป็นไร

    ข้าพเจ้าบูชาบัดนี้ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    (ภาษีเจริญ) ขอให้ข้าพเจ้าทรงไว้ซึ่งอำนาจสิทธิความ
    สำเร็จกิจทั้งทางโลกและทางธรรม แห่งพุทธศาสนาวิชชา
    ธรรมกาย มรรคผล นิพพาน ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว

    ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เดินผิดทาง หลงทาง
    ขอหลวงพ่อประทานเส้นทาง ที่ถูกที่ควร ถูกมรรค ถูกผล
    แก่ข้าพเจ้าตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    ตอบปัญหาธรรม เรื่อง

    1. สวดมนต์ไม่สม่ำเสมอทุกวัน ได้บุญไหม?
    2. ให้ทานบุคคลที่ทำเป็นกระบวนการไม่ใช่ขอทานจริง สมควรให้ไหม?
    3. วิธีหนีกรรม ไม่ให้ตามเราทันทำอย่างไร?
    พระเทพญาณมงคล - สวดมนต์บ้างหยุดบ้าง ได้บุญไหม




    ธรรมบรรยายโดย พระเทพญาณมงคล
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    คติธรรมโดย พระเทพญาณมงคล ขอบคุณหนังสือ "๑๐๘ มงคลธรรม ๕๓"




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    [​IMG]


    พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ



    คัดมาบางส่วนจาก
    กัณฑ์ที่ ๑ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ




    ขันธ์ ๕ เป็นชื่อของอุปาทาน ถ้าปล่อยขันธ์ ๕ หรือวางขันธ์ ๕ ไม่ได้ก็พ้นจากภพไม่ได้ คงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภาพ รูปภพ อรูปภพ นี้เอง มืดมนวนอยู่ในที่มืด คือโลกนี้เอง ได้ในคำว่า อนฺธภูโต อยํ โลโก ซึ่งแปลว่า โลกนี้น่ะมืด ผู้แสวงหาโมกขธรรม ถ้ายังติดขันธ์ ๕ อยู่แล้ว ยังจะพบโมกขธรรมไม่ได้เป็นอันขาด กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม เหล่านี้อยู่ในพวกมีขันธ์ ๕ กล่าวคือ มนุษย์ เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม เหล่านี้อยู่ในพวกมีขันธ์ ๕ สัตว์ดิรัจฉาน สัตว์นรกก็พวกมีขันธ์ ๕ พวกมืดทั้งนั้น ยิ่งในโลกันตนรก เรียกว่า มืดใหญ่ทีเดียว

    วิชชาที่ว่านี้หมายเอา วิชชา ๓ คือ ๑ วิปัสสนาวิชชา ๒ มโนมยิทธิวิชชา ๓ อิทธิวิธิวิชชา แต่ถ้านับรวมตลอดถึงอภิญญา ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของวิชชาเข้าด้วยกันแล้วรวมกันเป็น ๘ คือ ๔ ทิพพจักขุวิชชา ๕ ทิพพโสตวิชชา ๖ ปรจิตตวิชา ๗ ปุพเพนิวาสวิชชา ๘ อาสวักขยวิชชา

    ส่วนจรณะ นั้น มี ๑๕ คือ ๑ ศีลสังวร ๒ อินทรียสังวร ๓ โภชเน มัตตัญญุตา ๔ ชาคริยานุโยค ๕ สัทธา ๖ สติ ๗ หิริ ๘ โอตตัปปะ ๙ พาหุสัจจะ ๑๐ อุปักกโม ๑๑ ปัญญา กับรูปฌาน ๔ จึงรวมเป็น ๑๕

    วิปัสสนา ต่อไปนี้จักแสดงถึงวิชชา และจะยกเอา วิปัสสนาวิชชา ขึ้นแสดงก่อน "วิปัสสนา" คำนี้ แปลตามศัพท์ เห็นแจ้ง เห็นวิเศษ หรือนัยหนึ่งว่าเห็นต่างๆ เห็นอะไร? เห็นนามรูป, แจ้งอย่างไร? แจ้งโดยสามัญลักษณะว่าเป็นของไม่เที่ยง เต็มไปด้วยทุกข์ และเป็นอนัตตา ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา มีข้อสำคัญที่ว่า เห็นอย่างไร? เป็นเรื่องแสดงยากอยู่ เห็นด้วยตาเรานี่หรือเห็นด้วยอะไร? ตามนุษย์ไม่เห็น ต้องหลับตาของมนุษย์เสีย ส่งใจไปจดจ่ออยู่ที่ศูนย์ดวงปฐมมรรค เห็น จำ คิด รู้ มีอยู่ในดวงปฐมมรรคนั้น ตากายทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหมไม่เห็น ก็เพราะว่าพวกเหล่านี้ยังไม่พ้นโลก เสมือนลูกไก่อยู่ในกระเปาะไข่ จะให้แลลอดออกไปเห็นข้างนอกย่อมไม่ได้ เพราะอยู่ในกระเปาะของตัว เพราะโลกมันบัง ด้วยเหตุว่าโลกมันมืดดังกล่าวมาแล้วข้างต้น พวกเหล่านี้จึงไม่สามารถจะเห็น กล่าวคือ พวกที่บำเพ็ญได้จนถึงชั้นรูปฌาน และอรูปฌาน ก็ยังอยู่ในกระเปาะภพของตัว ยังอยู่จำพวกโลก หรือที่เรียกกันว่า ฌานโลกีย์ ยังเรียกวิปัสสนาไม่ได้ เรียกสมถะได้ แต่อย่างไรก็ดี วิปัสสนาก็ต้องอาศัยทางสมถะเป็นรากฐานก่อนจึงจะก้าวขึ้นสู่ชั้นวิปัสสนาได้
    การบำเพ็ญสมถะนั้น ส่งจิตเพ่งดวงปฐมมรรคอยู่ตรงศูนย์ คือ กึ่งกลางกายภายในตรงกลางพอดี ไม่เหลื่อมซ้ายขวาหน้าหลัง แล้วเลื่อนสูงขึ้น ๒ นิ้ว เมื่อถูกส่วนก็จะเห็นกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมเป็นชั้นๆ ซ้อนกันอยู่ภายในตามลำดับจากกายมนุษย์เข้าไป พิจารณาประกอบธาตุธรรมถูกส่วนรูปจะกะเทาะล่อนออกจากกัน เห็นตามลำดับเข้าไป กายมนุษย์กะเทาะออกเห็นกายทิพย์ กายทิพย์กะเทาะออกเห็นกายรูปพรหม กายรูปพรหมกะเทาะออกเห็นกายอรูปพรหม ในเมื่อประกอบธาตุธรรมถูกส่วน วอกแวกไม่เห็น นิ่งหยุดจึงเห็น หยาบไม่เห็น ละเอียดจึงเห็น อาตาปี สัมปชาโน สติมา ประกอบความเพียรมั่นรู้อยู่เสมอไม่เผลอ เพียงแต่ชั้นกายทิพย์เท่านั้นก็ถอดส่งไปยังที่ต่างๆ ได้ ไปรู้ไปเห็นเหตุการณ์ได้เหมือนตาเห็น คล้ายกับนอนหลับฝัน แต่นี่ไม่ใช่หลับเห็นทั้งตื่นๆ การนอนคนธรรมดาสามัญจะหลับเมื่อไรไม่รู้ จะตื่นเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าถึงชั้นกายทิพย์แล้ว จะต้องการให้หลับเมื่อไร จะให้ตื่นเมื่อไรทำได้ตามใจชอบ พวกฤาษีที่ได้บำเพ็ญฌานเขาก็ทำได้ แต่ทั้งนี้ก็อยู่ในขั้นสมถะนั้นเอง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ก็ได้เรียนฌานมาแล้วจากในสำนักฤาษี กล่าวคือ อาฬารดาบสและอุทกดาบสก็ได้ผลเพียงแค่นั้น พระองค์เห็นว่ายังมีอะไรดียิ่งกว่านั้น จึงได้ประกอบพระมหาวิริยะบำเพ็ญเพียรต่อไป จนในที่สุดพระองค์ได้บรรลุวิปัสสนาวิชชา เมื่อถึงขั้นนี้แล้วจึงมองเห็นสามัญลักษณะ เห็นนามรูปด้วยตาธรรมกาย เพราะพระองค์ทะลุกระเปาะไข่ คือ โลกออกมาได้แล้ว

    พระองค์เห็นโลกหมดทั่วทุกโลก ด้วยตาธรรมกาย พระองค์รู้ด้วยฌานธรรมกาย ผิดกว่าพวกกายทิพย์ รูปพรหมและอรูปพรหมเหล่านั้นเพราะพวกเหล่านั้นรู้ด้วยวิญญาณ แต่พระองค์รู้ด้วยญาน จึงผิดกัน สภาพเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่พระองค์รู้เห็น แต่ไม่ใช่รู้ก่อนเห็น พระองค์เห็นก่อนรู้ทั้งสิ้น

    การเห็นรูปด้วยตามนุษย์ อย่างเช่นพระยสะกับพวกไปพบซากศพและช่วยกันเผา ขณะเผาได้เห็นศพนั้นมีการแปรผันไปต่างๆ เดิมเป็นตัวคนอยู่เต็มทั้งตัว รูปร่าง สี สัณฐานก็เป็นรูปคน ครั้นถูกความร้อนของไฟเผาลน สีก็ดำต่างแปรไป ดำจนคล้ายตะโก หดสั้นเล็กลงทุกทีๆ แล้วแขนขาหลุดจากกัน จนดูไม่ออกว่าเป็นร่างคนหรือสัตว์ ไม่เพียงเท่านั้น ครั้นเนื้อถูกไฟกินหมดก็เหลือแต่กระดูกเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย ในที่สุดกระดูกเหล่านั้นแห้งเปราะแตกจากกันล้วนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนดูไม่ออกว่าเป็นกระดูกสัตว์หรือกระดูกมนุษย์พระยสะปลงสังเวชถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แห่งสังขารร่างกายที่เป็นซากศพนั้น แม้กระนั้นก็ยังไม่ทำให้บรรลุมรรคผล จนกว่าจะได้ไปพบพระพุทธเจ้าจึงบรรลุมรรคผล นี่ก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า เห็นด้วยตามนุษย์ ไม่ทำให้บรรลุมรรคผลได้ อย่างมากก็เป็นเพียงปัจจัย เพื่อจะให้บรรลุมรรคผลเท่านั้น การเห็นด้วยตาทิพย์ตารูปพรหม และอรูปพรหมก็เช่นเดียวกัน เป็นเพียงปัจจัยเพื่อให้บรรลุมรรคผลเท่านั้น ต้องเห็นด้วยตาธรรมกาย จึงจะบรรลุมรรคผลได้

    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่า เบญจขันธ์ คือ ขันธ์ ๕ รูปจะกล่าวในที่นี้ เฉพาะรูปหยาบๆ คือสิ่งซึ่งธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันเข้า รวมกันเป็นก้อนเป็นชิ้น เป็นอัน แลเห็นด้วยตา เช่นร่างกายมนุษย์และสัตว์ ที่เรียกว่ารูปเพราะเหตุว่าเป็นของซึ่งย่อมจะต้องแตกสลายไปด้วยเหตุต่างๆ มีหนาวและร้อนเป็นต้น กล่าวคือ หนาวจัด เย็นจัด จนเกินขีด หรือถูกร้อนจนเกินขีดย่อมแตกสลายไป แต่ถ้าแยกโดยละเอียดแล้ว รูป นี้มีหลายประเภทด้วยกัน เช่น อุปาทายรูปเป็นต้น แต่ว่าจักยังไม่นำมาแสดงในที่นี้การพิจารณาโดยสามัญลักษณะ พิจารณาไปๆ ละเอียดเข้าซึ้งเข้าทุกที จนเห็นชัดว่านี่มิใช่ตัวตน เรา เขา อะไรสักแต่ว่าธาตุประชุมตั้งขึ้นแล้วก็ดับไปตาธรรมกายนั้นเห็นชัดเจน เห็นเกิดเห็นดับติดกันไปทีเดียว คือ เห็นเกิดดับๆๆๆ คู่กันไปทีเดียว ที่เห็นว่าเกิดดับๆ นั้นเหมือนอะไร เหมือนฟองน้ำ เหมือนอย่างไร เราเอาของฝาด เช่น เปลือกสนุ่นมาต้มแล้วรินใส่อ่างไว้ ชั้นต้นจะแลเห็นเป็นน้ำเปล่าๆ ต่อมาเมื่อเอามือแกว่งเร็ว ๆ อย่างที่เขาเรียกว่าฟองน้ำ ดูให้ดีจะเห็นในฟองน้ำนั้นมีเม็ดเล็กๆ เป็นจำนวนมากติดต่อกันเป็นพืดรวมกัน เรียกว่า ฟองน้ำ เราจ้องดูให้ดีจะเห็นว่าเม็ดเล็กๆ นั้นพอตั้งขึ้นแล้วก็แตกย่อยไปเรื่อยๆ ไม่อยู่นานเลย นี่แหละเห็นเกิดดับๆ ตาธรรมกายเห็นอย่างนี้ เห็นเช่นนี้จึงปล่อยอุปาทานได้

    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอีก ๔ กองนั้นก็ทำนองเดียวกันเห็นเกิดดับๆ ยิบไป เช่นเดียวกับเห็นในรูป ทุกข์เป็นของมีและขึ้นประจำกับขันธ์ ๕ เป็นของธรรมดา แต่ที่เราเดือดร้อนก็เป็นเพราะไปขืนธรรมดาของมันเข้า ขันธ์ ๕ เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ย่อมแปรผันไปตามธรรมดาของมัน เกิดแล้วธรรมดามันก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เมื่อมันถึงคราวแก่ เราไม่อยากจะแก่หรือไม่ยอมแก่ อาการของมันที่แสดงออกมามีผมหงอกเป็นต้น ถ้าเราขืนมัน ตะเกียกตะกายหายาย้อมมันไว้ นี่ว่าอย่างหยาบๆ ก็เห็นแล้วว่าเกิดทุกข์แล้วเกิดลำบากแล้ว ถ้าเราปล่อยตามเรื่องของมันก็ไม่มีอะไรมาเป็นทุกข์

    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ทำนองเดียวกัน ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะขืนมัน ขืนธรรมดาของมัน สิ่งไม่เที่ยงจะให้เที่ยง สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนก็ยังขืนยึดว่าเป็นตัวตน เหตุที่ให้ขืนธรรมดาของมันเช่นนี้ อะไร? อุปาทาน นั่นเอง ถ้าปล่อยอุปาทานได้ การขืนธรรมดาก็ไม่มี ตามแนวที่ประปัญจวัคคีย์ตอบกระทู้ถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสถามว่าเมื่อมันมีอาการแปรผันไป เป็นธรรมดาแก่ เจ็บ ตาย เช่นนี้แล้วเบญจขันธ์นี้จะเรียกว่าเป็นของเที่ยงไหม? ตอบว่าไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงแล้วเป็นทุกข์หรือเป็นสุข? ตอบว่าเป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเช่นนั้นควรละหรือจะยึดเป็นตัวตน? ไม่ควรพระพุทธเจ้าข้า
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    อานุภาพของ “จักรแก้ว” (รัตนะ ๗ ของพระจักรพรรดิ)




    ตอนที่ ๑

    (จากประสบการณ์ของ...ผู้เจริญภาวนาวิชชาธรรมกาย)




    ..... วันหนึ่งท่านอาจารย์ได้เดินทางโดยรถยนต์กลับจาก จ.ราชบุรี โดยมีบุตรเขยเป็นคนขับให้
    ขณะรถวิ่งมาตามถนนพระราม ๒ ใกล้จะถึงสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน
    ได้มีรถบรรทุก ๑๐ ล้อคันหนึ่ง บรรทุกทรายมาเต็มคันรถ กำลังขับมุ่งหน้าไปทางกรุงเทพ
    ขณะที่รถบรรทุกกำลังขึ้นแล้วลงจากคอสะพาน
    โดยที่รถยนต์ของท่านอาจารย์กำลังวิ่งตามมาห่างๆ

    ท่านอาจารย์ได้เห็น (ด้วยญาณของพระธรรมกาย) ว่า.....

    มี “รากษส” ตัวใหญ่คล้ายยักษ์ตนหนึ่ง
    ยืนรออยู่ข้างถนนด้านซ้าย ห่างจากคอสะพานไปประมาณ ๒๐ เมตร
    บันดาลลม (เป่าลม) ไปทางรถบรรทุกคันนั้น ด้วยหวังให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
    เพื่อให้คนขับรถบรรทุกตาย หรือ บาดเจ็บเลือดตกยางออก
    แล้ว “รากษส” นั้น...จะได้เข้าไปกินเลือดกินเนื้อ

    เมื่อ “รากษส” พ่นลม...ทำให้รถบรรทุกคันนั้นเสียการทรงตัว
    แล่นลงจากคอสะพานเหมือนงูเลื้อย แล้วก็พลิกคว่ำลงข้างทาง
    โดยมีรถที่ท่านอาจารย์นั่งอยู่วิ่งตามหลังมา

    ตามปกติแล้ว เมื่อท่านอาจารย์นั่งอยู่ในรถ
    ท่านจะเจริญภาวนา อธิษฐานปาฏิหาริย์ “จักรแก้ว” จากศูนย์กลาง “พระธรรมกาย”
    ให้คุ้มครองแก่ผู้ที่ร่วมเดินทางมากับรถที่ท่านนั่งอยู่ด้วยเสมอ

    เมื่อ”รากษส” ที่ยืนพ่นลมอยู่นั้น
    เห็น “จักรแก้ว” ที่กำลังหมุนอยู่โดยรอบรถยนต์ของท่านอาจารย์...เพื่อป้องกันภัยอันตราย
    ทำให้ “รากษส” เกิดความหวาดกลัว และหยุดพ่นลม....

    ขณะที่รถยนต์ที่ท่านอาจารย์นั่งอยู่กำลังแล่นผ่านไป
    ท่านได้หันกลับไปดูรถบรรทุกที่คว่ำลงข้างทางนั้น
    ท่านมองเห็นคนขับรถบรรทุก กำลังคลานออกมาจากที่นั่ง...โดยปลอดภัย
    ทำให้ท่านรู้สึกโล่งใจ ที่คนขับรถบรรทุกปลอดภัย...จากการทำอันตรายของ “รากษส” นั้น





    *** เรียบเรียงบางตอนจาก
    บทความเรื่อง วิธีเจริญภาวนาดูความเป็นไปของสัตว์โลกในกามภพ
    จากหนังสือ สมถวิปัสสนาภาวนา ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ถึงธรรมกายและพระนิพพานของพระพุทธเจ้า
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    [​IMG]



    อุปกิเลส 11 ข้อ

    คำชี้แจงก่อนปฏิบัติภาวนา

    การปฏิบัติสมถวิปัสสนาวิชชาธรรมกาย ซึ่งดำเนินตามแนว
    ทางการเสด็จไปของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุก ๆ
    พระองค์ ทางนี้ทางเดียว ไม่มีสองทาง อันถูกต้องร่องรอย
    ความประสงค์ในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มีผู้ศึกษาและ
    ปฏิบัติทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา แพร่หลายไป
    ทั่วประเทศไทย ซึ่งต่างได้รับผลของการปฏิบัติยืนยันได้ด้วย
    ตัวของท่านเอง เรียกว่า สันทิฏฐิโก อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง
    ส่วนการที่จะทำเป็นหรือไม่นั้น เกี่ยวกับผู้ปฏิบัติจริงหรือไม่จริง
    ถ้าปฏิบัติจริงแล้วต้องเป็นทุกคน เพราะมนุษย์เราทั้งชายและ
    หญิงมีดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ เป็นดวงใสบริสุทธิ์เท่า
    ฟองไข่แดงของไก่ อยู่ที่ศูนย์กลางกายทุก ๆ คน ถ้ามนุษย์คน
    ใดเอาใจไปหยุดอยู่ที่ดวงธรรมนั้นให้มากที่สุดหรือนานที่สุด
    ต้องเป็นทุกคน ที่ไม่เกิด ไม่เป็น นั้นเพราะเหตุว่าใจไม่หยุด ตัว
    หยุดนี้แลเป็นตัวสำเร็จ

    ส่วนการที่ใจไม่หยุดนั้น เพราะมีอุปกิเลส 11 ข้อ ประจำอยู่
    อันเป็นเรื่องสำคัญที่จะเป็นหรือไม่เป็น ได้หรือไม่ได้บรรลุมรรค
    ผลมีดังนี้

    1. วิจิกิจฉา ความลังเลหรือความสงสัย
    2. อะมะนะสิการะ ความไม่สนใจไว้ให้ดี
    3. ถีนะมิทธะ ความท้อและความเคลิบเคลิ้มง่วงนอน
    4. ฉัมภิตัตถะ ความสะดุ้งหวาดกลัว
    5. อุพพิละ ความตื่นเต้นด้วยความยินดี
    6. ทุฏฐลละ ความไม่สงบกาย
    7. อัจจารัทธวิริยะ ความเพียรจัดเกินไป
    8. อะติลีนะวิริยะ ความเพียรย่อหย่อนเกินไป
    9. อะภิชัปปา ความอยาก
    10. นานัตตะสัญญา ความนึกไปในสิ่งต่าง ๆ เรื่องราวต่าง ๆ ที่
    เคยผ่านมา หรือจดจำไว้มาผุดขึ้นในขณะทำสมาธิ
    11. รูปานัง อะตินิชฌา ยิตัตตะ ความเพ่งต่อรูปหรือเพ่งนิมิต
    นั้นจนเกินไป

    เมื่ออุปกิเลสเหล่านี้แม้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่เราแล้ว
    สมาธิของเราก็เคลื่อนไป เพราะอุปกิเลสเหล่านี้เป็นต้นเหตุ
    ฉะนั้นในการบำเพ็ญภาวนาเราต้องใช้ความเพียร ความอดทน
    ทั้งสองข้อนี้เป็นข้อสำคัญยิ่ง และคอยประคองคุมสติไว้ไม่ให้
    เผลอ ใช้ปัญญาสอดส่องดูว่า วิธีใดที่จะทำให้อุปกิเลสเหล่านี้
    เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็จะทำใจไว้โดยวิธีนั้น จงวางใจของเราไว้ให้
    เป็นกลาง ๆ คือ มัชฌิมาปฏิปทา ให้อุเบกขา อย่ายินดียินร้าย
    ให้พยายามละจากความโลภ ความโกรธ ความหลง จงทำใจ
    ของเราให้ใสเป็นแก้ว ให้เยือกเย็น ให้แช่มชื่น ให้ถูกส่วนเป็น
    สมาธิแน่วแน่ เอาใจจดอยู่ที่ดวงนิมิต ที่ศูนย์กลางกายนั้นให้
    มากที่สุด ต้องทำสม่ำเสมอ ทำเนือง ๆ ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะ
    นั่ง นอน เดิน ยืน ทำเรื่อยไปอย่าหยุด อย่าละ อย่าทอดทิ้ง
    อย่าท้อแท้ มุ่งรุดหน้าเรื่อยไป ผลจะเกิดสักวันหนึ่งไม่ต้อง
    สงสัย ผลเกิดอย่างไร ท่านรู้ได้ด้วย ตัวของท่านเอง

    อนึ่ง ในการเจริญภาวนานี้
    ให้ทุกท่านจงประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก
    เพราะเป็นมหัคคตกุศล หรือ มหากุศลอันยิ่งใหญ่ไพศาล
    เป็นทางมรรคผล นิพพาน
    ถึงแม้ไม่ได้เห็นอะไร
    ก็จะเป็นอุปนิสัยติดตัวไปในสัมปรยภพเบื้องหน้า
    ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์ มานะ วิริยะ บำเพ็ญเพียร
    ให้บังเกิดมรรคแลผล
    เพราะเป็นวิชชาที่ช่วยและเป็นที่พึ่งของตนเองได้อันเที่ยงแท้
    อย่าได้เคลือบแคลงสงสัยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย
    ให้ทุกท่านจงมีแต่ความสวัสดิพิพัฒน์มงคล
    และสัมฤทธิ์ผลดังมโนรถปรารถนา
    ให้นำทางแห่งมรรคผลนี้ไปประพฤติ
    และ ปฏิบัติโดยทั่วกันจงทุกประการ ฯ

    รักษ์ร่างพอสร่างร้าย รอดตน
    ยอดเยี่ยม “ธรรมกาย” ผล ผ่องแผ้ว
    เลอเลิศล่วงกุศล ใดอื่น
    เชิญท่านถือเอาแก้ว ก่องหล้าเรืองสกล

    พระมงคลเทพมุนี
    ( สด จนฺทสโร )
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    บทที่ 16 In your great mercy, you gave me new life
    and filled me with a living hope.





    2530

    วันนั้นข้าพเจ้าไปโรงเรียนอัสสัมชัญ (เซนต์หลุยส์)

    "บราเดอร์คะ, ขออนุญาตลาหยุดเรียนให้ลูกชายอยู่ชั้น
    ป.2 ค่ะ เด็กป่วยเป็นไข้ตัวร้อนมาก"

    บราเดอร์ผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมกล่าวเตือนข้าพเจ้า
    อย่างหวังดี

    "คุณแม่ต้องรีบพาไปพบแพทย์นะครับ เพราะว่ามีเด็กป่วยเป็น
    ไข้ไวรัสหลายคน แล้วไปติดคนที่บ้าน มีเด็กคนหนึ่งเป็นแล้ว
    ไปติดต่อให้คุณน้าของเด็ก ปรากฏว่าไวรัสขึ้นสมองตายไป
    แล้ว คุณแม่ต้องระวังผู้คนในบ้านด้วย"

    ข้าพเจ้ารับฟังอย่างไม่ใส่ใจ เพราะต้องรีบไปทำงานต่อ

    เมื่อพาลูกชายไปพบแพทย์ ปรากฏว่าเด็กป่วยเป็นไข้ไวรัส
    จะมีอาการไข้เป็นสัปดาห์ ข้าพเจ้าจึงให้พักการเรียน
    ข้าพเจ้าต้องคอยเช็ดตัวให้เพื่อกันเด็กชักเมื่ออาการไข้ขึ้นสูง
    เหตุที่ทุกคนนอนรวมในห้องเดียวกัน ลูกอีกสองคนรวมทั้ง
    พี่เลี้ยง ก็ป่วยเป็นไข้ไวรัสเช่นกัน ข้าพเจ้าต้องคอยเช็ดตัวให้
    คนโน้นคนนี้ ประกอบกับการงานที่บริษัท ฯ มีมาก ข้าพเจ้า
    กำลังพัฒนาระบบงาน เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ต้องจัดการ
    อบรมให้ความรู้แก่พนักงาน ตามแผนกต่าง ๆ อีกทั้งการ
    พักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

    ข้าพเจ้าเริ่มมีไข้ตัวร้อน จึงกินยาแก้ไข้เองโดยพละการ
    ไม่คิดว่าจะเป็นไข้ไวรัสเหมือนพวกเด็ก ๆ เมื่อกินยาไข้ก็ลด
    แต่พอหยุดยาก็เป็นไข้ต่ออีก อยู่เป็นสัปดาห์ เด็ก ๆ
    เริ่มหายไข้ คนโตกลับไปเรียนตามปรกติ เหลือคนเล็กที่มี
    อาการท้องเสีย เพราะไวรัสลงลำไส้ด้วย

    วันนี้ข้าพเจ้าจะปิดการสัมนาการพัฒนางานบุคคลที่
    โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่เช้ารู้สึกเอะใจว่าทำไมเสื้อผ้าคับไปหมด
    นึกว่าตนเองอ้วนขึ้น พอสัมนาไปได้สักครู่ข้าพเจ้ารู้สึกหนาว
    มาก สั่นสะท้านจนคณะผู้จัดสัมนา ต้องไปลดแอร์คอนดิชั่น
    ให้ แต่ข้าพเจ้าก็ยังหนาวสั่นและเริ่มหายใจขัด ๆ ทั้งกระโปรง
    ที่สวมใส่ก็คับจนต้องปลดซิปออก จึงสังเกตุเห็นว่าท้องบวม
    และผู้ร่วมสัมนาเห็นอาการข้าพเจ้าน่าวิตก จึงจัดการส่ง
    ข้าพเจ้าไป โรงพยาบาลพบแพทย์ห้องฉุกเฉิน

    นายแพทย์เวรบอกว่า ข้าพเจ้ามีอาการหัวใจล้มเหลว
    ต้องพบแพทย์เฉพาะทาง พรุ่งนี้เช้าจะให้นายแพทย์โรคหัวใจ
    มาตรวจละเอียด ข้าพเจ้านอนพักใน ห้อง I.C.U.
    และงุนงงมากว่า ทำไมหัวใจจึงล้มเหลว ทั้ง ๆ ที่ผ่าตัดหัวใจ
    มาแล้ว แต่งงาน มีบุตรสามคน สุขภาพแข็งแรงสบายดีมา
    ตลอด ไม่มีอาการโรคหัวใจ และไม่ได้กลับไปพบแพทย์โรค
    หัวใจแต่อย่างไรเลย

    ขณะที่ข้าพเจ้าใกล้จะหลับด้วยฤทธิ์ยาที่ได้รับ พลันมี
    เสียงก้องออกจาก ศูนย์กลางกายว่า..........

    "อย่านอน ให้ลุกขึ้นนั่งสมาธิ เดี๋ยวตาย"

    ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นมานั่งเจริญสมาธิตลอดทั้งคืนอย่างสุข
    ใจ รุ่งเช้า เมื่อข้าพเจ้าลืมตาออกจากสมาธิ มองไปรอบตัว
    เห็นฉากผ้าบังตาปิดล้อม เตียงของข้าพเจ้า มีสายตาเหล่า
    พยาบาลแอบดูข้าพเจ้าอยู่ห่าง ๆ เมื่อเห็นข้าพเจ้าขยับตัว
    จึงรีบเข้ามาเก็บฉากผ้าบังตาและพูดขึ้นว่า เตียงข้าพเจ้าส่อง
    แสงสว่างไปทั่วห้องทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เปิดไฟสักดวง เขาจึง
    เอาฉากมากั้นเพื่อมิให้แสงสว่างรบกวนผู้ป่วยเตียงอื่น ๆ
    ยิ่งเห็นข้าพเจ้านั่งสมาธิ พวกเขาเชื่อว่าข้าพเจ้าต้องมีอะไร
    ดีแน่ ไม่เช่นนั้นจะเกิดแสงสว่างทั่วเตียงได้อย่างไร ข้าพเจ้า
    เงียบ ไม่ตอบ พวกพยาบาลจึงพูดขึ้นว่า หากข้าพเจ้าสามารถ
    บรรลุธรรมใด ๆ ก็ตาม อย่าลืมมาโปรดพวกเขาบ้าง พร้อมทั้ง
    เอากระดาษมาจดรายชื่อพวกเขา และยื่นให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า
    ขอกลับบ้านเพราะเป็นห่วงบุตรคนเล็ก ที่มีอาการถ่ายท้องอยู่
    โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของพยาบาลว่าให้ รอพบแพทย์โรค
    หัวใจก่อน

    เมื่อกลับถึงบ้าน พบว่าเด็ก ๆ หายป่วยกันหมดแล้ว จึง
    เดินไปส่งลูก ๆ ขึ้นรถโรงเรียนที่มารับที่หน้าบ้าน แล้วหันหลัง
    กลับจะเดินเข้าบ้าน ไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะทำอะไร ก็มีเสียง
    ตะโกนก้องสนั่นจากศูนย์กลางกายว่า

    "ระวังขาดใจตาย"

    ข้าพเจ้าล้มฟาดลงชนถูกโต๊ะ สิ้นใจทันที ปรากฏเป็นดวง
    วิญญาณกลมใสลอยออกจากกายมนุษย์ พุ่งทยานออก
    จากกลางจอมกระหม่อม มีเส้นไหมเงินเล็ก ๆ (คือเส้นเกี่ยว
    วิญญาณ) เกี่ยวกับกายเนื้ออยู่ ดวงวิญญาณพุ่งเร็วมาก
    เห็นสามีภรรยาคู่หนึ่งแต่งกายชุดสีขาวล้วน กำลังไปงานบุญ
    ในความรู้สึกรู้ว่าตนจะไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีของสามีภรรยาคู่นี้
    ดวงวิญญาณพุ่งไปจะเข้าชนผู้สามี เพื่อรอการปฏิสนธิ

    "เฮ้ย !! อย่าเพิ่งเกิด เองยังตายไม่ได้"

    เสียงพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ตวาดดังก้อง
    ฉับพลันดวงวิญญาณของข้าพเจ้าก็ถูกดึงกลับ จากดวงกลม
    ๆ ถูกดึงยืด จนเหมือนดาวหางผีพุ่งใต้ คืนสู่ร่างกายเนื้อ
    ฟื้นขึ้นทันที จึงทราบว่าทางบ้านนำส่งโรงพยาบาลและ
    แพทย์ห้องฉุกเฉินแก้ไข ช่วยชีวิตข้าพเจ้าจนกลับมาหายใจ
    ต่อ และทราบว่าไวรัสเข้าหัวใจเสียแล้ว

    นับแต่นั้นมาเหมือนสวรรค์ล่ม ปฐพีกลบ ข้าพเจ้าได้
    แต่นอนหลับ รู้สึกอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรงใด ๆ เหลืออยู่เลย
    ข้าพเจ้าไม่หลับ ได้สติตลอดเวลา แต่ทำไมไม่มีแรงแม้
    กระทั่งจะลืมตาขึ้นมาพูดบ้าง หูได้ยินเสียง คณะแพทย์
    วินิจฉัยอาการโรคให้ทางบ้านฟังว่า ไวรัสเข้าหัวใจ ทำลาย
    กล้ามเนื้อหัวใจข้างขวาจนเซลตาย บางส่วนหลุดลอกออก
    มาอุดตันตามเส้นเลือด กล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว
    การทำงานสี่ห้องหัวใจบกพร่อง และลิ้นหัวใจ Mitral Valve
    รั่ว ข้าพเจ้าคงอยู่ได้อีกไม่กี่วันนี้ เสียงร่ำไห้เกิดขึ้น.........

    "นี่ข้าพเจ้ากำลังจะตายหรือนี่"

    เสียงคุณแม่ของข้าพเจ้าร้องไห้และพูดว่า.......

    "ลูกตายไม่ได้นะ เด็ก ๆ จะอยู่กับใคร
    ยังเล็กอยู่ ไม่มีใคร เลี้ยงลูกให้นะ"

    ข้าพเจ้าฉุกคิดถึงลูก ๆ จริงสิ !! เด็ก ๆ ยังเล็ก คนเล็กเพิ่ง
    สามขวบเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตอธิษฐานขึ้นว่า.......

    "ถ้าข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อ ดังที่หลวงพ่อว่ายังตายไม่ได้นั้น
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถลืมตาพูดได้สักครั้งเถอะ"

    บัดดลก็เกิดพละกำลังขึ้นจนสามารถลืมตาได้จริง ๆ ข้าพเจ้า
    จึงพูดกับ สามีของข้าพเจ้าที่ยืนเกาะข้างเตียงอยู่ว่า .......

    "ขอกลับบ้าน"

    แพทย์อนุญาตให้กลับ เพราะสุดจะเยียวยารักษา

    เมื่อกลับถึงบ้าน ข้าพเจ้าให้สามีนำตัวข้าพเจ้าวางนอน
    อยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ที่มีรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่
    ข้าพเจ้ารักและบูชามากตั้งอยู่ และห้ามปิดเทียนไฟฟ้าเด็ด
    ขาด ข้าพเจ้านอนสมาธิเข้าสุดละเอียด ใช้วิชชามณีรัตน์การ
    รักษาโรค มารักษาตนเอง แต่อนิจจา...เมื่อตรวจแล้วพบว่า
    กายละเอียดของข้าพเจ้าถูกทำลายแตกละเอียด เป็นชิ้นเล็กชิ้น
    น้อยร้าวไปทั้งตัว กายเนื้อมนุษย์เขียวช้ำ โดยเฉพาะดวงตา
    สองข้างช้ำจนดำ เหมือนผีไม่มีผิด

    ข้าพเจ้าพยายามประกอบกายที่แตกอยู่หลายวัน
    เพราะถ้าละเอียดไม่ผ่าน หยาบ (คือกายมนุษย์) ก็ช่วยไม่ได้
    แต่มันมากจนเกินกำลังของข้าพเจ้าที่จะแก้ไขได้

    ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ กายเนื้อของข้าพเจ้าเริ่มส่งกลิ่น
    เหม็นออกมา ข้าพเจ้ารวบรวมพละกำลังครั้งสุดท้ายนี้ ลุกขึ้น
    โทรศัพท์ไปขอ ความช่วยเหลือกับพระอาจารย์ณัฐนันท์
    กุลศิริ ที่วัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) เพราะข้าพเจ้ารู้จักท่านแต่
    เพียงรูปเดียวเท่านั้น

    "หลวงพี่คะ ช่วยคำนวณบุญกลับปราสาททำวิชชา
    ของหลวงพ่อให้ด้วย เพราะกำลังจะตายอยู่แล้ว ขอลาก่อน"

    "เดี๋ยว ๆ ตอนนี้อยู่ที่ไหน"

    เสียงหลวงพี่ตกใจมาก

    "อยู่ที่บ้านค่ะ"

    ขาดคำข้าพเจ้าก็หมดแรงเฮือกสุดท้าย
    สัก 5 นาทีเท่านั้น เห็นกายทิพย์ของหลวงพี่ณัฐนันท์มายืน
    มองอยู่ ทราบข่าวภายหลังว่า หลวงพี่ท่านรีบปิดกุฏิทำวิชชา
    ช่วยชีวิตข้าพเจ้าอยู่หลายวัน เมื่อเห็นว่าเกินกว่ากำลังของ
    ตนที่จะแก้ไขรักษา จึงรีบขึ้นปราสาททำวิชชา กราบเรียน
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำปกปักรักษา

    แต่นั้นมาร่างของข้าพเจ้านอนยาวเหยียดหน้าโต๊ะพระ
    แสงแห่งพุทธานุภาพสาดส่องกาย เป็นมุ้งครอบร่างทั้งร่าง
    เห็นครูบาอาจารย์ลงมารักษา มีคุณแม่ชีใส่แว่นตากรอบทอง
    ร่างท้วมขาว ที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก มาตรวจและบอกว่า........

    "เครื่องในเน่าเหม็นแล้ว มาก้มหัวลง"

    แล้วคุณแม่ชีก็เป่าเพี้ยงที่กระหม่อมของข้าพเจ้า
    อัศจรรย์ !!!!!!!! กลิ่นเน่าเหม็นหมดไปทันที แล้วคุณแม่ชีก็
    ป้อนยาทิพย์เข้าที่ปากข้าพเจ้า ยานั้นหอมเย็น ไหลผ่านลำ
    คอสักครู่ ข้าพเจ้า ก็ไออย่างแรงจนเนื้อเยื่อ ที่ลอกอุดตาม
    เส้นเลือด หลุดกระเด็นออกมาที่กรวยปากไตคนไข้

    ทุก 2 ชั่วโมง คุณแม่ชีจะมาช้อนคอข้าพเจ้าแล้วป้อนยา
    ข้าพเจ้าก็จะไอ ขับเอาสิ่งอุดตันเหล่านั้นออกมาจนหมด
    ร่างกายข้าพเจ้าเริ่มขยับเขยื้อน มีแรงเท่ามดแดง
    การหายใจหอบถี่ บางครั้งเต้นถึง 196 ครั้งต่อนาที
    ข้าพเจ้าเหนื่อยมากกกกกกก บางครั้งก็แทบขาดใจตาย

    เมื่อป่วยหนักเช่นนี้ จึงทราบว่า มีครูบาอาจารย์ทางสาย
    วิชชาธรรมกาย อยู่มากมาย แต่ละท่านที่ล่วงลับไปแล้วต่าง
    ผลัดกันลงมาช่วยปกปักรักษา แม้แต่ผู้ทรงฌานสมาบัติสาย
    วิชชาต่าง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ และอาศัยอยู่ ตามป่าเขาลำเนา
    ไพร ก็ยังมาเยี่ยมทางละเอียดและบอกว่า..............

    "มาดู แต่มีผู้รักษามากแล้ว ขอให้กำลังใจ"

    และแล้วพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็มาเองในที่สุด

    "ลูกเอ๋ย...เจ้ามีจุดอ่อนตรงเรื่องหัวใจนี่แหละ มา....
    หลวงพ่อจะย้าย กล่องดวงใจของเจ้าไปฝากกับต้นธาตุไว้
    ต่อไปจะถูกทำลาย ไม่ได้ง่าย ๆ เกือบเสียงานเหมือนครั้งนี้
    เจ้าต้องอดทน เอาเวลาที่ไปไหนมาไหนไม่ได้นี้ขึ้นไปต่อ
    ธรรมะข้างบนนะลูก มันต้องใช้เวลาในการตั้งธาตุธรรมให้เจ้า
    ใหม่ ฉะนั้นวิกฤตนี้คือโอกาส พยายามเรียนรู้ให้มากที่สุด
    ต่อไปจะได้ช่วยคนและช่วยงานหลวงพ่อ"

    ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ และจะไปช่วยคนได้อย่างไร ในเมื่อยัง
    ไม่สามารถ แม้แต่จะช่วยตัวเองได้เลย ข้าพเจ้าเห็นแต่
    ลำแสงสว่างครอบเป็นมุ้ง อยู่รอบตัวข้าพเจ้า กินระยะเวลา
    สามปีกว่าที่ต้องถูกรักษาเลี้ยงดูจากภาคละเอียด จากที่ต้อง
    นอนทั้งวัน ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นลุกขึ้นนั่ง ร่างกายค่อยมีแรง
    การหายใจลดความถี่ลง ฝึกกินทีละช้อน ๆ
    (ที่กินทีละช้อนแล้วหยุดพัก เพราะเหนื่อยกินต่อไม่ไหว)
    ตื่นได้วันละ 1 ชั่วโมง , 2 ชั่วโมง......จนถึงครึ่งวัน
    เดินเหินบ้างเหนื่อยต้องหยุด ถ้าไฟฟ้าหัวใจกระตุกเมื่อไหร่
    จะล้มฟาด ตัวของข้าพเจ้าจึงมักเขียวช้ำเป็นจ้ำ ๆ และขอบ
    ตาดำเหมือนหมีแพนด้า มองกระจกก็อนาจใจตัวเอง ทำไมจึง
    ตายไม่ได้ ขันธ์ 5 ช่างทุเรศสิ้นดี

    เมื่อไรที่หัวใจทำงานไม่ไหว จะขาดใจล้มฟาด
    ลำแสงก็จะครอบตัวลง เป็นอัตโนมัติ
    ข้าพเจ้าจะรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าประจุอ่อน ๆ เดินทั่วร่าง
    สักพักเมื่อรู้สึกดีขึ้น หายใจเองต่อได้
    ลำแสงนี้ก็หายวั๊บไป

    ( 3 ปีหล่อเลี้ยงจากต้นธาตุ 7 ปีแห่งการ Fight to be
    alive จากสารอาหารเหลว มาเป็นผลไม้ มาเป็นผัก - ผล
    ไม้ มาเป็นมังสวิรัติ จนทุกวันนี้มาเป็น Macro biotic
    คือทานปลา - sea food บ้าง )

    ถึงกายแพ้ แต่ใจเรา ไม่เคยแพ้
    ใจไม่แก่ เจ็บตาย ตามกายหนา
    ถึงกายมัน จะเน่าตาย ก็ขอลา
    สู่สวรรค์ ชั้นฟ้า นิพพานเอย

    ลำแสงที่แท้คือ ท่อบุญจากพระนิพพาน
    ที่องค์ต้นธาตุส่งมาหล่อเลี้ยง รักษาข้าพเจ้าให้เป็นอยู่
    และปกปักรักษาข้าพเจ้าอยู่ถึงสามปีเต็ม ๆ
    จนข้าพเจ้าแข็งแรงและสามารถดำรงชีวิต
    อยู่อย่างคนปรกติดั่งคนทั่ว ๆ ไป
    ทั้ง ๆ ที่หัวใจพิการ และลิ้นหัวใจรั่วอยู่จนทุกวันนี้

    ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย ครูบาอาจารย์พระเดช
    พระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ และเหล่าภาคผู้เลี้ยงผู้รักษา
    อานุภาพแห่งวิชชาธรรมกายนั่นเอง
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    รัตนะทั้ง 7









    เมื่อสามารถเข้าไปได้ถึงอายตนนิพพานแล้ว ก็
    เข้าไปเฝ้าพระนิพพาน แล้วขอประทานรัตนะ 7 ประการ คือ
    กำแพงแก้ว 7 ชั้น เพื่อเป็นเครื่องป้องกันสรรพอุปัทวันตราย
    ไม่ให้มากล้ำกราย ในกายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร

    จะขอรัตนะ 7 ประการนี้ได้ โดยจรดเข้ากลางพระ
    นิพพาน เมื่อตกศูนย์พระนิพพาน ก็จะดูดธรรมกายพระอรหัตต์
    ของผู้ปฏิบัติอย่างแรง คล้ายมีอะไรมาดูด อนุโลมตามแรง
    ดูดนั้น ก็จะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้รักษาพระนิพพาน ที่
    กลางกายของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นทางที่จะเข้าไปถึงรัตนะทั้ง
    7 นับแต่นี้ไป จะสามารถเห็นรัตนะทั้ง 7 ได้ภายในกายของผู้
    ปฏิบัติเอง ไม่จำเป็นจะต้อง ไปดูที่พระนิพพานอีก รัตนะทั้ง 7
    นี้ มีความหมายทำนองเดียวกับ รัตนะคู่บุญของสมเด็จพระเจ้า
    จักรพรรดินั่นเอง ต่างกันแต่ว่ารัตนะทั้ง 7 ของสมเด็จพระเจ้า
    จักรพรรดิ เป็นสิ่งที่มีรูปร่างปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาธรรมดา
    แต่รัตนะ 7 ประการในที่นี้ เป็นของทิพย์ รัตนะทั้ง 7 ได้แก่



    1.จักรแก้ว ตามคัมภีร์กล่าวว่า เมื่อจักรแก้วมา
    ปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระมหากษัตริย์พระองค์ใด พระมหา
    กษัตริย์พระองค์นั้น ได้ชื่อว่าเป็นสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ
    สามารถปราบได้ทั่วทุกทิศ จักรทิพย์เป็นอาวุธสำหรับปราบภูต
    ผีปีศาจต่างๆ และเป็นยานนำไปสู่สถานที่ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเร้น
    ลับซับซ้อนเพียงใด

    2.ช้างแก้ว เป็นช้างทรงของ สมเด็จพระเจ้า
    จักรพรรดิ ในการเสด็จพยุหยาตรา ช้างทิพย์เป็นเครื่องมือใน
    การสร้างเกียรติประวัติและสะสมกองบุญในด้านการปฏิบัติ เมื่อ
    อธิษฐานจิตขึ้นขี่ช้างแก้ว ซึ่งเมื่อทำได้คล่องแล้ว จะกระทำได้
    ทันที ตัวของผู้ปฏิบัติจะมีความสง่าน่าเกรงขาม และเป็นที่
    ชื่นชมของคนทั่วไป

    3.ม้าแก้ว เป็นม้าทรงของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ
    ในการเสด็จประพาสที่ต่างๆ เป็นการส่วนพระองค์ หรือ
    ลำลอง ม้าทิพย์เป็นพาหนะสำหรับไปเที่ยวในที่ต่างๆ ทั้งใน
    นรกและในสวรรค์ ในระหว่างเดินทาง ถ้าหากมีภยันตรายหรือ
    อุปสรรคอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ม้าแก้วจะขจัดภยันตราย
    หรืออุปสรรคเหล่านั้นให้สิ้นไป นิยายจีนได้นำอิทธิฤทธิ์ของ
    กายสิทธิ์ประเภทนี้ ไปผูกเป็นคุณสมบัติของม้ามังกร

    4.นางแก้ว เป็นพระอัครมเหสีของสมเด็จพระเจ้า
    จักรพรรดิ พระสิริร่างมีความอบอุ่นในฤดูหนาว มีความเยือก
    เย็นในฤดูร้อน ในด้านที่เป็นของทิพย์ได้แก่ นางแก้วทิพย์ ผู้มี
    ไออุ่น ไอเย็น ที่สามารถเนรมิตให้เกิดขึ้นเอง ไม่จำเป็นต้องง้อ
    ขอพึ่งไออุ่น ไอเย็นจากอกสาว อกหนุ่ม ให้ต้องเปลืองตัว
    และเปลืองใจ

    5.แก้วมณี คือ ดวงแก้วที่สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ
    ทรงใช้ส่องดูเหตุการณ์ต่างๆ ในราชอาณาจักรของพระองค์
    แว่นทิพย์ก็สามารถใช้มองดูอะไรได้ทั้งในนรก สวรรค์และใน
    เมืองมนุษย์ ตามปรกติเมื่อปฏิบัติกรรมฐานได้สูงแล้ว ก็
    สามารถจะมองเห็นนรก มองเห็นสวรรค์ แต่ถึงจะมองได้ก็
    เห็นไม่ทั่ว จึงนำมาเล่าแตกต่างกันไป ถ้าใช้ดวงแก้ว
    กายสิทธิ์นี้ส่องจะเห็นได้ทั่วถึง

    6.ขุนพลแก้ว ได้แก่ แม่ทัพผู้เกรียงไกร ผู้ปฏิบัติ
    ภารกิจเพื่อเพิ่มพูนพระบารมี ต่างพระเนตรพระกรรณ ขุน
    พลทิพย์ คือ ผู้ ช่วยเหลือขจัดอุปสรรคที่เกิดขึ้น ในระหว่าง
    การบำเพ็ญกรณียกิจ เพื่อสาธารณประโยชน์และการกุศล
    ต่างๆ ขุนพลแก้วมีรูปร่างคล้ายนักรบไทยโบราณ

    7.ขุนคลังแก้ว คือ ผู้แสวงหาและรักษาพระราช
    ทรัพย์ให้ มั่งคั่งและมั่นคง ขุนคลังทิพย์คือผู้รักษาทรัพย์สมบัติ
    ทั่วไปทั้งหมด มีกายสิทธิ์ต่างๆเป็นบริวาร ทรัพย์สมบัติเหล่า
    นี้ สามารถขอมาใช้ในการบุญการกุศลต่างๆได้ ส่วนการที่จะ
    ขอมาเพื่อประโยชน์ส่วนตัวนั้น ถ้าขอในจำนวนเพียงเล็ก
    น้อยอาจได้บ้าง เคล็ดลับในความสำเร็จของวัดปากน้ำ ใน
    การสร้างโรงครัวและอาคารสถานที่ ก็สืบมาแต่การอาศัย
    กายสิทธิ์ประเภทนี้เอง ขุนคลังแก้วมีรูปร่างคล้ายขุนนาง
    โบราณ

    คุณสมบัติของรัตนะ 7 ประการที่กล่าวมาข้างต้นนี้
    กล่าวเพียงเป็นเค้าพอให้เข้าใจ ยังมีความพิสดารที่ไม่ได้รับ
    อนุญาตให้เปิดเผยอีกมาก หากผู้ใดใฝ่ฝัน ใคร่จะได้เชยชมใกล้
    ชิด กับสมบัติของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิบ้างในชาตินี้ หรือ
    ใคร่จะสังสรรค์กับหนุ่มสาวชาวเมืองทิพย์
    ด้วยตนเองว่า ลึกซึ้งเพียงใด สามารถสมหวังได้ก็ด้วยการปฏิบัติวิชชา
    ธรรมกาย

    เมื่อได้รัตนะทั้ง 7 ประการแล้ว กำลังสมาธิจะแรงมาก
    ขึ้น คล้ายกับว่ามีของศักดิ์สิทธิ์ไว้กับตัว เพียงแต่ตั้งจิตให้นิ่ง
    อยู่ที่เหนือสะดือสองนิ้ว ภายในกาย ก็จะมีการสับฌานขึ้น
    ลง เท่ากับเป็นการเดินสมาบัติไปในตัว ถ้าในขณะที่นิ่งอยู่
    อย่างนั้น

    มีอะไรปรากฏขึ้นมาให้เห็น เรียกว่า เป็นการ"ตรัสเห็น"
    ถ้าเกิดรู้อะไรขึ้นมา เรียกว่า "ตรัสรู้"
    ถ้าได้ยินเสียงอะไรก็เรียก "ตรัสได้ยิน"
    การนิ่งเช่นนี้เรียกว่า "นิ่งในนิโรธ"
    นิโรธในที่นี้ มีความหมายว่า "ทำให้แจ้ง"

    ถ้าอธิษฐานจิตใจขณะที่นิ่งอยู่ในนิโรธ ขอดูความเป็นไปของ
    สรรพสัตว์ ก็เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์สัตว์ปรากฏ
    ขึ้นรอบตัวเรา ความสามารถนี้เรียกว่า "จุตูปปาตญาณ" ด้วย
    จุตูปปาตญาณนี้เอง จะทำให้ทราบได้ว่า กายทิพย์ของสัตว์
    ทั้งหลายรอบตัวเรานี้เป็นมนุษย์ จะต่างกันก็แต่รัศมีของบุญ
    บารมีที่ได้สร้างสมมา เมื่อทำบาปหนัก หรือตายในขณะมี
    ความห่วงใยในทรัพย์สมบัติหรือบุตรภรรยา ก็ต้องมาได้ร่าง
    เป็นสัตว์ในภพนี้ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจึงเป็นเรื่องที่ไม่ห่างไกล
    จากการฆ่ามนุษย์เท่าใดนัก

    สิ่งมีชีวิตที่มาพัวพันกับเราในชาตินี้ล้วนได้อุปการะ
    เกื้อกูลกัน หรือมีเวรต่อกันมาในชาติก่อน การอโหสิให้แก่
    การกระทำของผู้อื่น ย่อมทำให้เวรนั้นระงับไป เนื่องด้วยกาย
    ทิพย์ของสัตว์ทั้งหลายเป็นมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถทำความ
    เข้าใจกับสัตว์ต่างๆได้ โดยการพูดกันทางใจ ข่าวที่ว่า หลวง
    พ่อคล้ายแห่งนครศรีธรรมราช สามารถหยุดยั้งช้างป่าที่กำลัง
    อาละวาดอยู่ให้สงบลงได้นั้น จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แม้วิธี
    การอาจจะผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง หลักการก็คงจะเป็น
    อย่างเดียวกัน

    จุตูปปาตญาณ จะนำไปสู่เคล็ดลับหลายประการ รวม
    ทั้งเคล็ดลับ ที่พระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ พระนางเขมาให้
    บรรลุอรหัตผล หลวงพ่อวัดปากน้ำได้ใช้เคล็ดลับทำนองเดียว
    กันนี้ สงเคราะห์ให้สานุศิษย์บรรลุธรรมได้เป็นอันมาก นอก
    จากนี้ ยังสามารถจะช่วยให้ผู้อื่น พ้นจากการเจ็บไข้ได้ป่วย
    และทุกข์ภัยต่างๆอีกด้วย

    การเจริญจุตูปปาตญาณ ถ้าทำให้มาก จนรู้สึกเบื่อ
    หน่ายสังเวชในการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแรงกล้า อำนาจ
    ของเจโตสมาธิ จะทำให้สามารถบรรลุอรหัตผลได้โดยฉับ
    พลัน แต่ถ้ายังมีอุปาทานเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ถ้า
    หากว่าไม่อาจจะทำให้ความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นได้โดยรวดเร็ว ก็
    ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกเป็นบาท เช่น ในกรณีพระจูฬปันถก
    โดยโน้มใจไปพิจารณาญาณทั้ง 10 ญาณ ไม่ช้าก็จะบรรลุ
    มรรคผลขั้นต้น

    ดู ๆ ก็น่าจะเป็นวิชชาที่ปฏิบัติได้โดยง่าย
    แต่เป็นเรื่องที่ง่ายจริงสำหรับผู้ที่ปฏิบัติได้ ไม่ง่ายสำหรับผู้
    ปฏิบัติไม่ได้ วิชชานี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความมั่นใจในตน
    เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 พฤษภาคม 2016
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    อานุภาพของ “จักรแก้ว” (รัตนะ ๗ ของพระจักรพรรดิ)

    ตอนที่ ๒

    (จากประสบการณ์ของ...ผู้เจริญภาวนาวิชชาธรรมกาย)




    .....ในคืนนี้ได้มีผู้ที่สนใจมาเข้ารับการฝึกเจริญภาวนาอยู่ ๖ - ๗ คน
    หลังจากที่ได้สวดมนต์ไหว้พระเรียบร้อยแล้ว
    วิทยากรท่านหนึ่ง ก็เริ่มให้คำแนะนำวิธีปฏิบัติภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย
    ...แก่ผู้มาเข้ารับการฝึกสมาธิภาวนาในครั้งนี้

    ส่วนข้าพเจ้าได้เจริญภาวนา เข้ากลางของกลางไปจนสุดละเอียด
    เมื่อ “เดินวิชชา” ไปได้พักใหญ่
    จึงขยายข่าย “ญาณ” ตรวจสภาพจิต...ของผู้ที่มารับการฝึกสมาธิแต่ละคน

    ข้าพเจ้าได้ทราบว่า...
    หลายคนยังกำหนดนิมิตไม่ได้
    บางคนจิตยังฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งไปในเรื่องต่างๆ ฯลฯ

    และได้รู้เห็นขึ้นมาใน “ญาณทัศนะ” ว่า.....
    ได้มีเหล่าวิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ในบริเวณนั้น
    พากันมารบกวน ขัดขวางการปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ด้วย

    ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานเอา “จักรแก้ว”
    ..... ซึ่งเป็นสมบัติของ "พระจักรพรรดิ" มาใช้

    โดยได้อธิษฐานให้ “จักรแก้ว” ไปเก็บเหล่าวิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฏฐิพวกนี้มา
    เพื่อที่จะได้อบรมให้รู้จักผลบุญ และ ผลบาป
    เพียงแวบเดียวเท่านั้น “จักรแก้ว” ก็ปาฏิหาริย์มาอยู่ต่อหน้า

    เมื่อวิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้น ...เห็นแสงสว่างของ “จักรแก้ว”
    ต่างก็แสดงอาการร้อนรน เจ็บปวด

    ข้าพเจ้าจึงจรดใจให้หยุดนิ่งแน่น เข้ากลางของกลาง “พระธรรมกาย”
    แล้วอบรมสั่งสอนให้วิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฏฐิพวกนั้น
    ได้รู้ถึงผลบุญและผลบาป ว่า…

    ผู้ที่ขัดขวางการบำเพ็ญคุณความดี ของผู้ที่กำลังปฏิบัติสมาธิภาวนา
    ..... อย่างที่พวกเจ้าทั้งหลายได้กระทำอยู่นี้
    จะให้ผลเป็นบาปกรรมอันหนัก แก่พวกเจ้าทั้งหลาย

    แต่ถ้าพวกเจ้าได้อนุโมทนาบุญ
    ด้วยจิตยินดี ..... ในการทำคุณความดีนั้น
    ผลบุญนี้จะทำให้พวกเจ้าทั้งหลาย ..... มีสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม



    ด้วยอำนาจแห่งธรรม อันสว่างไสว สงบเย็น ... ของ “พระธรรมกาย”
    ทำให้วิญญาณเหล่านั้นเกิดสำนึกตัว
    ถึงสิ่งที่พวกตนได้ทำการรบกวน ขัดขวางการปฏิบัติธรรมว่า...
    เป็นบาปกรรมหนัก ควรเลิกละเสีย

    วิญญาณเหล่านั้น จึงพากันอนุโมทนาบุญ
    และยกมือไหว้แสดงความเคารพต่อ “พระธรรมกาย”
    ที่เปล่งรัศมีธรรมอันบริสุทธิ์ ชุ่มเย็น มีแต่ความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย

    เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่า...
    วิญญาณเหล่านั้นสำนึกตัวได้แล้ว และมีสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว
    จึงอธิษฐานให้ “จักรแก้ว” ปล่อยวิญญาณเหล่านั้น...ให้เป็นอิสระ




    *** เรียบเรียงบางตอนจาก
    นิตยสารธรรมกาย ฉบับที่ ๔ เมษายน – มิถุนายน ๒๕๓๐
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    ใช้ไปในทางผิด-เห็นกายในเป็นเปรตทันที( ข้อยืนยันปฏิจจสมุปบาท จากการเห็นภายใน)





    ----------------------------

    ในการอบรมพระกัมมัฏฐานเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่วัดหลวงพ่อสดฯ
    เมื่อหลายปีมาแล้ว
    มีพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมรูปหนึ่ง ที่มีปฏิปทาและศีลาจารวัตรเป็นที่น่าเลื่อมใส
    ท่านได้รับมอบหมายหน้าที่จาก หลวงป๋า (เสริมชัย ชยมงฺคโล) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดฯ
    ให้เป็น “พระวิทยากร” มีหน้าที่คอยต่อธรรมะให้กับ พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
    ที่ปฏิบัติภาวนาจนได้ “ดวงปฐมมรรค”แล้ว ให้ฝึกเจริญภาวนาให้ยิ่งๆขึ้นไปจนถึง “ธรรมกาย”
    ที่เรียกว่า “ต่อ ๑๘ กาย”

    ในวันที่ ๓ หรือ ๔ ของการอบรมฯ ในตอนเช้า
    พระอาจารย์ท่านนี้เกิดความรู้สึกอยากจะเดินมาบริเวณหน้าประตูวัด ซึ่งโดยปกติก็ไม่เคยออกมา
    บังเอิญได้พบกับอุบาสิกาบุญมี (นามสมมุติ) สวมชุดขาว
    สะพายกระเป๋าและถือตระกร้าสัมภาระส่วนตัว...กำลังเดินมา
    อุบาสิกาผู้นี้ดูหน้าตาเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส

    พระอาจารย์ท่านจึงได้ปฏิสันถารตามสมควรว่า “อุบาสิกา จะไปไหน ?”
    อุบาสิกาบุญมีจึงได้กราบเรียนว่า “จะกลับบ้านแล้วค่ะ”
    พระอาจารย์จึงได้ถามต่อว่า “ทำไมถึงรีบกลับล่ะโยม เพิ่งเริ่มอบรมได้ไม่กี่วันเองนะ”
    อุบาสิกาบุญมีจึงเรียนว่า “ ดิฉันมีเรื่องไม่สบายใจค่ะ”

    และได้เล่ารายละเอียดของเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ สรุปความได้ว่า
    อุบาสิกาบุญมีเคยมาปฏิบัติกัมมัฏฐานที่วัดหลวงพ่อสดฯ ในรุ่นก่อนหน้านี้
    การปฏิบัติภาวนาได้ผลดี ได้เห็น “ดวงปฐมมรรค” และได้ต่อ ๑๘ กาย จนถึง “ธรรมกาย”
    ภายหลังจบการอบรมฯในครั้งนั้น เมื่อกลับไปอยู่ที่บ้านก็ได้ฝึกปฏิบัติภาวนาอย่างสม่ำเสมอ

    ต่อมาน้องสาวของอุบาสิกาบุญมี ซึ่งได้แต่งงานแยกครอบครัวออกไปแล้ว
    เกิดล้มป่วยไม่สบาย อีกทั้งฐานะครอบครัวของน้องสาวก็ยากจน
    อุบาสิกาบุญมีรู้สึกสงสาร จึงคิดหาทางช่วยเหลือน้องสาว

    โดยวันหนึ่ง เมื่ออุบาสิกาบุญมีนั่งเจริญภานา
    จนเห็น “ธรรมกาย” ปรากฏขึ้นใสสว่างอยู่ที่ศูนย์กลางกาย
    ก็น้อมนึกให้ธรรมกายดูตัวเลขของสลากกินแบ่งรัฐบาล
    ปรากฏว่า...เห็นตัวเลขชัดเจน
    เมื่อออกจากสมาธิ ก็บอกน้องสาวให้ไปซื้อเลขตามนั้น
    ผลปรากฏว่า...ถูกรางวัล

    เมื่อได้ครั้งหนึ่ง ก็ทำต่อครั้งที่สองอีก
    เห็นเลขแล้วก็บอกน้องสาวไปซื้อสลากกินแบ่ง...ก็ถูกอีก

    ยังไม่พอทำต่อไปครั้งที่สามอีก
    เมื่อได้ตัวเลขแล้วไปซื้อ...ก็ถูกอีก

    หลังจากนั้น เมื่อนั่งสมาธิแล้วแทนที่จะเห็น “ธรรมกาย” ที่ศูนย์กลางกาย
    กลับเห็นเป็นกายอื่นปรากฏขึ้นแทน คือ
    กายที่ใหญ่โต ผิวหนังหยาบกร้าน เล็บยาว ผมยาว
    ปรากฏขึ้นมาแทนธรรมกาย

    ตั้งแต่นั้นมา อุบาสิกาบุญมีก็เกิดอาการทั้งไม่สบายกาย และไม่สบายใจ
    ครอบครัวก็ไม่ค่อยเป็นสุข ลูกทั้ง ๓ คน ก็พาลเจ็บป่วย
    แม้ได้มาเข้าอบรมพระกัมมัฏฐานในครั้งนี้ ก็ยังไม่สามารถเห็นองค์พระได้เหมือนเเต่ก่อน

    พระอาจารย์จึงอธิบายให้ฟังว่า...

    กายที่เห็นนั้นเรียกว่า “กายเปรต”
    เกิดจากวิบากกรรมที่ไปดูสลากกินแบ่ง หรือ หวย
    ถึงแม้จะไม่ได้ซื้อเอง เพียงสงเคราะห์ผู้อื่น
    แต่เป็นวิธีการที่ไม่สมควร อีกทั้งยังเป็นการสร้าง “โมหะ” แก่คนอื่น
    และที่สำคัญคือ ใช้ “ธรรมกาย” อันเป็นของสูงในทางที่ผิด
    จึงทำให้ธรรมกายดับ และเกิด “กายเปรต” ขึ้นมาแทน
    (ถ้าขณะนั้นอุบาสิกาบุญมีเกิดเสียชีวิตไป ก็จะต้องไปเกิดเป็นเปรต... ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม)

    พระอาจารย์จึงบอกอุบาสิกาบุญมี ให้อยู่ต่อ
    รอเวลาที่ท่านจะสอนภาวนาต่อ ๑๘ กายที่เรือนไทย อันเป็นสถานที่ต่อธรรมะ

    ครั้นถึงเวลาต่อธรรมะ ก็มีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
    ที่ปฏิบัติธรรมจนได้เห็น “ดวงปฐมมรรค” และเห็นองค์พระแล้ว...แต่ยังไม่ครบ ๑๘ กาย
    รวมทั้งอุบาสิกาบุญมีด้วย รวมทั้งหมดประมาณ ๒๐ คน ได้มาพร้อมกันที่ศาลาเรือนไทย

    พระอาจารย์จึงได้นำสวดมนต์ไหว้พระ แล้วให้คำแนะนำและคุมธรรมะให้ทั้งกลุ่ม
    เริ่มตั้งแต่ดวงปฐมมรรค จนครบ ๑๘ กาย คือ “กายพระอรหัต”
    และซ้อนสับทับทวี ทวนไปทวนมา...แก่พระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา
    รวมทั้งอุบาสิกาบุญมี....จนกระทั่งเจริญภาวนาได้ครบทั้ง ๑๘ กาย

    ภายหลังสิ้นสุดการปฏิบัติธรรมแล้ว
    อุบาสิกาบุญมีได้ปฏิญาณตนต่อหน้าพระรัตนตรัยว่า.....
    “ตั้งแต่นี้ต่อไป จะไม่ใช้ธรรมกายไปดูสลากกินแบ่ง หรือหวยอีก”

    เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นว่า.....

    ธรรมกายเป็นของสูง มีอานุภาพมาก
    จึงไม่ควรนำไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข ความโลภ
    หรือ สร้างโมหะ...ความหลงให้บุคคลอื่น

    ท่านที่ได้ธรรมกายแล้ว จึงไม่ควรประมาท
    และไม่ควรนำ “ธรรมกาย” ไปแลกกับ “กายเปรต” ....... ซึ่งไม่คุ้มกันเลย


    *** เรียบเรียงจาก
    นิตยสารธรรมกาย ฉบับที่ ๔๑
    กรกฎาคม – กันยายน ๒๕๓๙
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    ความลึกซึ้งของ ... “ วิชชาธรรมกาย

    ความลึกซึ้งของ ... “ วิชชาธรรมกาย”



    เล่าโดย จิตอารีย์
    ( วิทยากร สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย ปัจจุบันคือ วัดหลวงพ่อสดฯ
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี )


    “ มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา”
    “ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ”

    พุทธวจนะบทนี้....ข้าพเจ้าเพิ่งจะมาเข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม
    เมื่อได้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรม ตามแนววิชชาธรรมกาย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้เรียนรู้ เข้าถึง ... “วิชชาธรรมกายชั้นสูง”
    อาทิเช่น ยุทธวิธี และ ยุทธศาสตร์ของการสะสางธาตุธรรมชั้นสูง ฯลฯ

    บัดนี้เมื่อได้เจริญภาวนารุดหน้าเรื่อยไป...โดยไม่ถอยหลังกลับ
    ตามคำสั่งดั้งเดิมของ “หลวงพ่อสด”
    บ่อยครั้ง....ที่ข้าพเจ้าเกิดความปีติ
    คละเคล้ากับความเลื่อมใสศรัทธา....ที่มั่นคงทวีขึ้น
    เมื่อได้เรียนรู้ลึกซึ้งเข้าไปใน “วิชชาชั้นสูง” ... ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

    ความรู้สึกอัศจรรย์ใจในความซับซ้อน ละเอียดประณีต...จนสุดประมาณ
    ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้นั้น...มีบ่อยครั้งที่สุด
    และเมื่อได้รู้ ได้เห็น เข้าไปมาก ๆ แล้ว
    ความรัก ความเคารพ...ในองค์ “หลวงพ่อสด”
    จึงเกิดพอกพูนขึ้นในจิตใจอย่างไม่หยุดยั้ง

    ข้าพเจ้าจึงมักรำพึงกับตัวเองว่า....
    เหมาะแล้ว ควรแล้ว กับความเป็นยอดอัจฉริยะของหลวงพ่อสด
    และสมแล้วที่ท่านเป็น “ธาตุธรรมส่วนหนึ่งของ ... องค์ต้นธาตุ”
    มิฉะนั้นคนรุ่นเรา คงจะไม่มีโอกาส ได้รู้ ได้เห็น และ เป็น ...เช่นนี้เลย

    นับตั้งแต่ได้ “เข้าถึงธรรม” มาแต่ครั้งกระนั้น
    กิจวัตรของตนเองก็คือ พยายามรักษาใจ...
    มิให้ตกไปอยู่ในอำนาจของ ฝ่ายอกุศลาธัมมา และ อัพยากตาธัมมา
    แต่ก็มีบ้าง...ที่ได้เผลอไผล
    ย่อหย่อนในการทำความเพียร...ตามตารางที่ตั้งใจไว้อยู่เหมือนกัน

    คราใดก็ตามที่เป็นเช่นนั้น
    พอได้เวลาปฏิบัติภาวนา และเมื่อเข้าถึงที่สุดละเอียดแล้ว
    จึงมักถูกหลวงพ่อดุ
    และสอนผ่านศูนย์กลางกายอยู่บ่อย ๆ
    ข้าพเจ้าจึงได้พัฒนามรรคาแห่งจิตขึ้นเรื่อย ๆ

    แม้ในยามปกติ ก็ยังมีโอกาสได้แก้ความสงสัยบางประการ
    จาก “หลวงพ่อวีระ คณุตฺตโม”
    (รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ)

    รวมทั้งหลายครั้งหลายหน ที่ได้รับความกระจ่างในวิชชา
    จาก “หลวงป๋า” (เสริมชัย ชยมงฺคโล)( ปัจจุบันคือ พระเทพญาณมงคล )

    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเตือนตนเอง... ให้จรดใจให้อยู่ในศูนย์อยู่เสมอ
    ยิ่งเมื่อจะออกจากบ้านไปทำธุระ หรือ ไปทำงาน ... ยิ่งต้องทำให้มาก
    บางครั้งก็ “เดินวิชชาชั้นสูง” ไปเลย
    ในยามที่จะต้องยืน เดิน หรือ ในขณะนั่งทำงานนั้นแหละ

    เพราะได้ตั้งตารางไว้ว่า …..
    วันหนึ่ง ๆ จะต้องเดินวิชชา เข้าจนถึงสุดละเอียดของเขตธาตุเขตธรรม
    และเดินเร็วเป็นสิบ – ร้อย – พันเขต เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไป
    .....ทับทวีโดยไม่หยุดอยู่กับที่

    และด้วยผลของการปฏิบัติธรรมตามขั้นตอน...ตามหลักวิชชา
    ที่ครูบาอาจารย์ได้สอนไว้ดังกล่าวข้างต้นนี้เอง
    จึงบังเกิดผลเป็นอานุภาพแห่งธรรม ปกป้องคุ้มครองข้าพเจ้า
    ให้พ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ มาหลายครั้ง

    มิใช่แค่เรื่องความปลอดภัย ในการเดินทางเท่านั้น
    แม้สิ่งของที่หายไป...โดยการขโมย
    ข้าพเจ้าก็ได้อาศัยวิชชา ตรวจสอบและติดตาม
    จนรู้ว่า...ใครเป็นคนหยิบไป ? เมื่อไหร่ ? ของนั้นยังอยู่ ?
    เปลี่ยนมือไปแล้วหรือยัง ? ผู้ที่ขโมยไปนั้น ตั้งใจจะขายต่อเมื่อใด ?

    และด้วยอานุภาพแห่ง...วิชชาธรรมกาย
    ทำให้ผู้ที่ขโมยของไป ต้องแอบนำของกลับมาคืนไว้ โดยไม่ให้คนในบ้านเห็น

    นี่ก็เป็นเพราะ ข้าพเจ้าได้ใช้วิชชา (เบื้องต้น) ผ่านไปในสมาธิ
    และสั่งสอนอบรมเข้าไปในจิต ในวิญญาณส่วนละเอียดของผู้นั้น
    ให้มีความสำนึกในความผิด รู้โทษในสิ่งที่ตนได้ทำลงไปว่า...
    เป็นบาป ที่จะเผาลนจิตใจให้เร่าร้อน

    จนกระทั่ง เขาบังเกิดความละอายใจขึ้นมา
    จนต้องนำของที่ขโมยไป...กลับมาส่งคืน

    การทุ่มเทจิตใจ...ฝึกเจริญภาวนาธรรมอย่างจริงจังของข้าพเจ้า
    ตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์
    ได้บังเกิดผลแห่งการปฏิบัติ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

    คำพูดของ “หลวงพ่อสด” ที่ว่า
    “ ธรรมกายยังไม่ถึง ๑๐ ปี ยังนับว่าใช้ไม่ได้ ”
    ข้าพเจ้าได้เข้าใจในความหมายของประโยคนี้...อย่างลึกซึ้ง
    จากประสบการณ์ในการเจริญภาวนา เช่น

    ข้าพเจ้าเคยใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง
    ในการนั่งทำวิชชา เข้าถึงสุดละเอียดของเขตธาตุเขตธรรมหนึ่ง ๆ นั้น

    ในเวลาต่อมา เมื่อมีความชำนาญมากขึ้น
    ก็สามารถทำวิชชา คำนวณวิชชา ได้เร็ว แรง และละเอียดประณีตมากขึ้น
    ถึงเป็น อณุ – ปรมาณู ที่สุดละเอียดของเขตธาตุเขตธรรม
    .....นับอสงไขยอายุธาตุอายุบารมีไม่ถ้วน

    เพราะเข้าใจหลัก และ เคล็ดลับของวิชชาดีขึ้น
    จากที่นั่งเจริญภาวนา คำนวณวิชชา เป็นสิบเขต ใน ๑ ชั่วโมง
    ก็เป็น ร้อย – พัน – หมื่น จนนับไม่ถ้วน
    เป็นอสงไขยเขตธาตุเขตธรรม...เลยทีเดียว

    ประสบการณ์ในการเจริญภาวนาทุกครั้ง
    ช่วยให้ข้าพเจ้ามีความรอบรู้มากขึ้น และ สำรวมมากขึ้นด้วย

    ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้านั่งเจริญภาวนาอยู่ให้องพระ
    เมื่อเดินวิชชา ... ตามลำดับขั้นตอนไปพักใหญ่
    จนได้เข้าถึง “ปราสาททำวิชชา ของ หลวงพ่อสด” ...ในอายตนะนิพพาน
    ข้าพเจ้าเข้าไปในกลางของกลาง “องค์ต้นธาตุ”
    ปักใจดิ่งสู่กลางในกลาง ทับทวีจนสุดละเอียด
    พร้อมกับตรึกขอดู “ผังจริง” ในพระพุทธศาสนา

    ฉับพลันนั้นเอง
    ภาพที่ปรากฏชัดเจน ยิ่งกว่าเห็นด้วยตาเนื้อ...ก็ปรากฏขึ้น
    ท่ามกลางความสว่างไสว และ ละเมียดละไมไปด้วยอณูของความสงบเย็น
    .....ที่ประณีตมาก จนประมาณไม่ถูกนั้น

    ข้าพเจ้าได้เห็นว่า.....
    ตรงกลางนั้น เป็นตำแหน่งของ “องค์ต้นธาตุต้นธรรม”
    ..... ที่มีลักษณะเหมือน “หลวงพ่อสด”
    เป็นธาตุธรรมที่ใส สะอาด บริสุทธิ์ ทั้งองค์...จนเป็นประกาย
    รัศมีโชติช่วง เปล่งปลั่งยิ่งนัก

    ส่วนที่อยู่รอบ ๆ องค์ท่านนั้น
    ต่างก็นั่งสงบ ในท่าสมาธิ...เป็นระเบียบสวยงาม
    ในลักษณะคล้าย ธาตุ ๖ ที่เคยเห็นมา
    คือ มีซ้าย – ขวา – หน้า – หลัง

    ที่อยู่ใกล้ “องค์ต้นธาตุ” ก็เป็น ..... “องค์กลางธาตุ”
    และที่ห่างออกไป จึงเป็น ... “ปลายธาตุ”
    ล้อมรอบท่านเป็นวงกลม เป็นชั้น เป็นชุด ออกไปเป็นปริมณฑล...กว้างใหญ่มาก

    มีบุคคลมากมาย ทั้ง “พระ” และ “แม่ชี” ตลอดจนฆราวาส...เต็มไปหมด
    ในส่วนหน้า ๆ นั้น ... ส่วนมากจะเป็น “พระสงฆ์”
    “แม่ชี” และ “อุบาสิกา” จะอยู่ข้างหลังท่าน ... เป็นส่วนใหญ่

    ทั้งหมดนี้เป็นการยืนยันว่า.....
    วิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ... ที่ “หลวงพ่อวัดปากน้ำ”
    ได้สั่งสอนถ่ายทอดมายัง “หลวงพ่อวีระ คณุตฺตโม”
    (รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ)

    และถ่ายทอดต่อมาถึง “หลวงป๋า” (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    (เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี)
    รวมทั้งที่ได้ถ่ายทอดต่อมา...ถึงศิษยานุศิษย์ในปัจจุบันนี้

    เป็นวิชชาที่สามารถ...เข้าถึงได้จริง ทำได้จริง เป็นได้จริง

    ความจริงวิชชาในพระพุทธศาสนา
    มิได้สอนกันอยู่เพียง วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖
    อันมี...อาสวักขยญาณ เป็นที่สุดเท่านั้น

    เพราะ พระเดชพระคุณ “หลวงพ่อวัดปากน้ำ” ได้เคยกล่าวยืนยันถึง
    ความเป็นจริงในวิชชาของพระพุทธศาสนาว่า…
    เป็นข้อที่ลุ่มลึกมาก...เกินกว่าที่จะคาดคะเนด้วยปัญญาของคนทั่วไป

    ดังเช่นที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ได้เคยกล่าวว่า.....

    “ ต่อแต่นี้ไป เราจะต้องเข้าให้ถึงที่สุด
    เข้าไปในกายที่สุดของเราให้ได้ เป็นกาย ๆ ออกไป
    เมื่อเป็นกาย ๆ เข้าไปแล้ว ถ้าทำเป็นแล้ว ไม่ใช่เดินท่านี้
    เดินในไส้ทั้งนั้น ในไส้เห็น ไส้จำ ไส้คิด ไส้รู้
    ในกำเนิดดวงธรรมที่ทำให้เป็นสุดหยาบสุดละเอียด
    (เถา – ชุด – ชั้น – ตอน – ภาค – พืด .....ฯลฯ)

    เดินในไส้ (หยุดในหยุด กลางของหยุดในหยุด)
    ไม่ใช่เดินทางอื่น เดินในกลางดวงปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
    เดินไปในกลางดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา ดวงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    นั่นเป็นทางเดินของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์

    เดินไปในไส้ ไม่ใช่เดินไปในไส้เพียงเท่านั้น
    ในกลางว่างของดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    ของดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    ว่างในว่างเข้าไป เหตุว่างในเหตุว่าง เหตุเปล่าในเหตุเปล่า
    เหตุดับในเหตุดับ เหตุลับในเหตุลับ เหตุหายในเหตุหาย
    เหตุสูญในเหตุสูญ เหตุสิ้นเชื้อในเหตุสิ้นเชื้อ
    เหตุไม่เหลือเศษในเหตุไม่เหลือเศษ ...ฯลฯ

    หนักเข้าไปไม่ถอยหลังกลับ
    นับอสงไขยไม่ถ้วน นับชาติอายุไม่ถ้วน
    ไม่มีถอยกลับกัน เดินเข้าไปอย่างนี้นะ

    พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ใช่เดินโลเลเหลวไหล
    ที่เรากราบ ที่เราไหว้ เรานับถือนะ ท่านวิเศษวิโสอย่างนี้
    นี่แหละเป็นผู้วิเศษแท้ ๆ นี่แหละเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกแท้ ๆ
    ถ้าเป็นผู้รู้จริง เห็นจริง ได้จริง เราจึงเอาเป็นตำรับตำราได้...”

    การเดินตามรอยบาทของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์
    เราจะต้องทำวิชชา...เข้าไปถึงขนาดนั้น
    ก็เพราะเหตุผลที่หลวงพ่อว่า ...

    “ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านก็ไปถึงที่สุดเหมือนกัน
    ถ้าใครยังไปไม่ถึงที่สุด ก็ยังไม่ฉลาดเต็มที่
    ต่อเมื่อเข้าไปถึงที่สุดกายของตัวต่อไปแล้วละก็ ฉลาดเต็มที่แน่

    ต้องไปให้ถึงที่สุดให้ได้
    เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็
    รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา

    ที่บังคับเรา ให้เกิด ให้แก่ ให้เจ็บ และให้ตายอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
    พวกมาร บังคับให้เป็นไปตามนั้น
    ส่วนพวกพระ บังคับไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ และไม่ให้ตาย
    นี่พวกพระ พวกมาร บังคับกันอย่างนี้

    เวลานี้พวกพระ บังคับไม่ให้รบกัน
    แต่พวกมาร บังคับให้รบกันหนักขึ้น ”

    เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราซึ่งเป็นศิษยานุศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    ผู้ปฏิบัติธรรม...ตามแนววิชชาธรรมกาย
    ก็ต้องมาหาความหมายที่ว่า ... “ที่สุดของตัว” นั้นคืออะไร ?

    * เรียบเรียงบางตอนจาก
    นิตยสารธรรมกาย ฉบับที่ ๔
    เมษายน – มิถุนายน ๒๕๓๐

    นิตยสารธรรมกาย ฉบับที่ ๑๐
    ตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๓๑
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    บทที่ 17 Thanks for some more time,
    to guide Dad to heaven.


    2529






    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังทำงานอยู่ที่บ้าน

    "คุณคะ ให้รีบไปโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ด่วน ห้อง ICU
    คุณพ่อป่วยหนักค่ะ"

    ที่แท้เด็กรับใช้บ้านคุณแม่โทรมาแจ้งข่าวร้าย ข้าพเจ้ารีบ
    ตรงไปโรงพยาบาลทันที พบพี่น้องทุกคนอยู่กันครบ
    หน้าตาซีดเผือด ด้วยความตกใจ จึงทราบว่าคุณพ่อเส้น
    โลหิตในสมองแตก ไม่รู้สึกตัว แพทย์กำลังช่วยชีวิตอยู่
    นายแพทย์ประจำห้องฉุกเฉิน ออกมาบอกว่าให้ทุกคนทำใจ
    เพราะอาการคุณพ่อน่าวิตกมาก ข้าพเจ้าจึงรีบกลับบ้านเพื่อ
    ปฏิบัติภาวนาหาวิธีช่วยชีวิตท่านทันที

    "ลูกขออาราธนาพระพุทธองค์ทรงโปรดเมตตาช่วยชีวิต
    คุณพ่อของลูกด้วยพระเจ้าค่ะ "

    ข้าพเจ้ากราบทูลวิงวอนองค์สมเด็จพระต้นธาตุต้นธรรม
    ที่ธรรมสภา เห็นเหล่าสงฆ์สาวกและเห็นหลวงพ่อหลายท่านใน
    ธรรมสภาวันนั้น

    "แก้วกายธรรม ธรรมะเป็นเช่นไร เจ้าก็รู้"

    "ลูกทราบพระเจ้าค่ะ แต่ลูกเติบโตมา ยังมิได้สนองพระคุณ
    ท่านเลย จะให้ท่านมาด่วนจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร ลูกขอเอา
    บุญบารมีที่ ลูกสั่งสมมาให้ท่านมีอายุยืนยาวอีกสักระยะหนึ่ง
    เพื่อลูกจะได้นำท่าน ปฏิบัติภาวนา ชี้ธรรมะอันประเสริฐที่
    ลูกได้พบ ได้เห็น ได้โปรดเถอะพระเจ้าค่ะ"

    "ถึงรอดตาย อยู่ได้อีกสักระยะหนึ่ง แต่ต้องเป็นอัมพาต"

    "ได้โปรดเถอะพระเจ้าค่ะ ขอให้ท่านอย่าได้ทุกขเวทนาเลย"

    ลำดับนั้นหลวงพ่อชาซึ่งอยู่ในธรรมสภานั้นด้วย ก็เดินมาหา
    ข้าพเจ้า ตรงหน้าพร้อมสาวกซ้าย - ขวา คู่บารมี

    "ลูกเอ๋ย... แม้หลวงปู่ชอบและตัวหลวงพ่อเองยังหลีก
    อำนาจกรรมไม่พ้น เจ้าอย่าเสียใจไปเลย ได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว"

    ข้าพเจ้ารีบกราบลาและเดินเครื่องประกอบวิชชาธรรมกาย
    สุดละเอียด กำหนดคุณพ่อเข้าศูนย์กลางกาย จรดสายบุญ
    ของข้าพเจ้าต่อเข้ากับ หัวต่อทุกกายของคุณพ่อ
    หลั่งสายบุญสุดละเอียดให้ท่าน เชื่อมตรึงติด ได้ระยะหนึ่ง
    ท่านก็ไม่สามารถจะรับต่อไปได้อีก ข้าพเจ้าจึงกลั่นกาย
    ทุก ๆ กายของท่านให้ใสละเอียด ฟอกธาตุฟอกธรรมของ
    ท่านเท่าที่จะทำได้ แต่เหมือนแผ่นศิลามาปิดทับ กายหยาบ
    ละเอียดหนักมาก ข้าพเจ้าจึงทราบว่าบุคคลที่เป็นอัมพาต
    เป็นเช่นไร เปรียบประดุจมีข้าวสารเป็นกระสอบ ๆ ทับอยู่ตาม
    ร่างกาย ข้างที่เป็นอัมพาต จึงไม่สามารถจะขยับเขยื้อนตัว
    ได้ตามใจปรารถนา

    นับจากวันนั้นมา ทางแพทย์ได้รักษาอาการคุณพ่อจน
    สามารถกลับบ้านได้ แต่มีอาการเป็นอัมพาตที่พอจะช่วย
    เหลือตัวเอง อารมณ์ท่านหงุดหงิด ตลอดเวลา เพราะ
    เวทนาจากโรคภัยไข้เจ็บที่มี และทำใจยังไม่ได้ ที่ต้องหยุด
    การค้าธุรกิจของท่านโดยสิ้นเชิง ข้าพเจ้าพยายามปลีกเวลา
    ไปเยี่ยมเยียมท่านที่บ้าน และพูดธรรมะปฏิบัติ............

    แนะนำท่านให้รู้จักการทำภาวนาในทุกอิริยาบถ
    ไม่ว่าจะเดินยืน นั่ง นอน
    ให้ภาวนาอยู่ทุกขณะจิต
    การทำใจให้ปล่อยวาง
    ด้วยสรรพสิ่งในโลกล้วนเกิดขึ้น
    ตั้งอยู่ได้ในขณะหนึ่ง
    แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา

    และวิธีดับขันธ์ทำให้จิตพ้นจากความผูกพัน สามารถตัด
    ความห่วงใย ในครอบครัว ในทรัพย์สมบัติ อย่าให้จิต
    ประหวัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นที่รักและที่ชัง เป็นอารมณ์
    ขุ่นมัวในใจบ้าง

    ขณะจิตออกจากร่างเป็นเวลาที่สำคัญมาก หากไปเกาะ
    อารมณ์ ที่ไม่ดีเข้าแล้ว จะนำไปสู่ทุคติ มีนรก เปรต
    อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งล้วนเป็น
    ภพกำเนิดที่ไม่พึง ปรารถนา ควรทำจิตให้ใส ยึด
    พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งอันสูงสุด ซึ่งจะนำพาไปสู่สุคติ
    คือสวรรค์ นิพพานได้

    เมื่อท่านทำใจได้ในเรื่องห่วงใยทรัพย์สินการค้า และ
    พิจารณาเห็นว่าไม่มี บุตรชายคนใดจะสืบทอดกิจการค้าได้
    จึงปิดการค้าทุกอย่าง แล้วแบ่งทรัพย์สมบัติเหล่านั้นให้แก่
    บุตรผู้สืบสกุลตามประเพณีจีน




    *********************************************************


    17 สิงหาคม 2534

    ข้าพเจ้าไปเยี่ยมท่านตามปรกติ อยู่ ๆ คุณพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า

    "ลูกจะให้พ่อไปได้หรือยัง พ่อทำจิตภาวนามาทุกวันนี้
    เบื่อหน่ายในกองสังขารที่เวทนานี้มาก
    ใจพ่อไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งใดแล้ว"

    สีหน้าคุณพ่อดูสดใส ไร้กังวล

    "พ่อได้ทำกิจของพ่อเรียบร้อยแล้ว เสียใจอย่างเดียวที่ไม่ได้
    มอบสมบัติ สิ่งใด ๆ ไว้ให้กับลูกสาว เพราะประเพณีชาวจีนจะ
    มอบให้แก่ลูกชาย ผู้สืบสกุลเท่านั้น........"

    ข้าพเจ้ารีบขัดขึ้นว่า....

    "คุณพ่อคะ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำสอนลูกว่า
    ทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทอง คือ สมบัติตาย หากไม่รู้จัก
    ใช้ รู้จักรักษา ก็หมด แม้โจรผู้ร้ายก็สามารถปล้นชิงไปได้
    แต่คุณพ่อได้มอบสมบัติเป็น คือ ปัญญา ความรู้
    การศึกษาที่ ดีแก่ลูก ปัญญานี้ต่างหาก เมื่อตกต้องที่ใด
    ย่อมงอกเงย ให้ความเจริญรุ่งเรือง ออกดอก ออกผลให้
    ชื่นใจ นี่คือ สมบัติอันประเสริฐที่คุณพ่อ ได้มอบให้แก่ลูก
    แล้วต่างหาก"

    คุณพ่อน้ำตาคลอเบ้า ตบหัวข้าพเจ้าเบา ๆ

    "ดี ๆ ต่อไปเจ้าจะดีที่สุด
    ฝากแม่และน้อง ๆ ให้เจ้าช่วยดูแลด้วย"

    ข้าพเจ้ารีบกราบลาท่านและตรงไปวัดปากน้ำ
    (ภาษีเจริญ) เพื่อนำน้ำพระพุทธมนต์ในโบสถ์มาอาบน้ำให้
    ท่านก่อนจาก แต่ไม่ทันการ... คุณพ่อได้เข้าห้องไปอาบน้ำ
    ชำระร่างกายให้สะอาด ก่อนแล้วโดยไม่รอข้าพเจ้ากลับมา
    และได้ดับขันธ์ในท่าคุกเข่า กราบพระอยู่ในห้องน้ำ เมื่อ
    ข้าพเจ้านำน้ำมนต์กลับมา จึงใช้เป็นน้ำอาบศพให้ท่าน แม้จะ
    เสียใจที่สูญเสียท่าน แต่ก็สุขใจที่ทำหน้าที่ความเป็นลูกอย่าง
    สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าจะกระทำได้

    มัจจุราช ชาติมัจจุ มุเหี้ยมโหด
    เราไม่โกรธ เพราะเธอทำ สม่ำเสมอ
    ไม่เลือกเว้น ใครใคร น้ำใจเธอ
    เมื่อได้เจอ แล้วเป็นจับ รับเอาไป

    ด้วยเหตุนี้ โปรดฟัง ท่านทั้งผอง
    พึงตรึกตรอง มองกฏ อันสดใส
    มีชีวิต สร้างบุญ กุศลไป
    คราวสิ้นใจ จักไร้ทุกข์ สบ
    สุขเทอญ ฯ
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +70,535
    ณ ที่ใด มีผู้ปฏิบัติภาวนา
    "วิชชาธรรมกาย" ของพระพุทธเจ้านี้ด้วยดี
    ตรงตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    ท่านแนะนำสั่งสอนไว้ และรักษาสืบต่อไว้ด้วยดี

    บุคคลผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และสถานที่นั้นๆ
    มีความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุขดีทั้งนั้น
    ไม่มีเสื่อมเลย

    จึงขอแนะนำให้ท่านผู้สนใจในธรรมปฏิบัติ
    ลองปฏิบัติดูเถิด
    เมื่อท่านปฏิบัติได้ถึง "ธรรมกาย"
    ก็จะทราบผลดี ... ด้วยตัวของท่านเอง.


    * พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...