ลักษณะเบื้องต้นของนางแก้วคู่บารมีผู้ปรารถนาพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 8 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. hades7006

    hades7006 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +23
    ผมว่านางแก้วไม่ต้องกังวลหรอกครับ เพราะอำนาจกิเลสราคะ พระโพธิสัตว์ไม่มีหรอกครับ ปฏิบัติธรรมสบายๆดีกว่าไหม
     
  2. Onarmol

    Onarmol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +964

    ขออนุโมทนาบุญกับลุงมหาค่ะ ตามความเข้าใจนะคะปรารถนาได้ แต่จะสำเร็จตามปรารถนาได้หรือเปล่านั่นอีกเรื่องหนึ่งค่ะ เหมือนท่านพุทธภูมิเช่นกัน การปรารถนาแต่ละอย่างหากยังบำเพ็ญบารมีไม่เต็ม หรือเต็มแล้วแต่ยังไม่ถึงเวลา ก็ยังเข้าพระนิพพานไม่ได้ หากจะลาจึงคิดว่าอธิษฐานเข้าพระนิพพานชาติปัจจุบันจึงดีที่สุดค่ะ

    เรื่องรายละเอียดโดยมากไม่ค่อยเห็นมีผู้ใดลงเป็นธรรมทานไว้ค่ะ ส่วนตัวมองว่าเสี่ยงต่อการปรามาสอีกด้วย เพราะแต่ละท่านก็มีความรู้ประสบการณ์ต่างกันไป จะเกิดโทษเสียมากกว่า เพราะบางเรื่องก็ทราบด้วยปัจจัตตังค่ะ หรือทราบได้จากญาณผลการปฏิบัติ ใครทำใครได้ จะบอกให้อีกคนเชื่อก็ยาก จึงไม่ค่อยเห็นใครลงรายละเอียด หรือหากเปิดเรื่องไว้เพียงเล็กน้อยค่ะ ส่วนเรื่องเชิงลึกของผู้ปรารถนาแต่ละท่านก็ต่างกันไปอีก

    สิ่งที่แสดงความเห็นไปก็ศึกษาจากหนังสือ คำครูบาอาจารย์ ญาติธรรมผู้ปฏิบัติดีทั้งนั้นค่ะ และยังเป็นผู้น้อยท่องโลกกว้าง ต้องศึกษา และปฏิบัติอีกมากค่ะ ส่วนตัวก็รออ่านองค์ความรู้ประสบการณ์ท่านผู้ปรารถนานางแก้วทุกท่านเช่นกันค่ะ ^__^

    ถ้าตามอ่านรื่องนางแก้วมานานมีก็มีบางกระทู้ที่น่าสนใจ แต่ไม่ขออ้างอิงนะคะ ค้นในพลังจิตยังไงก็เจอค่ะ
     
  3. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947

    ควรต้องสนใจนิดหนึ่งค่ะ เพราะถึงแม้โพธิสัตว์จะไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย แต่นี่เป็นการอธิษฐานของนางแก้ว แม้ไม่ผูกพันโพธิสัตว์ ย่อมผูกพันตัวผู้อธิษฐาน
     
  4. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    อ่านแล้วอยากได้จังเลย คนดีๆแบบนางแก้วใครจะไม่อยากได้ 5555++



    แย่ๆแล้ว เอาเวลาไปภาวนาก่อน ฟุ่งซ่านบ่อยช่วงนี้ 555
     
  5. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ใจเย็นๆครับ เดีั่ยวถึงเวลาก็ได้เองครับ ^^
    ยอดหญิงที่จิตใจเด้ดเดี่ยวยิ่งกว่าบุรุษ
     
  6. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    สงสัยไหมทำไมนางแก้วมาน้อยแท้นับคนได้เลย(เพื่อนผม 1 คน ของคนอื่น) แต่พระโพธิสัตว์เยอะมาก ทั้งที่จำนวนประชากรผู้หญิงมากกว่าตั้ง 7:1 (รึเปล่า?) มันแปลกๆนะว่าไหม ผู้ญิงก็ฟังธรรมได้เหมือนกัน ถือศีลได้เหมือนกันแต่ทำไมน้อยแท้ ผมมีแต่เพื่อนผู้ชายในทางธรรมะนะ ไม่เห็นเขาเจอนะบางท่านก็วัยกลางคนแล้ว และใกล้แล้วก็มีเยอะไม่เห็นเจอนางแก้วนี่ หรือว่าบารมีไม่ถึง เลยไม่มีนางแก้ว หรือลาหนีไปแล้ว
     
  7. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512

    คนอื่นไม่ทราบนะครับ ^^ ว่าแต่ส่ง fb มาใหม่ซิครับ เี่ดี่ยวแอตไป
     
  8. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    นางแก้วในเว็บพลังจิตนี่ใจร้าย อยากจะลาก็ลา ไม่ถามพระโพธิสัตว์ซักคำ
     
  9. ฅนล้านนา

    ฅนล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,000
    อ่านแล้วก็ได้แต่สมเพท เฮ๊ย.สงสารครับฮ่า
     
  10. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    หลวงปู่จามเทศน์เรื่องนางแก้วให้เทวดาฟัง

    เช้ามืดวันหนึ่ง เวลา ๐๕.๐๐ น.ภายหลังจากองค์หลวงปู่ลุกจากที่นั่งภาวนามานอนพักที่เตียงนอน และเล่าเรื่องหนึ่งให้ผู้เขียนฟังดังนี้

    ตะกี้มีนางเทวดา หรือนางฟ้า มาด้วยกัน ๗ ตน
    ตนที่เป็นหัวหน้านุ่งห่มด้วยสีใบตองอ่อน หรือเขียวอ่อน มีรัศมีรุ่งโรจน์เรืองรองเหมือนดั่งสีดอกกุหลาบสีบานเย็น มาขอฟังเทศน์เรื่องนางแก้ว ซึ่งหลวงปู่จามได้เมตตาเทศน์ให้ฟังดังนี้

    นางแก้วนั้นเป็นนางคู่บุญของพระโพธิสัตว์ หญิงใด ชายใด ได้อธิษฐานจิตเป็นคู่บุญญาบารมีด้วยกันแล้ว ก็ให้รักที่จะอยู่คู่กัน เป็นคู่บุญกัน ต้องมีบารมีเสมอกัน มีการให้ทาน มีการรักษาศีล มีการปฏิบัติธรรม มีการบำเพ็ญตนที่เสมอกันหรือใกล้เคียงกัน เรียกว่าเดินคู่และเคียงบ่าเคียงไหล่ในทุกข์ในสุข

    และผู้ใดปรารถนาเป็นนางแก้วจะต้องวางกำลังใจไว้มิให้ย่อหย่อนไปกว่าพระโพธิสัตว์อันเป็นคู่ใจของตน ให้วางวาระจิตใจให้หนัก ให้หนาแน่นมั่นคง ให้เข็มแข็ง

    ให้ระลึกอยู่เสมอว่า ตราบใดพระโพธิสัตว์ผู้เป็นคู่ของตน ยังมิได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรม ต่อให้พบพระพุทธเจ้ามากมายแค่ไหนก็ตาม นางแก้วผู้นั้นก็มิอาจบรรลุธรรมได้

    อีกทั้งจะต้องประสบกับความทุกข์ ความยากนานัปการ และดูจะหนักหนาสาหัสกว่าหญิงอื่นใดทั้งปวง

    ด้วยเหตุนี้ นางแก้วจะตามบำเพ็ญในพระโพธิสัตว์คู่บุญของตนไป จนกว่าจะจบพุทธกิจ ด้วยความเข็มแข็งอดทน มีเมตตา มีบารมีสูง หรือจะว่าโดยหลักแล้วก็ต้องวางกำลังใจเฉกเช่นเดียวกันกับพระโพธิสัตว์เจ้าพระองค์หนึ่งนั่นเอง เพราะว่าต้องอาศัยวาระกำลังใจอันสูงส่ง มีความรักเมตตาปรารถนาในปวงสัตว์

    รวมความว่าการเป็นนางแก้วคู่บารมีของพระโพธิสัตว์ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็ง ไม่มุ่งมั่นจริงจัง ถ้าดวงจิตไม่เย็นฉ่ำด้วยความรัก ความเมตตา ความปรารถนาต่อผู้อื่นอย่างท่วมท้น ถ้าขาดเสียในขันติ วิริยะ ปัญญา บารมีทั้ง ๓๐ ทัศแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อันใดที่จะได้บรรลุในภูมิแห่งนางแก้วเช่นเดียวกับแม่เจ้ายโสธราพิมพา ต้องมุมานะพยายามอย่างมาก ๆ

    พอเล่าให้ฟังอย่างนี้นางเทพธิดาทั้ง ๗ ตน ก็กราบลาจากไปด้วยความปลื้มปิติยินดี

    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้เล่า
    พระธัมธโร (ครูบาแจ๋ว) ผู้บันทึก
     
  11. Penty

    Penty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2014
    โพสต์:
    475
    ค่าพลัง:
    +1,580
    ขอให้ได้เด้อ สาธุ 555
     
  12. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... ได้ยินเรื่องนางแก้วผ่านตาบ่อย ๆ เห็นน้อง ๆ สาว ๆ ที่รู้จักในพลังจิตหลายคนอยากเป็นกันจัง กาลีนะ เลยเกิดความสงสัย ... เลยมาตามหาอ่านดู ... แล้วก็เกิดความคิด และ สงสัยมากมายจากกระทู้นี้คะ

    1. เท่าที่อ่านมานี้ผู้ที่ปรารถนาเป็นนางแก้วต้องมีกำลังใจเข้มแข็งกว่าคู่ของตนใช่ไหม๊คะ ?

    ... ถ้าใช่ ... นางแก้วก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนหวานเรียบร้อยเสมอไป .. น่าจะเป็นคนที่ใจเด็ดเดี่ยว มั่นคง แต่มีมารยาท และ อัธยาศัยดี ...

    .. ถ้าไม่ใช่ นางแก้วก็ต้องเป็นเหมือนคนอ่อนแอ ต้องให้คนอื่นปกป้อง เพราะแช่มช้อย นิ่มนวล บอบบาง ( แล้วจะร่วมทุกข์กันได้อย่างไร ชีวิตจริงเดี๋ยวนี้มันต้องปากกัดตีนถีบช่วยกันแล้วคะ ยกเว้นคู่จะเป็นคนรวย ถึงรวยมาก )

    2. ถ้านางแก้วต้องเสียสละมากมายขนาดนี้ .. แทบจะเอาชีวิตทั้งชีวิตรับใช้คู่ของตนปรนนิบัติพัดวีทุกอย่าง .. แล้วทำไม เวลารับผลถึงได้น้อยกว่าคู่ตัวเอง .. ในเมื่อทำอะไรก็เหมือนกัน แถมนางแก้วต้องทำเยอะกว่าด้วย .. แต่บารมีกลับดูด้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจ

    3. สงสัยมานานแล้วว่าทำไม สาว ๆ ทั้งสาวน้อย และ สาวเหลือน้อย .. ถึงอยากเป็นนางแก้วกันนัก .. ทั้งที่สุดท้ายตอนจบตัวเองก็ต้องถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว .. เพราะคู่ของตนต้องฝึกต้องปฏิบัติให้บรรลุนิพพานไปก่อนตัวเองอยู่ดี .. หรือ ว่ามันเท่ห์ดี อันนี้ก็ไม่เข้าใจ เพราะส่วนตัวไม่ได้ปรารถนาเป็นนางแกว้อยู่แล้ว .. แต่เป็นผู้ปรารถนามีคู่ครองที่อยู่ด้วยกันได้จนแก่เฒ่า ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ... ไม่อยากโดดเดี่ยว .. แต่ถ้ามีคู่แล้วมีแต่สร้างทุกข์ก็ไม่เอาคะ ..

    4. ได้ยินมาหนาหูมากหลัง ๆ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ มักเสาะแสวงหานางแก้วมาเป็นของตน .. บางคนสะสมเป็นเข่ง ๆ เลยก็มี ประมาณว่ามีบริวารมากนางแก้วก็ต้องมากตาม .. มีแบบหาเผื่อเลือกด้วย .. ทำไมไม่ปล่อยให้เป็นไปตามที่ " กรรมของแต่ละคนกำหนด " มันน่าจะดีกว่านะคะ .. จะผูกเวรกรรมกันไปทำไมมากมายไม่จบสิ้น

    ... เคยเจอแบบว่า คิดว่าคนนี้น่าจะเป็นนางแก้วของตนเองได้ก็จีบเลย .. แต่พอสักพักรู้สึกไม่ใช่แหละไม่เอาดีกว่า .. ก็หายไปเลยไปหาคนใหม่ .. หรือ บางคน " จีบพ่วงกันไปเลยทีละหลายคนเอาไว้เลือก " อันนี้ก็ไม่ไหวนะคะ ความรู้สึกของคนไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ .. น่าปวดหัวจริง ๆ

    5. ผู้หญิงบางคนจากประสบการณ์นะคะ เขาเกิดมาก็มี " ดวงค้ำสามี " มาโดยกำเนิด คือ " จะได้คู่ครองที่เป็นคนสูงศักดิ์ มีความรู้สติปัญญาดี และคู่ครองกับคุณจะเข้าใจกันและเกื้อกูลกันดี ได้คู่ซึ่งเป็นบุพเพสันนิวาส เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน เป็นคู่ที่ซื่อสัตย์ต่อกันแต่งงานกับมีคนฐานะดี " แค่นี้ก็น่าจะพอผ่านคุณสมบัติเบื้องตนบางข้อของการเป็นนางแก้วได้นะคะ .. กาลีนะ คิดเอาเองคะ

    6. ถ้าไม่ต้องมีนางแก้ว .. จะบรรลุฯ กันไม่ได้เลยเหรอคะ ...

    7. แล้วทำไมเรื่อง " คู่ครอง " ถึงไม่ปล่อยให้เป็นไปตาม " บุญทำ กรรมแต่ง " ของแต่ละท่านเองน่าจะดีนะคะ ... มิควรจะสรรหาน่าจะรอให้วาสนาชักนำพาให้มาคู่กันน่าจะดีกว่า ... ฝืนกรรมคงไม่เป็นผลดีแน่ ..

    ... วันนี้ฝากไว้แค่นี้ก่อนคะ .. แวะผ่านมาแล้วสงสัยเลยฝากไว้ให้พิจารณาคะ ^_^
     
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ลองอ่านเรื่องราวในพระสูตรนี้ดูนะครับ
    เบื้องต้นของพระเจ้าแม่พิมพา ก็ไม่ได้ปรารถนาเป็นพระนางแก้วคู่พระบารมี ขององค์สมเด็จพระองค์ปัจจุบัน

    หนำซ้ำยังหนีในชาติต่อมาที่ต่างก็มาเกิดเป็นลูกกษัตริยทั้งสองพระองค์ สนุกมากยิ่งกว่าระครในทีวี

    ผมเองก็ได้ลองๆทำมั่งสมัยเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังทรงขันท์ห้าอยู่ น้องนางบ้านนาก็ตาม น้องนางในเมืองก็ตามใครที่เขาคล่องตัวจริยาดี เอาเป็นว่าดีแบบไทย สวยแบบไทยๆ เมื่อเขาทำบุญก็ตามถวายสังฆทานก็ตาม ผมก็ไปถวายทับหลัง ทั้งที่วัด ทั้งที่บ้านซอยสายลม และทุกที่ที่มีโอกาส แล้วก็อธิฐาน แบบที่องค์สมเด็จท่านทรงอธิฐานมาแล้วในอดีต ต่อหน้าหลวงพ่อ ท่านก็มองหน้าผมแล้วท่านก็ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง ท่านก็ให้พรตามมาตรฐานของท่าน รวยๆๆ ปรารถนาสมหวังลูกเอ๊ย ทำอย่างนี้หลายสิบนาง แม้แต่หยอดสตางค์ใส่ตู้ทำบุญ หรือสตางค์ใส่บาตรทำบุญ น้องนางในชาติปัจจุบันนี่เสียท่าผมไปเยอะแล้ว ไม่ใช่อะไรจะพิสูจน์คำสอน ก็ไปชนเอาพวกตาดีที่เขาได้มโนมยิทธิ เขาก็มาเข้าฝันหลายราย ว่าเสียใจนะพี่ทิศถึงพี่จะบวชเรียนแล้ว แต่น้องนางจะไปรักษาอุโบสถอยู่กับแม่ นั่นก็หมายความ เขามาในฝันมาถึงก็ยกมือไหว้เอาซะที่อกเลยบอกว่ากราบขอบพระคุณในความเมตตาปราณี แต่น้องหญิงตัดสินใจเข้าพระนิพพานชาตินี้ คงไม่ได้ไปต่อกับพี่แล้วนะ ไอ้รายนี้มากับแม่เลย

    อีกรายอ้ายนี่ตัวเป็นๆมาเลยได้มโนมยิทธิ มาที่วิหารน้ำน้อย นี่มาหลายวันช่วยงาน ช่วยอะไรต่อมิอะไรต่างๆที่วิหาร วันสุดท้ายผมนั่งกราบพระอยู่ที่ชั้นล่างของวิหารอยู่คนเดียวน้องนางนี้ชื่อแซ่ก็ไม่รู้จัก วันหลังมาอ่านพบที่ตรงนี้ก็บอกชื่อแซ่ให้จดจำบ้างเด๊อ ก็มานั่งกราบพระข้างๆ กราบพระเสร็จก็หันมาทางผมแล้วก็กึ่งไหว้กึ่งกราบลงมาที่ตักแล้วก็ไม่เงยหน้าสอึกสอื้น อยู่พักหนึ่งผมก็เอามือลูบหัวถามว่าเป็นไงร้องไห้ ก็สอื้นตอบบอกว่าคุณพี่เจ้าขาน้องกราบขมาทั้งหมดในอดีตขอจงงดโทษ กราบขอบพระคุณทั้งหมดที่ผ่านมา และมากราบลาวันนี้ น้องจะเดินทางย้ายที่ทำงานตามคำสั่ง

    ปัจจุบันมาทำงานที่หาดใหญ่ประจำอยู่ที่นั่นสองปีแล้ว น้องมาช่วยงานที่น้ำน้อยแทบจะทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ วันนี้มาลาไม่ใช่แค่ย้ายที่ทำงาน แต่ที่มาลาเพราะ จะไม่ขอติดตามคุณพี่อีกในชาติต่อๆไปเรื่องงานของพระโพธิญาณ จะขอเจริญสมณธรรมเพื่อเข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ ขอจบชาตินี้ ก็ดึงเขาให้ลุกขึ้นนั่งขอดูหน้าชัดๆ น้ำตายังเป็นสาย ก็บอกว่า เอ คนเขาจะไปพระนิพพานเขาไม่ขี้แยแบบนี้ แกก็หัวเราะทั้งน้ำตานั่นแหละ (หากจะเล่าตอนนี้ก็ยาวมาก) เพราะมันเป็นการบอกลากันชาติสุดท้าย เอาสั้นๆก็ประคองหน้าเขาดูอย่างเต็มตา เรื่องใจไม่ต้องบรรยาย ก็ปาดน้ำตาให้เขาแล้วก็บอกโมทนาสาธุอย่างยิ่ง การที่พี่ปรารถนาพระโพธิญาณทนลำบากยากเข็ญทุกอย่างทุกเมื่อเชื่อวันอยู่นี่ ก็เพื่อรอทุกคน เพื่อที่จะพาทุกคนที่ติดตามกันมาแต่เดิม ไม่เคยเน้นคนใหม่ เขาจะไปกับเราหรือไม่ไปไม่สำคัญ ขอแค่พาคนที่เคยรักคนที่เคยมีคุณเกี่ยวเนื่องกันมาแต่หนหลังเป็นหลัก ไม่เคยมองคนใหม่ดีกว่าคนเก่า คนใหม่ที่เพิ่มเข้ามาทั้งหมดหากเขาจะไปกับคณะเราก็ยินดีต้อนรับ แต่ไม่เคยเหยียบย่ำคนที่อยู่ก่อนให้เสียใจ พูดถึงตอนนี้น้องนางกลายเป็นร้องแงๆ ที่อธิฐานขอกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ขอเอาแต่คนที่เคยเกี่ยวเนื่องกันมาในอดีต คนที่ตระกูลเผ่าพันธุ์เดียวกันเท่านั้น เพราะคนอื่นนี่มันพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็บอกว่ายินดีเป็นอย่างมากที่ตัดสินใจแบบนี้ พี่เองหมดห่วงไปทีละคนสองคน หากทุกคนไปได้หมดก่อน แล้วเหลือแค่พี่คนเดียว เมื่อบรรลุแล้ว เหลือคนให้สอนห้าคนสิบก็ยิ่งดีสบายมาก ไม่ต้องเหนื่อยมาก ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไร ก็ยังมีรูปเขาอยู่แต่ไม่นำมาลงนะ สวยมากคนหนึ่งคล่องตัวทำงานท่าอากาศยานเอาแค่นี้พอ แล้วแกก็ฟุบหน้าอยู่ที่ตักต่อตอนนี้ชักจะอายๆ ความจริงเห็นมาเป็นปีแล้วแต่ไม่ได้คิดอะไรชาตินี้ เข้าใจว่าแต่งงานมีครอบครัวแล้ว


    ถามเขาว่าแล้วแต่งงานหรือยัง แกบอกว่ายัง แล้วก็ไม่คิดมีครอบครัว ถามว่าทำไมแกบอกว่าหาไม่พบ เมื่อพบแล้วก็ไม่ว่าง ก็บอกแกว่ารู้ใช่ไหมว่าคุณพี่นี่ปรารถนาพระโพธิญาณ มันไม่ค่อยจะว่างเมียแกก็หัวเราะคิก บอกว่ารู้ แล้วก็รู้ว่าไม่ค่อยจะว่างสักชาติ เจอเมื่อไรไม่ว่างเมื่อนั้น เพราะรู้นี่แหละ ถึงได้ช่วยพี่ใหญ่ทำงานทุกอย่างที่นี่ เคยคิดว่าจะพูดกับพี่ใหญ่หลายครั้ง แต่ว่าเพราะใจตอนนี้อยากไปพระนิพพานมากกว่า เลยไม่รายงานตัวได้แต่ช่วยพี่ใหญ่

    นี่เมื่อกลางวันไปอ่านบันทึกของตัวเองมาค่อยจำรายละเอียดได้มากขึ้น

    อ่านเรื่องราวของท่านแม่เจ้าพิมพาดูนะครับ

    ในอดีตกาลพระนางพิมพาได้เกิดเป็นสตรีผู้เป็นพี่สะใภ้ส่วนพระโพธิสัตว์เกิดเป็นน้องสามีทั้งสองอยู่ร่วมบ้านกันเนื่องจากพระโพธิสัตว์นั้นยังไม่มีภริยา

    วันหนึ่งพี่สะใภ้ได้ทอดขนมที่มีรสชาติอร่อยยิ่งนักและแจกบริโภคกันจนหมดโดยแบ่งส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้น้องสามีที่ไปป่า

    ขณะนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบิณฑบาตพี่สะใภ้จึงนำขนมที่เก็บไว้มาถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าเสีย คิดว่าเดี๋ยวค่อยทำให้ใหม่แต่ขณะที่ยังไม่ได้ทำ น้องสามีก็กลับมาจากป่านางบอกกับน้องสามีว่า

    น้องชายเอ๋ย จงทำจิตใจให้ผ่องใสเถิดขนมอันเป็นส่วนของน้องพี่ได้ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว

    ฝ่ายน้องสามีกลับโกรธว่า
    เจ้ากินขนมอันเป็นส่วนของเจ้าหมดแล้วกลับมาเอาขนมอันเป็นส่วนของข้าไปถวายพระชิชะแล้วข้าจักกินอะไรเล่า

    แล้วเขาก็รีบตามพระปัจเจกพุทธเจ้าไปทวงขนมในบาตรกลับคืนมาฝ่ายพี่สะใภ้ก็รีบไปยังเรือนมารดา ไปเอาเนยใสที่ยังใหม่และใสสะอาดมีสีคล้ายดอกจำปามาใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าแทนจนเต็มบาตรและเมื่อได้เห็นเนยใสแผ่เป็นรัศมีออกไปนางจึงตั้งความปรารถนาว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญในที่ที่ดิฉันจะเกิดแล้วข้างหน้า ขอให้ร่างกายของดิฉันจงเกิดมีรัศมีเปล่งปลั่งและมีรูปร่างสดสวยงดงามเป็นอย่างยิ่งเถิดอนึ่งขออย่าให้ดิฉันได้อยู่ร่วมในที่แห่งเดียวกันกับคนที่เป็นอสัตบุรุษดังน้องผัวของดิฉันคนนี้เลย

    ฝ่ายน้องสามีเห็นดังนั้นจึงเอาขนมของตนใส่ลงในบาตรที่เต็มด้วยเนยใสแล้วตั้งความปรารถนาว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พี่สะใภ้ของข้าพเจ้าคนนี้แม้จะอยู่ในที่ไกลแสนไกลตั้งร้อยโยชน์ก็ตามขอให้ข้าพเจ้าพึงมีความสามารถไปนำมาเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้าให้จงได้เถิด

    ว่าจะไม่ลงรูปเขา แต่ก็เป็นการระลึกถึงเขา เอาแบบไม่ต้องเห็นหน้าก็แล้วกัน คนกลางข้างแม่ใหญ่ของผมนั่นแหละ ขอปิดหน้าของเขานะครับอายุน้อยกว่าแม่ใหญ่หลายปีคนนี้ก็ถูกชะตากันกับแม่ใหญ่ของผมมาก ความจริงแม่ใหญ่ของผมแกก็รู้ก่อนผมด้วยซ้ำไปก็เดาๆว่าฤทธิทางใจของแม่ใหญ่นั่นแหละ แม่ใหญ่นี่ไม่มีอาการรังเกียจน้องคนใหน ยิ้มแย้มแจ่มใสแกรับของแกได้หมด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มิถุนายน 2014
  14. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ขอบคุณนะคะ ที่นำความรู้ และ ประสบการณ์มาให้ทัศนา ... ทุกอย่างเป็นไปด้วยมี " กรรมวาจา และ มโนกรรม " เป็นตัวตั้งแห่งการดำเนินไปทั้งหมดนั้นเอง .. พอเข้าใจแล้วคะ ... จะได้นำมาประกอบกับความรู้เรื่องการกำเนิดเนื้อคู่ที่ตนเองเคยศึกษามาพอสมควร ... จะได้มีประโยชน์ในการต่อไป .. ส่วนตัวสละแล้วไม่เอาคะ ..
     
  15. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    โมทนาสาธุนะครับ เจตนาเป็นตัวกรรม แล้วไอ้ตัวกรรมนี่แหละเป็นตัวกำหนด ทั้งกรรมดี และกรรมไม่ดี จะพ้นไอ้กรรมไม่ดีได้ก็ต่อเมื่อเราเริ่มเข้ากระแสพระนิพพานในตำราบอกว่ามีการละสังโยชน์สิบ หากเราละสามข้อแรกได้ก็เป็นที่แน่นอนว่าในอนาคตต่อๆไปกรรมวาจา และมโนกรรม มันก็ตามเราไปไม่ได้ไกล เดี๋ยวมันก็เลิกตาม อย่างช้าตำราบอกว่าอีกเจ็ดชาติ อย่างเร็วอีกสามชาติ เพราะมันไม่กล้าตามเข้าเขตพระนิพพาน

    ถึงแม้โดยส่วนตัวคุณKalinaตั้งใจสละ เราต้องการละ แต่หากไปพบอย่างที่พระแม่เจ้าพิมพา บอกได้เลยไม่มีทางหนีพ้นไปได้ บุญญาธิการของคนที่สั่งสมมาอย่างยาวนานเพื่อการบรรลุพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเนื้อแท้นั้น ด้วยเดชเดชะทั้งอำนาจและวาสนาอะไรก็ขวางท่านยาก เรื่องบางเรื่องคนทำให้ไม่ได้ เทวดาต้องมาทำให้ เรื่องบางเรื่องเทวดาทำไม่ได้พรหมต้องมาทำให้นี่หากว่าเขาดีจริงถึงจริง ก็มีตัวอย่างในพระสูตรมากมาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2014
  16. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เรื่องราวเต็มๆของพระเจ้าแม่พิมพา สมัยเป็นพระนางเจ้าประภาวดี

    กาลเวลาล่วงมาถึงสมัยหนึ่ง ณ นครกุสาวดี แคว้นมัลละ มีพระราชาปกครองทรงพระนามว่า พระเจ้าโอกกากราช มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่า สีลวดี และมีสนมนางในแวดล้อมอีก ๑๖,๐๐๐ นาง

    พระนางสีลวดีกับพระสนมทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเลยที่ให้กำเนิดราชโอรสหรือราชธิดาแก่พระราชา ชาวเมืองทั้งหลายจึงพาร้องเรียนพระราชา ขอให้พระองค์ทรงปล่อยพระสนมทั้งหมดไปเป็นนางฟ้อนโดยธรรม ๗ วัน เผื่อว่าพระสนมจะได้มีบุตร ซึ่งพระราชาก็ทรงยอมกระทำตามคำของชาวเมือง แต่ก็ไม่มีพระสนมคนใดให้บุตรแก่พระองค์

    ชาวเมืองจึงกราบทูลว่า เพราะนางเหล่านั้นไม่มีบุญจึงไม่มีบุตร แต่พระอัครมเหสีสีลวดีนั้นทรงสมบูรณ์ด้วยศีล ขอให้พระราชาปล่อยพระนางไปเป็นนางฟ้อน คงจะได้พระโอรสเป็นแน่แท้

    พระราชาจึงรับสั่งให้ตีกลองร้องป่าวประกาศว่า พระราชาจะทรงปล่อยพระนางเจ้าสีลวดีให้เป็นนางฟ้อนโดยธรรมเพื่อให้ได้บุตร บรรดาผู้ชายทั้งหลายจึงมาประชุมกันเนืองแน่น

    ด้วยเดชะแห่งศีลของพระนางสีลวดี พิภพของท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกะทรงทราบเหตุจึงแปลงกายเป็นพราหมณ์แก่ไปรอรับพระนางสีลวดีด้วย

    เมื่อพระนางสีลวดีเสด็จออกมาหน้าประตูเมือง ท้าวสักกะก็ใช้อานุภาพไปอยู่ข้างหน้า บดบังชายอื่นเสียหมดสิ้น แล้วจูงมือพระนางสีลวดีไป ฝ่ายพระราชาและชาวเมืองเห็นพระนางสีลวดีไปกับพราหมณ์แก่ ก็เสียใจว่าพราหมณ์นั้นไม่สมควรแก่พระนางเลย

    ท้าวสักกะทรงพาพระนางสีลวดีไปยังวิมานในเทวโลก แล้วตรัสให้พรพระนางข้อหนึ่งตามแต่จะขอ พระนางสีลวดีจึงทูลขอพระโอรส ๑ องค์

    ท้าวสักกะตรัสว่าจะให้ ๒ องค์ โดยองค์หนึ่งมีปัญญาแต่รูปไม่งาม กับอีกองค์หนึ่งรูปงามแต่ปัญญาน้อยกว่า พระนางจะเลือกองค์ไหนให้ไปประสูติก่อน

    พระนางสีลวดีก็เลือกโอรสที่มีปัญญาก่อน ท้าวสักกะตรัสให้พรนั้น แล้วทรงประทานสิ่งของ ๕ อย่างแก่พระนาง คือ หญ้าคา ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉัตรทิพย์ และพิณ แล้วทรงพาพระนางเหาะกลับไปคืนในห้องบรรทมพระราชา แล้วทรงลูบท้องพระนางให้บังเกิดบุตร

    ฝ่ายพระราชาทรงตื่นจากพระบรรทม ทอดพระเนตรเห็นพระอัครชายา จึงตรัสถามความเป็นมา พระอัครชายาก็กราบทูลตามความเป็นจริงพร้อมแสดงของ ๕ อย่างนั้น พระราชาจึงทรงเชื่อ

    ต่อมาพระนางสีลวดีก็ประสูติพระราชโอรส ๒ องค์ องค์โตมีนามว่า กุสติณ ส่วนองค์เล็กมีนามว่า ชยัมบดี

    กุสติณราชกุมารนั้น เมื่อเจริญวัยขึ้นก็มีปัญญามาก ทรงสำเร็จในศิลปศาสตร์ทั้งหมดได้ด้วยพระปัญญาของพระองค์เอง แต่พระองค์นั้นรูปไม่งาม ด้วยอกุศลกรรมจากชาติที่ไปทวงขนมคืนจากในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า
    เมื่อกุสติณราชกุมารอายุได้ ๑๖ ชันษา พระราชาจะมอบราชสมบัติ พร้อมจัดหาพระชายาและพระสนมให้ แต่กุสติณกุมารทรงคิดว่าตนเองรูปร่างไม่สวยงาม แม้ได้พระธิดาที่สวยไปด้วยรูปมาอยู่กับตน นางก็คงจะหนีไป พระองค์จึงตอบปฏิเสธพระราชบิดาและพระราชมารดาไปถึง ๓ ครั้ง

    ต่อมาครั้งที่ ๔ พระโอรสคิดว่าไม่สมควรที่จะปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผล พระองค์จึงได้นำทองคำมาปั้นเป็นรูปหญิงสาว ด้วยอำนาจบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ ทองนั้นก็เป็นรูปหญิงสาวสวยงามปานเทพธิดา และเปล่งปลั่งดั่งมีชีวิตจริง จนแม้แต่ช่างทองยังเข้าใจผิดว่าเป็นเทพธิดาจริง ๆ

    กุสติณราชกุมารให้ช่างทองนำรูปทองไปถวายพระราชา และทูลว่าพระองค์จะครองเรือนและรับราชสมบัติหากได้อภิเษกกับหญิงงามเสมอรูปปั้นนี้

    พระราชาจึงให้อำมาตย์นำรูปทองแห่ไปตามเมืองต่าง ๆ เพื่อเสาะหาหญิงสาวที่งามเสมอรูปทองนั้น

    อำมาตย์พร้อมขบวนบริวารจึงนำรูปปั้นทองขึ้นตั้งไว้บนยาน แล้วเที่ยวเสาะหาไปทั่วชมพูทวีป โดยเมื่อขบวนมาถึงที่ที่มหาชนชุมนุมกัน ก็จะปล่อยยานนั้นไว้ และคอยฟังมหาชนว่าเขาจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับรูปปั้นนั้น

    ฝ่ายมหาชนทั้งหลาย ครั้นมองดูรูปทองนั้น คิดว่าเป็นหญิงจริง ๆ จึงพากันชมเชยว่า หญิงนี้แม้เป็นเพียงหญิงมนุษย์ ก็ยังสวยงามอย่างที่สุดเปรียบประดุจนางเทพอัปสร นางมาจากไหนกัน ทำไมจึงมายืนอยู่ในที่นี้ หญิงงามปานนี้ในเมืองเราไม่เคยมีเลย

    เมื่อได้ยินว่าเมืองนี้ไม่มีหญิงใดงามเท่ารูปทอง อำมาตย์ก็จะเคลื่อนขบวนไปเมืองอื่น จนกระทั่งไปถึงเมืองสาคละ แคว้นมัททะ

    ในครั้งนั้น พระนางพิมพา ได้มาเกิดเป็นพระราชธิดาองค์โตในจำนวนธิดา ๘ พระองค์ของพระเจ้ามัททราช มีนามว่า เจ้าหญิงประภาวดี

    พระราชธิดาของพระเจ้ามัททราชนั้น แต่ละองค์มีรูปโฉมงดงามเปรียบประดุจนางฟ้า แต่พระธิดาประภาวดีนั้นทรงมีความงามเลิศกว่าพระธิดาองค์ใด เพราะพระนางมีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระสรีระคล้ายแสงดวงอาทิตย์อ่อน ด้วยกุศลกรรมจากการใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยเนยใส

    วันหนึ่งพระนางประภาวดีตรัสสั่งให้ทาสี ๘ คน ไปตักน้ำมาสำหรับสรงสนาน พระพี่เลี้ยงคนหนึ่งที่เป็นหญิงค่อมก็ออกมาดูที่ท่าน้ำ ครั้นมองไปเห็นรูปทองคำที่ตั้งไว้ข้างริมทาง เข้าใจว่าเป็นพระนางประภาวดีจึงเข้าไปหา กราบทูลว่าพระนางใช้ให้มาตักน้ำ แล้วเหตุใดจึงมายืนดักอยู่ที่นี้ ถ้าพระราชาทรงทราบพวกนางจะเดือดร้อน พูดแล้วก็เอามือแตะรูปนั้นจึงได้รู้ว่าเป็นทอง ไม่ใช่พระราชธิดา

    ฝ่ายอำมาตย์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ เข้ามาสอบถามนางพี่เลี้ยงค่อมจนรู้ความ จึงนำรูปทองนั้นและเครื่องราชย์ทั้งหลายเข้าไปถวายพระเจ้ามัททราช กราบทูลว่า พระเจ้าโอกกากราชประสงค์จะสู่ขอพระนางประภาวดีให้แก่พระโอรสองค์โต และจะมอบราชสมบัติให้พระโอรสนั้น

    พระเจ้ามัททราชก็ทรงรับด้วยความยินดี พระเจ้าโอกกากราชและพระนางสีลวดีจึงเสด็จมารับพระนางประภาวดีกลับนครกุสาวดีด้วยพระองค์เอง
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2014
  17. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระนางสีลวดีนั้น เห็นว่าลูกสะใภ้ของตนมีความงามปานเทพธิดา หากได้แลเห็นพระโอรสกุสติณเต็มตาก็คงรังเกียจ และหนีไป พระนางจึงออกอุบายหลอกพระนางประภาวดีว่า ตามธรรมเนียมราชวงศ์ ห้ามพระชายาพบหน้าพระสวามีในเวลากลางวันอย่างเด็ดขาดจนกว่าจะตั้งพระครรภ์เสียก่อน พระนางประภาวดีไม่รู้ก็ทรงรับอุบายนั้นไว้

    แล้วพระเจ้าโอกกากราชก็ทรงแต่งตั้งให้เจ้าชายกุสติณขึ้นครองราชสมบัติสืบแทน และตั้งพระนางประภาวดีเป็นพระมเหสี โดยทั้งสองต่างยังไม่เคยเห็นหน้ากันในเวลากลางวันเลย เมื่ออยู่ร่วมกันในเวลากลางคืนนั้น รัศมีแห่งพระนางประภาวดีก็ไม่มากพอจะทำให้เห็นพระพักตร์พระสวามีได้

    ผ่านไป ๒-๓ วัน พระเจ้ากุสราชก็อ้อนวอนพระมารดา อยากดูหน้าชายาของตน พระมารดาก็บอกให้รอไปก่อน แต่อ้อนวอนหนักเข้า พระมารดาจึงออกอุบายให้พระเจ้ากุสราชไปรอที่โรงช้าง ทำตัวเหมือนคนเลี้ยงช้าง แล้วพระนางจะพาพระนางประภาวดีเสด็จไป

    ระหว่างเสด็จดูโรงช้าง พระกุสราชก็หยิบมูลช้างก้อนหนึ่งขว้างไปที่หลังพระนางประภาวดีเพื่อจะได้ให้นางหันมา พระนางประภาวดีทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ทูลพระมารดาให้ลงโทษ ฝ่ายพระมารดาก็ทรงปลอบประโลมให้หายกริ้ว

    ต่อมาพระเจ้ากุสราชอยากเห็นหน้าพระชายาอีก พระมารดาจึงพาพระนางประภาวดีเสด็จดูโรงม้า พระเจ้ากุสราชก็เอามูลม้าขว้างไปเหมือนเดิม พระนางประภาวดีก็ทรงกริ้วใหญ่ แต่พระมารดาก็ทรงปลอบประโลมเหมือนเดิม

    วันต่อมา พระนางประภาวดีทรงใคร่จะได้เห็นหน้าพระสวามีบ้าง จึงทูลบอกแก่พระมารดา แต่พระมารดาก็บอกให้รอไปก่อน พระนางรบเร้าหนักเข้า พระมารดาจึงบอกว่าพรุ่งนี้พระเจ้ากุสราชจะเสด็จเลียบพระนคร ให้พระนางประภาวดีไปแอบดูเอาเอง

    วันรุ่งขึ้น พระมารดาก็สั่งให้ พระชยัมบดีอนุชา ทรงเครื่องต้นอย่างกษัตริย์ ประทับนั่งบนหลังช้าง แล้วให้พระเจ้ากุสราชประทับนั่งบนอาสนะข้างหลัง แล้วทรงพาพระนางประภาวดีไปประทับยืนดูที่สีหบัญชร

    เมื่อพระนางประภาวดีเห็น ก็สำคัญผิดว่าเราได้พระสวามีที่มีความงามสมควรกันแล้ว ก็ทรงมีพระทัยโสมนัส

    ฝ่ายพระเจ้ากุสราช เมื่อทรงทอดพระเนตรขึ้นมาเห็นพระนางประภาวดี พระองค์ก็แสดงอาการยั่วเย้า พระนางประภาวดีไม่พอพระทัย ทูลพระมารดาให้ลงโทษ แต่พระมารดาก็แก้ต่างให้

    พระนางประภาวดีจึงเริ่มสงสัยว่านายควาญช้างคนนี้คงจะเป็นพระเจ้ากุสราชเป็นแน่ แต่เพราะพระองค์มีหน้าตาน่าเกลียด จึงไม่ยอมแสดงองค์

    พระนางประภาวดีจึงทรงกระซิบสั่งนางค่อมพี่เลี้ยง ให้ไปคอยดูว่าองค์ไหนคือพระเจ้ากุสราช โดยหากเป็นพระเจ้ากุสราช พระองค์จะต้องเสด็จลงจากหลังช้างก่อน นางค่อมก็ตามไปแอบดู ได้รู้ว่าพระเจ้ากุสราชนั้นคือคนที่นั่งข้างหลัง

    ฝ่ายพระเจ้ากุสราช เมื่อลงจากหลังช้าง มองมาเห็นนางค่อมก็รู้ว่านางมาแอบดูจึงรับสั่งให้เรียกนางค่อมมา แล้วตรัสกำชับห้ามนางบอกเรื่องนี้แก่พระนางประภาวดีอย่างเด็ดขาด นางค่อมนั้นจึงกลับไปทูลพระนางประภาวดีว่า พระเจ้ากุสราชผู้เสด็จประทับอยู่บนอาสนะข้างหน้าเสด็จลงก่อน พระนางประภาวดีก็ทรงเชื่อถ้อยคำของนางค่อมนั้น

    วันต่อมา พระเจ้ากุสราช ประสงค์จะได้ทอดพระเนตรเห็นหน้าพระชายา จึงทรงทูลอ้อนวอนพระราชมารดา พระมารดาจึงพาพระนางประภาวดีเสด็จไปยังอุทยาน ส่วนพระเจ้ากุสราช ลงไปแอบอยู่ในสระบัว และเอาใบบัวกำบังไว้

    เมื่อพระนางประภาวดีเห็นสระโบกขรณีอันดารดาษไปด้วยดอกบัว จึงเสด็จลงสรงน้ำพร้อมด้วยนางบริจาริกาทั้งหลาย ครั้นพอทอดพระเนตรเห็นดอกบัวที่พระเจ้ากุสราชถือซ่อนอยู่ก็อยากได้ จึงทรงเอื้อมพระหัตถ์ออกไป

    ลำดับนั้น พระเจ้ากุสราช จึงทรงเปิดใบบัวออก แล้วคว้าพระนางด้วยพระหัตถ์พลางร้องว่า เราคือพระเจ้ากุสราช พระนางพอได้ทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์ของพระสวามีเต็มตาก็ตกใจ ทรงร้องขึ้นด้วยสำคัญว่ายักษ์จับเรา แล้วทรงถึงวิสัญญีภาพ สิ้นพระสติสมฤดีอยู่ในที่ตรงนั้นเอง

    ครั้นพอพระนางประภาวดีรู้สึก พระองค์ก็ทรงเสียพระทัยว่า คนอัปลักษณ์ที่เอามูลช้างขว้างเราที่โรงช้างคือพระเจ้ากุสราช คนอัปลักษณ์ที่เอามูลม้าขว้างเราที่โรงม้าคือพระเจ้ากุสราช คนอัปลักษณ์ที่หยอกล้อเราบนหลังช้างคือพระเจ้ากุสราช คนอัปลักษณ์ที่จับมือเราในกอบัวคือพระเจ้ากุสราช เราไม่ประสงค์พระเจ้ากุสราชที่มีพักตร์อัปลักษณ์เช่นนี้ เราจะทิ้งพระองค์ไป

    ดำริดังนั้นแล้วจึงตรัสสั่งอำมาตย์ที่ตามเสด็จมากับพระนางให้จัดเตรียมพาหนะ เสด็จกลับสาคละนคร อำมาตย์เหล่านั้นจึงไปกราบทูลให้พระเจ้ากุสราชทรงทราบ

    พระเจ้ากุสราชทรงมีดำริว่า หากพระนางไม่ได้กลับ ดวงหทัยของพระนางคงจะแตกเป็นแน่ จึงควรปล่อยให้พระนางกลับไปก่อน แล้วค่อยไปนำพระนางกลับคืนมาภายหลัง พอทรงดำริดังนี้แล้วจึงทรงอนุญาตให้พระนางประภาวดีเสด็จกลับไปได้
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    ........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2014
  18. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เมื่อพระนางประภาวดีเสด็จจากไปแล้ว พระเจ้ากุสราชก็ทรงเศร้าโศกเสียพระทัย เฝ้าแต่รำพึงคิดถึงพระชายา พระองค์ไม่ได้สนพระทัยพระสนมนางอื่นแม้แต่เพียงนางเดียว พระราชนิเวศน์ของพระองค์จึงเงียบสงัดวังเวงคล้ายไม่มีใครอยู่

    พระเจ้ากุสราชทรงรำพึงว่า บัดนี้ พระนางประภาวดีคงไปถึงเมืองสาคละแล้วจึงเสด็จไปเฝ้าพระมารดา กราบทูลว่า พระองค์จะไปตามพระนางประภาวดีที่รักคืนมา กราบทูลแล้ว พระเจ้ากุสราชก็ทรงเหน็บพระแสงอาวุธ ๕ อย่าง กหาปณะพันหนึ่ง พร้อมทั้งภาชนะพระกระยาหาร และทรงถือพิณเสด็จออกจากพระนคร ด้วยพละกำลังของพระองค์ เพียง ๒ วันก็เสด็จถึงเมืองสาคละ

    พระเจ้ากุสราชได้ถือพิณไปบรรเลงที่โรงช้างทรง พระนางประภาวดีได้ยินเสียงพิณก็รู้ว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมาตาม แต่พระนางก็ไม่ยอมพบหน้า พระเจ้ากุสราชคิดว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผล พระองค์จึงเอาพิณไปเก็บ

    วันรุ่งขึ้น พระเจ้ากุสราชได้ไปยังบ้านนายช่างหม้อ ขอฝากตัวเป็นศิษย์ และเพียงวันเดียวเท่านั้น ก็ทรงขนเอาดินมาจนเต็มเรือน และทรงปั้นภาชนะเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หลายชนิดหลากสี สำหรับส่วนที่ปั้นให้พระนางประภาวดีโดยเฉพาะนั้น ได้ทรงกระทำให้มีลวดลายเป็นรูปต่าง ๆ ที่ทำให้พระนางประภาวดีมองเห็นได้แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น

    เมื่อเผาภาชนะนั้นแล้ว นายช่างหม้อก็นำไปยังราชตระกูล พระเจ้ามัททราชทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสถามว่าใครทำ นายช่างหม้อกราบทูลว่า ศิษย์ของข้าพระองค์ทำ พระราชาจึงตรัสว่า ผู้นั้นไม่สมควรเป็นศิษย์ของเจ้า ผู้นั้นจงเป็นอาจารย์ และเจ้าจงศึกษาศิลปะในสำนักของเขาเถิด แล้วพระเจ้ามัททราชก็ให้ช่างหม้อนำภาชนะเล็ก ๆ ไปถวายพระธิดา เมื่อพระนางประภาวดีทรงรับภาชนะที่พระเจ้ากุสราชทำขึ้นโดยเฉพาะ พระนางก็เห็นรูปพระเจ้ากุสราชบนภาชนะ จึงได้ขว้างภาชนะนั้นทิ้งลงบนพื้น

    พระเจ้ากุสราชทรงดำริว่าหากพระองค์ยังอยู่เรือนช่างปั้นหม้อ ก็จะไม่มีโอกาสพบหน้าพระชายา พระองค์จึงเสด็จไปขอเป็นศิษย์นายช่างสาน แล้วนำใบตาลมาประดิษฐ์เป็นของใช้ให้พระนางประภาวดี พระนางประภาวดีก็เห็นรูปพระเจ้ากุสราชอีก จึงทรงกริ้วและขว้างลงบนพื้น รับสั่งว่าใครอยากได้ก็จงเอาไปเถิด

    พระเจ้ากุสราชจึงไปยังสำนักของนายช่างร้อยดอกไม้ ทรงร้อยพวงมาลาแปลก ๆ ถวายพระนางประภาวดี ก็ถูกพระนางประภาวดีจับขว้างลงพื้นอีก

    พระเจ้ากุสราชจึงไปขอทำงานในห้องต้นเครื่องพระราชา พระราชาติดใจรสชาติอาหารจึงรับสั่งให้พระองค์เป็นพ่อครัวทำเครื่องเสวยแก่พระราชาและพระธิดา

    วันรุ่งขึ้น พระเจ้ากุสราชจัดแจงเครื่องเสวยเสร็จแล้ว ก็จัดเครื่องเสวยใส่หาบเสด็จไปยังปราสาทของพระนางประภาวดี พระนางประภาวดีไม่ยอมเปิดทวารรับ ทรงตรัสว่านางไม่ปรารถนาผู้มีผิวพรรณชั่วเช่นพระเจ้ากุสราช ขอให้พระองค์เสด็จกลับกุสาวดี และไปหานางยักษ์ที่มีรูปชั่วเสมอกันมาเป็นมเหสีเถิด

    อาหารที่พระเจ้ากุสราชทำมาให้นั้น พระนางประภาวดีไม่ยอมแตะต้องเลย พระนางได้ขอแลกกับอาหารผักต้มของนางค่อม แล้วกำชับไม่ให้นางบอกใครว่าพระเจ้ากุสราชติดตามมา

    หลายวันผ่านไป พระเจ้ากุสราชทรงอยากรู้ว่าพระนางประภาวดียังมีความเสน่หาอาลัยในพระองค์บ้างหรือไม่ วันหนึ่งเมื่อหาบเครื่องเสวยผ่านหน้าปราสาทของพระนาง พระองค์จึงแกล้งกระทืบบาทเสียงดัง แล้วล้มลงทำทีเป็นสลบอยู่ที่หน้าทวารนั้นเอง

    พระนางประภาวดีได้ยินเสียง เปิดทวารออกมาดู เห็นพระเจ้ากุสราชสิ้นสติอยู่จึงได้เข้าไปช้อนพระเศียรตรวจดูลมหายใจ พระเจ้ากุสราชได้ทีจึงถ่มน้ำลายถูกตัวนาง

    พระนางประภาวดียิ่งโกรธพระเจ้ากุสราชมากยิ่งขึ้น ทรงด่าว่าพระองค์อย่างรุนแรงแล้วเสด็จกลับเข้าพระตำหนัก แม้พระเจ้ากุสราชจะง้องอนอย่างไรพระนางก็ไม่หายโกรธ

    ฝ่ายนางค่อมก็ช่วยเกลี้ยกล่อมพระนางประภาวดี กราบทูลให้พระนางมองความงามที่ความดีและพระปรีชาสามารถของพระเจ้ากุสราช อย่ามองที่พระรูปโฉมเพียงอย่างเดียว แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ


     
  19. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เวลาผ่านไป ๗ เดือน พระเจ้ากุสราชก็ทรงเบื่อที่ไม่ได้เห็นหน้าพระชายาของตนเลย จึงคิดจะเสด็จกลับกุสาวดี

    ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่าพระเจ้ากุสราชทรงเบื่อระอาพระทัย จึงดำริว่าจะต้องช่วยให้พระองค์สมประสงค์ จึงเนรมิตทูต ๗ คน ส่งข่าวไปยังกษัตริย์ ๗ นคร ว่าพระนางประภาวดีทรงละทิ้งพระเจ้ากุสราชกลับมาแล้ว ถ้าพระราชาองค์ใดมีพระประสงค์ในพระนาง ก็จงเสด็จมารับเอาพระนางประภาวดีไปเถิด

    พระราชาทั้ง ๗ นครนั้น จึงนำขบวนมารับพระนางประภาวดี เมื่อมาถึงสาคละ ขบวนของพระราชาทั้ง ๗ นครก็ได้มาพบกัน ต่างองค์ต่างโกรธ เข้าใจว่าพระเจ้ามัททราชดูถูกที่ยกราชธิดาองค์เดียวให้กับกษัตริย์ถึง ๗ องค์

    พระราชา ๗ นครจึงพร้อมใจกันยกพลล้อมพระนคร ส่งสาส์นไปว่าจะออกรบหรือจะส่งพระนางประภาวดีออกมา

    พระเจ้ามัททราชเมื่อได้รับสาส์นก็ทรงกริ้วพระธิดา ว่านางมีพระสวามีเป็นผู้เลิศในชมพูทวีปแล้วยังละทิ้งพระองค์มา ด้วยรังเกียจว่าพระสวามีมีหน้าตาอัปลักษณ์ บัดนี้สมควรแล้วที่จะตัดร่างพระธิดาเป็น ๗ ท่อน แล้วส่งไปให้พระราชาทั้ง ๗ นคร

    พระนางประภาวดีทรงสดับแล้วก็ตกใจกลัว เสด็จไปหาพระมารดาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ พระมารดาจึงเสด็จไปหาพระเจ้ามัททราช แต่พระเจ้ามัททราชก็แจ้งโทษพระธิดาว่า เพราะพระธิดาไม่ทำตามคำของพ่อแม่ ละทิ้งพระสวามีมา ทำให้มีศึกมาติดพระนครเช่นนี้ บัดนี้พระธิดาได้ทำให้ตระกูลเสียหายแล้ว

    พระมารดาหมดทางช่วยจึงกลับมาหาพระธิดา บอกว่าหากนางไม่หลงมัวเมาในรูปโฉมจนละทิ้งพระเจ้ากุสราชมา วันนี้พระเจ้ากุสราชก็คงจะประทับอยู่ที่นี้และช่วยขับไล่ทัพของกษัตริย์ ๗ นครนี้ไปได้

    พระนางประภาวดีจึงกราบทูลความจริงว่าพระเจ้ากุสราชนั้นประทับอยู่ในนครนี้แล้วถึง ๗ เดือน

    พระมารดาไม่เชื่อ พระนางประภาวดีจึงเปิดบานพระแกล ชี้ให้พระมารดูว่าพระเจ้ากุสราชนั้นปลอมพระองค์เป็นพนักงานต้นเครื่อง ที่บัดนี้กำลังก้มพระองค์ทำงานล้างหม้ออยู่

    พระมารดาจึงรีบไปกราบทูลพระเจ้ามัททราชให้ทรงทราบ พระเจ้ามัททราชจึงรีบไปเฝ้าพระเจ้ากุสราช และรับสั่งให้พระธิดามาขอขมา

    พระเจ้ากุสราชนั้นมีพระประสงค์จะทำลายมานะของพระชายา จึงได้ราดน้ำบนพื้นรอบตัวจนเป็นโคลนไปหมด เมื่อพระนางประภาวดีมาถึง พระนางก็กราบขอขมาโทษบนพื้นโคลนที่แทบพระบาทพระเจ้ากุสราชนั้น กราบทูลวิงวอนให้พระองค์ทรงช่วย และพระนางจะไม่ชิงชังพระองค์อีกแล้ว

    พระเจ้ากุสราชทรงตรัสกับพระนางว่า
    “พี่ติดตามน้องมาก็เพราะความรักในตัวน้อง พี่นี้มีอำนาจมีกำลังที่จะทำลายสาคละนครนี้แล้วยึดน้องไปโดยพลการก็ได้ แต่พี่นี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น ก็เพราะพี่รักพระน้องนาง พี่ให้สัญญาแก่น้อง ๒ ข้อ คือ พี่จะไม่โกรธเคืองน้องไม่ว่าเรื่องใด และจะไม่เกลียดชังน้องอย่างเด็ดขาดไม่ว่าเวลาใด”

    พระเจ้ากุสราชทรงชำระล้างองค์และทรงฉลองพระองค์เสียใหม่ และให้พระเจ้ามัททราชเสด็จดูพระองค์ออกศึกอยู่บนพระราชวัง

    แล้วพระเจ้ากุสราชก็ตรัสสั่งให้ทหารจัดแจงเทียมรถ พระองค์จะเสด็จออกไปจับกษัตริย์ทั้ง ๗ นครนั้นมาให้ได้ พระองค์จะไม่ยอมใครมาย่ำยีชายาของพระองค์

    ก็พระเจ้ากุสราช ครั้นเสด็จขึ้นประทับบนคอช้างสาร โปรดให้นาง ประภาวดีประทับเบื้องหลังแล้ว เสด็จเข้าสู่สงคราม ทรงบันลือพระ สุรสีหนาท ทรงเปล่งพระสุรเสียงประกาศดังก้องไปทั้งชมพูทวีปว่า

    “เราคือพระเจ้ากุสราช ใครรักชีวิต ก็จงยอมอ่อนน้อมกับเราเสียเถิด”

    กษัตริย์เจ็ดพระนครทรงสดับพระสุรสีหนาทของพระเจ้า กุสราช ผู้บันลืออยู่ ผู้อันความกลัวแต่เสียงของพระเจ้ากุสราชคุกคามแล้ว พากันแตกหนีไปเหมือนดังฝูงมฤคได้ยินเสียงแห่งราชสีห์ก็พากันหนีไป ฉะนั้น พวกพลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า ผู้อันความกลัวแต่เสียง พระเจ้ากุสราชคุกคามแล้ว ก็พากันแตกตื่นเหยียบย่ำกันและกัน จับตัวกษัตริย์ ๗ นครมาถวายพระเจ้ามัททราชให้ทรงลงโทษ แต่พระเจ้ามัททราชบอกว่ากษัตริย์ทั้ง ๗ นี้ ไม่ได้เป็นศัตรูของพระองค์ แต่เป็นศัตรูของพระเจ้ากุสราชโดยตรง จึงขอให้พระเจ้ากุสราชตัดสินพระทัยเอง

    ท้าว สักกะจอมเทพ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ทรงมีชัยในท่ามกลาง สงครามนั้น มีพระทัยชื่นชมยินดี ทรงพระราชทานแก้วมณีอันรุ่งโรจน์ ดวงหนึ่งแก่พระเจ้ากุสราช พระเจ้ากุสราชทรงชนะสงคราม ได้แก้ว มณีอันรุ่งโรจน์ แล้วเสด็จประทับบนคอช้างสารเสด็จเข้าสู่พระนคร รับ สั่งให้จับกษัตริย์เจ็ดพระนครทั้งเป็น ให้มัดนำเข้าถวายพระสัสสุระ ทูล ว่าขอเดชะ กษัตริย์เหล่านี้เป็นศัตรูของพระองค์ ศัตรูทั้งหมดซึ่งคิดจะ กำจัดพระองค์เสียนี้ ตกอยู่ในอำนาจของพระองค์แล้ว เชิญทรงกระทำ ตามพระประสงค์เถิด พระองค์ทรงกระทำกษัตริย์เหล่านั้นให้เป็นทาส แล้ว จะทรงปล่อยหรือจะทรงประหารเสียตามแต่พระทัยเถิด.


    พระเจ้ากุสราชจึงกราบทูลขอพระราชธิดาอีก ๗ องค์ของพระเจ้ามัททราชให้แก่กษัตริย์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้ามัททราชก็ตกลงพระราชทานให้

    แล้วพระเจ้ากุสราชก็พาพระนางประภาวดีเสด็จกลับกุสาวดี โดยประทับนั่งไปบนราชรถเดียวกัน

    ด้วยอานุภาพของแก้วมณี พระรูปโฉมของพระเจ้ากุสราชก็หายอัปลักษณ์ แต่กลับงดงามสมด้วยพระรูปโฉมของพระนางประภาวดีผู้เป็นพระชายา


    ประชุมชาดก
    ชยัมบดีอนุชา มาเกิดเป็น พระอานนท์
    นางค่อม มาเกิดเป็น นางขุชชุตตราอุบาสิกา
    พระนางประภาวดี มาเกิดเป็น พระนางพิมพา
    พระเจ้ากุสราช มาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า
    จาก...กุสชาดก
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2014
  20. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .. เอาเป็นว่า .. ทุกปัญหามีทางออกของมันคะ ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...