ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. k_isara

    k_isara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +119
    5 มิ.ย. 52

    พูดให้คนไม่เกิดความกังวล.....ไม่ผิด
    พูดให้คนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท.....ไม่ผิด
    จิตอรหันต์เท่านั้น....ที่ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้สุข แล้วจะหาได้ที่ไหน?
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    นั้นซิ ....ลืมไปได้ไง เนอะ

    สงสัยต้องไปอ่านใหม่อีกหลายๆรอบ(||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2009
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    สิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุคพระยาธรรมิกราช

    [​IMG]
    ภาพประกอบจาก www.dmc.tv

    คำทำนายจาก อ.ปริญญา ตันสกุล

    มนุษย์จะมีอายุยืนยาวมากขึ้นกว่าเดิม อำนาจแม่เหล็กโลกเพิ่มขึ้นจาก 14 เก๊าส์ เป็น 22 เก๊าส์ ร่างกายคุณแข็งแรงขึ้น สุขภาพพลานามัยดีขึ้นโดยอัตโนมัติ

    คำทำนายจาก พระคัมภีร์ไบเบิ้ล

    1 แม่น้ำแห่งชีวิตและต้นไม้แห่งชีวิต ท่านได้ชี้ให้ข้าพเจ้าดูแม่น้ำบริสุทธิ์ที่มีน้ำแห่งชีวิต ใสเหมือนแก้วผลึก ไหลออกมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า และของพระเมษโปดก

    2 ท่ามกลางถนนในเมืองนั้นและริมแม่น้ำทั้งสองฟากมีต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งออกผลสิบสองชนิด ออกผลทุกๆเดือน และใบของต้นไม้นั้นสำหรับรักษาบรรดาประชาชาติให้หาย

    3 จะไม่มีการสาปแช่งใดๆอีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดกจะตั้งอยู่ในเมืองนั้น และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะปรนนิบัติพระองค์

    4 เขาเหล่านั้นจะเห็นพระพักตร์พระองค์ และพระนามของพระองค์จะประทับอยู่ที่หน้าผากเขา

    5 กลางคืนจะไม่มีที่นั่น เขาไม่ต้องการแสงเทียนหรือแสงอาทิตย์ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าทรงประทานแสงสว่างแก่เขา และเขาจะครอบครองอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์

    6 และทูตสวรรค์องค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า "ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัตย์ซื่อและสัตย์จริง และองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งพวกศาสดาพยากรณ์อันบริสุทธิ์ ได้ทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์สำแดงแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ถึงเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะอุบัติขึ้นในไม่ช้า"

    7 "ดูเถิด เราจะมาโดยเร็ว ผู้ใดที่ถือรักษาคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ก็เป็นสุข"

    8 คำสั่งให้ประกาศคำพยากรณ์นี้ข้าพเจ้า คือยอห์น เป็นผู้ได้เห็นและได้ยินเหตุการณ์เหล่านี้ และครั้นข้าพเจ้าได้ยินและได้เห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงจะนมัสการแทบเท้าทูตสวรรค์ที่ได้สำแดงเหตุการณ์เหล่านี้แก่ข้าพเจ้า

    9 แต่ท่านห้ามข้าพเจ้าว่า "อย่าเลย ด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นเพื่อนผู้รับใช้เช่นเดียวกับท่าน และพวกพี่น้องของท่านคือพวกศาสดาพยากรณ์ และพวกที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด"

    10 และท่านบอกข้าพเจ้าว่า "อย่าประทับตราปิดคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ เพราะว่าใกล้จะถึงเวลานั้นแล้ว

    11 ผู้ที่เป็นคนอธรรมก็ให้เขาอธรรมต่อไป ผู้ที่เป็นคนลามกก็ให้เขาลามกต่อไป ผู้ที่เป็นคนชอบธรรมก็ให้เขาชอบธรรมต่อไป และผู้ที่เป็นคนบริสุทธิ์ก็ให้เขาเป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป"

    12 "ดูเถิด เราจะมาโดยเร็ว และจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนการกระทำของทุกคน

    13 เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและเป็นอวสาน เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย"

    14 คนทั้งหลายที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในเมืองนั้นโดยทางประตู

    15 ด้วยว่าภายนอกนั้นมีสุนัข คนใช้เวทมนตร์ คนล่วงประเวณี ฆาตกร คนไหว้รูปเคารพ คนใดที่รักและกระทำการมุสา

    16 "เราคือเยซูผู้ใช้ให้ทูตสวรรค์ของเราไปเป็นพยานสำแดงเหตุการณ์เหล่านี้แก่ท่านเพื่อคริสตจักรทั้งหลาย เราเป็นรากและเป็นเชื้อสายของดาวิด และเป็นดาวประจำรุ่งอันสุกใส"

    17 การชวนเชิญครั้งสุดท้ายของพระคัมภีร์ต่อคนบาปพระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า "เชิญมาเถิด" และให้ผู้ที่ได้ยินกล่าวว่า "เชิญมาเถิด" และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย

    18 ข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้แก่ผู้นั้น

    19 และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้นที่มีอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต และที่มีอยู่ในเมืองบริสุทธิ์นั้น และจากสิ่งที่มีเขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้ไปเสีย

    20 คำทรงเตือนและพระสัญญาว่าพระคริสต์จะเสด็จมาพระองค์ผู้ทรงเป็นพยานในเหตุการณ์ทั้งปวงนี้ ตรัสว่า "แน่นอน เราจะมาโดยเร็ว" เอเมน พระเยซูเจ้า ขอให้เป็นเช่นนั้น เชิญเสด็จมาเถิด

    21 ขอให้พระคุณแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด เอเมน

    ที่มา http://www.wordplanet.org/ti/66/22.htm

    คำทำนายจาก ตำนานพระศรีอาริย์กึ่งพุทธกาล

    เมื่อพระศรีอาริย์มาปรากฏเป็นพระบรมจักรพัตราธิราช ในท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ พระอิศวรผู้เป็นเจ้าประกาศิตให้เทวดาลงมารักษาพระราชวังถึง 50,000 องค์ ยักษ์อีก 50,000 ตน นาคและครุฑก็จะเป็นมิตรกัน และจะมารักษาปราสาทราชวังด้วยเป็นจำนวนมาก เชื้อพระวงศ์ของพระศรีอาริย์ จะอุปถัมภ์ยกยอพระพุทธศาสนาสืบๆ ต่อกันไปจนอีก 1,309 ปี คือลุ พ.ศ. 3850 ปีเศษ จึงสิ้นเชื้อสายพระศรีอาริย์คนสุดท้ายมีนามว่า “ เสารรัญญา” หรือ “ พยาเสารราช”( ศรีอาริยวงศ์ 1,000 ปี ในเล่มนี้ ไปตรงกับแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งพระเยซูจะกลับมาปกครองโลกอยู่ 1,000 ปีเหมือนกัน เรียกว่า Millennium ภาษาอังกฤษเรียกว่า ศรีอารยะ (Sriaraya) ภาษาบาลีเรียกว่าสิริอริยะ (Siriariya) แม้กระนั้นก็มีเทวดา, นาค, ครุฑ เฝ้าปราสาทราชมณเฑียรอยู่มาก​

    เมื่อพ้นจากพญาเสารราชไปแล้ว พระเสื้อเมืองทรงเมืองทั้งหลาย ก็ละทิ้งบ้านเมืองหลบหนีเข้าป่าไปหมดสิ้น ดังเช่นในยุคปัจจุบันนี้ เพราะอธรรมทั้ง 3 และ อคติทั้ง 4 เข้าครอบงำสันดานประมุขและรัฐบุรุษ จนบ้านเรือนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า มหาภัย 10 ประการ ก็คุกคามประชาชนพลเมืองอยู่ทั่วไป ครั้นแล้วก็จะบังเกิดพญาธรรมิกราชองค์ที่ 4 มายอยกพระพุทธศาสนาอีก และจะเกิดที่นครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) จะทรงเกียรติขนาดอโศกราช หาใช่บรมจักรพัตราธิราชดั่งเช่น พระศรีอาริย์ในท่ามกลางพุทธศาสนานี้ไม่​

    ในตำนานมันดาเลของพม่านั้นกล่าวว่า พระราชวังของพระศรีอาริย์ธรรมิกราชนั้นจะมีประตู 80 ประตู จะมีฝูงเทวดาและยักษ์รักษาแน่นขนัด จะเข้าออกได้แต่มนุษย์ที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น ปราสาทราชวังนั้นจะสว่างรุ่งโรจน์ด้วยแสงแก้วมณีโชติ กลางคืนจะกลับกลายเป็นกลางวัน จะผิดกันก็แต่ว่า ความสว่างของแสงแก้วนั้นจะเย็นตาเย็นกาย ไม่ร้อนระอุเหมือนแสงอาทิตย์ในเวลากลางวันอย่างธรรมดา​

    พิษณุเทพบุตร จะไปนำเอาผลมะม่วงกาซอ (ผลไม้โรทันตี) จากสวรรค์มาถวายพระศรีอาริย์ธรรมิกราช เมื่อเสวยแล้วรูปร่างก็กลับกลายเป็นหนุ่มเหมือนอายุ 20 เศษ จะมีพระมหาเถระ 24 รูป เดินทางมาจากทิศต่างๆ เพื่อชมบารมีพระศรีอาริย์ธรรมิกราช พระศรีอาริย์ธรรมิกราชจึงเอามะม่วงกาซอ (มะม่วงลอกคราบ) เข้าถวายพระผู้เฒ่าทั้ง 24 รูป พระผู้เฒ่าทั้งหมดเมื่อฉันแล้วก็ง่วงนอน และหลับไปด้วยความสบาย ครั้นตื่นขึ้นแล้วผิวพรรณก็กลับกลายเป็นหนุ่มไปหมดทั้ง 24 รูป รู้สึกว่ากระกระเปร่าแข็งแรงขึ้นอย่างผิดธรรมดา​

    พระศรีอาริย์จึงเอาเมล็ดมะม่วงลอกคราบนั้นปลูกลงในดินริมปราสาท ก็พลันงอกงามเป็นต้นเป็นลำและแตกกิ่งก้านสาขาขึ้นในทันที ประกอบด้วยช่อและดอกออกผลเต็มไปหมด โดยไม่ต้องรอเวลาหรือฤดูกาลใดๆ เลย ฝูงมนุษย์ก็จะไหลมาเทมาเพื่อบริโภคมะม่วงลอกคราบอันวิเศษนั้น ครั้นแล้วคนแก่ก็จะกลายเป็นหนุ่ม คนที่มีผิวพรรณไม่งามก็จะงาม คนอ่อนแอก็จะแข็งแรงไปทั่วทุกรูปทุกนาม โลกจะถึงความเป็นสวรรค์ทั้งในด้านผิวพรรณและโภคทรัพย์ ฯลฯ และจะมีต้นไม้กาลปพฤกษ์ทิพย์ถึง 1,600 ต้น (โรงทาน) ทั่วทั้งโลก​

    อนึ่ง พระมหานครอันบรมสุข จะได้ถูกก่อสร้างตึกรามขึ้น 36,000,000 หลัง จะเป็นที่อยู่ของพลเมืองที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งสิ้น และว่าในยุคนั้น จะมีผู้หญิงมากผู้ชายน้อย เพราะผู้ชายไปตายในกองทัพถึง 3 ใน 4 ส่วน ผลสุดท้ายผู้ชายคนเดียวจะมีภรรยา 9 คน 10 คน ผู้หญิงจึงหาสามีที่โสดๆไม่ได้ง่ายนัก จริงเท็จอยู่กับตำรา (แจ้งอยู่ในใบลาน 3-4 ผูก)​

    (ที่มา หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก โดยรหัสยญาณ)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2009
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ผมขออนุญาตแก้ไขข้อความของคุณ koh55559 ให้ถูกต้องดังนี้ครับ

    ที่แท้(คุณสันโดษ) ไม่เชื่อเรื่องภัยพิบัติ...กรรมจริงๆ...
    ช่วงกึ่งพุทธกาลต้องมีผู้ที่บารมี มาทำนุบำรุง
    พระพุทธศาสนา ยกยอให้เทียบเท่าสมัยพุทธกาล
    หลายพันปี...ก่อนจะเกิดยุคพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า
    เกิดเป็นโลกใหม่ ไม่เช่นนั้นอายุพระศาสนานี้จะไม่ถึง 5,000 ปี...
    ผู้ที่จะมายกยอนั่นก็คือพระยาธรรมิกราช.....บอกได้เท่านี้...

    เมื่อพระพุทธศาสนานี้มีอายุครบ 5,000 ปีไปแล้ว
    อีกประมาณ 1 ล้านปีมนุษย์ พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า
    จึงจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นองค์ที่ 5 ในกัปนี้
    ทรงประกาศพระศาสนาอยู่ 20,000 ปี
    หลังจากนั้นโลกจึงจะแตกสลาย...แล้วว่างไป(สิ้นสุดกัปนี้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2009
  5. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +954
    ห่วงรูป ห่วงทรัพย์ ห่วงชื่อเสียงเกียติยศ รักตัวกลัวตาย ย่อมนำมาซึ่งความหลอน.....เอิ้กๆๆ แต่ว่า ห่วงนี้ห้ามลืมน่ะ ห่วงยางหาไว้มีลอยคอช่วยใครได้อีกแยะ กำลังใจยังแอบดูอยู่ สู้ๆ
     
  6. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    มีบางท่านเบนประเด็นไปอยู่เรื่อยเลย

    ว่าเราพูดกันเรื่องโลกแตก

    ทั้งที่ ในนี้ไม่เคยมีใครว่าอย่างนั้น

    ทุกคนพูดถึงแต่เรื่อง ภัยพิบัติ

    แม้แต่ชื่อกระทู้ ก็บอกอย่างนั้น

    แต่บางคน ก็ยังวนเวียนกล่าวหาว่า

    พวกเราคุยกันเรื่องโลกแตก

    อย่า...... สับสนเลยนะ
     
  7. clearlove

    clearlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +644
    ตอบ คุณสันโดน (เพราะเคยให้ข้อมูลที่มีประโยชน์มามาก) เขาสร้างที่หลบภัยใต้ดินผมเดาว่าเขามีสิทธิ์รอดมากกว่าเพราะมันมีโอกาสกันรังสีนิวเครียได้
    เรื่องน้ำปัญหาน้อยกว่า นิวเครีย เป็นแน่

    ผมขอแย้ง คุณKoh55559 เรื่องโลกจะแตกสลายไม่จริง เพียงโลกจะเสื่อมลงเท่านั้น
    คิดตามจริงวิทย์ศาสตร์แล้ว ถ้าโลกแตกไปจริงจะเกิดโลกใหม่นั้นยากมากไม่ทันศาสนาพระศรีอาริย์มาประกาศเป็นแน่ หรือท่านทั้งหลายว่าจริงไหม ครับคุณเกษม ในกัลป์นี้มีมาโปรด5พระองค์ไม่ไช่หรือแล้วโลกสลายไปด้วยไฟ(ถ้าผมจำมาไม่ผิด) ในยุคนี้เรียกว่าภัททกัปป์ เป็นกัปป์ที่เจริญ มีพระพุทธเจ้าเสร็จลงมาโปรดสัตว์โลกถึง 5 พระองค์

    ให้ถึงหลักวิทย์ศาสตร์ถ้าโลก แตกหรือหายไปจริง กว่าจะเกิดโลกใหม่ยากมากและนานมากดังนั้นจะไม่ทันเวลาพระพุทธเจ้าองค์ที่5มาแน่ จึงเป็นเหตุไม่จริง
    จริงก็คงเป็นแค่โลกแค่เสื่อมลงไปเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2009
  8. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ห่วงห่วงห่วง ห่วงหาย ให้โหยหา
    ตายตายตาย ใกล้เขามา ยังหาห่วง
    หลงหลงหลง อยู่กับเงา เขลาทั้งปวง
    ลวงลวงลวง ถ่วงเรา ให้เฉาตาย
     
  9. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    Air France พลิกอีก! ซากกลางทะเลไม่ใช่ เครื่องบินแอร์ฟรานซ์<SCRIPT type=text/javascript><!-- google_ad_client = "pub-0032874521947222"; /* 468x15, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 3/13/09 */ google_ad_slot = "7657140061"; google_ad_width = 468; google_ad_height = 15; //--> </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT><INS style="POSITION: relative; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 468px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: inline-table; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-LEFT-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px"><INS style="POSITION: relative; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 468px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-LEFT-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px"><IFRAME style="POSITION: absolute; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=google_ads_frame1 height=15 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-0032874521947222&dt=1244201529507&lmt=1244201529&output=html&slotname=7657140061&correlator=1244201529507&url=http%3A%2F%2Fnews.mthai.com%2Fgeneral-news%2F35756.html&ref=http%3A%2F%2Fwww.mthai.com%2F&frm=0&ga_vid=180069832400602850.1242101222&ga_sid=1244201529&ga_hid=1556991625&ga_fc=true&ga_wpids=UA-1682552-2&flash=10.0.22.87&w=468&h=15&u_h=819&u_w=1024&u_ah=783&u_aw=1024&u_cd=32&u_tz=420&u_java=true&dtd=47&xpc=vyTtT2DDD7&p=http%3A//news.mthai.com" frameBorder=0 width=468 allowTransparency name=google_ads_frame marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME></INS></INS>


    บทความนี้เขียนโดย Hanoiii Reuters, โพสต์เมื่อ <ABBR class=published title=2009-06-05T09:11:58+0700>05/06/2009 at 09:11</ABBR>, ในหมวด ข่าวต่างประเทศ, ข่าวเด่นประจำวัน และ เครื่องบิน, แอร์ฟรานซ์. เก็บกระทู้นี้ได้ที่ ลิ้งค์นี้. ติดตามความคิดเห็นในบทความนี้ ด้วยระบบ RSS feed. แสดงความคิดเห็น หรือทิ้งแทร็กแบค: Trackback URL.
    แต่เครื่องแอร์แอร์บัสเอ-330 เที่ยวบิน เอเอฟ 447
    [​IMG] กู้ซาก เครื่องบิน แอร์ฟรานซ์

    บีบีซีรายงานว่า เมื่อ 4 มิ.ย. สายการบินแอร์ฟรานซ์ Air France ที่กรุงปารีส แจ้งว่า ซากในทะเลที่หน่วยค้นหาทางทะเลของกองทัพเรือบราซิล กู้ขึ้นมาโดยเชื่อว่าเป็นชิ้นส่วนเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ เอเอฟ 447 ที่ประสบเหตุหายลึกลับ พร้อมผู้โดยสาร 228 คน ไม่ใช่ซากจากเครื่องลำดังกล่าว
    ซากที่พบเป็นแท่นวางสัมภาระของเครื่องที่ทำจากไม้ แต่เครื่องแอร์แอร์บัสเอ-330 เที่ยวบิน เอเอฟ 447 ไม่มีแท่นวางสัมภาระใดที่ทำจากไม้
    การกู้ซากเครื่องอยู่ในระยะ 500 กิโลเมตร ห่างจากฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเฟอร์นันโด เดอ โนรอนญ่า หลังจากกองทัพอากาศพบซากต้องสงสัยเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีทั้งเสื้อแจ๊กเก็ตชูชีพ เก้าอี้ที่นั่งในเครื่อง และเศษเหล็กโลหะ กองทัพเรือจึงรุดไปกู้ซากดังกล่าว
    เครื่องบินแอร์ฟรานซ์ Air France มรณะเป็นเครื่องรุ่นแอร์บัสเอ-330 เที่ยวบิน เอเอฟ 447 บรรทุกผู้โดยสาร 216 คน และลูกเรือ 12 คน ขาดการติดต่อกับหอควบคุมจราจรทางอากาศขณะบินข้ามแอตแลนติกมี โดยหายไปจากจอเรดาร์เหนือมหาสมุทรแอตแลนติกตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. หลังออกจากสนามบินนครริโอเดอจาเนโร มุ่งหน้าไปกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
    เจ้าหน้าที่แอร์ฟรานซ์ Air France เผยว่า เครื่องอาจถูกฟ้าผ่า เพราะช่วงเกิดเหตุจุดดังกล่าวกำลังมีพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง อาจระเบิดกลางอากาศ หรือเมื่อกระแทกกับผิวทะเล แต่ที่แน่นอนก็คือ ไม่มีใครบนเครื่องที่รอดชีวิต
    ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก [​IMG] ข่าวสด

    ข่าวที่เกี่ยวข้อง :



    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ฮ่องกงพรึ่บ-รำลึกจีนนองเลือด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    เอเอฟพีรายงานเมื่อ 4 มิ.ย. ในวาระครบรอบ 20 ปี เหตุการณ์นองเลือดเพื่อประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งเชื่อว่ามีคนตายร้อยศพหรืออาจถึงพันศพ ว่า ในกรุงปักกิ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารยังตรึงกำลังอย่างเข้มงวดมาก โดยเฉพาะที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ห้ามการชุมนุมรำลึกอย่างเด็ดขาด ผิดกับที่เกาะฮ่องกง เขตปกครองพิเศษ มีผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนที่สวนวิกตอเรียปาร์ก ผู้จัดพิธีแจ้งว่ามีผู้ชุมนุมถึงแสนคน

    นายเซียง เยี่ยน อดีตผู้นำนักศึกษาที่นำการประท้วงเมื่อ 20 ปีก่อน เข้าร่วมการชุมนุมที่ฮ่องกง และว่า การจัดพิธีรำลึกด้วยการจุดเทียนในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้โลกเห็นว่าเรายังจดจำการเคลื่อน ไหวเพื่อประชาธิปไตยอยู่ไม่ลืมเลือน

    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีผู้นำนักศึกษาหลายคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าฮ่องกง จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ขณะที่กรุงปักกิ่งมีทั้งตำรวจนอกเครื่องแบบ ในเครื่องแบบ ปิดกั้นจัตุรัสเทียนอันเหมิน ห้ามผู้สื่อข่าวต่างชาติเข้าไป แม้แต่ถ่ายภาพพิธีชักธงชาติก็ไม่ได้ หรือหากถ่ายไปแล้วก็สั่งให้ลบภาพออก ส่วนผู้ที่เคยร่วมชุมนุมหลายคนเปิดเผยว่า ได้รับคำเตือนให้ออกจากกรุงปักกิ่ง และบางคนถูกจับตาอยู่ที่บ้านพัก

    ด้านเดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ รายงานว่า ชาวจีนที่ใช้อินเตอร์เน็ตก่อการประท้วงรัฐบาลที่ปิดกั้นเว็บไซต์ในวาระนี้ ด้วยการตั้งชื่อประชดว่า "วันซ่อมบำรุงอินเตอร์เน็ตแห่งชาติ" ขณะที่เว็บไซต์หลายแห่ง รวมถึงเว็บบันเทิง ร่วมประท้วงด้วยการปิดตัวเอง

    ที่สหรัฐ นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ เรียกร้องให้จีนเปิดเผยความจริงที่เกิดขึ้น ปล่อยตัวผู้ประท้วง และยุติการขัดขวางผู้ที่เคยชุมนุมในเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อน เพราะวาระการครบรอบนี้เป็นโอกาสที่จีนจะได้ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เคยมืดมนให้กระจ่างแจ้ง เปิดเผยรายชื่อผู้ที่ถูกสังหาร ถูกจับกุม หายสาบสูญ เพื่อร่วมเรียนรู้และบรรเทาความสูญเสียร่วมกัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    ไดแอน โอเดลล์"ยอดผู้พิการโลก หัวใจไม่เคยแพ้<TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>เมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการครบรอบ 1 ปีของการจากไปของหญิงสหรัฐอาภัพผู้มีร่างกายผิดปกติ

    แต่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับโรคร้ายของเธออย่างน่าชื่นชม มีกำลังที่เข้มแข็งชนิดต้องเรียกว่าเป็นหญิงหัวใจเหล็กได้อย่างเต็มปาก ไม่ได้ย่อท้อกับชะตากรรมที่ต้องป่วยเป็นโรคร้ายที่น้อยคนที่เผชิญ จนเมื่อพูดถึง"ผู้ป่วยหัวใจแกร่ง"เมื่อใด ก็ต้องมีเธอติดทำเนียบระดับต้น ๆ และชาวโลกต้องนึกถึงเธอทุกครั้งไป


    "ไดแอน โอเดลล์"คือชื่อของผู้หญิงหัวใจเหล็กที่เรากล่าวถึง เธอเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2008

    ภายหลังป่วยเป็นโรคโปลิโอที่ไขสันหลัง มาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ต้องใช้ชีวิตอยู่กับเครื่องบำบัดอาการที่เรียกว่า"Iron lung"เป็นเครื่องจักรที่ช่วยให้ผู้ป่วยที่สูญเสียการควบคุมของกล้ามเนื้อสามารถหายใจได้ แน่นอนที่สุด สภาพชีวิตของเธอถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ป่วยที่เคราะห์ร้ายที่สุดของโรค ที่เผชิญอาการป่วยด้วยโรคไม่เหมือนคนอื่น โดยในอเมริกาประเมินว่า มีผู้ป่วยต้องใช้เครื่องช่วยดังกล่าวเพียง 30 ราย


    แต่สำหรับไดแอน โอเดลล์ อาจถือได้ว่าเธอโชคร้ายกว่าคนป่วยทำนองนี้ เพราะเธอเป็นผู้ป่วยจำนวนไม่กี่คนที่ต้องนอนในเครื่องบำบัดอาการดังกล่าวตลอด 24 ชม.

    แม้จะถูกสวรรค์ลิขิตให้ต้องเป็นผู้ป่วยโรคร้าย แต่ชีวิตของไดแอนไม่เคยยอมแพ้ กลับเป็นนักสู้ตัวจริงที่ใคร ๆ ก็ต้องทึ่ง ชีวิตในวัยเด็กของเธอที่ต้องป่วยและรับการบำบัดด้วยเครื่องจักรช่วยชีวิตดังกล่าว ไม่เคยท้อแท้ต่อปมด้อยของการอยู่ในสภาพเป็นผู้ป่วยง่อยเปลี้ย แต่เธอสามารถผลักดันตัวเอง สร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิตจนบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ได้ไม่ต่างจากคนธรรมดา โดยเธอสามารถสำเร็จการศึกษา ผ่านการทำการบ้านที่เพื่อนร่วมชั้น หรือครูอาจารย์ นำจากโรงเรียนมาให้เธอที่บ้าน ซึ่งเธอจะตอบคำถามผ่านการใช้เครื่อง"Dictophone"หรือเครื่องบันทึกเสียงพิเศษ ให้เพื่อนหรือครอบครัว บรรยาเพื่อนำไปเขียนเป็นการบ้านอีกต่อหนึ่ง นอกจากนี้ ด้วยจิตใจทีทรหด บางครั้งเธอยังทำการบ้านด้วยนิ้วเท้าด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>กระทั่งเธอสามารถสร้างฝันได้เหมือนคนทั่วไป โดยเมื่อปี 1965 เธอสำเร็จการศึกษาระดับไฮสคูล และต่อมาได้ศึกษาระดับหาวิทยาลัยที่"ฟรีด ฮาร์เดมาน"

    แม้ว่าเธอจะไม่สามารถคว้าปริญญา แต่จากความพยายามของเธอเหมือนคนอื่น ก็"ความพยายามที่จะเรียน"ของเธอก็ชนะใจใคร ๆ หลายคน นั่นทำให้เธอได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตในปี 1987 และในปี 1992 เธอได้รับบันทึกชื่ออยู่ในหนังสืออย่าง"นิตยสาร Woman World"และยังได้รับรางวัลทรงเกียรติจาก"The Jackson Rotary Club"ที่ถือเป็นหนึ่งในรางวัลทรงเกียรติที่สุดระดับแนวหน้าของสหรัฐด้วย


    ดังที่กล่าวไว้ "ไดแอน โอเดลล์"ไม่เคยก้มหน้าให้กับชะตากรรมอาภัพของตัวเอง ในปี 1991 เธอเริ่มเขียนหนังสือเด็ก

    โดยใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยเสียง ซึ่งเธอต้องใช้เวลานานกว่า 10 ปี กว่างานของเธอจะสำเร็จ"คลอด"เป็นหนังสือออกมา โดยถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2001 เป็นจำนวน 1 แสนเล่ม ชื่อ"Blinky less Light"หรือ"แสงกระพริบน้อยๆ"(ซึ่งขายได้ราว 1 แสนเล่ม) ไม่นานหลังจากนี้ เธอได้พบกับนายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ในงานเลี้ยงคริสต์มาส เพื่อเป็นเกียรติแก่เธอ


    นอกจากนี้ หนังสือดังกล่าวกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับดาราสาวอย่าง"เจน ซีมัวร์"ที่กล่าวถึงไว้ในหนังสือของเจน

    ก่อนที่จะเธอได้พบกับดาราสาวรายนี้เมื่อปี 2003 และซีมัวร์ได้แนะนำให้เธอรู้จักกับคริสโตเฟอร์ รีฟ ดาราอเมริกันผู้ป่วยเป็นโรคเดินไม่ได้
    ในช่วงเวลาดังกล่าว ถือว่าชีวิตของผู้ป่วยหญิงหัวใจเหล็กรายนี้เต็มไปด้วยเกียรติและการชื่นชม ในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง เธอบอกว่า เธอมีชีวิตที่ดีมาก เปี่ยมด้วยความรัก ครอบครัว และศรัทธา นอกจากนี้ ยังบอกว่า สาเหตุที่เธอเขียนหนังสือเด็กขึ้นมา ก็เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ หรือวัยรุ่น โดยเฉพาะคนที่ป่วยเป็นโรคพิการ ได้เห็นว่า พวกเขาไม่ควรยอมแพ้ต่อโชคชะตา

    แต่หลังที่เธอมีอาการหนักขึ้น ต้องเข้ารับการบำบัดด้วยเครื่อง"Iron lung"ตลอด 24 ชม.ต่อวัน ว่ากันว่า ค่าใช้จ่ายรักษาอาการเธอไม่ใช่เงินจำนวนน้อย หรือคิดเป็นจำนวน 60,000 ดอลลาร์

    แต่ความเป็นหญิงหัวใจสู้ของเธอ ก็ทำให้มีการระดมทุนมูลนิธิช่วยเหลือเธอโดยตรง จำนวนนี้ยังรวมทั้งบุคคลดังบางคนด้วย
    อย่างไรก็ตาม หรือในช่วงสองปีก่อน หรือในวันที่ 17 ก.พ.ปี 2007 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิดอายุ 60 ปี ของเธอ เธอได้รับการฉลองวันเกิดโดยมีแขกกว่า 200 คน พร้อมเค้กอวยพรสูง 9 ฟุต เธอได้รับจดหมายอวยพรจากผู้คนทั่วโลก นอกจากนี้ ทีมถ่ายหนังเยอรมันยังเดินทางมาหาเธอ เพื่อนำชีวิตของเธอไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย

    แต่หลังจากนั้น วันที่ 28 เม.ย.2008 กลายเป็นวันสิ้นสุดอายุขัยของหญิงป่วยหัวใจเหล็ก เธอสิ้นชีวิตจากระบบไฟฟ้าเครื่องช่วยชีวิตของเธอขัดข้อง โดยไฟฟ้าตัดระบบการทำงานในการหายใจของเธอ ทำให้เธอเสียชีวิตลง แม้ว่าญาติจะพยายามช่วยเหลือเธอก็ตาม

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. somemaybe

    somemaybe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +143
    ถ้าเป็นจริงดังว่าก็แสดงว่า
    นาซ่าคำนึงถึงเรื่องรังสีนิวเคลียร์มากกว่าเรื่องน้ำท่วมนะซิ ใช่ป่ะ
     
  11. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>พายุกระหน่ำ ตลาดสดสัตหีบ หนีตายอลหม่าน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>เมื่อเวลา 18.45 น.ที่ผ่านมา(4 มิ.ย.) นายณรงค์ บุญบรรเจิดศรี นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสัตหีบ

    รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ตลาดศิวนารถ 700 ไร่บ้านเตาถ่านหมู่ 4 ตำบลสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เกิดเหตุเต็นท์ผ้าใบถล่มลงมาทับร้านค้าขายของกว่า 600 ร้าน มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย หลังรับแจ้งจึงสั่งการให้ศูนย์ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน เทศบาลเมืองสัตหีบ พร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบพร้อมประสานไปยัง นายไพโรจน์ มาลากุล ณ อยุธยา นายกเทศมนตรีตำบลสัตหีบ ขอกำลังพร้อมอุปกรณ์กู้ภัยรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สมชาย สุนทวนิค ผกก สภ.สัตหีบ

    ที่เกิดเหตุพบพ่อค้าแม่ค้าที่นำของมาขาย ยืนดูข้าวของเสียหายด้วยความตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    เจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งเข้าทำการช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ จากโครงเหล็กเต็นท์ผ้าใบที่ถล่มลงมาทับ เบื้องต้นได้ช่วยเหลือและค้นหาผู้ที่ติดอยู่ใต้เต็นท์ พร้อมทั้งช่วยกันปฐมพยาบาล และลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่งรักษาตัวยังโรงพยาบาลสมเด็จกระนางเจ้าสิริกิติ์กรมแพทย์ทหารเรือ ที่ห้องฉุกเฉิน มีอาการสาหัสจำนวน 9 ราย และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 30 ราย

    จากการสอบถาม นางสมบัติ พุ่มเถื่อน อายุ 47 ปีแม่ค้าที่อยู่ในเหตุการณ์ทราบว่า เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัว ก่อนฝนกระหน่ำได้มีลมพายุหมุนลงมาที่ตลาด


    ทำให้เต็นท์ยกขึ้นลอยเหนือพื้นทับถมกัน พ่อค้า แม่ค้า และประชาชนกว่า 1,000 คน วิ่งหนีเอาชีวิตรอด เสียงหวีดร้องลั่นตลาด บางรายร้องหาลูก สิ้นลมพายุ ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว โชคดีที่โครงเหล็กไม่ทิ่ม เพียงแต่ทับตามร่างกาย ทับรถเสียหายหลายคัน พ่อค้า แม่ค้า เรียกร้องเจ้าของที่จัดตลาดนัดออกมาแสดงความรับผิดชอบช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายบ้าง แต่ไม่ได้เอาโทษทางกฎหมายแต่อย่างใด เพราะเกิดจากภัยธรรมชาติ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>แฉเมนู'ส้มค่าง' สารพัดโรค ล่าผิดกม.คุก4ปี</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>วันนี้ (4 มิ.ย.) ที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

    นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ แถลงข่าวเรื่อง 'ส้มค่าง เมนูรันทด' ว่า ขณะนี้ กรมอุทยานฯ ได้ตรวจสอบการบริโภคอาหารป่าของประชาชนในจังหวัดต่างๆ และ พบว่าปัจจุบันมีการล่าค่าง ซึ่งเป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกับลิง มีมือมีเท้าไม่แตกต่างจากคน เพื่อนำมาบริโภค เพราะมีความเชื่อว่าหากได้กินเนื้อ สมอง หรือ เลือดค่าง ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงยืนยาว โดยจังหวัดที่มีการนำค่างมาบริโภค มากที่สุด คือ ที่ อ.ลานสัก อ.ห้วยคต และ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และ อ.แม่วงศ์ กิ่งอำเภอแม่เปิงและกิ่งอำเภอชุมตาวง จ.นครสวรรค์

    อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ค่างที่นิยมล่ามาบริโภคมากที่สุดคือ ค่างแว่นถิ่นเหนือ มีขนาดหัวและลำตัวยาว ประมาณ 52 - 62 ซม.

    ซึ่งมีมากที่สุดในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งด้านตะวันออกและด้านตะวันออกเฉียงเหนือเขตติดต่อ อ.แม่วงศ์ จ.นครสวรรค์และป่ากันชนห้วยขาแข้ง โดยค่าง ที่ถูกล่าจะถูกนำมาทำส้มค่าง โดยการนำเนื้อค่างมาสับ หมักด้วยข้าวสุก เกลือ และกระเทียม ใช้เวลาหมัก 3 วัน วิธีบริโภค มีทั้ง กินสด หรือ นำไปทอดและนำไปประกอบอาหารอื่นๆ เช่น หมก หรือ แกง หรือ นำไปทำเป็นวิธีเดียวกับปลาร้า เรียกว่า ร้าค่าง ราคาจำหน่ายส้มค่าง ประมาณกิโลกกรัมละ 300 บาท มีขายตามตลาดท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ส่วนเลือดค่าง นิยมนำมาผสมกับเหล้าเพื่อบริโภค นอกจากค่างที่นิยมนำมาทำส้มแล้ว ยังมีตัวนิ่มและหมีที่มีการนำเนื้อหมีมาทำเป็นส้มหมี หรือ หมีร้า หรือ ส้มนิ่มและนิ่มร้าด้วย

    'ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา หน่วยลาดตระเวนของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้จับกุมผู้กระทำผิด โดยยึดซากค่างได้ 2 ตัว มีเนื้อและกระดูกสับละเอียดรวมกันอีก 21 กิโลกรัม เพื่อเตรียมแปรรูปเป็นส้มค่าง และ ร้าค่าง' อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ความนิยมในการบริโภคส้มค่าง เชื่อว่าไม่น่าจะแพร่กระจายออกไปตามจังหวัดต่างๆ เพราะได้ตรวจสอบตามพื้นที่ต่างๆ แต่น่าจะเป็นการทำและจำหน่ายกันเองในตลาดแคบๆ ที่มีผู้นิยมเท่านั้น และไม่น่าจะมีการแอบไปจำหน่ายปะปนกับเนื้อชนิดอื่นด้วย

    นายเกษมสันต์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตนอยากเตือนนักบริโภคอาหารจากสัตว์ป่า โดยเฉพาะ ค่าง

    เพราะค่างเป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกับลิงและเป็นสัตว์ที่มีตระกูลใกล้กับคนมาก โดยโรคที่เกิดจากค่าง อาทิ เริม พิษสุนัขบ้า โรคจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย รวมไปถึงทำให้เกิดอาการท้องร่วงท้องเสียด้วย ที่สำคัญการล่าค่าง ถือว่าผิดกฎหมายมีโทษปรับตั้งแต่ 4 หมื่นหรือจำคุก 4 ปี


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. somemaybe

    somemaybe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +143
    อันนี้ขอถามประดับความรู้

    มีใครรู้มั่งว่าอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดตอนนี้คืออะไร
    (อย่าตอบว่า คำคมน๊ะ ตลกตายเลย^^')

    มันคือระเบิดนิวเคลียร์รึป่าว นอกจากระเบิดนิวเคลียร์แล้วมีระเบิดอื่นอีกรึป่าว
    เหมือนเคยได้ยินเรื่องระเบิดไนโตรเจน ระเบิดนิวตรอน

    อาวุธร้ายขนาดนี้แล้วใครกันหนอจะกล้ากดปุ่ม...

    ไม่รุ้ว่าการทำลายล้างมันเป็นขนาดไหน
    มีระเบิดแบบไหนมั้ยที่ทำให้คนตายแต่สิ่งปลูกสร้างยังมีอยู่


    วันก่อนเอา die hard4 มาดูใหม่ นึกๆไปก็น่ากลัวเหมือนกัน
    ไม่ต้องมีใครเอาอาวุธมาถล่ม แค่โล๊ะทิ้ง ทำระบบให้พัง
    โลกก็วุ่นวายพิลึกได้แล้ว

    ส่วนเรื่องค่าง ดูแล้วน่าสงสาร มนุษย์คือสัตว์ที่บริโภคไม่เลือกจริงๆเลย
     
  13. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    823
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ..หากไม่มีความเห็นที่แตกต่างจะ รู้ได้อย่างไรว่า อะไรถูกหรือผิด.....หาก ในเวป ไม่มี เรื่อง ภัยพิบัติ หรือ สำหรับ ผม เรียกว่า เรื่อง โลกแตก เพราะ เถียงกัน ไม่เลิก..มันคงจะขาดความสนุกไปเยอะ...เห็นใหมว่า..คำำๆเดียว โลก แตก ยัง มีความหมาย ไม่เหมือนกัน บางท่าน หมายถึง ภัยพิบัติ บางท่านหมายถึง โลกแตกจริงๆ แต่ ผม หมายถึง สิ่ง ที่เถียงกันไม่เลิก... ปล่อยให้มันเป็นไป แล้ว เราจะได้ เป็นเพื่อนกันต่อไป...ดีกว่านะ
     
  14. k_karn

    k_karn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +149
    ลูกเคยบอกว่า คนไม่ดีมีมาก เขาก็ต้องมาชำระโลก เอาคนไม่ดีไป เพื่อให้โลกกลับมาสดใสสวยงามดังเดิม

    อืมม์...

    rat_wting
     
  15. doodee1

    doodee1 คนละพวก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,718
    วันที่ 05 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6763 ข่าวสดรายวัน


    "ทรนง"ทำหนัง"สึนามิ"เป็นทางเลือกให้กับคนดู ไม่หวังกำไรในเมืองไทย-หั่นส่วนการเมืองทิ้งก่อนขายตปท.




    อยากให้คนไปดูหนัง "13-04-2022 สึนามิ วันโลกสังหาร" เพื่อจะได้เห็นภาพที่ตื่นตา และทำให้คนไทยหันมาสนใจสิ่งแวดล้อม โดยผู้กำกับฯรุ่นใหญ่ "ทรนง ศรีเชื้อ" เผยว่า

    "ความน่าสนใจของเรื่องสึนามินี้ก็คือ คนดูจะได้เห็นกรุงเทพฯเผชิญหน้ากับสึนามิ ที่มีความสูงถึง 30 เมตร เข้ามาทางอ่าวไทย แต่ว่าเข้ามาเพราะเหตุใดผมอยากให้ไปดูในหนัง แต่ภาพที่ออกมาเป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจ ทำให้คนไทยหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมครับ"

    "นอกจากนี้ยังได้รู้เรื่องการเมือง เพราะหนังเรื่องนี้มีการเมืองเข้ามาเต็มที่คือเมื่อมีภัยสึนามิ คนที่เข้ามาแก้คือคณะของรัฐบาล ตัวเอกของหนังเรื่องนี้คนหนึ่งก็คือตัวนายกฯ หนังสะท้อนการเมืองด้วย ชี้ให้เห็นว่าภัยธรรมชาติร้ายแรงกว่าภัยเศรษฐกิจ เพราะสึนามิสามารถฆ่าคนได้ทีละเป็นล้านๆ"

    หนังแนวนี้ไม่ค่อยมีใครทำ ทำไมถึงเลือกทำแนวนี้ "เป็นความตั้งใจของผมครับที่จะสร้างภาพยนตร์ไทยทางเลือกใหม่ขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกชมภาพยนตร์นอกจากภาพยนตร์ตลก กุ๊กกิ๊ก หรือหนังผี ซึ่งมีอยู่แล้วมากมาย"

    คาดหวังอย่างไรบ้างกับหนังเรื่องนี้ "ผมคิดว่าขายในไทยคงไม่ได้กำไรแน่นอน ผมจะไปหาต้นทุนคืนและกำไรจากต่างประเทศ ตอนนี้ก็มีคุยกันอยู่ 20 กว่าประเทศ แต่ยังไม่เซ็นสัญญาแน่นอน เพราะต้องตัดต่อใหม่ให้เป็นเวอร์ชั่นขายต่างประเทศ ต้องตัดเรื่องการเมืองของเราออกไป เพราะเขาคงดูไม่รู้เรื่อง เวอร์ชั่นที่ผมเอาไปขายทั่วโลกเป็นเวอร์ชั่นที่เกี่ยวกับภับพิบัติโดยตรง"
     
  16. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

      [​IMG]

    ภาพสวยดีครับ...​
     
  17. < NASA >

    < NASA > สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +12
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ไฟล้างโลกและพระศรีอาริย์ตรัส

    [​IMG]

    เรื่องรู้เลยตาย : ไฟล้างโลก และพระศรีอาริย์ตรัส (บันทึก เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒) ธรรมปฏิบัติเล่ม 12 โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร)

    ความจริงเรื่องรู้เลยตาย หรือรู้ก่อนเกิดนี้ ฉันเองไม่ใคร่อยากจะพูด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไปไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนๆ เรื่องรู้เลยตาย และรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่น รู้ว่า เมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบันลัยกัลป์จะไหม้ถึงภวคพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่า ไฟอะไรจะดันไปไหม้แม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ความจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนของวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ นนทากับ ประสบสุข มาฝึกกรรมฐาน ฉันนั่งคุมกรรมฐาน ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็น สัพพัญญูวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้

    หลังสิ้นพระพุทธศาสนา : หลังจากกึงพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี (เลยพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปีไปอีก ๑,๕๐๐ ปี) จะมีไฟล้างล้างโลก ล้างแต่มนุษย์เท่านั้น ไม่ลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่า ความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างนั้น เป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมาก มารวมกันอยู่ เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลก มีแต่ความเร่าร้อน หาความสงบสุขไม่ได้ ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปีแล้ว จากนั้นไป พวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรมเป็นพวกเห็นแก่ตัว มากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม

    หลังจากไฟล้างโลกแล้ว : โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษย์โลก แม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื้น ต้นหญ้า ต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้

    หลังจากที่โลกเขียวชอุ่ม ไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้น : ทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิด สัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้น ไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบ อุปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวคนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ส่องแสง มีแสงเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละคน คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ เรื่องอาหารนั้นนระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปิติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอจากกฏธรรมดา คือ ความเสื่อมของสังขาร เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด ผิวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป

    พระศรีอาริย์มาตรัส : เมื่อโลกมีมนุษย์ และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์แล้ว ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลกเกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี คนสมัยนั้นีอายุครองตนได้ ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้นพระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เขตที่ท่านลงมาตรัสสมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า

    คณะคอยพระศรีอาริย์ : คนกลุมหนึ่ง ที่บำเพ็ญบารมีคอยพระศรีอาริย์ ตามปฎิญญาที่ให้ไว้หลายพุทธสมัยนั้น ท่านหัวหน้าทรงนามว่า "โกสีห์" จะสร้างเมืองแถวด้านเหนือของเมืองพม่า เรียกว่า เชียงตุง ปัจจุบัน ให้ชื่อเมืองว่า สีหนคร รวบรวมลูกหลานทั้งหมดมาร่วมบำเพ็ญกุศล และเป็น อุปฐากใหญ่ ของพระศาสนา ในที่สุดก็นิพพานทั้งตระกูล

    ในศาสนาพระศรีอาริย์ : เรื่องพระศรีอาริย์นี้ เวลานี้ชักยุ่งมากทีเดียว เพราะไม่ว่าไปทางไหน ก็พบพระศรีอาริย์เกลื่อนไปหมด ที่โน่นก็พระศรีอาริย์ ที่นี่ก็พระศรีอาริย์ เล่นเอาชาวบ้านอานกันเป็นแถว เพราะอยากเป็นบริวารพระศรีอาริย์ ส่วนพวกร้านค้าก็บอกว่า ระหว่างนี้เข้ายุคภาษีอาน ฟังแล้วคล้ายๆ กัน....ฯลฯ

    มาพูดกันเรื่อง พระศรีอาริย์กันดีกว่า เรื่องภาษีอานนั้นพูดไม่ออกแล้ว พอใจหรือไม่พอใจก็ต้องเสีย เป็นเรื่องของยุคทมิฬ ห้ามพูด เมื่อบ้านเมืองยุ่ง ทางกลุ่มศาสนาก็พลอยกลุ้ม เพราะเมื่อมีความเดือดร้อน ชาวบ้านก็อยากพบพระศรีอาริย์ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข คราวนี้เองเป็นเหตุให้พระศรีอาริย์อวตาร หรือโงนเงนเหมือนต้นตาลลงมาไม่ทราบ เกิดมีพระศรีอาริย์โผล่หน้ามาพร้อมกันหลายองค์ อยู่ตามถ้ำ ตามเขาบ้าง ตามกลุ่มชนในชนบทบ้าง ไม่รู้ว่าอวตารลงมาอย่างไรพร้อมกัน ในยุคเดียวกันตั้งหลายอาน บางรายก็สวดด่อน เขาว่าอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสวด เขาสวดกันอย่างไร

    บางรายเฉพาะที่เขาตะพาบ เมืองอุทัย เห็นสวดดะไม่ใช่สวดด่อน ที่เมืองลพบุรีก็มี รายนั้นทำงานมงคล นิมนต์พระผีมาสวดเป็นแถว เห็นตั้งอาสนะไว้ แต่ไม่เห็นมีพระ มีคนเขาบอกว่าท่านนิมนต์หลวงพ่อศุข หลวงพ่อปาน หลวงพ่อแช่ม ฯลฯ และอีกหลายท่าน ให้มาสวดมนต์ ในงานยกธงธรรมจักร นิมนต์พระผีมานี่ ลดค่าครองชีพดีมาก ท่านสวดมนต์ก็เสียงไม่ดัง นั่งก็ไม่เปลืองที่ เลี้ยงอาหารก็ไม่เปลือง สบายใจดีแล เรื่องอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะโกหกเพื่อหวังลาภผลเท่านั้นเอง เอาอะไรเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ ขึ้นไปบนสวรรค์ทีไร พบพระสรีอาริย์ทุกคราว แถมท่านบอกมาด้วยว่า "ที่เข้าทรง และว่าฉันไปนั้น ฉันไม่เคยไปเลย" เรื่องก็จบเพียงแค่นี้

    ต่อไป มาพูดกันถึงศาสนาพระศรีอาริย์กันดีกว่า ท่านว่า ศาสนาของท่านนั้น มีผลดังนี้

    ๑. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุด มีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณ ๒๐ ปีเศษสมัยนี้เท่านั้นเอง อายุคนสมัยนั้นท่านว่ามีอายุถึง ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย

    ๒. สมัยของท่าน ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย มีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มีจิตใจชั่วร้าย ยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์ ท่านที่จะไปเกิดที่นั้น ต้องเป็นเทวดา หรือพรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหาร มีแต่พ่อบ้านแม่เรือน

    ๓. การสัญจรไปมาสะดวกสบาย ไปไหนก็พายเรือตามน้ำ

    ๔. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้างพอสมควรจะเข้าถึงธรรมพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยเจ้า คนที่ได้อริยะต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน

    คนที่ทำบุญไว้น้อย คือฟังคาถาพัน และปฏิบัติตามแต่ไม่สมบูรณ์ อย่างต่ำก็เข้าถึงสรณคมน์ อย่างสูงก็ได้อริยะ ที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะท่านบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป ท่านบำเพ็ญบารมีมาก คนเลวจึงเข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้ น่าเกิดจริงๆ

    เรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างนี้อย่างนี้ เขียนไว้ให้อ่านเล่น จริงหรือไม่จริง ไม่มีผลที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตำรา ต้องอาศัยฌานและญาณช่วยจึงจะทราบผลแน่นอน ถ้าวิริยะอุตสาหะแล้ว ไม่ช้าก็พากันมีความรู้สึกที่จะพิสูจน์ได้ ฟังไว้แต่อย่าเชื่อ และอย่าเพิ่งปฏิเสธ จนกว่าเราจะมีฌานและญาณพอจะพิสูจน์ได้ สำหรับเรื่องนี้ขอยุติเท่านี้ วันหน้าถ้ามีเวลาพอ จะเอาเรื่องโลกเกิดมาเขียนให้อ่านเล่น

    ที่มา http://forum.02dual.com/index.php?topic=160.0<!-- google_ad_section_end -->​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2009
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=556 align=center border=0><TBODY><TR><TD colSpan=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="HEIGHT: 2556px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=717 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#eef6df height=2556>
    <TABLE style="HEIGHT: 38px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=510 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center bgColor=#e7f2d0 height=38>กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย คือ การกำหนดเวลาที่จะนับจะประมาณไม่ได้ ซึ่งมีอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="58%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=13>ถ้านับเม็ดฝนที่ตกลงมาทั้งวันทั้งคืนตลอดทั้ง 3 ปี ไม่ได้ขาดเลย
    จนกระทั่งเต็มท่วมขอบจักรวาล
    มีระดับความสูง 84,000 โยชน์ อย่างต่อเนื่องได้ 1 อสงไขย ก็คือจำนวนเม็ดฝนที่นับได้เป็น 1 อสงไขย
    </TD><TD vAlign=top>ส่วนกาลเวลาที่เรียกว่า มหากัป คือ ระยะเวลาที่โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป
    </TD><TD vAlign=top>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เรามาศึกษากาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย ที่เราได้ยินว่า ๒๐ อสงไขย ๔๐ อสงไขย ๘๐ อสงไขย อสงไขยคืออะไร

    กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย คือการกำหนดเวลาที่นับประมาณมิได้ ซึ่งมีอุปมาเปรียบเทียบเอาไว้ว่า ฝนตกใหญ่อย่างมโหฬารทั้งวันทั้งคืน เป็นเวลานานถึง ๓ ปี ไม่ได้ขาดสายเลย จนกระทั่งน้ำฝนท่วมเต็มขอบจักรวาล ซึ่งมีระดับความสูง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หากว่ามีใครสามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาตลอดทั้ง ๓ ปีได้ นับได้เท่าไร นั่นคือระยะเวลา ๑ อสงไขย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="26%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=52>เมื่อครบร้อยปีจะมีเทวดาเอาผ้าทิพย์ที่บางเบามาลูบภูเขานี้ ๑ ครั้ง เมื่อใดที่เทวดานั้นเอาผ้าทิพย์บางเบามาลูบ จนภูเขาสึกกร่อนเรียบเสมอพื้นดิน จึงเรียกว่า มหากัป</TD><TD vAlign=top>หรือ มีกำแพงสี่เหลี่ยมใหญ่มหึมา มีความกว้าง ยาว ลึก อย่างละ 1 โยชน์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ส่วนกาลเวลาที่เรียกว่า มหากัป คือ ระยะเวลาที่โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป ซึ่งมีอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า มีภูเขาศิลาแท่งทึบ กว้าง ยาว สูง อย่างละ ๑ โยชน์ เมื่อครบ ๑๐๐ ปีทิพย์ จะมีเทวดานำผ้าทิพย์ที่บางเบาเหมือนควันมาลูบ ๑ ครั้ง เมื่อใดที่เทวดาได้นำผ้าทิพย์บางเบาเหมือนควันมาลูบ จนภูเขาสึกกร่อนเรียบเสมอพื้นดิน เมื่อนั้นจึงจะเรียกว่า ๑ มหากัป
    หรืออีกอุปมาหนึ่งว่า มีกำแพงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มหึมา มีความกว้าง ยาว ลึกอย่างละ ๑ โยชน์ เมื่อครบ ๑๐๐ ปีทิพย์จะมีเทวดาองค์หนึ่ง นำเมล็ดพันธุ์ผักกาดซึ่งเมล็ดนิดเดียว มาหยอดใส่ในกำแพงสี่เหลี่ยมนั้น ๑ เมล็ด เมื่อใดที่เทวดานั้นนำเมล็ดผักกาดมาหยอดใส่จนเต็มเสมอขอบปากกำแพงนั้น เมื่อนั้นจึงจะเรียกว่า ๑ มหากัป
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="26%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=52>พอถึงร้อยปีจะมีเทวดาองค์หนึ่ง เอาเมล็ดผักกาดมาหยอดใส่ในกำแพงสี่เหลี่ยมนี้ 1 เมล็ด เมื่อใดที่เทวดานั้นเอาเม็ดผักกาดมาหยอดใส่จนเต็ม เสมอขอบปากกำแพงนั้นแล้ว เมื่อนั้นจึงเรียกว่า มหากัป</TD><TD vAlign=top>ในมหากัปยังแบ่งออกเป็น 4 อสงไขยกัป หากจะอธิบายให้ง่ายขึ้น ก็คือสมมุติว่าเรามีเค็กอยู่ 1 ก้อนในแต่ละชิ้นมีระยะเวลาเท่ากับ 64 อันตรกัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    มหากัปนั้นจะแบ่งเป็น ๔ ช่วง โดยสมมุติว่า เรามีเค้กอยู่ก้อนหนึ่ง เราแบ่งเค้กนั้นออกเป็น ๔ ชิ้นเท่ากัน ในแต่ละชิ้นมีระยะเวลาเท่ากับ ๖๔ อันตรกัป

    ชิ้นที่ ๑ มีชื่อเรียกว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกกำลังถูกทำลาย หรือกัป กำลังพินาศอยู่ เป็นช่วงที่เกิดบรรลัยกัลป์ อาจจะ เป็นไฟบรรลัยกัลป์ เกิดไฟไหม้ หรือน้ำบรรลัยกัลป์ เกิดน้ำท่วม หรือลมบรรลัยกัลป์ เกิดลมพายุ อย่างใดอย่างหนึ่ง สมมุติว่า เกิดไฟบรรลัยกัลป์ ใช้เวลาถึง ๖๔ อันตรกัป

    ชิ้นที่ ๒ มีชื่อเรียกว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขย-กัป หมายถึง ช่วงที่โลกถูกทำลาย เรียบร้อยไปแล้ว จนเหลือแต่อวกาศว่างเปล่า สมมุติว่า ไฟบรรลัย-กัลป์ไหม้ไปแล้ว ช่วงนี้ไฟเริ่มมอด แต่ยังระอุอยู่เป็นเวลาถึง ๖๔ อันตรกัป

    ชิ้นที่ ๓ มีชื่อเรียกว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกกำลังพัฒนาสู่ภาวะปกติ หรือกัปที่เจริญขึ้น เป็นช่วงที่แผ่นดินเริ่มก่อตัวใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาถึง ๖๔ อันตรกัป

    ชิ้นที่ ๔ มีชื่อเรียกว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกเจริญขึ้น พัฒนาเรียบร้อย เป็นปกติตามเดิม คือ มีสิ่งมีชีวิตปรากฏเกิดขึ้น มีต้นไม้ ภูเขา คน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งเป็นช่วงที่เรากำลังอยู่ โดยเริ่มจากอาภัสราพรหม ลงมากินง้วนดิน ใช้เวลาถึง ๖๔ อันตรกัป
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="26%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=52>ชิ้นที่ 1 เรียกว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกถูกทำลาย หรือกัปกำลังพินาศอยู่
    ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป

    </TD><TD vAlign=top>ชิ้นที่ 2 เรียกว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกถูกทำลายเรียบร้อยเเล้ว จนเหลือแต่อวกาศว่างเปล่า ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="26%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR bgColor=#e7f2d0><TD vAlign=top height=52>ชิ้นที่ 3 เรียกว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกกำลังเริ่มพัฒนาเข้าสู่ภาวะปกติ หรือกัปที่เจริญขึ้น ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป</TD><TD vAlign=top>ชิ้นที่ 4 เรียกว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป หมายถึง เป็นช่วงที่โลกเจริญขึ้น พัฒนาเรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม หรือ กัปที่เจริญขึ้นพร้อมเเล้วทุกอย่างตั้งอยู่ตามปกติ ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ต่อจากนี้เรามาศึกษาว่า ๑ อันตรกัป มีระยะเวลานานขนาดไหน

    ๑ อันตรกัป คือ ช่วงที่มนุษย์มีอายุสูงสุดถึง ๑ อสงไขยปี คือ อายุมนุษย์ที่นับประมาณมิได้ และค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ คือ ๑๐๐ ปี ลด ๑ ปี จนกระทั่งอายุมนุษย์เหลือเพียงแค่ ๑๐ ปี ที่อายุมนุษย์เสื่อมลง เพราะสั่งสมอกุศลธรรมมากขึ้น เรียกว่า ไขลง จากนั้นมนุษย์ก็สั่งสมกุศลธรรมมากขึ้น เรียกว่า ไขขึ้น อายุมนุษย์จึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จาก ๑๐ ปี คือ ๑๐๐ ปี เพิ่ม ๑ ปี ไปจนกระทั่งอายุมนุษย์สูงสุดคือ ๑ อสงไขยปี
    [​IMG]
    <TABLE style="HEIGHT: 38px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=268 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#e7f2d0 height=38>ใน 1 อันตรกัป คือช่วงที่มนุษย์มีอายุสูงสุด ถึง 1 อสงไขยปี และค่อยๆ ลดลงมาเหลือ เพียงแค่ 10 ปี จากนั้นมนุษย์ก็เริ่มมีอายุเพิ่มขึ้นอีกจนกระทั่ง 1 อสงไขยปี เรียกว่า 1 อันตรกัป</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ดังนั้นสรุปว่า ช่วงอายุมนุษย์ตั้งแต่ ๑ อสงไขยปีลดลงเหลือ ๑๐ ปี และจาก ๑๐ ปี เพิ่มขึ้นจนถึงอสงไขยปี อย่างนี้จึงเรียกว่า ๑ อันตรกัป

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=565 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="HEIGHT: 38px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=565 align=right border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center bgColor=#e7f2d0 height=38>
    ทั้ง 4 ช่วงรวมเป็น 256 อันตรกัป หรือเรียกว่า มหากัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    เพราะฉะนั้น ระยะเวลา ๔ ช่วงรวมกันแล้วเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ มหากัป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://dhammavoice.wordpress.com<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,194
    ความหมายที่แท้จริงของคำว่า"โลกแตก"

    [​IMG]

    "โลกแตก"ในความหมายที่แท้จริงแล้ว หมายถึงระยะเวลาที่โลกแตกสลายเป็นจุลมหาจุลไป ซึ่งก็คือการสิ้นสุดของระยะเวลา 1 มหากัปป์ แต่ชาวพุทธเรานิยมเรียกกันว่า 1 กัป ซึ่งก็มีความหมายเดียวกันกับคำว่า 1 มหากัปป์ นี้นั่นเอง

    เมื่อทุกอณูของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ กลับมารวมตัวกันเป็นโลกธาตุอีกครั้ง จึงจะถือว่าเป็นการเริ่มต้นกัปป์ใหม่ หมุนเวียนกันไปเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับสลายไป

    ไฟล้างโลก จึงหมายถึง ไฟที่มากวาดล้างทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ เป็นยุคๆ เป็นคราวๆไป แต่ยังไม่ได้ทำให้โลกต้องแตกสลายไป เหมือนไฟประลัยกัลป์ ที่จะมาทำลายโลกให้ต้องแตกสลายไปเมื่อตอนสิ้นกัปป์ เช่นเมื่อสิ้นสุดอายุพระศาสนานี้ครบ 5,000 ปีไปแล้ว ก็จะเกิดไฟล้างโลกขึ้นมาตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสบอกเอาไว้

    ดังนั้น"โลกแตก" จึงยังไม่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อหลังจากสิ้นสุดศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้าไปแล้วเท่านั้น ตามหลักฐานที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกดังนี้

    ระยะเวลาที่โลกกำลังวินาศ(โลกแตก) คือ วินาศด้วยไฟ ด้วยน้ำ หรือด้วยลม ตามคติเก่าแก่กล่าวว่า วินาศด้วยไฟนั้น จะเกิด “มหาเมฆกัปวินาศ” คือฝนตกใหญ่ทั่วโลกก่อน ครั้นฝนหยุดแล้วจะไม่มีฝนอีก โลกจะแห้งแล้งไปโดยลำดับ แล้วเกิดดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ ปรากฏขึ้น และ ดวงมี่ ๓ ดวงที่ ๔ จนถึงดวงที่ ๗ ซึ่งทำให้โลกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

    จนก่อตัวเป็นไฟประลัยกัลป์ เผาไหม้โลกจนกลายเป็นจุลมหาจุล ส่วนโลกวินาศด้วยน้ำนั้น จะเกิด “มหาเมฆกัปวินาศ” ก่อน แล้วเกิดฝนด่างตกลงมาท่วมโลกไปทั่ว กลายเป็นน้ำประลัยกัลป์ ย่อยโลกให้สลายไปเป็นจุลมหาจุล ส่วนโลกพินาศด้วยลมนั้น จะเกิด “มหาเมฆกัปวินาศ” ก่อนแล้วจะเกิดลมวินาศเป็นลมประลัยกัลป์ พัดทำลายโลกให้แหลกเป็นจุลมหาจุล

    เกณฑ์โลกวินาศตามคตินี้กล่าวไว้ว่า โลกวินาศด้วยไฟ ๗ ครั้ง แล้วจึงวินาศด้วยน้ำในครั้งที่ ๘ หนึ่งครั้ง ครั้นวินาศด้วยไฟและน้ำดั่งนี้ครบ ๘ ครั้ง ๘ หนแล้ว จึงวินาศด้วยลมครั้งหนึ่ง ระยะเวลาตั้งแต่เกิดมหาเมฆกัปวินาศ จนถึงไฟประลัยกัลป์ไหม้โลกจนหมดสิ้นสลายไป ใช้เวลายาวนานหนึ่งกัปย่อย กัปย่อยที่โลกกำลังวินาศนี้เรียก สังวัฏฏกัป

    เมื่อโลกวินาศเป็นจุลเหลือแต่ความว่างเปล่า ก็จะว่างเปล่าปราศจากโลกนี้ต่อไปอีกยาวนานหนึ่งกัปย่อย เรียกกัปย่อยนี้ว่า สังวัฏฏฐายีกัป

    หลังจากผ่านพ้นความว่างเปล่าที่ยาวนานหนึ่งกัป ดวงอาทิตย์จะเริ่มลดลงจนเหลือดวงเดียวอีกครั้งหนึ่ง “มหาเมฆกัปสมบัติ” เริ่มตั้งขึ้น เกิดฝนตกทั่วทุกที่ในจักรวาล ลมจะประคองน้ำฝนรวมเป็นก้อนกลม แล้วก็แห้งไป ปรากฏเป็นโลกขึ้นใหม่ เกิดวิวัฒนาการของเปลือกโลกเป็นแผ่นดิน ภูเขา และมหาสมุทร และเกิดชั้นบรรยากาศหุ้มห่อโลก ซึงใช้ระยะเวลายาวนานหนึ่งกัปย่อย เรียกกัปย่อยนี้ว่า วิวัฏฏกัป

    เมื่อโลกก่อกำเนิดขึ้นแล้ว มีแผ่นดิน ท้องฟ้าและมหาสมุทร รวมทั้งบรรยากาศ เกิดกลางวัน กลางคืน และฤดูกาลหมุนเวียนต่อเนื่องขึ้น ดังนี้นสิ่งมีชีวิตก็เริ่มเกิดขึ้น เริ่มจากสัตว์เซลล์เดียวก่อน และวิวัฒนาการเป็นหลายเซลล์ แล้วเกิดพืชและสัตว์พันธุ์ต่างๆมากขึ้น จนปรากฏมนุษย์บุรุษและสตรีขึ้น สืบเผ่าพันธุ์ต่อกันมาแล้วตั้งบ้านเรือนและประเทศต่างๆขึ้น เรียกกัปนี้ว่า วิวัฏฏกัป และจะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติขึ้นในกัปย่อยนี้

    ที่มา http://larndham.net/index.php?showtopic=26514&st=2


    **************************************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...