พุทธทำนายเรื่องภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดที่กำลังจะมาถึงในยุคนี้ จะมีผู้รอดชีวิตแค่น้อยนิดเท่านั้น (ไม่เกิน พ.ศ. 2560)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมวินัย, 2 เมษายน 2009.

?
  1. ไม่เชื่อ

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เฉยๆ

    0 vote(s)
    0.0%
  3. น่ากลัว

    0 vote(s)
    0.0%
  4. เชื่อว่าต้องเกิดแน่

    0 vote(s)
    0.0%
  5. ต้องรีบสั่งสมบุญ

    0 vote(s)
    0.0%
  6. เตรียมพร้อมไม่ประมาท

    0 vote(s)
    0.0%
Multiple votes are allowed.
  1. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ....จริงๆแล้วปี2560ยังถือว่าอีกยาวไกลเลยด้วยซ้ำ..เพราะเราอาจจะตายได้ทุกเมื่อจริงๆ อย่างตัวเองเคยเห็นแต่เห็นคนถูกรถทับหรือรถชนนอนกลางถนนแต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันนึงตัวเราเองต้องมานอนกลางถนนแบบนี้มีคนเอาสีสะเปรมีฉีดรอบตัวกลางถนน...จนอยู่มาวันนึง...ถูกรถกระบะชนตรงๆและรถ10ล้อมาทับอีก...แต่ก็ยังโชคดีที่มีโอกาสให้มาช่วยเหลืองานพระพุทธศาสนาอีก เหตุการนี้ชี้ชัดว่า...."ความตายเป็นสึ่งที่แน่นอนและอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทุกวินาที ....แต่เราจะอยู่อย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศานา"
    หลังจากที่"ฟื้น"จากความตาย(เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง อาจจะมีประโยชน์กับท่านที่ได้อ่านบ้างเพื่อความไม่ประหมาทในชีวิต)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  2. rubian

    rubian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +483
    อืม เหรอ อืม นอนต่อ
     
  3. จิตมั่น

    จิตมั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +24
    เรามีความตายอยู่ทุกขณะ และมีความตายเป็นที่สุด แม้ยังไม่ถึงภัยพิบัติ เราก็อาจตายได้ทุกวินาที เมื่อตายแล้วเราก็ต้องเป็นไปตามกฏแห่งกรรม ไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อเรายังมีชึวิตยังมีสังขาร มีร่างกายขอให้ทำแต่กรรมดี มีจิตอันเป็นกุศล เคารพในพระรัตนตรัยและปฏิบัติตามคำสั่งสอนเพื่อเข้าถึงสภาวะธรรมอันบริสุทธิ์ เราก็จักไม่กลัวตาย และเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไปตามสภาวะ เท่านั้นไม่มีเรา ไม่มีของ ของเรา สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ดับอวิชชา ดับสังขาร ดับวิญญาญ
     
  4. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +638
    ผมว่าเป็นเรื่องปกติของโลกครับ เราพึ่งจะมีบันทึกได้แค่ 4 - 5 พันปีเอง แต่โลกมันเปลี่ยนแปลงแต่ล่ะครั้งผมว่ามีคาบเวลานานกว่านั้นเยอะ

    เราพึ่งเข้ายึดครองโลกเท่านั้น และโลกเรามันผ่านอะไรมานานแสนนานแล้ว แต่เราไม่รู้อดีตปลีกย่อย
     
  5. Heroofch

    Heroofch Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +67
    อนุโมทนา ครับ ผมก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่คนไทยทั้งประเทศจะมีรอดถึง1ล้านคนไหม ครับ
     
  6. jnetjim

    jnetjim สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +7
    ข้อมูลเพิ่มเติม

    สวัสดีครับชาวพุทธศาสนิกชนทุกท่าน

    ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้รับฟังธรรรมเทศนา และคำทำนายเกี่ยวกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นครับ โดยแหล่งที่มาเชื่อถือได้ครับเป็นภิกษุผู้ได้ญาณอภิญา ที่เป็นผู้รู้จริงท่านหนึ่งแห่งวัด ใน จ.กาญจนบุรี เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เองตอนที่ผมไปทำบุญเพื่อลาท่านไปศึกษาต่อ ท่านได้เล่าว่า

    โลกของเราจะประสบภัยพิบัติอย่างมหาศาลมากมายนานานับประการทุกสิ่งอย่างจะเกิดขึ้นทั้งภัยธรรมชาติ และภัยจากมนุษย์ที่เป็นผู้กระทำเอง(ผมคิดว่าคงเป็นสงครามเคมี ชีวภาพ) เพราะมันส่งผลถึงคนทั้งโลก ส่วนประเทศไทยเรานั้นไม่ต้องดีอกดีใจไปครับ บ้านเราก็โดนเหมือนกัน ...แต่... เสียหายน้อยกว่าประเทศใดในโลกด้วยเหตุที่ว่า คนไทยเกือย 100% ถูกสั่งสอนให้รู้จักการละอายต่อบาป ผมไม่ได้หมายความว่าเราเป็นเมืองพุทธกันส่วนใหญ่จึงรอดนะครับ แต่ผมหมายความว่าไม่ว่าจะศาสนาใด คนไทยทุกคนที่นับถือศาสนานั้นส่วนมากจะได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นผู้ละอายต่อบาปกรรม ด้วยเหตุนี้ล่ะครับ เบื้องบนจึงเก็บคนที่รู้จักเกรงกลัวต่อบาปไว้

    ท่านลองคิดตามดูนะครับว่าเหมือนโลกเป็นร่างการที่ติดเชื้อลุกราม หมอจึงต้องตัดสินใจตัดอวัยวะที่ติดเชื้อทิ้งไปเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิต เบื้องบนท่านไม่ได้ใจร้ายอะไรหรอกนะครับเพียงแต่ ท่านให้เวลาในการเรียนรู้ผิดชอบชั่วดีของคนมามากพอแล้ว ถึงตอนนี้ผมอยากจะขอร้องทุกท่านว่า ...เมื่อวันนั้นมาถึงจริง ขอจงครองตนในศลีในธรรม อย่าคิดร้ายต่อกัน อย่าแก่งแย่งกัน อย่าเข่นฆ่ากัน หมั่นรักษษไว้ซึ้งเบญจศลีเบญจธรรมเถอะครับ... และนับตั้งแต่นี้ไป ไม่ว่าเหตุการณ์ร้ายๆจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขอให้ทุกท่าน โปรดรักษา ศีล 5 ไว้ให้เคร่งเถอะครับ

    เพียงศีล 5 ข้อนี้แล่ะครับจะช่วยชีวิตท่านได้ไม่ว่าท่านจะสุข หรือทุกข์ การมีเกาะป้องกันไว้ย่อมเป็นการดี..... จำไว้นะครับว่า มีไว้ไม่ได้ใช้ ดีกว่าต้องใช้แล้วไม่มี.......JiM
    ... สีเลนะ สุขติงยันติ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2009
  7. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122
    ก็คงจะเป็นเช่นนั้น เตรียมตัวตายก่อนตาย
     
  8. มรรค

    มรรค Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +44
    น่ากลัว !!!
     
  9. compass

    compass สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +15
    ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ยังไม่แน่ชัดแต่การเตรียมพร้อมเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นเราควรเตรียมพร้อมไว้ดีกว่า โดยรักษาศีล 5 ให้บริสุทธ์ ทำแต่ความดี หมั่นเจริญสมาธิภาวนา แล้วสิ่งศักสิทธิ์จะคุ้มครองเราเอง
     
  10. SASITA

    SASITA สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +8
    อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ ถ้าผู้ใดอยู่รอดไม่ตายขอให้รักษาพุทธศาสนาไว้เผยแพร่คนรุ่นหลังด้วยนะคะ ขอให้เป็นคนดีต่อไปอย่างที่เป็นอยู่
     
  11. konngaam

    konngaam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +369
    ทำไม ? ต้องรีบ เร่ง สร้างบุญกุศล
    ทำไม ? ต้องรีบ เร่ง ทำบุญ
    ทำไม ? ทำเพื่ออะไร ?

    อ่านดีๆนะครับ มันอยู่ที่ เจตนา
    ทำไม? ถึงไม่หมั่น ล่ะ
     
  12. fecotspku

    fecotspku สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    เรียนท่านผู้รู้

    - ถ้าเรื่องน้ำท่วม กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2560 จริง, ใครมีข้อมูลบ้างว่า จังหวัดไหนในประเทศไทย น้ำจะท่วมไม่ถึงครับ และเราจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดีครับ

    ขอบพระคุณมากครับ
    fecotspku@hotmail.com
     
  13. music46536

    music46536 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบคุณมากๆค่ะ
    ต่อไปนี้จะทำแต่ความดี
     
  14. amittra

    amittra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +41
    ถ้าเป็นแบบนี้ รีบสั่งสมบุญแล้วตายดีกว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรแปลก ๆ โดยเฉพาะโรคแปลก ๆ
    อยู่ให้เลือกอยู่อย่างทรมานสังขาร หรือ ตายแบบมีความสุข ก็น่าคิด
     
  15. lista

    lista เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +683
  16. sa_bye_dee

    sa_bye_dee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +34
    สูตรทำนาย

    การทำนายทายทัก จักบอกให้
    อยากจะรู้เรื่องอันใด อยากจะดูในสิ่งใด ให้ดูรอบ
    ให้ดูเหตุ ก่อให้เกิดผลอันใด
    ผลอันใด เป็นเหตุให้ ได้ผลเกิดจากผล

    (สูญญากาศ ในอากาศ)
     
  17. dannychinny

    dannychinny สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +5
    บทความเรื่อง 2012: วันสิ้นโลก?

    2012: วันสิ้นโลก? (1)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ <o:p></o:p>
    รายงานโดย :วรเชษฐ์ บุญปลอด<o:p></o:p>
    วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม .. 2552<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แม้จะผิดพลาดมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่การทำนายวันสิ้นโลกก็มีมายาวนานนับพันปี ดาวเคราะห์เรียงตัวกันเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2000 ก็เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ซึ่งเคยถูกนำมาอ้างว่าจะทำให้โลกถึงกาลดับสลาย <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คำทำนายครั้งใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะแพร่หลายมากในอินเทอร์เน็ตขณะนี้ ก็คือการที่คนกลุ่มหนึ่งอ้างว่าจะเกิดหายนะขึ้นในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 (พ.ศ. 2555) ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นการที่ดวงอาทิตย์และโลกมาอยู่ในแนวเดียวกันกับระนาบดาราจักรทางช้างเผือก การมาเยือนของดาวเคราะห์ที่เรียกกันว่า “นิบิรุ” แม่เหล็กโลกกับดวงอาทิตย์สลับขั้ว และพายุสุริยะ <o:p></o:p>

    คนกลุ่มนี้อ้างว่าเหตุการณ์ทั้งหลายจะเป็นสาเหตุนำมาซึ่งภัยพิบัติต่างๆ และอาจถึงขั้นมีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ก่อให้เกิดความสงสัย ความกลัว หรือแม้กระทั่งตื่นตระหนก ในคนที่เชื่อเรื่องดังกล่าว ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีกำหนดเข้าฉายในปลายปี ก็สร้างขึ้นจากความสนใจในปรากฏการณ์นี้ บทความนี้ซึ่งแบ่งเป็นหลายตอน จะรวบรวมรายละเอียด อธิบายถึงความเป็นมาและมุมมองทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อการทำนายดังกล่าว
    <o:p></o:p>
    ปฏิทินมายา <o:p></o:p>
    มายาเป็นอารยธรรมโบราณอารยธรรมหนึ่งในอเมริกากลาง มีศูนย์กลางอยู่บริเวณตอนใต้ของเม็กซิโก กัวเตมาลา และทางเหนือของเบลีซ มีสิ่งปลูกสร้างทำด้วยหิน พีระมิด อักษรภาพ มีการบูชาเทพเจ้าและพิธีกรรม แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมซึ่งถึงจุดสูงสุดเมื่อราวปี 250–900 ก่อนจะเสื่อมถอยลง
    <o:p></o:p>
    วันที่ 21 ธ.ค. 2012 ถูกยกขึ้นมาเป็นวันสิ้นโลก สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะวันนั้นตรงกับวันสิ้นสุดปฏิทินรอบใหญ่ของชาวมายาที่เรียกว่า Long Count ปฏิทินชนิดนี้เป็นหนึ่งในปฏิทินหลายแบบของชาวมายา (แบบอื่นที่เคยกล่าวถึงมาแล้วคือแบบที่เกี่ยวกับวัฏจักรการเคลื่อนที่ของดาวศุกร์) พวกเขาใช้ตัวเลข 5 ตัว และเลขฐาน 20 เป็นหลักในระบบปฏิทินแบบ Long Count การเขียนจะใช้อักษรภาพแทนตัวเลข เรียงกันในแนวตั้ง โดยเริ่มนับที่ 0.0.0.0.0 ซึ่งพบว่าตรงกับวันที่ 11 ส.ค. 3,114 ปีก่อนคริสตกาล ตามปฏิทินเกรกอเรียน หรือ 6 ก.ย. ปีเดียวกัน ตามปฏิทินจูเลียน วันที่ 19 นับเป็น 0.0.0.0.19 จากนั้นเมื่อเข้าสู่วันที่ 20 จะนับเป็น 0.0.0.1.0 <o:p></o:p>
    เลขหลักที่ 2 จากขวามือ ต่างกับหลักอื่นตรงที่จะใช้ตัวเลขสูงสุดถึงแค่ 18 ดังนั้น 0.0.1.0.0 จึงตรงกับวันที่ 360 (ประมาณ 1 ปี) 0.1.0.0.0 ตรงกับวันที่ 7,200 (ประมาณ 20 ปี) และ 1.0.0.0.0 ตรงกับวันที่ 144,000 (ประมาณ 394 ปี) การที่ชาวมายาใช้เลข 13 และ 20 เป็นรากฐานของระบบตัวเลข โดยปีหนึ่งมี 13 เดือน แต่ละเดือนยาวนาน 20 วัน จึงมีความเชื่อว่าปฏิทินแบบ Long Count นี้จะสิ้นสุดในวันที่ 13.0.0.0.0 ก่อนจะเริ่มรอบใหม่ วัฏจักร Long Count จึงยาวนาน 1,872,000 วัน (ผลลัพธ์ของ 13 x 20 x 20 x 18 x 20) หรือราว 5,125 ปี ซึ่งถ้านับมาจากจุดเริ่มต้นเมื่อ 3,114 ปีก่อนคริสตกาล วันที่ 13.0.0.0.0 ในปฏิทินมายาจะตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. 2012 <o:p></o:p>
    การเรียงตัวของโลก ดวงอาทิตย์ และศูนย์กลางทางช้างเผือก
    <o:p></o:p>
    นอกจากการสิ้นสุดของปฏิทินมายาจะถูกนำมาเชื่อมโยงกับวันสิ้นโลก หรือบ้างก็ว่าเป็นการเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว วันที่ 21 ธ.ค. ยังตรงกับวันเหมายัน (Winter Solstice) นับเป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาวสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในซีกโลกเหนือ และเป็นช่วงที่เวลากลางคืนยาวนานกว่าเวลากลางวันมากที่สุด เมื่อมองจากโลกจะเห็นดวงอาทิตย์โคจรมายังจุดที่เยื้องลงไปทางทิศใต้มากที่สุด
    <o:p></o:p>
    ระบบสุริยะของเราอยู่ในดาราจักรที่เรียกว่าดาราจักรทางช้างเผือก มีลักษณะเป็นจานแบน ป่องออกตรงกลาง ระนาบของจานคือเส้นศูนย์สูตรของทางช้างเผือก สุริยวิถีซึ่งเป็นเส้นทางการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ลากผ่านกลุ่มดาวจักรราศี อยู่คนละระนาบกับเส้นศูนย์สูตรของทางช้างเผือก แต่มีจุดตัดกัน 2 จุด จุดหนึ่งอยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู ปัจจุบันอยู่ใกล้กับตำแหน่งของจุดเหมายัน อีกจุดหนึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างกลุ่มดาววัวกับกลุ่มดาวคนคู่
    <o:p></o:p>
    การคำนวณทางดาราศาสตร์พบว่า ตำแหน่งดวงอาทิตย์ในวันเหมายันจะผ่านระนาบทางช้างเผือกในช่วงปี 1980–2016 โดยผ่านศูนย์กลางพอดีในปี 1998 เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกๆ ประมาณ 26,000 ปี ตามคาบการส่ายของแกนหมุนของโลก จอห์น เมเจอร์ เจนกินส์ นักเขียนคนหนึ่ง เรียกการเรียงตัวกันนี้ว่า Galactic Alignment เขาอ้างว่าชาวมายาล่วงรู้ถึงการเรียงตัวกันดังกล่าว โดยสังเกตจากแนวมืดในแถบทางช้างเผือก ซึ่งเกิดจากฝุ่นที่บดบังแสงจากดาวเบื้องหลัง และยังอ้างอีกว่าชาวมายากำหนดจุดสิ้นสุดของปฏิทินแบบ Long Count ให้ตรงกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความโดดเด่นของวันที่ 21 ธ.ค. 2012 ให้มากขึ้นไปอีก
    <o:p></o:p>
    สัปดาห์หน้า เราจะไปทำความรู้จักกับดาวนิบิรุ และความเชื่อมโยงกับการพยากรณ์วันสิ้นโลกในปี 2012 <o:p></o:p>
    ท้องฟ้าในรอบสัปดาห์ (17-24 พ.ค.)
    <o:p></o:p>
    ดาวเสาร์อยู่ในกลุ่มดาวสิงโต มันอยู่สูงเหนือศีรษะในเวลา 19.30 น. และเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวบนท้องฟ้าเวลาหัวค่ำ หลังจากนั้น 6 ชั่วโมง ดาวเสาร์จะตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก กล้องโทรทรรศน์ส่องเห็นวงแหวนของดาวเสาร์ซึ่งขณะนี้แคบลงเนื่องจากเกือบอยู่ในแนวสายตา
    <o:p></o:p>
    ดาวศุกร์กับดาวพฤหัสบดีเป็นดาวสว่างในเวลาเช้ามืด เริ่มสังเกตเห็นดาวพฤหัสบดีได้ตั้งแต่เวลาประมาณตี 2 จากนั้นเวลาตี 4 น่าจะเริ่มสังเกตเห็นดาวศุกร์อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้าตะวันออก เวลาตี 5 ซึ่งท้องฟ้าเริ่มสว่าง ดาวพฤหัสบดีเคลื่อนสูงไปอยู่ที่มุมเงย 60 องศาทางทิศใต้ ดาวศุกร์มีมุมเงยเกือบ 30 องศาทางทิศตะวันออก ดาวอังคารซึ่งจางกว่าและมีสีค่อนไปทางแดงหรือชมพู อยู่ต่ำกว่าดาวศุกร์ประมาณ 5 องศา กล้องโทรทรรศน์ส่องเห็นดาวศุกร์เป็นเสี้ยว ใกล้เคียงกับขนาดของดาวพฤหัสบดี ส่วนดาวอังคารเล็กกว่ามาก
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    2012 : วันสิ้นโลก? (2)<o:p></o:p>
    หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ <o:p></o:p>
    รายงานโดย :วรเชษฐ์ บุญปลอด<o:p></o:p>
    วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม .. 2552<o:p></o:p>
    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_s1026 style="MARGIN-TOP: 15pt; Z-INDEX: 1; MARGIN-LEFT: 0px; WIDTH: 187.5pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 111pt; mso-wrap-distance-left: 2.25pt; mso-wrap-distance-top: 2.25pt; mso-wrap-distance-right: 2.25pt; mso-wrap-distance-bottom: 2.25pt; mso-position-vertical-relative: line; mso-position-horizontal: absolute; mso-position-horizontal-relative: text; mso-position-vertical: absolute" o:allowoverlap="f" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:title="16038" src="file:///C:\DOCUME~1\Apple\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image004.jpg"></v:imagedata><?xml:namespace prefix = w ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:word" /><w:wrap type="square"></w:wrap></v:shape><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>คราวที่แล้วได้อธิบายถึงความเป็นมาของวันที่ 21 ธ.ค. ปีค.ศ. 2012 อันเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินของชาวมายา ซึ่งถูกนำมาอ้างว่าจะเป็นวันสิ้นโลก<o:p></o:p>

    สัปดาห์นี้จะไปทำความรู้จักกับดาวเคราะห์ปริศนาดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ที่นักดาราศาสตร์ปฏิเสธถึงการมีอยู่ของมัน ได้กลายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งในการสร้างข่าวลือเรื่องวันสิ้นโลก 2012 <o:p></o:p>
    ดาวเคราะห์เอกซ์ <o:p></o:p>

    ภายหลังการค้นพบดาวเนปจูน ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 8 ในระบบสุริยะ เพอร์ซิวาล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันพบว่าตำแหน่งของดาวยูเรนัสและเนปจูนต่างไปจากที่ควรจะเป็น เขาจึงเสนอว่ามีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปอีกดวงหนึ่ง ส่งแรงโน้มถ่วงมารบกวน เขาเรียกมันว่าดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X) ซึ่งจะสังเกตว่า X ในที่นี้ แสดงถึงการเป็นดาวเคราะห์ลึกลับที่ยังค้นไม่เจอ ไม่ใช่ตัวเลขโรมันที่หมายถึงเลข 10 แต่อย่างใด <o:p></o:p>

    แต่เมื่อ ไคลด์ ทอมบอก์ ได้ค้นพบดาวพลูโตเมื่อปีค.ศ. 1930 และมันก็มีขนาดเล็ก มวลไม่มากพอที่จะส่งแรงโน้มถ่วงไปรบกวนการโคจรของดาวยูเรนัสและเนปจูนได้มากเท่าที่คาดไว้ นักดาราศาสตร์จึงตามหาดาวเคราะห์เอกซ์กันต่อไป ซึ่งในคราวนี้มันคือดาวเคราะห์ดวงที่ 10 (ในสมัยที่พลูโตยังมีสถานะเป็นดาวเคราะห์อยู่) <o:p></o:p>

    ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ไม่คิดว่าดาวเคราะห์เอกซ์ตามสมมติฐานของโลเวลล์มีอยู่จริง เพราะหลังจากยานวอยเอเจอร์ได้เดินทางเฉียดใกล้ดาวยูเรนัสและเนปจูน ทำให้สามารถวัดมวลที่แม่นยำได้ อีกทั้งไม่พบแรงรบกวนใดๆ ที่มากระทำต่อยานอวกาศ 4 ลำที่เดินทางออกไปสู่อวกาศนอกระบบสุริยะ ทั้งไพโอเนียร์ 10 และ 11 กับยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 นักดาราศาสตร์อธิบายได้ว่าสาเหตุแห่งความผิดปกติในการโคจรของยูเรนัสและเนปจูนที่โลเวลล์พบ เกิดขึ้นเพราะขณะนั้นยังไม่ทราบมวลของดาวเคราะห์ทั้งสองดวงที่แม่นยำพอ ทำให้ผลการคำนวณตำแหน่งคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง <o:p></o:p>

    ดาวนิบิรุของ ‘เซคาราย ซิตชิน’ <o:p></o:p>
    ผู้ที่มีส่วนสำคัญในทฤษฎีที่อาจเชื่อมโยงดาวนิบิรุกับดาวเคราะห์เอกซ์ มีอยู่ 2 คน คนหนึ่งเป็นนักเขียนนามว่า เซคาราย ซิตชิน (Zecharia Sitchin) อีกคนหนึ่ง คือ แนนซี ลีเดอร์ (Nancy Lieder) ผู้อ้างว่ามีความสามารถในการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว <o:p></o:p>

    นายซิตชินเขียนหนังสือหลายเล่ม เล่มแรกตีพิมพ์เมื่อปีค.ศ. 1976 เผยแพร่ความเชื่อในทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศ ที่ว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกในอดีต การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและภาพจารึกโบราณอายุ 6,000 ปี ของชาวสุเมเรียน ที่แสดงให้เห็นวัตถุ 12 ชิ้นบนท้องฟ้า ซึ่งซิตชินตีความว่านั่นคือ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กับดาวเคราะห์อีก 10 ดวง ทำให้เขาเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวเดินทางมาจากดาวเคราะห์ที่ยังไม่พบอีกดวงหนึ่ง นั่นคือ ดาวนิบิรุ (Nibiru) เขาอธิบายอย่างเสร็จสรรพว่ามันโคจรรอบดวงอาทิตย์ในวงโคจรรูปวงรีที่มีความรีสูง (จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดกับจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด ต่างกันมาก) คล้ายวงโคจรของดาวหาง และยังระบุอีกด้วยว่าดาวนิบิรุเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ทุกๆ 3,600 ปี <o:p></o:p>

    ซิตชินอ้างว่านิบิรุคือเทพมาร์ดุก (Marduk) ในตำนานความเชื่อของชาวบาบิโลเนียนในเมโสโปเตเมีย ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรตีส ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของอารยธรรมโลก บทกวีมหากาพย์ Enuma Elish ของบาบิโลเนียเล่าว่า มาร์ดุกต่อสู้ได้ชัยชนะเหนือมังกรเทียมัต (Tiamat) ชาวบาบิโลเนียนยกย่องบูชามาร์ดุกเป็นเทพเจ้าผู้สร้างจักรวาลและมนุษย์บนพื้นพิภพ เป็นผู้ลิขิตความเป็นไปของอาณาจักรและชะตาชีวิตของมนุษย์ <o:p></o:p>
    ซิตชินใช้ตำนานความเชื่อนี้ นำมาสร้างทฤษฎีอธิบายว่า ดาวนิบิรุพุ่งชนกับดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งโคจรอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ให้ชื่อว่า เทียมัต ตามตำนานเทพเจ้า ชิ้นส่วนชิ้นใหญ่ต่อมาได้กลายเป็นโลกและดวงจันทร์ ซากที่เหลืออื่นๆ กลายเป็นดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง <o:p></o:p>

    เขาเชื่อว่าบนดาวนิบิรุได้เกิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น ชาวสุเมเรียนซึ่งยึดครองดินแดนทางใต้ของเมโสโปเตเมีย (ภายหลังคือบาบิโลเนีย) เรียกพวกเขาว่า อานุนนากี (Anunnaki) เป็นคนกลุ่มเดียวกับพวกเนฟิลิม (Nephilim) มนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ ซึ่งปรากฏในหนังสือปฐมกาล (Genesis) ของคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเดิม (Old Testament) ที่เล่าเรื่องพระเจ้าทรงสร้างโลกและมนุษย์ <o:p></o:p>

    ซิตชิน เล่าว่า ชาวอานุนนากีเดินทางมาถึงโลกเพื่อสำรวจหาแร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำ และพบบนทวีปแอฟริกา ต่อมาชาวอานุนนากีได้สร้างมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ (มนุษย์แบบปัจจุบัน) ขึ้นมา โดยดัดแปลงพันธุกรรมของโฮโมอีเรกตัส (Homo erectus) ซึ่งทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ <o:p></o:p>

    การสร้างมนุษย์ของอานุนนากีมีจุดประสงค์เพื่อเอามาเป็นทาสทำงานในเหมืองทองคำ ซิตชินเชื่อว่าผลกระทบจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ต่างดาว คือสาเหตุแห่งความพินาศของเมืองอูร์ (<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:City w:st="on"><st1:place w:st="on">Ur</st1:place></st1:City>) ในบาบิโลเนียเมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ตามที่ปรากฏในบทกวีโบราณ ซิตชิน กล่าวว่า เรื่องของตนสอดคล้องกันกับข้อความในไบเบิล และคัมภีร์ไบเบิลเองก็มาจากบันทึกของชาวสุเมเรียน <o:p></o:p>

    ดาวเคราะห์เอกซ์ในทางดาราศาสตร์ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับดาวนิบิรุ และตัวซิตชินเองก็ไม่ได้ระบุว่าดาวนิบิรุของเขาจะกลับมาเมื่อใด แล้วเหตุใดจึงมีความเชื่อว่าดาวนิบิรุกำลังกลับมา? สัปดาห์หน้ามาติดตามกันต่อว่า การค้นพบวัตถุลึกลับเมื่อปีค.ศ. 1983 กับเรื่องเล่าของ แนนซี ลีเดอร์ จะตอบคำถามนี้ได้อย่างไร <o:p></o:p>
    ท้องฟ้าในรอบสัปดาห์ (24-31 พ.ค.) <o:p></o:p>

    ท้องฟ้าเวลาหัวค่ำ มองเห็นดาวเสาร์อยู่สูงเหนือศีรษะในกลุ่มดาวสิงโต ดาวเสาร์คล้อยลงต่ำและจะตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกในเวลาประมาณตี 1 <o:p></o:p>

    ขณะที่ดาวเสาร์ตกลับขอบฟ้า ดาวพฤหัสบดีจะอยู่เหนือขอบฟ้าทิศตะวันออก จากนั้นเวลาประมาณตี 4 จะเริ่มมองเห็นดาวศุกร์อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้าทิศเดียวกัน แต่ค่อนไปทางซ้ายมือเมื่อเทียบกับตำแหน่งของดาวพฤหัสบดีก่อนหน้านั้น เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างในเวลาตี 5 ดาวพฤหัสบดีย้ายไปอยู่ทางทิศใต้ที่มุมเงย 60 องศา ดาวศุกร์มีมุมเงยเกือบ 30 องศา ดาวอังคารซึ่งจางกว่ามาก อยู่ต่ำกว่าดาวศุกร์ประมาณ 6 องศา <o:p></o:p>

    วันแรกของสัปดาห์ ดวงจันทร์ผ่านตำแหน่งจันทร์ดับ จากนั้นมันจะปรากฏเป็นเสี้ยวบนท้องฟ้าทิศตะวันตก เห็นได้ชัดตั้งแต่หัวค่ำวันอังคาร วันสิ้นเดือน ดวงจันทร์สว่างครึ่งดวง เห็นดวงจันทร์อยู่ทางซ้ายมือของดาวเสาร์ <o:p></o:p>
    กลางสัปดาห์ กรุงเทพฯ ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05.49 น. ตกเวลา 18.41 น. เชียงใหม่ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05.47 น. ตกเวลา 18.56 น. ภูเก็ตดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 06.08 น. ตกเวลา 18.40 น. อุบลราชธานีดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 05.30 น. ตกเวลา 18.26 น. <o:p></o:p>
    ลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์กับบริวาร 11 ดวง ที่อยู่ทางซ้ายมือด้านบนของจารึกโดยชาวสุเมเรียนที่เก็บรักษาไว้ที่กรุงเบอร์ลิน เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในทฤษฎีดาวนิบิรุ
    <o:p></o:p>
    2012 : วันสิ้นโลก? (3)<o:p></o:p>
    หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ <o:p></o:p>
    รายงานโดย :วรเชษฐ์ บุญปลอด:<o:p></o:p>
    วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม .. 2552<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สองตอนที่แล้วได้กล่าวถึงความเป็นมาของวันสิ้นสุดรอบปฏิทินมายาในปี ค.ศ. 2012 ซึ่งถูกนำมาอ้างว่าจะเป็นวันสิ้นโลก
    <o:p></o:p>
    การเรียงตัวกันระหว่างโลก ดวงอาทิตย์ กับศูนย์กลางดาราจักร ดาวเคราะห์เอกซ์ และทฤษฎีดาวนิบิรุ สัปดาห์นี้เราจะมารู้จักกับผู้เผยแพร่ความเชื่อว่าดาวนิบิรุกำลังกลับมาและจะเป็นภัยต่อโลก <o:p></o:p>
    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 97.5pt; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 1.5pt 1.5pt 1.5pt 1.5pt; mso-table-lspace: 2.25pt; mso-table-rspace: 2.25pt; mso-table-anchor-vertical: paragraph; mso-table-anchor-horizontal: column; mso-table-left: right; mso-table-top: middle" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=130 align=right border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 1.5pt; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 1.5pt; PADDING-BOTTOM: 1.5pt; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 1.5pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent"><v:shape id=_x0000_i1025 style="WIDTH: 187.5pt; HEIGHT: 187.5pt; mso-wrap-distance-left: 2.25pt; mso-wrap-distance-top: 2.25pt; mso-wrap-distance-right: 2.25pt; mso-wrap-distance-bottom: 2.25pt" alt=" " type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\Apple\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image005.jpg" o:href="http://www.posttoday.com/medias/20090531/16395.jpg"></v:imagedata></v:shape><o:p></o:p>
    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 1.5pt; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 1.5pt; PADDING-BOTTOM: 1.5pt; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 1.5pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">
    ดาวหางเฮล-บอปป์ วัตถุที่เคยถูกอ้างว่าไม่ใช่ดาวหาง แต่เป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจไปจากดาวเคราะห์เอกซ์ที่กำลังเข้ามาใกล้โลก (ภาพ : E. Kolmhofer, H. Raab)<o:p></o:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แนนซี ลีเดอร์ <o:p></o:p>
    แนวคิดในคำพยากรณ์เรื่องดาวนิบิรุจะเข้ามาใกล้โลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เริ่มมาจากแนนซี ลีเดอร์ สตรีชาวอเมริกันคนหนึ่ง (ซึ่งจิตไม่ค่อยปกติ - ตามความเห็นของคนที่ไม่เชื่อเรื่องของเธอ) ลีเดอร์กล่าวอ้างว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก เธอได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่เธอเรียกว่าซีตา (Zeta) มาจากระบบดาวเคราะห์รอบดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในกลุ่มดาวตาข่าย และเมื่อเติบโตขึ้น ลีเดอร์อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวได้ฝังอุปกรณ์บางอย่างไว้ในสมองของเธอ ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับพวกซีตาได้ <o:p></o:p>
    ค.ศ. 1995 สองปีก่อนที่ดาวหางเฮล-บอปป์ (Hale-Bopp) จะเคลื่อนเข้ามาใกล้โลกและดวงอาทิตย์ ลีเดอร์เริ่มเผยแพร่คำบอกเล่าที่อ้างว่าได้ฟังมาจากมนุษย์ต่างดาวลงในเว็บไซต์ เธอบอกว่าดาวหางเฮล-บอปป์ ซึ่งค้นพบในปีนั้น ที่จริงแล้วไม่ใช่ดาวหาง แต่เป็นโนวา ดาวฤกษ์ที่ถูกใช้สำหรับเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณชนไปจากดาวเคราะห์เอกซ์ ซึ่งเธอระบุว่ากำลังเข้ามาใกล้โลก
    <o:p></o:p>
    หลังดาวหางเฮล-บอปป์ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นดาวหางแท้จริงอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นดาวหางที่สว่างที่สุดดวงหนึ่งในศตวรรษที่ผ่านมา ลีเดอร์ได้กล่าวอ้างต่อไปอีกว่าดาวเคราะห์เอกซ์ ซึ่งมีขนาดประมาณ 4 เท่าของโลก จะเข้ามาใกล้โลกในเดือนพ.ค. ค.ศ. 2003 ส่งผลให้โลกพลิกกลับขั้วและเกิดภัยพิบัติร้ายแรง นอกจากนั้นเธอได้เริ่มเชื่อมโยงดาวเคราะห์เอกซ์ของตนเข้ากับทฤษฎีดาวนิบิรุของเซคาราย ซิตชิน
    <o:p></o:p>
    การที่ลีเดอร์บอกว่าดาวเคราะห์เอกซ์ของเธอกับดาวนิบิรุของซิตชินเป็นดวงเดียวกัน และกำลังเข้ามาใกล้ นั่นย่อมขัดแย้งกับทฤษฎีของซิตชิน ซิตชินระบุว่าดาวนิบิรุมีคาบ 3,600 ปี หนังสือปี 2007 ของเขาเขียนไว้ว่าดาวนิบิรุเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ครั้งล่าสุดเมื่อราว 600 ปีก่อนคริสตกาล ดังนั้นต้องใช้เวลาอีกเกือบพันปีกว่าที่มันจะกลับมา (ถ้าดาวนิบิรุมีอยู่จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังขาพอๆ กับคำบอกเล่าของลีเดอร์)
    <o:p></o:p>
    วัตถุลึกลับ? <o:p></o:p>
    ข่าวชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 1983 ได้ถูกลีเดอร์นำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญที่พยายามทำให้คนเชื่อว่าวัตถุที่นักดาราศาสตร์ค้นพบคือดาวเคราะห์เอกซ์หรือดาวนิบิรุ ข่าวนั้นระบุว่าดาวเทียมไอราส (Infrared Astronomical Satellite : IRAS) ซึ่งสำรวจท้องฟ้าในย่านอินฟราเรด ได้จับภาพวัตถุท้องฟ้าในกลุ่มดาวนายพราน และยังไม่ทราบแน่ชัดถึงธรรมชาติที่แท้จริงของมัน
    <o:p></o:p>
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่านักดาราศาสตร์ไม่ทราบว่าวัตถุปริศนานี้คืออะไร หากมันอยู่ในระบบสุริยะ มันก็อาจเป็นได้ทั้งดาวเคราะห์หรือดาวหางขนาดใหญ่ หากอยู่ไกลก็อาจเป็นดาวฤกษ์ที่กำลังเริ่มก่อตัวหรือกลุ่มแก๊สที่กำลังก่อตัวเป็นดาราจักร อย่างไรก็ตาม ในบทสัมภาษณ์ของรายงานข่าวชิ้นเดียวกันนี้ นักดาราศาสตร์ได้ให้ข้อมูลเท่าที่รู้ในขณะนั้นว่าวัตถุดังกล่าวมีอุณหภูมิไม่เกิน 40 เคลวิน ซึ่งนับว่าต่ำมาก ไม่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนตำแหน่ง จึงไม่น่าจะเป็นดาวหาง และถ้าใช่จะมีขนาดใหญ่เกินไป นักดาราศาสตร์ในทีมไอราสยังได้กล่าวไว้ด้วยว่าวัตถุนี้ไม่ได้กำลังเคลื่อนเข้ามาหาโลก และเชื่อว่าน่าจะเป็นดาราจักรที่อยู่ไกล
    <o:p></o:p>
    งานวิจัยทางดาราศาสตร์ ซึ่งเผยแพร่ในปี 1985 ได้ระบุว่า วัตถุปริศนาที่พบเมื่อปี 1983 ด้วยดาวเทียมไอราส แท้จริงมันก็คือดาราจักรที่อยู่ไกลมาก อีกส่วนหนึ่งเป็นโครงสร้างเส้นใยของฝุ่นและแก๊สระหว่างดาราจักร ไม่ใช่วัตถุในระบบสุริยะหรือในดาราจักรทางช้างเผือกด้วยซ้ำไป ถึงอย่างนั้น ลีเดอร์ก็คงไม่ได้สนใจติดตามว่าข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ของวัตถุนั้นคืออะไร เพราะข่าวลือและคำกล่าวอ้างของเธอว่ามันคือดาวเคราะห์เอกซ์หรือนิบิรุได้จุดติด ทำให้คนส่วนหนึ่งหลงเชื่อไปแล้ว
    <o:p></o:p>
    เมื่อปี 2003 ผ่านพ้นไปโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอย่างที่ลีเดอร์ได้กล่าวไว้ เธอก็อ้างต่อไปอีกว่าดาวเคราะห์เอกซ์หรือนิบิรุจะกลับมาในปี 2010
    <o:p></o:p>
    กระแสความโด่งดังของวันสิ้นสุดปฏิทินมายาในเดือนธ.ค. 2012 ซึ่งได้รับความสนใจมาก ได้ทำให้มีนักเขียนอีกหลายคนเขียนหนังสือออกมาวางขาย ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์วันสิ้นโลก 2012 ด้วยกันทั้งนั้น <o:p></o:p>
    สัปดาห์หน้าติดตามความเป็นมาของข่าวลือและคำพยากรณ์ว่าจะเกิดการพลิกขั้วของขั้วแม่เหล็กโลกและดวงอาทิตย์ ซึ่งได้กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกับปี 2012
    <o:p></o:p>
    บทความเรื่อง 2012: วันสิ้นโลก? (4)<o:p></o:p>
    หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ <o:p></o:p>
    รายงานโดย :วรเชษฐ์ บุญปลอด:<o:p></o:p>
    วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    บทความนี้ยังเป็นตอนต่อเนื่องจากกรณีที่มีผู้ปล่อยข่าวว่าวันที่ 21 ธ.ค. ปี ค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดรอบปฏิทินมายาจะเป็นวันสิ้นโลก โดยชักแม่น้ำทั้งห้า อ้างเหตุผลต่างๆ หลายอย่างมาสนับสนุน ได้อธิบายความเป็นมาและข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไปบางส่วนแล้ว สัปดาห์นี้มาถึงเรื่องของข่าวลือที่ว่าจะเกิดการพลิกขั้วแม่เหล็กโลกและดวงอาทิตย์ในปี 2012
    <o:p></o:p>
    เรื่องจากฟอร์เวิร์ดเมล <o:p></o:p>
    ฟอร์เวิร์ดเมลและข้อความเผยแพร่ตามเว็บบอร์ดต่างๆ ระบุว่าปี 2012 โลกและดวงอาทิตย์จะเกิดการพลิกขั้ว โดยอ้างอิงข่าวจากสื่อออนไลน์ <st1:place w:st="on"><st1:country-region w:st="on">India</st1:country-region></st1:place> Daily (India,Daily,News,Samachar,Bollywood,Politics,Sports,Computer) เผยแพร่วันที่ 1 มี.ค. 2005 ระบุว่ากลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ทั้งนักธรณีฟิสิกส์และดาราศาสตร์ฟิสิกส์ คาดว่าปี 2012 จะเกิดการพลิกขั้วแม่เหล็กโลก พื้นโลกบางแห่งจะไม่มีสนามแม่เหล็ก ประจวบกับเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์เกิดการสลับขั้วแม่เหล็กด้วยเช่นกัน
    <o:p></o:p>
    ข่าวนี้ระบุว่า องค์การนาซาได้ระงับความตื่นกลัวของสาธารณชนด้วยการให้ข้อมูลว่าการพลิกขั้วแม่เหล็กโลกจะไม่ทำให้สนามแม่เหล็กสูญสิ้นไปทั้งหมด (แต่ข้อความในฟอร์เวิร์ดเมล กลับทำให้เลวร้าย และเป็นเท็จ ระบุว่าองค์การนาซาเป็นผู้ออกข่าวเองว่าขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกในปี 2012 ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการแปลความหมายผิด และสับสนกับการสลับขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์)
    <o:p></o:p>
    สื่อออนไลน์ดังกล่าวอ้างว่าแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่ไฮเดอราบัด บ่งชี้ว่าการพลิกขั้วส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของสิ่งมีชีวิตลดลง เกิดภูเขาไฟ แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม สนามแม่เหล็กโลกอ่อนลงจนทำให้รังสีคอสมิกจากดวงอาทิตย์ทวีขึ้นหลายเท่า เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้เปลือกโลกเท่านั้นที่จะรอดจากมหันตภัยนี้ ดาวเคราะห์น้อยจะถูกดึงให้เข้ามาใกล้โลก แถมยังอ้างอีกว่าการพบเห็นยูเอฟโอบ่อยขึ้นในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงว่ามนุษย์ต่างดาวกำลังพยายามช่วยโลก
    <o:p></o:p>
    เนื้อข่าวต้นฉบับไม่มีการอ้างชื่อนักวิทยาศาสตร์หรือข้อมูลเชิงวิชาการใดๆ ที่พอจะเชื่อถือหรือสืบค้นได้ และเมื่อค้นดูข่าวในหมวดเดียวกันก็จะพบว่ามีข่าวหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปี 2012 ซึ่งล้วนมีลักษณะเดียวกัน คือไม่เคยระบุชื่อของนักวิทยาศาสตร์ หาแหล่งข่าวไม่ได้ ดูคล้ายหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่มักจะเขียนข่าวหวือหวาเพื่อเรียกความสนใจ
    <o:p></o:p>
    เรื่องจริงเรื่องขั้วพลิก <o:p></o:p>
    ตามหลักฐานทางธรณีวิทยาและการศึกษาธรรมชาติของดวงอาทิตย์ การสลับขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นจริงทั้งในโลกและดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์สลับขั้วบ่อยกว่าโลกมาก เฉลี่ยทุกๆ 11 ปี ซึ่งเกี่ยวข้องกับปริมาณจุดมืด (Sunspot) และกัมมันตภาพของดวงอาทิตย์ (Solar Activity) การพยากรณ์การพลิกขั้วแม่เหล็กดวงอาทิตย์ทำได้โดยอาศัยข้อมูลการสังเกตจุดมืดและสภาพทางแม่เหล็กบนผิวดวงอาทิตย์
    <o:p></o:p>
    เมื่อเกิดการสลับขั้ว ดวงอาทิตย์จะมีกัมมันตภาพสูง มีจุดมืดจำนวนมาก และมักเกิดพายุสุริยะบ่อยกว่าช่วงสงบ ก่อนหน้านี้เคยมีการพยากรณ์ว่าดวงอาทิตย์จะสลับขั้วแม่เหล็กในปี 2012 ซึ่งทำให้เกิดการเชื่อมโยงกับคำพยากรณ์วันสิ้นโลกอย่างไรก็ตามจากที่ในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ดวงอาทิตย์แทบไม่มีจุดมืดมานาน นักดาราศาสตร์พยากรณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่าดวงอาทิตย์มีแนวโน้มจะสลับขั้วช้าลงกว่าที่คาดไว้ โดยอาจเกิดขึ้นในเดือนพ.ค. 2013
    <o:p></o:p>
    กรณีของโลก ใจกลางโลกมีแกนชั้นในเป็นเหล็กแข็ง หมุนรอบตัวเอง และมีอุณหภูมิสูงมาก ห่อหุ้มด้วยแกนชั้นนอกที่เป็นเหล็กหลอมเหลว การเคลื่อนที่ของเหล็กหลอมเหลวในแกนชั้นนอก ทำให้อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าไหลวนไปรอบๆ เกิดสนามแม่เหล็ก พุ่งผ่านแกนเปลือกโลก และออกสู่อวกาศ สนามแม่เหล็กมีส่วนช่วยป้องกันลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ แต่บางส่วนก็สามารถเบี่ยงเบนเข้าสู่บริเวณขั้ว ชนกับอะตอมในบรรยากาศโลก เกิดวงแสงเรืองบนท้องฟ้าที่เรียกว่าแสงเหนือใต้ (<st1:place w:st="on"><st1:City w:st="on">Aurora</st1:City></st1:place>)
    <o:p></o:p>
    ขั้วแม่เหล็กโลกอยู่ไม่คงที่ คริสต์ศตวรรษที่ 20 ตำแหน่งขั้วแม่เหล็กเหนือซึ่งปัจจุบันอยู่บริเวณประเทศแคนาดา เคลื่อนที่ด้วยอัตรา 10 กม./ปี แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ขั้วแม่เหล็กเหนือเคลื่อนเร็วขึ้นด้วยอัตรา 40 กม./ปี มีแนวโน้มว่าจะไปอยู่ที่ไซบีเรียภายในอีกไม่กี่สิบปี
    <o:p></o:p>
    ข้อมูลทางธรณีวิทยาบอกว่าโลกสลับขั้วแม่เหล็กกลับไปกลับมาเฉลี่ยทุกๆ 2.5 แสนปี ไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุว่าทำไมจึงเกิดการสลับขั้ว และไม่มีการสลับขั้วมานานแล้วราว 7.8 แสนปี อัตราการสลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกมีความไม่แน่นอนสูงมาก และใช้เวลาในกระบวนการสลับขั้วแต่ละครั้งนานนับพันปี เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะสามารถพยากรณ์ได้ว่าโลกจะพลิกขั้วแม่เหล็กในปีใด ดังนั้นการอ้างว่าจะเกิดการพลิกขั้วในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 จึงไร้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ และที่ว่าการสลับขั้วแม่เหล็กโลกเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ ก็ไม่มีหลักฐานสนับสนุน
    <o:p></o:p>
    ส่วนที่ว่าเมื่อเกิดการสลับขั้วแล้ว โลกจะไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยแกลตซ์มายเยอร์ และพอล โรเบิร์ต นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ ซานตาครูซ พบว่าระหว่างที่มีการสลับขั้วแม่เหล็ก โลกจะยังมีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มอยู่ เพียงแต่อ่อนลงและมีความปั่นป่วนมากขึ้น นอกจากนี้สนามแม่เหล็กโลกไม่ใช่สิ่งเดียวที่ช่วยปกป้องโลกจากรังสีและอนุภาคพลังงานสูงจากนอกโลก บรรยากาศโลกมีส่วนอย่างมากในการป้องกันโลกจากพายุสุริยะและรังสีคอสมิก ดังนั้นสรุปว่าไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ สนับสนุนว่าปี 2012 โลกจะพลิกขั้ว ไม่ว่าจะเป็นขั้วแม่เหล็กหรือขั้วทางภูมิศาสตร์ รวมทั้งของดวงอาทิตย์
    <o:p></o:p>

    โครงสร้าง<v:shape id=_x0000_s1027 style="MARGIN-TOP: -30.3pt; Z-INDEX: 2; MARGIN-LEFT: 0px; WIDTH: 2in; POSITION: absolute; HEIGHT: 138.45pt; mso-wrap-distance-left: 2.25pt; mso-wrap-distance-top: 2.25pt; mso-wrap-distance-right: 2.25pt; mso-wrap-distance-bottom: 2.25pt; mso-position-vertical-relative: line; mso-position-horizontal-relative: text" o:allowoverlap="f" alt="" type="#_x0000_t75"> <v:imagedata o:title="16725" src="file:///C:\DOCUME~1\Apple\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image006.jpg"></v:imagedata><w:wrap type="square"></w:wrap></v:shape>ภายในของโลก การไหลของเหล็กหลอมเหลวในแกนชั้นนอกก่อให้เกิดสนามแม่เหล็ก (ภาพ - NASA)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  18. ภิกขู

    ภิกขู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    พุทธทำนาย

    เรื่องนี้สมควรที่จะเผยแผ่อย่างยิ่ง ไม่ได้ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกแต่ให้ตื่นตัวจากการกระทำอันเป็นปัจจุบันนี้ ขอให้สมาชิกพลังจิตผู้มีธรรมในใจเร่งทำความเพียรให้ถึงพร้อม เพื่อให้ถึงซึ่งนิพพาน
     
  19. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,838
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,021
    ยังไงสําหรับคนที่สวดมนต์ นั่งสมาธิเเผ่เมตตาเป็นประจํา อยากให้ทุกท่านช่วยเเผ่ให้ทุกคนรวมทั้งโลกเราด้วยนะครับ ช่วยกันคนละไม้ละมือครับ อนุโมทนา
     
  20. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    พระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้าช่วยป้องกันภัยให้กับโลก

    นะโม 3 จบ

    อิติโส วิเส เสอิ
    อิเสเส พุทธะนา เมอิ
    อิเมนา พุทธะตัง โสอิ
    อิโสตัง พุทธะ ปิติอิ
    อิกะวิติ พุทธะ สังมิ
    อิสังมิ พุทธะโล กะวิฑูร


    (สวดไปเรื่อยๆจนจิตนิ่งพอแล้วอธิฐานของพลังแห่งพุทธคุณธรรมคุณสังฆคุณช่วยสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ให้ปลอดภัยให้ใจเห็นธรรม)
     

แชร์หน้านี้

Loading...