ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    94A91D9A-D49B-42EB-8962-1750CD878430.jpeg

    ลูกศิษย์ : คือวันนี้เป็นวันเกิดครบ ๖๕ ปีของลูกเจ้าค่ะ ขอพรจากหลวงปู่ด้วยเจ้าค่ะ
    หลวงปู่ : อ้าว..เดี๋ยวฉันจะให้โยม โยมตั้งใจรับให้ดีนะจ๊ะ เจ้ากลับไปนี่ก่อนนอนให้พิจารณาความตายให้ถึง ว่าตั้งแต่เกิดมาทำอะไรไปบ้าง ที่เรายังไม่ได้ทำในความดีก็ดีมีอะไรบ้าง ที่เราทำความดี..หรือความดีนั้นมีอะไรบ้าง แล้วความดีที่เราทำไปมันถึงดีหรือไม่ หรือว่ายังมีการอวดดีอยู่ ให้ไปพิจารณาแก้ไขเมื่อเราจะละโลกนี้ไป

    เราลองมองย้อนกลับไปในคนที่เป็นรุ่นเดียวกับเรา อ่อนกว่าเรา แก่กว่าเราที่ตายไปหมดแล้วเค้าไปอยู่ไหน ให้พิจารณาอย่างนั้น เคยไปงานศพใครมาบ้าง ให้พิจารณาอย่างนั้น..นี่คือวันเกิดของโยม ต้องเกิดปัญญาให้ได้ โยมถึงจะเกิดอยู่ตลอดไป ไม่งั้นโยมก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อย่าทำให้จิตมันอ่อน จงทำให้เกิดปัญญา ไม่อย่างนั้นวิญญาณที่เค้ามาตามอยู่กับโยมมันก็ไม่ไปไหนเสียที เข้าใจมั้ยจ๊ะ เอาให้อยู่กับจิตในปัจจุบันซะ ไม่อย่างนั้นโยมจะหลงภพหลงภูมิแล้วจะไปเกิดที่สุคติภูมิได้ยาก

    นั้นจงอธิษฐานบุญที่โยมได้เคยกระทำในทาน ศีล ภาวนา อธิษฐานบุญแผ่เมตตาจิตในวันเกิดนี้ ที่เราได้เกิดโอกาสได้มาทำคุณงามความดี ได้มาเจริญภาวนา ได้มาทอดผ้าป่าอะไรก็ตามเหล่านี้ อธิษฐานบุญให้สรรพวิญญาณ ดวงจิตดวงวิญญาณที่เราเคยอาฆาตพยาบาทมาดร้ายทั้งหลาย ที่ดวงจิตเรานั้นเกิดประมาทพลาดพลั้ง ที่เคยอิจฉาริษยาก็ตาม ให้เค้าไปผุดไปเกิดด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลที่เราได้กระทำ ได้เกิดแสงสว่างในพระรัตนตรัยจงนำทางให้ดวงจิตดวงวิญญาณเหล่านั้นพ้นทุกข์พ้นภัยไป นั่นเรียกว่าก่อนนอนโยมควรแผ่เมตตาจิตซะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วพิจารณาอย่างที่ฉันบอก แล้วโยมจะได้เกิดใหม่จริงๆ

    ฉันก็ขอโมทนาบุญกับโยมที่เข้าใจว่าการเกิดที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร เรานั้นผ่านอายุมาถึงขนาดนี้แล้ว ควรจะเติบโตได้แล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่ก็เพิ่มไปอีกวันหนึ่ง..เวลาที่โยมจะเข้าไปสู่ความตาย ความตายไม่ใช่ของล้อเล่น ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่ควรตระหนักรู้..ว่าเรามีความตายเป็นธรรมดา อันว่า"ธรรมดา"นี้คือความจริง โยมต้องพิจารณาให้เห็น เมื่อเห็นแล้วความจริงในความตายโยมจะไม่กลัวมัน เมื่อโยมรู้ว่าโยมตายแล้วจะไปไหน

    ถ้าจิตโยมนั้นไม่รู้จะไปไหน..มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เมื่อโยมจะออกจากบ้านแล้วไม่รู้จะไปไหนไปพึ่งพาใคร เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่นานนักก็เหมือนคนเร่ร่อนนั่นเอง นั้นสิ่งที่ควรทำและไม่ว่าเราจะไปไหนแล้วมันจะติดตามเราไปตลอดทุกภพทุกชาติ..ก็คือบุญกุศลคุณงามความดี

    คนเมื่อมีบารมีแล้ว..เงินทองไม่ต้องพกแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเราเคยให้ทาน..ทานนั้นจะกลับมาหาเรา ถ้าเคยรักษาศีลเมื่อมีภัย..ศีลนั้นจะมาคุ้มครองเรา เมื่อเรามีภาวนามีปัญญา..เมื่อเจอทางตันอุปสรรคเราก็จะออกได้ ไม่มีอะไรจะมาครอบคลุมจิตเราได้ จะเป็นอิสระทั้งปวง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    D111E219-FADD-4CF0-8F3A-3166D5776F9A.jpeg

    เมื่อเรามีทุกข์มีเวทนามากแค่ไหน สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ย่อมมีเวทนาทุกข์เข็ญไม่ต่างอะไรกับเรา ใครก็อยากออกจากทุกข์ทั้งนั้น แต่คนที่จะออกจากทุกข์ได้ต้องเป็นคนที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง กล้าหาญและเป็นผู้นำ ดังนั้นโยมต้องนำตัวเองให้ออกจากทุกข์ให้ได้เสียก่อน หนึ่งให้เห็นทุกข์ในกายให้ได้ สองเมื่อเห็นแล้วเอาทุกข์นั้นออกจากกาย การเอาทุกข์ออกจากกายออกอย่างไร คือพิจารณาว่ากายนี้เป็นของที่เรานั้นได้อาศัยยืมมาชั่วคราว ไม่สักคราหนึ่งคราใดก็ต้องคืนกายนี้กลับสู่ปฐพีธาตุ

    นั้นที่เราไปยึดมั่นถือมั่นในกายเราก็ถอดถอนออกมาซะ นั่นเรียกว่าเรานั้นแยกกายได้ เมื่อเราแยกได้แล้วก็ย่อมเห็นจิต ก็เรียกว่าสภาวะจิตหรือธรรมที่เกิดขึ้นนั้นแลก็คือตัวปัญญา..หรือเรียกว่าผู้รู้ หรือเรียกว่ารู้หนอ เห็นหนอ รู้แล้วหนอ เห็นแล้วหนอ ถ้าใครรู้หนอ เห็นแล้วหนอ เห็นอยู่บ่อยๆ เห็นชัดปลงแล้วละได้นั้นแล ตัวรู้ตัวญาณก็บังเกิด แล้วผู้นั้นจะรักษาใจ คุมใจ คุมไฟ คุมกรรมให้มันลดน้อยได้

    ดังนั้นกายมันติดอยู่กับจิต จิตไปติดอยู่กับใจ ดังนั้นทุกข์มันอยู่ในกาย เมื่อโยมไม่เห็นทุกข์..แต่อุปาทานว่าเจ็บว่าปวด ว่าเวทนา ว่าพอใจ ว่าไม่พอใจ จึงเรียกว่าเกิดอุปาทานแห่งจิต เมื่อเกิดอุปาทานแห่งจิตแล้ว จิตนั้นมันก็เข้าไปยึดมั่นถือมั่นกายนี้..มันจึงแยกกันไม่ออก

    ดังนั้นคนที่จะแยกสิ่งเหล่านี้ได้คือต้องเจริญสติให้มาก เมื่อมีสติมากกำลังจิตมันก็มีมาก ยังไม่ต้องถึงตัวปัญญา เพราะปัญญาเมื่อถึงแล้วมันจะเกิดของมันเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเรียกว่ายังเป็นความคิดอยู่ แต่ถ้าเป็นความคิด..ถ้าเรายังไม่ดับคิดยังไม่ดับรู้..นั่นมันยังไม่รู้จริง เมื่อยังไม่ดับความฟุ้งซ่านรำคาญใจในจิตมันก็จะละและดับลงไม่ได้ นั่นก็คือนิโรธก็บังเกิดไม่ได้ เพราะเรานั้นยังไม่เห็นสภาวะว่าเราจะสละหรือปลง ความไม่เที่ยงนั้นเราจึงไม่เห็น สิ่งเหล่านี้ต้องทำให้เห็นอยู่บ่อยๆ

    เมื่อเราเห็นด้วยปัญญาคือเห็นทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์ ก็ตัวรู้นั่นแลมันจะบอก เมื่อมันบอกเรารู้อยู่บ่อยๆ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในทุกข์ในภัยในกายสังขาร..ไม่ว่าจะเป็นสภาวะจิตสภาวะใจอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่เราไปยึดมั่นถือมั่นไว้แล้วทำให้เราไม่สบายใจ ความไม่สบายใจนั้นแลเรียกว่าสมุทัย มันเกิดอยู่ที่"ใจ"ดวงเดียว นั่นคือภพคือจักรวาล คืออนันตจักรวาล คือไฟสามกองสุมอยู่ในนั้น ถ้าโยมดับใจ ละใจ วางใจได้ โยมจะอาศัยกายสังขารนี้โลกนี้อยู่กับมันได้จนวาระสุดท้ายของกายสังขารที่โยมจะต้องไป

    มันก็เหมือนน้ำนั้นที่อาศัยบัวแต่ไม่ติดใบบัวนั่นเอง คืออย่าไปติดอย่าไปยึด สภาวะใดอารมณ์ใดที่โยมไปยึดขอให้โยมมีสติ เมื่อโยมไปยึดโดยที่โยมนั้นไม่มีสติ เรียกว่าการพลั้งเผลอ นั้นเรียกว่าโยมนั้นกำลังทำลายศีล ทำลายกำแพงบุญกุศลของตัวเราเอง เรียกว่าเป็นการกัดกร่อน

    จงจำไว้สนิมก็ดี ไม้ก็ดีไม่มีใครไปทำลายเค้าได้ นอกจากตัวเค้าเอง มนุษย์ก็เช่นกัน บุญกุศลนั้นก็ไม่มีใครขโมยของเราไปได้หรือทำลายได้ แม้ใครจะว่าเราเลวเราชั่วอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้บอกว่าคนที่บอกแล้วเราจะเป็นเช่นนั้นตามที่เค้าว่า..ก็หาไม่เป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่เรารู้ได้ก็คือเราทำอะไรมา เป็นอย่างที่เค้าว่าหรือไม่เราย่อมรู้ดีอยู่กับใจ นั้นไม่มีใครมาตัดสินใครได้ว่าบุคคลนั้นเป็นคนเช่นนั้นเช่นนี้ แต่บุคคลนั้นแลต้องรู้ได้ว่าเรายังมีความชั่วอย่างไร จงเพ่งโทษพิจารณาอยู่บ่อยๆเนืองๆ

    บุคคลใดเพ่งโทษตนเองอยู่บ่อยๆ ย่อมรู้โทษ ย่อมละโทษ นั่นแหล่ะจ้ะต่อไปเจ้ากรรมนายเวรที่โยมเคยไปเบียดเบียนไว้เค้าก็จะไม่เอาโทษกับโยม เพราะโยมเรียกว่าเป็นผู้สำนึกได้จริง คนที่เค้าสำนึกได้จริงเค้าต้องเพ่งโทษ กล่าวโทษ พิจารณาโทษ ตำหนิตัวเองสอนตัวเองได้แล้ว..นั่นเรียกเป็นผู้เจริญ เป็นบัณฑิต เป็นปราชญ์ ย่อมได้พ้นจากโคลนตมได้สักวันหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    คำว่าโสดาบันก็ดี อนาคามีก็ดี สกิทาคามีก็ดี อรหันต์มรรคอรหันต์ผล..ล้วนแล้วแต่ต้องถูกฝึกทั้งนั้นจากโคลนตม ดังนั้นโคลนตมมันคืออะไร โคลนตมคือรากเหง้าแห่งการเกิด คืออกุศล อวิชชา ความไม่รู้..ก็คือบิดามารดา ปู่ย่าตาทวดเราทั้งหลาย

    ดังนั้นบิดามารดาตาทวดเราจะเลวชั่วช้าสามาลย์แค่ไหนก็ตาม ก็ยังเป็นบิดามารดาของเรา ยังเป็นอรหันต์ของเรา ยังเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ยังต้องเป็นที่พึ่งต้องยกเว้นข้อกล่าวหาทั้งปวง เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือไม่มีข้อแม้ คำว่าไม่มีข้อแม้แบบนี้ แม้โยมจะสร้างบุญกุศลก็เช่นเดียวกัน ย่อมไม่มีข้อแม้ เพราะบุญนั้นที่โยมทำนั้นหาว่ามีใครได้รับประโยชน์ไม่ แต่เป็นประโยชน์โดยตรงกับตัวของเราเองผู้ที่ได้กระทำ...

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๒ ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี) ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๒ ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี) ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๒ ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี) ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    B4A7FCCB-6BAD-43B4-954F-2378C0E02985.jpeg

    อันว่าการงานทางโลกนี้ก็เป็นของธรรมดา ถ้าเรารู้หน้าที่มันจะไม่ขัดกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะว่าทั้งงานทางโลกก็ดีทางธรรมก็ดี ถ้าโยมเข้าใจแล้ว..งานทางโลกนั้นแลเป็นตัวตัดวิบากกรรม งานทางธรรมเป็นตัวทำให้พ้นกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะงานทางโลกนั้น..หากเราไม่เจริญงานทางโลกแล้วจะเข้าถึงธรรมเลยทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าเมื่อมีกายเราก็ต้องหล่อเลี้ยงกายสังขาร การที่เราเจริญการงานทางโลกนี้แลเพราะเราต้องใช้กรรมส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเรามาเจริญทางธรรม..นี่เรียกเป็นการสร้างบารมี

    เมื่อบารมีในทางธรรมเรามีมากแล้ว..มันจะพ้นกรรมทางโลกเอง แต่ถ้ายังไม่ถึง..นั่นแลเป็นการได้ชดใช้และตอบแทนแผ่นดินก็ดี ตอบแทนบิดามารดาผู้มีคุณก็ดี ตอบแทนในกรรมทั้งหลายที่เราได้กระทำมา ถ้าโยมรู้หน้าที่แล้วจะเห็นว่ามันไม่ใช่ภาระ..แต่มันเป็นหน้าที่

    นั้นเมื่อโยมเข้าใจหน้าที่เสียแล้วมันก็จะไม่ขัดกัน จะรู้เวลา อย่าบอกว่าโอ้..ฉันมีงานทางโลกแล้ว ไม่มีเวลาหรอกจ้ะในทางธรรม ทุกอย่างมันมีเวลาหรือไม่มันอยู่ที่ตัวเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเวลาของมนุษย์มีเท่ากัน แต่วาระกรรมต่างหากที่ไม่เท่ากัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นถึงบอกว่าอันว่าการงานทางโลกมันก็มีกันทุกคน หรือบอกว่ามนุษย์มีกรรมกันทุกคนนั้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันถึงบอกว่าเมื่อถึงวาระเวลาของมัน..โยมจะได้มีโอกาสมาเจริญการงานทางธรรมมากยิ่งขึ้น แสดงว่ากรรมทางโลกของโยมนั้นเริ่มเบาบางแล้ว
    หากโยมไม่มีวาระเวลาในทางธรรมเลย แต่มีแต่เวลาทางโลกอย่างเดียว..นั่นคือเป็นข้ออ้างเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะไปบอกโยมได้..

    ฉันจึงบอกว่าเมื่อโยมมีโอกาสมาเจริญงานทางธรรม..มันก็ไม่ใช่ประโยชน์ของใคร มันก็เป็นประโยชน์ของโยมเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จึงบอกว่างานทางโลกก็อย่าได้เสีย งานทางธรรมก็อย่าได้ขาด เมื่อสองอย่างนี้มันไปด้วยกันได้แล้วมันก็จะเกื้อกูลกันเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นมันจึงเป็นตัวหล่อเลี้ยงกันได้

    ถ้าโยมมีแต่งานทางโลกแต่ขาดงานทางธรรมแล้ว เมื่อโยมขาดธรรมเสียแล้ว..โยมก็จะรักษางานทางโลกไว้ไม่ได้ เพราะว่าโลกธรรมที่โยมต้องไปเผชิญกับสิ่งที่โยมต้องมาถูกกระทบอยู่ตลอดเวลา ถ้าโยมไม่มีธรรมที่จะรักษาในกาย วาจา ใจเสียแล้ว..โยมก็อยู่ทางโลกลำบาก ย่อมมีอุปสรรคมากขึ้นนั่นเอง

    แต่เมื่อโยมมีการงานทางธรรมมันก็จะไปเกื้อกูลเกื้อหนุนชีวิตทางโลก..ให้โยมนั้นผ่านอุปสรรคและมีกำลังใจ..นั่นแลเรียกว่าบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นอย่าไปบอกว่าโอ้..ฉันทำงานการทางโลกมากมาไม่ไหวแล้ว ถ้าโยมวางแล้วนั่นแหล่ะจ้ะ..มันก็เบา เมื่อโยมวางแล้วไม่แบกไว้โยมก็สามารถที่จะทำงานทางธรรมได้ เพราะทางธรรมนี้โยมไม่ต้องไปแบกหามอะไรเลย เพียงแค่โยมละอย่างเดียวในอารมณ์ของทางโลกออกไป..ก็เป็นทางธรรมแล้ว

    แต่ถ้าโยมไปเก็บอารมณ์ในทางโลกมามันก็เป็นทางโลกเหมือนเดิม แสดงว่าโยมไม่เคยหยุดงานเลยในทางโลก แท้ที่จริงแล้วการงานทั้งหลายนั้นที่โยมตั้งอยู่ว่ามันเป็นงานที่หนักหนาหรือเหนื่อยล้า..เพราะโยมไม่ได้วาง นั่นเรียกว่ายึดแล้วในสิ่งนั้น

    เมื่อยึดในสิ่งใดในอารมณ์ใดแล้วจิตย่อมเป็นทุกข์ในสิ่งนั้น ขอให้โยมเข้าใจว่าธรรมคืออะไร ทางโลกคืออะไร ถ้าโยมวางและเข้าใจ..ทางธรรมและทางโลกนั้นแลคือทางเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่แค่โยมแค่แบ่งเวลาให้ถูก และเข้าใจว่าโลกคืออะไร ธรรมคืออะไร นั้นจึงบอกว่ามีโลกธรรมและโลกแห่งธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    โลกธรรมมันคืออะไร โลกธรรมก็มีสรรเสริญ นินทา เยินยอ มีความอยากได้ใคร่ดี อำนาจวาสนาบารมี นี่คือความอยากได้นั่นเอง เรียกว่าหาที่สุดไม่ได้ในทางโลก เข้าใจมั้ยจ๊ะ หาที่ตั้งไม่ได้ในความพอดี แต่ทางธรรมมันหาที่ตั้งหาที่สิ้นสุดได้เมื่อเรานั้นวางแล้ว รู้จักพอแล้ว มันก็จะพอดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    B5C13846-60F3-42F7-804F-D4C1453B5ABF.jpeg

    เมื่อเราเจริญพระกรรมฐานอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เราไปยึดไปพอใจต้องวาง..ละทุกอารมณ์ วางทุกตำรา ถ้าเราไม่วางแล้ว..มันก็ยังมีอัตตาอยู่ มีน้ำหนักอยู่ มีความพอใจไม่พอใจอยู่อย่างนี้ เมื่อยังมีอัตตาอยู่มันจะเกิดอนัตตาคือความว่างไม่ได้ เมื่อมันไม่เกิดอนัตตาแล้วมันจะไปเห็นทุกข์ เห็นความเบื่อหน่าย เห็นความไม่เที่ยงได้อย่างไร เพราะยังมีอัตตาอยู่

    เมื่อมีอัตตาอยู่ย่อมมีอวิชชาอยู่ เมื่อมีอวิชชาอยู่จิตที่จะเข้าไปปรุงแต่งในอุปาทานยึดในขันธ์มันก็เกิดอยู่ มันเกิดจากความจำเวทนายึดมั่นถือมั่นอยู่..อย่างนี้จะเกิดนิโรธคือการดับของอารมณ์ไม่ได้ เมื่อเราวางทุกอย่างจิตเราสงบแล้ว..ด้วยอำนาจอุบายแห่งการเจริญเมตตาจิตก็ดี ด้วยการอโหสิกรรมก็ดี อภัยทานก็ดีเหล่านี้ มันจะช่วยทำให้เรานั้นลดอัตตาตัวตนลงไป ด้วยอำนาจของจิตที่เกิดจากความเมตตาของเรา..จนเข้าถึงจิตนั้นเป็นอนัตตา..คือไม่มีตัว ไม่มีตน

    อันว่าไม่มีตัว..คืออะไร..ไม่มีเรา ไม่มีตน..คืออะไร..ไม่มีมานะทิฏฐิ แต่จงเอามานะทิฏฐิตัวตนนี้ทำลายอัตตาตัวตน คือเอาชนะใจตัวเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จงเอาชนะใจตัวเอง เอามานะทิฏฐิที่เรามีอยู่นี้แลเอาชนะตนเอง อย่าไปเอาชนะใคร ถ้าเราเอามานะทิฏฐิไปชนะคนอื่น..แสดงว่าเรานั้นกำลังสร้างศัตรู จำไว้นะจ๊ะ แสดงว่าเรากำลังบั่นทอนกุศลของเราเอง

    แต่ถ้าเราเอามานะทิฏฐิของเราเองนี้เอาชนะตัวเอง แสดงว่าโยมกำลังสร้างบารมีแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อมานะทิฏฐิโยมเอาชนะมันได้ โยมข้ามมันไปได้นั่นแล เมื่อโยมข้ามมันไปได้..จะไม่มีอะไรมาขัดขวางโยมได้อีก คือโยมไม่มีตน วางตนได้ โยมก็สามารถข้ามสมมุติบัญญัติแห่งตนได้ จะนิพพานก็ดี ปรารถนาอะไรก็ดี..ย่อมเข้าไปถึงได้ เพราะนิพพานไปด้วยกายด้วยตนด้วยอัตตา..มันไปไม่ได้ มันต้องไปด้วยไม่มีตนไม่มีกาย..มันถึงจะไปได้ คือการละอัตตาตัวตน ก็คือการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้ที่เรายังไปติดไปพอใจอยู่ นั้นเราก็ค่อยๆกำจัดและเพียรละมันลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สิ่งเหล่านี้เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆไม่ต้องไปถามว่ามันจะหมดเมื่อไหร่ เหมือนเรานั้นยังต้องอาศัยกายสังขารอยู่ ถามว่าเราจะหยุดกินอาหารเมื่อไหร่หยุดบริโภคเมื่อไหร่ จงจำไว้หนึ่งอย่างว่ากายเรานี้มันเป็นโรค การที่เราบริโภคอาหารเพื่อยังความหิวไม่ให้บังเกิดขึ้นมาอีกนั่นแล ก็เพราะว่ามันเป็นโรค เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นไม่ต้องไปถามหากิเลสว่ามันจะหมดเมื่อไหร่ เพราะว่ากายนี้ที่เราอาศัยนี้มันเป็นที่รังของโรค นั้นอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นในทุกข์กายทุกข์ใจ..เรียกว่าโรคทั้งนั้น เรียกว่าโรคแห่งกรรม แต่กรรมอันใดเล่าที่เราทำแล้วมันอยู่ในศีลอยู่ในขอบเขตแห่งธรรม..มันเรียกว่าไม่เป็นกรรม ไม่ติดกรรมนี่เรียกว่าไร้เจตนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่เมื่อมีเจตนาทางที่ดีทางกุศลและอกุศลนั้นแล..เรียกว่ากรรมที่เจตนาและไม่เจตนา..จึงเกิดวิบากกรรมนั้นเอง ดังนั้นกรรมอันใดที่ทำไปที่ได้เจตนาที่อยู่ในขอบเขตแห่งศีลในธรรมนั่นแล..อันนี้เรียกว่าเจตนาชอบธรรม เมื่อเจตนาชอบธรรมมันจะเป็นกรรมชั่วเป็นไปไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วมันจะให้ผลเป็นความเผ็ดร้อน..มันก็เป็นไปได้ยาก

    ดังนั้นขอให้โยมจงรักษากาย วาจา ใจให้มันตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี อะไรก็ตามที่ระลึกแล้วทำให้จิตเราสงบตั้งมั่นได้..นั่นแลชื่อว่าบารมี สิ่งที่เราเคยทำไว้ ระลึกถึงบุญที่เราทำมา ระลึกถึงจิตที่เราอบรมบ่มจิตไว้ ระลึกถึงธรรมครูบาอาจารย์ปฏิปทาคำสอน เมื่อจะระลึกถึงพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี..ให้เราหวลคิดถึงคำสอนของท่านก็ดี คำสอนนั้นแลคือศาสดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราระลึกถึงธรรมท่าน พระพุทธองค์ท่านก็อยู่ตลอดเวลา อยู่ทุกที่อยู่ทุกนภากาศ อยู่ในกายสังขารเราก็ดี อยู่ในจิตเราก็ได้ อยู่ในใจเราก็มี เพราะจิตเรานี้มีทั้งกายพรหม เทพ เทวดา ยักษ์ มาร สิงห์สาราสัตว์ อสูรกายเหล่านี้ เราจะให้อยู่ที่ใดเล่า..

    จิตเมื่อเรามีศีลมีธรรมเราก็จะเห็นท่านนั่นเอง เห็นอะไร..ก็เห็นความสงบ เมื่อเห็นความสงบแล้วเราก็จะเห็นจิตที่เป็นปรกติ จิตที่เป็นปรกติแล้ว..ย่อมเห็นตามความเป็นจริง อะไรที่ยังเคลื่อนไหวอยู่แสดงว่าสิ่งนั้นไม่จริง สิ่งที่จริงต้องไม่เคลื่อนไหว ถ้ามันจะเคลื่อนไหวก็คือที่เราเอาจิตนั้นกำหนดลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นความคิดก็ดี..แสดงว่านั่นยังเคลื่อนไหวอยู่ ความจำก็ดียังยึดอยู่ในอุปาทานขันธ์..อันนั้นยังไม่จริง เพราะนั่นเรียกว่าสมมุติ เมื่อไหร่จิตเราข้ามสมมุติไปได้แห่งอารมณ์ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วนั่นแลคือความเป็นจริง เรียกว่าจิตเป็นอิสระ จิตนั้นหากยังคิดอยู่ระลึกอยู่ จิตยังส่งไปภายนอกอยู่ในอดีตก็ดี ในสัญญาก็ดี ในความจำก็ดี อันนั้นเรียกว่าไม่จริงเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นเรียกว่ามายา คือการปรุงแต่งของจิตอยู่ตลอดเวลา เป็นเจตสิกเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ที่จิตเราสติเราไม่เท่าทันในอารมณ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือความพลั้งเผลอ

    ดังนั้น..แล้วจะให้มันเท่าทันยังไง ก็ฝึกสติให้มันเท่าทันเสีย อันไหนไม่เท่าทันก็ปล่อยไป ที่เราเท่าทันก็จับอารมณ์นั้นไว้ อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่เราจับได้นั้นแล เห็นอารมณ์หนึ่งเห็นอารมณ์ใดเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป เราก็จะเห็นอารมณ์อื่นเช่นเดียวกัน เหมือนเห็นใบไม้ในป่าเห็นธรรมข้อหนึ่ง เห็นความไม่เที่ยงสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว สิ่งอื่นๆต่างๆก็เช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    หากจะพิจารณาให้เห็นทุกข์ให้เห็นอยู่อย่างเดียว เพ่งโทษอยู่ในกาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ กายเราเป็นอย่างไรกายคนอื่นก็เป็นอย่างนั้น มีความโสโครกโสมมเพียงใด มีความเน่าเหม็นมีปฏิกูลมากน้อยเพียงใดไม่ว่าชายและหญิงก็ดี..ก็มีเหมือนกันหมด หากเราเพ่งได้อย่างนี้ หากเราไม่หลงตัวเองแล้ว..เราก็ไม่หลงผู้อื่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ หยุดจากความพอใจจากตัวเองแล้วเราก็จะไม่พอใจใครอีก ถ้าเรายังหลงตัวอยู่เราก็ต้องหลงคนอื่นเป็นธรรมดา...

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖ และ ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    1D8A01A3-4E67-4676-BCE7-0F20CDF58D47.jpeg

    ธรรมนั้นจะปรากฏแก่ใคร..จะจริงหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าบุคคลที่ฟังแล้วจะให้ผลอย่างไร จะประพฤติปฏิบัติได้แค่ไหน ถ้าโยมฟังแล้วนำไปปฏิบัติให้ผลมาก ธรรมนั้นก็เป็นจริงมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้ามันยังไม่ถึงความเป็นจริง..ธรรมนั้นก็ยังไม่แท้ นั้นฉันจึงบอกว่าไม่ควรยึดในธรรม

    ก็ขอให้โยมนั้นได้เข้าใจว่าการที่เรายังไม่ถึงธรรมเลยทีเดียวเพราะว่าเรานั้นมีกรรมส่วนหนึ่ง ถ้าเราหมดกรรมแล้วมนุษย์ทั้งหลายจะเข้าใจในสัจธรรมได้ จะไม่มีใครอยู่ทนทุกข์อีกต่อไป แต่เพราะวิบากกรรมนี้มันหนักหนาสาหัสนัก คือไม่มีใครหลุดพ้นจากเงื้อมมือแห่งกรรมได้ เพราะกรรมนั้นเค้ามีอำนาจมาก แต่ถ้าใครรู้เท่าทันในกรรมเมื่อไหร่ แม้จะมีอำนาจมากแต่ถ้าโยมมีสติมาก ด้วยอำนาจแห่งธรรมแล้วแห่งมรรคาแล้ว..มันก็จะมีทางเลือกให้เดิน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ทางเลือกมันต้องมีสองทาง ถ้าโยมเดินอยู่แต่ทางเดิมๆโยมก็เจออยู่แต่ทางเดิมๆ แต่ถ้าโยมเลือกเดินทางใหม่..นั่นแหล่ะจ้ะแสดงว่าเรานั้นเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตเอง กรรมในอดีตนั้นจะมาขีดเขียนบังคับบีฑาเราไม่ได้ เพราะกรรมไม่มีใครลิขิต..นอกจากเราลิขิตเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะบอกว่าเทพพรหมเค้าลิขิต..ไม่จริง เราทั้งหลายนั้นคือผู้กระทำมา จึงเรียกว่าเราเป็นผู้ลิขิตกรรม จะให้กรรมดีก็ได้กรรมไม่ดีก็ได้ จะให้เกิดเป็นอะไรก็ได้ จะให้หลุดพ้นก็ได้..อยู่ที่ตัวของเราเองอยู่ที่ความเชื่อความศรัทธา

    ความเชื่อสิ่งใดศรัทธาสิ่งใดก็ควรน้อมปฏิปทาในสิ่งนั้นเข้าหาจิต เพื่อยึดให้เป็นสรณะเสียก่อน ถ้าเราไม่มีหลักยึดเป็นสรณะเสียแล้ว อำนาจแห่งอารมณ์ในโลกนี้แห่งโลกียะนี้มันจะครอบงำเราได้ง่าย เค้าจึงบอกว่าเมื่อมีเวลาให้โยมนั้นสาธยายสวดมนต์เพื่อขจัดอำนาจมืดมนตราเหล่านี้ให้มันห่างไกลจากตัวเราไป

    เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตเราเริ่มสกปรกแล้ว ให้สังเกตว่าจิตเรานี้กำลังมีอำนาจไฟโมหะเข้ามา เห็นอะไรก็พอใจเกิดความอยากไปหมด ลุ่มหลงได้ง่าย มีอำนาจโทสะคือโกรธง่าย หงุดหงิดง่าย แสดงว่าจิตเราเริ่มสกปรกแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ขอให้โยมจำไว้ ถ้าโยมมีความง่วงมากเพียงใดขอให้เรามาเจริญภาวนาเจริญมนต์ ถ้าเสียงมันยังไม่มีกำลังก็ให้ภาวนาเอาเท่าที่เราพอมีกำลังเสียง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะถ้าโยมผ่านพ้นไปได้ในขณะที่โยมภาวนามนต์อยู่ สาธยายมนต์อยู่แม้จะมีความง่วงก็ตาม อันว่านิวรณ์นี้มันเป็นข้าศึกเป็นตัวขัดขวางต่อสู้กับสมาธิโดยตรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่พรหมจรรย์มันมีกามคุณเป็นคู่ศัตรูขัดขวาง ด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ อารมณ์ที่มากระทบจิตเรานี้..นี่เรียกว่าศัตรูเป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์ แต่นิวรณ์นี้เป็นอุปสรรคของสมาธิ แสดงว่านิวรณ์เรียกว่าเป็นพญามารก็ว่าได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าโยมไม่สามารถข้ามพญามารได้ โยมก็ต้องตกเป็นทาสของเค้าอยู่ร่ำไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ แสดงว่าการฝึกสมาธิ..ถ้าโยมข้ามไปได้ เพราะเมื่อใครข้ามถึงสมาธิใจที่ตั้งมั่นได้..โยมจะมีความตั้งมั่น ความกลัวมันก็จะหายไป ความหดหู่ คนที่มีความกลัวจะปนเปื้อนไปด้วยความหดหู่ความเศร้าหมอง ล้วนแล้วอารมณ์เหล่านี้คือความกลัวทั้งนั้น ความห่อเหี่ยวใจ

    พอหดหู่เศร้าหมองแล้วอำนาจแห่งไฟโทสะ โมหะ คือราคะมันจะเข้ามาครอบงำได้ง่าย เพราะมันจะมายื่นความสุขให้เรา นั่นเค้าเรียกว่าเสพ..ให้เราเสพ แต่เค้าจะให้ความสุขเราเพียงชั่วขณะจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ ที่เหลือจากนั้นเค้าหยิบยื่นความทุกข์มาให้เราเป็นภพเป็นชาติเป็นวัฏฏะ คือเค้าจะกดเราอยู่อย่างนี้ให้เป็นทาสอยู่ร่ำไป

    เค้าถึงบอกว่าบัณฑิตปราชญ์ทั้งหลายผู้มีปัญญาแล้ว เห็นวัฏฏะแห่งโทษแห่งภัยในการเกิดแล้ว ถ้าพ้นจากอำนาจกิเลสมารได้นี้แล..จิตย่อมเป็นอิสระ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะการลุ่มหลงด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง..เราอาจจะผ่านพ้นได้ แต่พอสัมผัสเราอาจจะผ่านพ้นไม่ได้ นั้นเราอย่าไปอวดดีถือดี แต่ขอให้เรารู้ในรสทั้งหลาย..แต่ไม่ติดรสไม่ยึดรสนี้แล..เราถึงจะรอดได้

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖ และ ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    60E5D5CC-ED82-41F8-BC0B-7E89B8B1B670.jpeg

    โยมจะอ่อนล้าสังขารมันจะห่อเหี่ยวเพียงใด การได้ฟังธรรมเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ มันจะเป็นยังไงเรื่องของมัน อย่างน้อยจิตมันซึมซับเข้าไป มันซึบซับไปได้เล็กน้อยเหมือนเซลเข้าไปเล็กน้อย มันไม่ได้ฟื้นทีเดียวหรอกจ้ะ กินยาปุ๊บแล้วหายเลยมีมั้ยจ๊ะ มันจะค่อยๆฟื้น ค่อยๆฟื้น วันๆหนึ่งนั่งไปนั่งไปฟังธรรมมา อ้าว..เกิดสงบ..เกิดหวนไปคิดถึงในธรรมที่ได้สดับ หลวงปู่ท่านบอกอย่างนี้ โอ้..มันเกิดปัญญาในขณะนั้น

    เห็นมั้ยจ๊ะ ปัญญามันเกิดได้ตลอดเวลา แต่ไม่รู้มันจะเกิดตอนไหนของมัน ถ้าเรามีสติตัวรู้อยู่ในความสงบอยู่ในจิตนั้น เพ่งอยู่ในขณะนั้น โดยที่เราไม่ต้องไปคิดไปตรึกตรองอะไรมัน ดวงจิตที่มันว่างแต่อาศัยความสงบเป็นฌานอยู่ หล่อเลี้ยงสมาธิอยู่ เห็นมั้ยจ๊ะ มันจะเกิดของมันเองในธรรม แล้วธรรมเมื่อมันเกิดมาข้อหนึ่ง หรือได้ธรรมหนึ่งข้อแล้ว ธรรมนั้นมันจะเกิดอยู่ตลอดเวลาคือไม่มีเสื่อมเลย แม้วันนี้มันพิจารณาได้แบบนี้ เดี๋ยวต่อไปมันจะหยิบยกมาพิจารณา เค้าเรียกจิตมันจะสอนจิตของมันเองทีนี้

    กงล้อแห่งธรรมจักรก็ดี กงล้อแห่งวัฏฏะสงสาร เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไปของสัตว์โลกทั้งหลาย เราจะรู้ทันทีว่ากรรมสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก หรืออะไรก็ตามที่เกิดมาแล้วล้วนเป็นทุกข์ทั้งนั้น แต่เรานี้สามารถออกจากทุกข์ได้..เพราะด้วยปัญญา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะฉะนั้นถ้าเราเหนือกว่าอะไร..เราอย่าได้ไปเบียดเบียนบีฑาเค้า ต้องให้เมตตาเค้าให้มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเมื่อเค้าสิ้นชาติไป เค้าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเค้าอาจจะมีบารมีมากกว่าเรา ดังนั้นสัตว์ก็ดีที่อยู่ในบ้านเรือนเราก็ดี เค้าอาจจะมีบารมีเพื่อมาหนุนเราก็ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าสัตว์บางตัวเห็นแล้วเราไม่ถูกชะตา เห็นแล้วจะอาฆาตพยาบาทมัน แสดงว่าเค้าก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรกับเรามาเหมือนกัน เราก็ควรให้เมตตาเค้าให้มาก คือความเมตตานี้แลต่อไปเค้าจะซื่อสัตย์กับเราได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วอย่าได้คิดว่าสิ่งที่โยมมาฟังธรรม แต่ว่าร่างกายมันไม่เอาไม่สนใจ ไอ้ความไม่สนใจในขณะนั้นก็ยังเป็นฌานอยู่ ฌานมันจะวางเฉยอยู่ แต่ถามว่ามันไม่รับรู้เลยทีเดียวหรือไม่..เปล่าเลย..มันยังรับรู้อยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนโยมนอนหลับอยู่ ทำไมได้ยินเสียงอะไรแล้วทำไมโยมยังตื่นเลย จะบอกว่าหลับเลยทีเดียวก็ไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ มันก็ยังมีตัวตื่นตัวรู้อยู่ในนั้น คือตัวจิตที่มันไม่ได้หลับ

    นั้นเรื่องของปัญญานี้ เรื่องของสมาธินี้..โยมไม่ต้องไปสนใจมัน เมื่อมีเวลาให้โยมฝึกสมถะคือความสงบ อาศัยสมถะคือภาวนาจิต อบรมจิต พิจารณาธรรมอะไรก็ตามที่ทำให้จิตมันสงบระงับจากอารมณ์ที่มันเป็นกังวลฟุ้งซ่านของจิตนี้แล เรียกว่าสมถะทั้งนั้น ฝึกไว้แบบนี้มากๆ สลับสับเปลี่ยนกับการพิจารณาธรรมไป อย่างนี้แลเรียกว่าเป็นการเจริญสมาธิทั้งนั้น

    เพราะสมาธิเมื่อเราตรึกตรองเพ่งอยู่ในอารมณ์เดียว ชื่อว่าใจที่ตั้งมั่นทั้งนั้น เรียกว่าสมาธิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะบอกว่ามันจะตั้งมั่นแค่ไหน บางทีก็ตั้งมั่นได้ชั่วขณะหนึ่ง ตั้งมั่นแค่แว๊บหนึ่งของจิต ตั้งมั่นได้นาน..เหล่านี้มันหาความเที่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดในสมาธิ

    เพราะเมื่อโยมไปยึดเมื่อไหร่ในวันหนึ่ง ในอารมณ์หนึ่ง ในขณะหนึ่ง อ้าว..สมาธิไม่เกิดเป็นทุกข์ทันที วันนี้นั่งตั้งนานสมาธิไม่มา..มันอยู่ไหน ไปเรียกหามัน สมาธิไม่ใช่ของที่ต้องหา แต่สมาธิไม่ต้องหา ถ้าเมื่อโยมหยุดหา..สมาธิจะเกิดทันที เพราะเมื่อโยมไปเรียกหาอยู่ไปตามหาอยู่ แสดงว่าจิตโยมยังไม่ได้หยุดในอุปาทาน ไม่ได้หยุดในความคิด ไม่ได้หยุดถวิลหา เหล่านี้มันจะตามหากันอยู่อย่างนี้..ภพชาติมันก็ยังดับไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ต้องหยุดหาก่อน

    เพราะไอ้ตัวแสวงหาเค้าเรียกตัวอยาก อยากได้สมาธิเหลือเกิน อยากสงบ อยากโน่นอยากนี่ อยากไปเสียทั้งหมด จิตก็เลยฟุ้ง ฟุ้งแล้วเป็นยังไง ทีนี้ไม่อยากหลับตาแล้ว ไม่อยากภาวนาแล้ว ไม่อยากทำอะไรเลย คือไม่อยากได้แล้ว..โทสะเกิด เกิดพยาบาทกับจิตเกิดขึ้นมาทีนี้ พอเกิดพยาบาทมีเชื้อเกิดขึ้นมาทีนี้แล้ว..ไอ้คนที่ไม่ชอบหน้าเข้ามาทันทีเลย

    ดังนั้นแล้วสมาธิไม่ต้องไปหา ให้หยุดหาแล้วจะเจอ ตัวปัญญาทำยังไงให้เกิด อย่าไปคิด..เดี๋ยวเกิดเอง ถ้าคิดไม่ใช่ตัวปัญญามันเป็นความจำ มันเป็นสัญญา แต่ตัวคิดนี้มันคือตัวรู้ได้อย่างหนึ่ง เอาตัวรู้ในความคิดนั้นมาพิจารณาแล้วดับตัวรู้ลงไป เค้าเรียกว่ารู้ ถึงรู้ ทิ้งรู้นั่นแล..ตัวปัญญาถึงจะบังเกิดได้ ถ้ารู้ถึงรู้แต่ยังไม่ทิ้งรู้..แสดงว่ายังไม่รู้จริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖ และ ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    EBD4A7CC-FA84-403C-B9BB-C8E9F06E544F.jpeg

    อะไรก็ตามที่เป็นอุบายให้เกิดจิตนั้นเข้าถึงความสงบ เข้าถึงสมาธิ เข้าถึงปัญญาแล้ว ก็เอาอารมณ์นั้นแลระลึกอยู่บ่อยๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ระลึกอยู่บ่อยๆ ทำให้มันชินให้เป็นอารมณ์ กรรมฐานกองใดก็ตาม กำหนดด้วยอานาปานสติแล้ว..กรรมฐานกองนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นประโยชน์ทั้งนั้น แต่กรรมฐานกองใดไม่ได้กำหนดด้วยอานาปานสติด้วยลมหายใจกำหนดรู้ในกายแล้วไซร้..มันจะตั้งอยู่ในกรรมฐานนั้นได้ไม่นาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะกรรมฐานทุกกองต้องอาศัยอานาปานสติเป็นยอดของกรรมฐาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นถ้าโยมไม่รู้ลมไม่รู้กาย..โยมก็จะหลงอารมณ์และหลงกาย เมื่อหลงกายหลงตนทีนี้จิตโยมจะวอกแวกออกไปภายนอกทันที เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะจิตนี้มันไหลและมันเร็วมากนั่นเอง..เหมือนลิง

    ลิงโยมต้องมีเชือกมีหลัก เชือกก็คือตัวสติ หลักคือตัวยึดของอารมณ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ชื่อว่านี่คือกรรมฐานนั่นเอง ที่นี่เค้าไม่กฎเกณฑ์อะไรมากหรอกจ้ะ แต่ให้โยมมีวินัย คือให้รู้หน้าที่ ตัวหน้าที่นี่คือตัวสติ เราจะเอาตัวสตินี้เป็นตัวรักษาและครองธรรมให้ได้ เช่นเมื่อถึงเวลากรรมฐานโยมจงมาเจริญสติเพื่อรักษาศีล เมื่อมีศีลแล้วเอาศีลนั้นไปทำอะไร..ก็คือเอาไปทรงศีล เมื่อทรงศีลได้ทรงฌานได้..เดี๋ยวปัญญามันเกิด โยมก็พิจารณาด้วยปัญญานั้นแล ด้วยกำลังแห่งฌาน ด้วยกำลังของศีล

    เพราะศีลนั้นจะเป็นเกราะป้องกันภัยให้ศัตรูมารทั้งหลายนั้นไม่เข้ามารบกวน เพราะถ้าโยมไปจำศีลอยู่โยมต้องมีศีลรักษา เรียกว่าทรงฌานอยู่ ไปอยู่ในเขาก็ดี อะไรก็ดี ถ้าโยมไม่มีศีลแล้วไม่มีอะไรป้องกัน มีสายสิญจน์วิญญาณอะไรที่เค้ามีเวรพยาบาทเค้าจะมารบกวนโยม เพื่อไม่ให้โยมบรรลุถึงความดี

    แต่ถ้าศีลมันบังเกิดแล้วตอนนี้สายสิญจน์มันล้อมไว้ แต่ว่าอุปสรรคมารภายในที่มันสิงอยู่ โยมไม่ละมันออกไป แสดงว่าการที่โยมจะมาระลึกถึงศีลได้..โยมต้องรู้คุณของศีลเสียก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อโยมรู้คุณของศีลต้องทำยังไง ศีล..เมื่อเรารับมาแล้ว กาย วาจา ใจมันตั้งมั่นสะอาดแล้วทีนี้ ดูซิว่าจิตเราสะอาดหรือยัง ถ้าสะอาดแต่ภายนอก..แล้วภายในเล่าสะอาดหรือไม่ ใช่มั้ยจ๊ะ

    ถ้าภายในโยมไม่สะอาดโยมก็อยู่ไม่ได้ เพราะจะรู้สึกอึดอัดไม่โล่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นโยมก็ต้องแผ่เมตตา อโหสิกรรม อภัยทานเหล่านี้ไปก่อน เห็นมั้ยจ๊ะ นั้นจึงบอกว่าเมื่อโยมมีศีลแล้ว จะเกิดศีลได้..โยมต้องมีทานก่อน ถ้าคนมีศีลจริงโยมต้องให้ทาน ต้องกล้าให้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้อภัยทาน

    ให้อภัยทาน ๑ ครั้งศีลโยมก็สว่าง ให้อโหสิกรรมศีลโยมก็แข็งแรง ให้เมตตาเป็นทานศีลโยมก็ตั้งมั่น เห็นมั้ยจ๊ะ เพราะความเมตตาคือความอ่อนโยน ความอ่อนโยนนี้ทำให้ศีลนี้มีความยืดหยุ่น ไม่แตกไม่ร้าวง่าย เหมือนตัวชโลมเคลือบวัสดุที่มันมีช่องมีรู ให้มันอุ้มน้ำกักน้ำให้เกิดประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน มันจะอุ้มชูเราไว้ ใครจะมาทำร้ายเราไม่ได้ เพราะเรามีเมตตาไปแล้ว เพราะเราไม่ได้ไปยึดไว้ เราให้ออกไป เราไม่ได้เอาของเค้ามา เข้าใจมั้ยจ๊ะ การให้ถือว่าเป็นคุณแล้ว เค้าจะมาเนรคุณเราได้มั้ยจ๊ะ นอกจากเนรคุณตัวเอง เช่นเราเกิดมาแล้วไม่รู้จักบุญคุณบิดามารดา

    นั้นเรื่องศีลนั้นที่ฉันบอกโยมจงลองไปพิจารณาดู ว่าจะทำยังไงให้ศีลนั้นคงอยู่เมื่อเราสมาทานไปแล้วก็ดี ขอให้รู้ว่าคุณของศีลเป็นอย่างไร อาราธนาศีลมาแล้วเราจะรักษาอย่างไร รักษาที่ไหน รักษาที่กายไม่ให้กายทำความชั่ว ไม่ให้ใจไปคิดชั่ว ไม่ให้วาจากล่าวชั่ว หรือกายทุจริต มโนทุจริต วาจาทุจริตอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่คือของหมักของเหม็นของดอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖ และ ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    4A0E8ECC-2C16-4C95-A844-42597520FFA1.jpeg

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ คำอธิษฐานที่เคยอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปก็ดี หรือว่าอธิษฐานในใจตัวเองก็ดี ทีนี้บางครั้งก็ลืมไปบ้างเจ้าค่ะ จะมีผลต่อตนเองมั้ยเจ้าคะ
    หลวงปู่ : อ้าว..แล้วโยมลืมยังไงเล่าจ๊ะ

    ลูกศิษย์ : ก็อย่างสมมุติว่า มันค้างคาใจว่าโยมอธิษฐานว่าจะมาปฏิบัติธรรมนั่งเข้านิโรธสมาบัติให้ได้ ๓ วัน
    หลวงปู่ : อ้าว..แล้วเข้าได้กี่วันเล่าจ๊ะ

    ลูกศิษย์ : ได้วันเดียวเจ้าค่ะ ก็เลยอยากจะทราบผลเจ้าค่ะหลวงปู่ ว่าจะมีผลต่อลูกยังไง
    หลวงปู่ : อ้าว..งั้นฟังให้กระจ่างให้เข้าใจ เมื่อโยมค้างคาใจนั่นคือติดสัจจะบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมกำลังตอกฝาโลงตัวเองไว้ ดังนั้นเมื่อโยมจะต้องทำ..ต้องไปถอนตะปูก่อน ถอนที่ฝาโลง..คือถอนใจ ก่อนที่โยมจะไปอธิษฐานใหม่ โยมต้องไปถอนเสียก่อน

    ถอนอย่างไรเล่า ถอนสิ่งที่โยมทำ นั่นเป็นการล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย เพราะว่าเป็นการปรามาส ว่าจะทำถวายแม้บูชาตนก็ดีแต่ไม่ได้ทำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เรียกเป็นการขอขมาต่อพระรัตนตรัย ธูปเทียนแพร ดอกไม้ของหอม น้ำเปล่า ๑ แก้ว เรียกว่าตั้งนะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆังสะระณัง คัจฉามิ บอกคุณบิดามารดาเหล่าเทพเทวา ข้าพเจ้าลูกขอบอกกล่าวต่อทวยเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์ พระรัตนตรัย สิ่งที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินด้วยการกระทำด้วยกาย วาจา ใจที่ผิดต่อพระรัตนตรัย ต่อฟ้าต่อดินทั้งหลายทั้งปวงในความเชื่อความศรัทธา นั่นก็เรียกคือความไม่เชื่อ คือการลบหลู่ดูหมิ่น สิ่งเหล่านี้เราต้องถอดถอนด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

    กรรมเหล่าใดที่เราเคยทำล่วงเกิน สิ่งเหล่านี้ต้องถอดถอน ขอพระรัตนตรัยจงอดโทษอดอาฆาตพยาบาทต่อข้าพเจ้าด้วยเทอญ แล้วขอให้บุญกุศลเหล่านี้ที่ข้าพเจ้านี้ได้ระลึกแล้ว รู้แล้ว ขอบุญกุศลนี้จงหนุนนำให้ข้าพเจ้านั้นจงมีสติตั้งมั่น ระลึกต่อพระรัตนตรัย เข้าถึงศีล สมาธิ และปัญญา สิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาอธิษฐานไว้ขอให้จงสัมฤทธิ์ผลโดยเร็ววัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรานั้นถอดถอนที่เรียกว่าค้างคาใจออกไปได้ เมื่อใจเราไม่ติดไม่มีมลทินแล้ว เรียกว่าเริ่มต้นใหม่ได้ หากไม่อย่างนั้นมันจะทับถมอยู่อย่างนั้น..ไปไหนไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ ,๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    0EC03FC1-A7B6-4BDA-963C-D9906D637A8C.jpeg

    วันนี้มาทำอะไรกันจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มาเวียนเทียนวันวิสาขบูชาครับ) วันนี้โยมมาประกอบพิธีรำลึกอะไรกันจ๊ะ หัวใจสิ่งที่โยมมีความเชื่อความศรัทธาน่ะจ้ะ หัวใจสิ่งที่ได้เกิดวันนี้ขึ้นมา นั่นน่ะหมายถึงอะไร โยมมีศาสนามั้ยจ๊ะ ศาสนาทุกศาสนานั้นเค้าก็ต้องมีหัวใจไม่ใช่เหรอจ๊ะ โยมเป็นมนุษย์ทุกคนก็ต้องมีหัวใจ ใช่มั้ยจ๊ะ ใครเข้าใจโยม ใครรู้ใจโยมนั้น..ก็เรียกว่าถึงใจซึ่งกันและกัน นั้นศาสนาที่โยมได้เข้าถึงและศรัทธานั้นหรือมีความเชื่อนั้นมันก็ต้องมีหัวใจ หัวใจของศาสนาที่โยมไปศรัทธาและไปเชื่อนั้นเค้าให้เชื่อและศรัทธาให้เข้าถึงอะไร (ลูกศิษย์ : พระธรรมคำสั่งสอนครับ) แล้วท่านสอนและท่านตรัสว่าอย่างไร ไม่ใช่ว่าโยมมาจะมารำลึกหรือมาเวียนเทียนจุดเทียนชัยเพื่อระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อทักษิณาวัตรแค่นั้นโยมก็จบ

    ที่ท่านตรัสไว้ที่เป็นหัวใจหลักให้โยมได้เข้าถึงนั้นคืออะไร (ลูกศิษย์ : ให้ประพฤติดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส) มนุษย์น่ะก่อนจะมีธรรม มันก็ต้องมีศีลเสียก่อน ผู้ใดมีศีลย่อมมีธรรมมีปัญญา ดังนั้นศีลนั้นจึงเป็นของสำคัญ นั้นหัวใจของศาสนานั้นโยมก็ควรรู้เอาไว้ นั่นคือแนวทางแห่งทางหลุดพ้นที่โยมจะก้าวเดินเพื่อให้มันถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าไม่อย่างนั้นโยมก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้..

    การทำความดีให้ถึงพร้อมน่ะให้ถึงอะไรเล่าจ๊ะ มนุษย์นั้นน่ะจะดูว่าเป็นคนดีคนเลวแค่ไหนเค้าให้ไปดูที่ไหนจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ที่ศีลครับ) การทำความดีน่ะให้มันถึงอะไร (ลูกศิษย์ : ถึงศีลสมาธิปัญญา)
    การทำความดีให้ถึงพร้อมเราก็ต้องถึงด้วยศีล แล้วมนุษย์ผู้ใดจะถึงศีลได้มันต้องเป็นอย่างไรเล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ละชั่วทำดีครับ) โยมต้องสงบเสียก่อน ถ้าโยมยังไม่สงบยังไม่ระงับทั้งกายวาจาใจนั้น..โยมจะบังเกิดศีลไม่ได้ ถ้าใจโยมนั้นยังมีอาฆาตพยาบาท วาจาของโยมนั้นยังไม่ได้สำรวม ยังมีนินทาก้าวร้าว กล่าวร้ายคนอื่นเขาอยู่ แล้วใจของโยมนั้นและกายของโยมนั้นยังไม่สงบ นั้นเรียกว่าศีลนั้นก็ยังไม่บังเกิด เรียกว่าผู้นั้นศีลนั้นยังด่างพร้อยยังไม่สมบูรณ์

    การจะถึงความดีถึงศีลนั้น เค้าเรียกว่าถึงความสงบแห่งกายวาจาใจเสียก่อน ไม่ว่าโยมจะทำการสิ่งใดนั้น หากโยมมีสติด้วยกายวาจาใจ ก็เรียกว่าผู้นั้นกำลังมีศีลเป็นบรรทัดฐาน ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดแม้กระทั่งการงานทางโลกของโยมก็ตาม เมื่อศีลโยมสมบูรณ์ดีแล้ว..งานที่โยมทำนั้นย่อมเป็นมงคล ไม่เดือดร้อนต่อผู้อื่นเขา

    การทำความดีให้ถึงพร้อมให้ถึงศีล การไม่ทำบาปทั้งปวง เค้าเรียกว่าให้ระวัง..ละชั่วไม่ให้กิเลสทั้งหลายนั้นมันเกิดอกุศลมูลเกิดขึ้นในจิตใจ
    แล้วการทำจิตให้ขาวรอบทำอย่างไรเล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : คิดดีทำดีครับ) สิ่งใดก็ตามที่โยมทำแล้วสามารถละอกุศลมูลออกจากจิตใจของโยมได้ นั้นเรียกว่าเป็นทางแห่งมรรค ถ้าโยมไม่สามารถกำจัดสิ่งที่เป็นอกุศลที่มันนอนก้นอยู่ เค้าเรียกว่ารากเหง้าของอกุศลแห่งไฟสามกองนั้น หากยังละไม่ได้ยังทำลายมันไม่ได้ มันก็ย่อมกลับมาทำลายและเผาเรือนของโยมอยู่ร่ำไป..

    นั้นการได้มารำลึกนี้ก็เพื่อให้โยมนั้นได้เข้าถึงหัวใจของศาสนา เมื่อโยมศรัทธามีความเชื่อในศาสนานี้เสียแล้ว ก็เรียกว่าโยมต้องเข้าใจหัวใจ ไม่ว่าโยมจะทำอะไรเมื่อโยมได้ใจสิ่งใดมาก็ตาม โยมจะเข้าถึงใจหรือถึงแก่นในสิ่งนั้นหรือแก่นในธรรมนั้นไม่ยาก ไม่งั้นมนุษย์นั้นอาจจะมีความหลง เรียกว่าถ้ามีความเชื่อแต่ความเชื่อนั้นขาดปัญญาขาดสติ มันจะเรียกเกิดความศรัทธาได้ยาก นั้นความหลงมันจึงเกิดขึ้นได้ง่ายกับมนุษย์นั้น

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ และ ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    B1830AD4-C9C0-41C4-BF96-7DE2A2F2B8EC.jpeg

    เมื่อเราเจริญพระกรรมฐานอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เราไปยึดไปพอใจต้องวาง..ละทุกอารมณ์ วางทุกตำรา ถ้าเราไม่วางแล้ว..มันก็ยังมีอัตตาอยู่ มีน้ำหนักอยู่ มีความพอใจไม่พอใจอยู่อย่างนี้ เมื่อยังมีอัตตาอยู่มันจะเกิดอนัตตาคือความว่างไม่ได้ เมื่อมันไม่เกิดอนัตตาแล้วมันจะไปเห็นทุกข์ เห็นความเบื่อหน่าย เห็นความไม่เที่ยงได้อย่างไร เพราะยังมีอัตตาอยู่

    เมื่อมีอัตตาอยู่ย่อมมีอวิชชาอยู่ เมื่อมีอวิชชาอยู่จิตที่จะเข้าไปปรุงแต่งในอุปาทานยึดในขันธ์มันก็เกิดอยู่ มันเกิดจากความจำเวทนายึดมั่นถือมั่นอยู่..อย่างนี้จะเกิดนิโรธคือการดับของอารมณ์ไม่ได้ เมื่อเราวางทุกอย่างจิตเราสงบแล้ว..ด้วยอำนาจอุบายแห่งการเจริญเมตตาจิตก็ดี ด้วยการอโหสิกรรมก็ดี อภัยทานก็ดีเหล่านี้ มันจะช่วยทำให้เรานั้นลดอัตตาตัวตนลงไป ด้วยอำนาจของจิตที่เกิดจากความเมตตาของเรา..จนเข้าถึงจิตนั้นเป็นอนัตตา..คือไม่มีตัว ไม่มีตน

    อันว่าไม่มีตัว..คืออะไร..ไม่มีเรา ไม่มีตน..คืออะไร..ไม่มีมานะทิฏฐิ แต่จงเอามานะทิฏฐิตัวตนนี้ทำลายอัตตาตัวตน คือเอาชนะใจตัวเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จงเอาชนะใจตัวเอง เอามานะทิฏฐิที่เรามีอยู่นี้แลเอาชนะตนเอง อย่าไปเอาชนะใคร ถ้าเราเอามานะทิฏฐิไปชนะคนอื่น..แสดงว่าเรานั้นกำลังสร้างศัตรู จำไว้นะจ๊ะ แสดงว่าเรากำลังบั่นทอนกุศลของเราเอง

    แต่ถ้าเราเอามานะทิฏฐิของเราเองนี้เอาชนะตัวเอง แสดงว่าโยมกำลังสร้างบารมีแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อมานะทิฏฐิโยมเอาชนะมันได้ โยมข้ามมันไปได้นั่นแล เมื่อโยมข้ามมันไปได้..จะไม่มีอะไรมาขัดขวางโยมได้อีก คือโยมไม่มีตน วางตนได้ โยมก็สามารถข้ามสมมุติบัญญัติแห่งตนได้ จะนิพพานก็ดี ปรารถนาอะไรก็ดี..ย่อมเข้าไปถึงได้ เพราะนิพพานไปด้วยกายด้วยตนด้วยอัตตา..มันไปไม่ได้ มันต้องไปด้วยไม่มีตนไม่มีกาย..มันถึงจะไปได้ คือการละอัตตาตัวตน ก็คือการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้ที่เรายังไปติดไปพอใจอยู่ นั้นเราก็ค่อยๆกำจัดและเพียรละมันลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สิ่งเหล่านี้เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆไม่ต้องไปถามว่ามันจะหมดเมื่อไหร่ เหมือนเรานั้นยังต้องอาศัยกายสังขารอยู่ ถามว่าเราจะหยุดกินอาหารเมื่อไหร่หยุดบริโภคเมื่อไหร่ จงจำไว้หนึ่งอย่างว่ากายเรานี้มันเป็นโรค การที่เราบริโภคอาหารเพื่อยังความหิวไม่ให้บังเกิดขึ้นมาอีกนั่นแล ก็เพราะว่ามันเป็นโรค เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นไม่ต้องไปถามหากิเลสว่ามันจะหมดเมื่อไหร่ เพราะว่ากายนี้ที่เราอาศัยนี้มันเป็นที่รังของโรค นั้นอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นในทุกข์กายทุกข์ใจ..เรียกว่าโรคทั้งนั้น เรียกว่าโรคแห่งกรรม แต่กรรมอันใดเล่าที่เราทำแล้วมันอยู่ในศีลอยู่ในขอบเขตแห่งธรรม..มันเรียกว่าไม่เป็นกรรม ไม่ติดกรรมนี่เรียกว่าไร้เจตนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่เมื่อมีเจตนาทางที่ดีทางกุศลและอกุศลนั้นแล..เรียกว่ากรรมที่เจตนาและไม่เจตนา..จึงเกิดวิบากกรรมนั้นเอง ดังนั้นกรรมอันใดที่ทำไปที่ได้เจตนาที่อยู่ในขอบเขตแห่งศีลในธรรมนั่นแล..อันนี้เรียกว่าเจตนาชอบธรรม เมื่อเจตนาชอบธรรมมันจะเป็นกรรมชั่วเป็นไปไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วมันจะให้ผลเป็นความเผ็ดร้อน..มันก็เป็นไปได้ยาก

    ดังนั้นขอให้โยมจงรักษากาย วาจา ใจให้มันตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี อะไรก็ตามที่ระลึกแล้วทำให้จิตเราสงบตั้งมั่นได้..นั่นแลชื่อว่าบารมี สิ่งที่เราเคยทำไว้ ระลึกถึงบุญที่เราทำมา ระลึกถึงจิตที่เราอบรมบ่มจิตไว้ ระลึกถึงธรรมครูบาอาจารย์ปฏิปทาคำสอน เมื่อจะระลึกถึงพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี..ให้เราหวลคิดถึงคำสอนของท่านก็ดี คำสอนนั้นแลคือศาสดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราระลึกถึงธรรมท่าน พระพุทธองค์ท่านก็อยู่ตลอดเวลา อยู่ทุกที่อยู่ทุกนภากาศ อยู่ในกายสังขารเราก็ดี อยู่ในจิตเราก็ได้ อยู่ในใจเราก็มี เพราะจิตเรานี้มีทั้งกายพรหม เทพ เทวดา ยักษ์ มาร สิงห์สาราสัตว์ อสูรกายเหล่านี้ เราจะให้อยู่ที่ใดเล่า..

    จิตเมื่อเรามีศีลมีธรรมเราก็จะเห็นท่านนั่นเอง เห็นอะไร..ก็เห็นความสงบ เมื่อเห็นความสงบแล้วเราก็จะเห็นจิตที่เป็นปรกติ จิตที่เป็นปรกติแล้ว..ย่อมเห็นตามความเป็นจริง อะไรที่ยังเคลื่อนไหวอยู่แสดงว่าสิ่งนั้นไม่จริง สิ่งที่จริงต้องไม่เคลื่อนไหว ถ้ามันจะเคลื่อนไหวก็คือที่เราเอาจิตนั้นกำหนดลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นความคิดก็ดี..แสดงว่านั่นยังเคลื่อนไหวอยู่ ความจำก็ดียังยึดอยู่ในอุปาทานขันธ์..อันนั้นยังไม่จริง เพราะนั่นเรียกว่าสมมุติ เมื่อไหร่จิตเราข้ามสมมุติไปได้แห่งอารมณ์ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วนั่นแลคือความเป็นจริง เรียกว่าจิตเป็นอิสระ จิตนั้นหากยังคิดอยู่ระลึกอยู่ จิตยังส่งไปภายนอกอยู่ในอดีตก็ดี ในสัญญาก็ดี ในความจำก็ดี อันนั้นเรียกว่าไม่จริงเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นเรียกว่ามายา คือการปรุงแต่งของจิตอยู่ตลอดเวลา เป็นเจตสิกเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ที่จิตเราสติเราไม่เท่าทันในอารมณ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือความพลั้งเผลอ

    ดังนั้น..แล้วจะให้มันเท่าทันยังไง ก็ฝึกสติให้มันเท่าทันเสีย อันไหนไม่เท่าทันก็ปล่อยไป ที่เราเท่าทันก็จับอารมณ์นั้นไว้ อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่เราจับได้นั้นแล เห็นอารมณ์หนึ่งเห็นอารมณ์ใดเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป เราก็จะเห็นอารมณ์อื่นเช่นเดียวกัน เหมือนเห็นใบไม้ในป่าเห็นธรรมข้อหนึ่ง เห็นความไม่เที่ยงสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว สิ่งอื่นๆต่างๆก็เช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    หากจะพิจารณาให้เห็นทุกข์ให้เห็นอยู่อย่างเดียว เพ่งโทษอยู่ในกาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ กายเราเป็นอย่างไรกายคนอื่นก็เป็นอย่างนั้น มีความโสโครกโสมมเพียงใด มีความเน่าเหม็นมีปฏิกูลมากน้อยเพียงใดไม่ว่าชายและหญิงก็ดี..ก็มีเหมือนกันหมด หากเราเพ่งได้อย่างนี้ หากเราไม่หลงตัวเองแล้ว..เราก็ไม่หลงผู้อื่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ หยุดจากความพอใจจากตัวเองแล้วเราก็จะไม่พอใจใครอีก ถ้าเรายังหลงตัวอยู่เราก็ต้องหลงคนอื่นเป็นธรรมดา...

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖ และ ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    8D229763-78F4-4665-8EB7-EECE6FE5EE7D.jpeg

    อันธรรมดาของคนย่อมมีกรรมในทางโลก แต่ขอให้โยมรู้ไว้ในทางโลกที่โยมได้ไปเผชิญอยู่นั้น..ล้วนแล้วที่โยมนั้นไปเป็นผู้เสวยกรรม หากโยมไม่มีในทางโลกโยมจะมาเจอทางธรรมไม่ได้ ทางโลกที่โยมเผชิญอยู่..นั่นแลเรียกว่าใช้หนี้เก่า เมื่อหนี้โยมหมดโยมจะเจอทางเดินใหม่ โยมจะไปไหนก็ตาม..จะมาปฏิบัติธรรม จะมาเจริญมนต์ จะมาภาวนา จะมารักษาศีล..จะไม่มีอุปสรรคเลย

    ถ้ามันมีอุปสรรคแสดงว่า"กรรมเก่า"ในอดีตมันยังมีอยู่ เมื่อโยมหมดพ้นกรรมแล้วแสดงว่าโยมใช้หนี้หมดแล้ว เมื่อโยมใช้หนี้หมดมันก็ต้องถามต่ออีกว่า..โยมอยากจะมีหนี้ใหม่หรือไม่ เช่นเมื่อเรามีคู่แล้วยังไม่รู้ว่าสุขมันเป็นยังไงทุกข์มันเป็นยังไง..ก็มีใหม่อีก นี่เค้าเรียกว่าต่อสัญญากรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นก็ขอให้โยมได้อาศัยสร้างบารมีทั้งทางธรรมและทางโลกไปพร้อมๆกัน เมื่อทางไหนมันมีมากกว่า..ทางนั้นก็จะผลักดันให้โยมให้เห็นทางที่โยมจะไป ดังนั้นมันเป็นของธรรมดาในทางโลก..ต้องมีบารมี นั้นอันว่าทรัพย์สินเงินทองวาสนามันต้องมี ถ้าไม่มีแล้วโยมก็สร้างบารมีในทางธรรมลำบาก

    ดังนั้นขอให้โยมตั้งจิตอธิษฐานเอา แล้วฉันขอบอกไว้ก่อนว่า ถ้ามัวแต่ตั้งจิต..แต่ไม่ลงมือทำ..แล้วมันจะได้หรืออย่างไร เมื่อก่อนโยมเกิดมาก็หาว่าได้มีเงินมีทองมาไม่ มีแต่มือเปล่าๆที่โยมกำมา เพราะว่าโยมเกิดมามีกรรมเป็นของตัวเอง มีบุญเป็นของตัวเอง มีวาสนาบารมีติดมาแล้วนั่นเอง โยมจงกลับไปที่เริ่มต้นใหม่แห่งบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเสีย

    ทุกครั้งเมื่อโยมจะสร้างบารมีอันใดให้ระลึกถึงบิดามารดาผู้ให้กำเนิดผู้มีคุณและครูบาอาจารย์ แล้วตั้งจิตอธิษฐานบารมีลงไป หากโยมยังเสวยกรรมวิบากอยู่ในทุกข์ หากกระแสบุญบารมีโยมมีมากพอ..โยมจะเห็นทางออกแห่งปัญหาทั้งปวงได้

    แต่จงจำไว้ในทางโลกหากมีอุปสรรคมาขัดขวาง..ขอให้จงจำไว้ผู้ที่มีบารมีอย่างแท้จริงจะเป็นผู้ถือว่าโอกาสมาถึงแล้ว เพราะถ้าว่าไม่มีอุปสรรคจะไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้ว่าเรามีบารมีจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลกนี้จะต้องมีอะไรพิสูจน์มีอะไรทดสอบ สมาธิก็ดี บุญกุศลก็ดี ถ้าไม่มีอะไรพิสูจน์แล้วโยมจะเชื่อได้อย่างไรว่านั่นเป็นบุญจริง ใช่มั้ยจ๊ะ มันต้องสัมผัสได้จริง

    ธรรมที่ได้ยินก็ต้องได้สัมผัสและพิจารณาปฏิบัติเห็นได้ตามนั้น บุญกุศลบารมีทรัพย์อะไรก็ตามที่เราได้ทำมาต้องสัมผัสได้จริงในโลกนี้ในภพนี้ เพราะภพหน้าไม่รู้จะได้เกิดหรือเปล่า..ไม่สนใจ ดังนั้นจึงบอกว่าภพก็คือในขณะนี้ ทำต้องทำในขณะนี้ถ้าโยมมีโอกาสได้ทำ ไม่ได้บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ..นี้คนแบบนี้มนุษย์แบบนี้เทวดาที่ไหนเค้าก็ไม่มาอยู่ด้วย

    แต่ถ้าตอนนี้โยมทำโยมอธิษฐานแล้วไม่เกี่ยงวันพรุ่งนี้ ไม่เกี่ยงชาตินี้ชาติหน้า..นั่นแลเป็นผู้ที่มีบารมีเก่า เทวดาทั้งหลาย..โลกธาตุแห่งธรรม,,ธาตุกายสิทธิ์ทั้งหลายจะวิ่งเข้ามาสถิตอยู่ ณ ที่คนผู้นั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ จิตผู้นั้นจะมีอำนาจพิสดารเหนือกว่าคนธรรมดา

    ดังนั้นโยมไม่ต้องไปแสวงหาและไม่ต้องไปค้นหาที่ใด ให้ค้นหาลงที่จิตลงที่ใจในกายสังขารนี้ เช่นภาวนา สวดมนต์ อธิษฐานบุญ แผ่เมตตาก็ดี เหล่านี้เรียกว่าเป็นการค้นจิต เป็นการเปิดจิต หรือเป็นอุบายแห่งธรรมที่จะทำให้โยมเชื่อมต่อกับภพทั้ง ๓ ได้

    ดังนั้นหากโยมต้องการผลประโยชน์ในทางธรรม..ต้องตัดในทางโลก ถ้าโยมต้องการจะได้ผลประโยชน์ในทางโลก..ไม่ได้บอกว่าตัดทางธรรม แต่ต้องอาศัยพื้นฐานแห่งบุญของธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่อย่างนั้นทางโลกโยมจะเสื่อม เพราะทางโลกมันเป็นของสมมุติ แต่ทางธรรมมันพาให้โยมไปวิมุติได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นสิ่งที่โยมเผชิญอยู่บอกว่าโยมเป็นทุกข์เหลือเกิน..ไม่จริง เพราะว่าคนที่เค้าไม่ได้เกิดทุกข์กว่านั้น ผู้ที่เสวยทุกข์เวทนาในอเวจีมีมากนับประมาณไม่ได้ แล้วที่โยมบอกว่าโยมเป็นทุกข์เอาอะไรมาวัด เมื่อโยมยังไม่เห็นทุกข์เห็นภัยในพระศาสนาแล้วโยมจะเห็นคุณประโยชน์แห่งธรรมได้อย่างไร..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    A1874F75-B50F-460A-B2F1-AE50963D7BE4.jpeg

    ทาน..บางคนไม่มีเงินที่จะทำหรือสร้างขึ้นมา แต่ทานภายในสละได้ ทานมันทำได้หลายทาง แต่มนุษย์บางทียังไม่เข้าใจ สละอะไรเป็นทานได้บ้าง บางคนรอยยิ้มที่ให้กำลังใจก็ถือเป็นทานอย่างหนึ่งเป็นการสละ บางคนรอยยิ้มยังสละไม่ได้เลย ขี้เหนียว รอยยิ้มมันยังหวง สละความโกรธ ความถือดีอวดดี สละความอาฆาตพยาบาท มีเรื่องให้โกรธ..แต่ยับยั้งชั่งใจได้ เค้าเรียกว่าผู้นั้นเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นทานนี้ไม่ใช่ว่าทรัพย์สินอย่างเดียว..หรือข้าวของที่โยมสละคือการให้ เพราะบางทีทรัพย์สินของที่โยมให้ไปก็ทำเพื่อเอาหน้าเอาตา..ก็ยังไม่บริสุทธิ์ เห็นมั้ยจ๊ะ แต่"ใจ"ที่โยมให้ด้วยบริสุทธิ์นี้แลเปรียบค่าที่เงินทองไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นโยมอย่าไปอวดว่าโยมมีทรัพย์สินเงินทองจะสร้างแต่บุญอย่างเดียวแล้วบอกว่าได้บุญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็บางคนเอาหน้าเอาตา ทำร้อยล้าน ทำหนึ่งล้านขอสลักชื่อหน่อยได้มั้ย เดี๋ยวคนเค้าไม่รู้ ใช่มั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นทาน และการให้ทานอันยิ่งใหญ่..คือทานอะไร..สู้อภัยทานไม่ได้เลย การให้อะไรที่เป็นทานที่สูงสุด มันมีอภัยทานเป็นทานอันยิ่งใหญ่ แต่ทานอันสูงสุดคือให้ธรรมทานเป็นทาน..สูงสุดแล้ว แต่ทานอะไรเมื่อถึงแล้วในทานนั้นจะหลุดพ้นไม่ติดอีก ก็คือการประพฤติปฏิบัติในธรรมทานนั้นให้ถึง..ให้เข้าถึงในธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วถ้าโยมยังไม่มีอะไรที่จะให้ทานได้ ให้อภัยทาน ให้โมทนา นี่เรียกเป็นทานทั้งนั้น เป็นทรัพย์ภายใน บางคนบอกว่า โอ๊ย..เกิดมาจะหาเช้ากินค่ำยังมีไม่พอจะกินอยู่แล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ จะไปวัดไปวาเอาเวลาที่ไหนไป มนุษย์มันไม่เข้าใจตรงนี้ว่าทรัพย์ภายในมันเป็นอย่างไรกับทรัพย์ภายนอก

    ทรัพย์ภายในเรียกเป็นอริยทรัพย์ที่มนุษย์นั้นมีอยู่แล้วในกายตน แต่มนุษย์ยังหลงตนถือตนอยู่จึงไม่รู้ว่าทรัพย์ภายในหรือของดีนั้นมีอยู่ในกายนี้อยู่แล้วที่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดมา แต่เพราะมีธรรมเกิดขึ้นมาในโลกนี้ แสงสว่างในคำสั่งสอน..ท่านจึงบอกว่าทานน่ะมีอยู่แล้ว อยู่ในกายตน รอยยิ้มยังเป็นทานได้ พูดให้กำลังใจก็เป็นทาน ให้โมทนาก็เป็นทาน ให้มุทิตาก็ดี ให้วางใจให้เป็นกลางก็ดี..จึงเรียกเป็นทานทั้งนั้น ใช่มั้ยจ๊ะ

    ทานเมื่อโยมให้มากๆสละมากๆ อบรมบ่อยๆแล้วมันจะเข้าถึงความสงบ จิตไม่เร่าร้อน เรียกว่าสมาธิมันตั้งมั่น เมื่อเห็นแบบนี้สมาธิมันตั้งมั่นก็จะเข้าถึงตัวปัญญา คือการพิจารณาความเป็นไปของภัยในวัฏฏะ ของความไม่เที่ยงของทุกข์ ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้

    ดังนั้นสิ่งที่โยมต้องทำทุกครั้งหรือตลอดเวลาก็คือการให้ทานเยอะๆมากๆ คนมีทานให้ทานมากๆผู้นั้นจะมีทรัพย์มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าทรัพย์ในปัจจุบันมันมีน้อย โยมก็ต้องให้อภัยทานให้มากๆ สังเกตไม่ยากคนที่ไม่ค่อยมีเงินมีทองส่วนมากจะมีแต่คนเบียดเบียน อารมณ์เบียดเบียน หรือเรียกว่ามีโทสะมาก มีความริษยามากพวกนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เห็นเค้ารวยหน่อยไม่ได้ ถ้าโยมอยากมีอย่างเขาให้โมทนาสิจ๊ะ อย่าไปอิจฉา เพราะเขาทำมาแบบนั้น

    แต่คนเค้ามีปัญญาเค้าจะสร้างทานโดยธรรมชาติของจิตเค้า เห็นใครได้ดี..โมทนา เห็นใครทำดี..โมทนา เห็นใครคิดดีพูดดี..โมทนาให้หมด โมทนาจิตนี่ไม่ต้องไปเสแสร้งหรอก สาธุ..แต่ใจอิจฉาเขา..ไม่ต้อง คำว่าสาธุไม่ต้องยกมือก็เป็นสาธุแล้ว เค้าเรียกว่าดีแล้ว เจริญแล้ว สมควรแล้ว บางคนมาเจริญนั่งสมาธิอยู่ จิตใจยังคิดอาฆาตพยาบาทอยู่ มันก็ตกนรกเหมือนกันถ้าตายตอนนั้น ดังนั้นเรียกว่ามนุษย์นั้นยังสร้างทานยังไม่ถึง พอไม่ถึงในทานมันก็ไม่ถึงในศีล ไม่ถึงใจ เพราะใจยังมีอกุศล มีรากเหง้าอกุศลอยู่ ยังมีเศษฝุ่นเศษอะไรอยู่ที่มาบดบังอยู่ จึงทำให้รำคาญใจฟุ้งซ่านใจ ไอ้พวกเหล่านี้เค้าเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรนี้มาตัด..วิบากกรรมมาตัดกระแสบุญ..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    C6075603-4E36-4731-8A9A-475DF7A634C6.jpeg

    คนที่หลบหลีกได้ ไม่เผชิญ ไม่ปะทะ แต่รู้ปัญหา..นี่เรียกคนเก่ง คือคนที่แก้ปัญหาได้..นั่นเรียกคนเก่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ การปะทะไม่ใช่ทางที่ดี ดังนั้นการที่รู้และแก้ปัญหาได้นั่นแล..คือทางออกด้วยปัญญา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเรารู้ว่าเราจะไปไหน

    คนพาลก็ดี คนชั่วก็ดี..ล้วนแล้วแต่มีอวิชชาบดบัง ถ้าเค้ารู้ความชั่วนั้นมีโทษมีภัยขนาดไหน..จะไม่มีใครทำความชั่วเลยในโลกนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเมื่อโยมรู้โทษรู้ภัยมันแล้ว..โยมจงให้โอกาสบุคคลเหล่านั้น คือให้เมตตาเสีย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อ้าว..แล้วทำไมต้องให้เมตตาเค้า ทั้งๆที่เค้าก็ไม่น่าเมตตา ถ้าโยมฟังคำต่อไปนี้..โยมจะเปลี่ยนใจ ตั้งใจฟังดีๆ คนที่ไม่น่าเมตตาแต่เราเมตตาเค้าได้ ทำไมเราถึงต้องเมตตาถ้าถามว่าเค้านั้นก็ไม่ดี "ถ้าเราเมตตาเค้าแล้ว..เราจะไม่เจอคนแบบนั้นอีก" จบด้วยคำนี้

    แต่ถ้ายังเจออยู่แสดงว่าเมตตายังไม่ถึง บอกไว้อย่างนี้ง่ายๆ จำไว้นะจ๊ะ แสดงว่าใจเรายังมีความอาฆาตแค้นพยาบาทอยู่ ยังมีโทสะยังมีความเร่าร้อนอยู่ จึงยังไม่เมตตาที่แท้จริง พรหมวิหาร ๔ ยังเข้าไม่ได้

    ถ้าถามว่าทำไมต้องเมตตากับไอ้คนนั้น ทั้งๆที่มันทำไม่ดีกับเราเลย ถ้าโยมพิจารณาสิ่งที่ฉันกล่าว..โยมจะต้องฝึกแล้ว เพราะไม่งั้นมันจะตามติดโยมเป็นเงา..นั่นคือ"เจ้ากรรมและนายเวร" เข้าใจมั้ยจ๊ะ การจะไม่มีเวรและไม่มีกรรมคือการไม่ผูกอาฆาตพยาบาท..นั่นแลจึงเรียกว่าการเจริญเมตตาอย่างแท้จริง

    แล้วจะถามว่าทำไมต้องเมตตา..นี่แหล่ะจ้ะ แล้วทำไมต้องถามว่าต้องทำบุญ อ้าว..บุญคือรากเหง้าใหญ่ที่จะให้ผลเป็นความสุขและเข้าถึงความสำเร็จความปรารถนาได้ทุกอย่าง ถ้าโยมไม่มีบุญ..การจะเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้ จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ จะเป็นเศรษฐีก็ยังไม่ได้ จะเป็นคนดีก็ยังไม่ได้ จะเกิดมาเป็นคนก็ไม่ได้ นี่คือเหตุผลทำไมต้องทำบุญ

    เพราะบุญ..มันคือความสุขที่จะเกิดขึ้นที่ให้ผลเมื่อเราทำลงไปแล้ว เช่นเดียวกับกรรมชั่วเมื่อเราทำไปแล้วย่อมให้ผลเช่นเดียวกัน โยมจงเลือกเอาอยากจะให้ผลอย่างไร..อยู่ที่โยมปลูกลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อปลูกไปแล้ว..ความชั่วนี่ของมันแปลกนัก จงฟังให้ดี ความชั่วเมื่อโยนทิ้งโยนขว้าง..ขึ้นง่ายแม้บนหินก็ขึ้น แต่ความดีรดน้ำพรวนดินอยากให้มันขึ้น..ดันตาย จำไว้นะจ๊ะ

    นี่เพราะอะไร..เพราะสิ่งที่เราทำ..เราไม่ถึงในสิ่งนั้น จงทำด้วย"ความเชื่อและศรัทธา" แม้เป็นหินก็กร่อนได้ถ้าหยดทุกวัน งั้นภาวนาเข้าไป วันนี้ไม่สงบ..ต้องมีสักวัน เวลานี้ไม่สงบ..เวลาหน้าเวลาต่อไปยามต่อไปย่อมสงบได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นถ้าโยมจะเจริญสมาธิต้องการความสงบ..ไม่ต้องไปนึกถึงความสงบ นึกถึงเมื่อไหร่จิตฟุ้งเมื่อนั้น ไม่ต้องนึกถึงความสงบ เมื่อไม่นึกถึง..นั่นแหล่ะคือการวางเฉย เมื่อวางจึงเบาและสงบเอง หลักง่ายๆเป็นอย่างนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมอยากได้ความสงบแล้วโยมไปนึกถึง..เมื่อนั้นจิตโยมฟุ้งทันที แล้วทุกข์ก็บังเกิดตามมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี) ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    6C9AB322-D118-4EB9-A44C-568C96E45ACA.png 6C9AB322-D118-4EB9-A44C-568C96E45ACA.png

    วันนี้เป็นวันคล้ายวันเผาสรีระร่างกายสังขารขององค์พระบรมศาสดาสมณโคดม

    ข้าพเจ้าขอระลึกถึง ซึ่งคำสอนของพระพุทธองค์คือพระสัทธรรม คืออิทัปปัจจยตา ปฏิจสมุปบาท และอริยสัจ๔ เพื่อให้เหล่าเวไนยสัตว์ทังหลายได้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ได้พบหนทางแห่งการไม่เกิดไม่ดับในวัฏวนนี้อีกต่อไป

    จงมีตนเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ มีธรรมเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ เป็นอยู่

    มีพระรัตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่มีสิ่งอื่นใดยิ่งกว่า
    “ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉาม
    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ”

    “นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา
    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง“

    พุทโธ อัปปมาโณ ธัมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณ“

    “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม”

    ขออนุโมทนาบุญแด่ผู้ที่ใฝ่ในธรรมทุกๆท่าน สาธุ สาธุ สาธุ”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2019
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    66B73082-6715-4861-8F70-FEC2518E72F5.png

    ใครมีองค์ภาวนาเท่ากับได้แขวนวัตถุมงคลแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วถ้าใครแขวนอยู่ในวัตถุมงคลแล้วยิ่งมีองค์ภาวนา วัตถุมงคลนั้นก็จะแสดงฤทธิ์ได้ ขอพรได้..อะไรก็ได้

    ลูกศิษย์ : แล้วการที่เราทำงานไปแล้วสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ถือเป็นการปรามาสรึเปล่าคะ
    หลวงปู่ : แล้วอะไรเล่าจ๊ะที่บอกว่าปรามาสน่ะ

    ลูกศิษย์ : เวลาทำงานเราไม่ได้พนมมือน่ะค่ะ เราก็สวดอยู่ในใจไปเรื่อยๆแบบนี้ค่ะ
    หลวงปู่ : การพนมมือนอบน้อมทำอัญชลีนั้นก็เรียกว่าเราถึงพร้อมด้วยกายวาจาใจ แต่การที่เราสาธยายมนต์โดยการทำงานทำการนั้นเรียกเป็นการภาวนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ระลึกถึงมนต์ เมื่อใจเราระลึกถึงแล้ว..ไอ้ตัวระลึกถึงนี้เค้าเรียกว่าน้อมกราบแล้ว ทีนี้ต้องดูว่าเราสวดเพื่ออะไร สวดเพราะว่าความคึกคะนอง สวดเพราะว่าให้เกิดสติ..อยู่ที่เจตนา การว่าปรามาสล่วงเกินน่ะอยู่ที่เจตนาของจิตมันถึงจะเป็นกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็ยิ่งขลังดีนะจ๊ะ โยมจะเข้าห้องน้ำถ่ายอุจจาระก็สวดมนต์ภาวนาได้ทั้งนั้นแหล่ะจ้ะ

    ลูกศิษย์ : แล้วอย่างพระภูมิเจ้าที่เราไม่ได้กราบไหว้บูชา แล้วแต่ว่าเวลาเราทำบุญเราแผ่เมตตาให้เค้า..จะเป็นอะไรมั้ยคะ
    หลวงปู่ : แล้วจะเป็นยังไง..ก็ดีสิจ๊ะ เรื่องพระภูมิเจ้าที่เนี่ยนะ คำว่าภูมิก็ว่าเป็นภพภูมิของเจ้าที่เจ้าทางของเค้า เค้าก็อยู่ของเค้า แต่เราจะทำอะไรน่ะ ที่ของเรา..เรามาอยู่ที่หลัง เค้าเรียกว่าเราก็ต้องมีการอ่อนน้อมต่อเจ้าที่เจ้าทางถึงเราจะมองไม่เห็น..แต่เรียกเป็นการอ่อนน้อม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การจะกราบจะไหว้ ทำความอ่อนน้อมได้ แต่เขาไม่ได้ให้ไปกราบไหว้บูชา เพราะไม่ได้เป็นสิ่งที่ควรบูชา แต่สิ่งที่ควรบูชาคือพระรัตนตรัย แต่เขาให้รู้จักอ่อนน้อม เข้าใจมั้ยจ๊ะ บางคนไปยึดไปสวดไปบูชาเลยทีนี้..พอไม่ได้ดั่งใจหวัง..ทุบซะเลย แหมสร้างซะเสียตังค์หลายอัฐ มันอะไรแบบนี้..คืออะไรจ๊ะ ทีนี้มนุษย์มันต้องอย่าไปลุ่มหลง สิ่งไหนควรบูชาสิ่งไหนควรยึด รู้จักเอาเป็นพอพิธี ถ้าโยมไปยึดพิธีเมื่อไหร่ก็เป็นทุกข์

    อย่าได้ฝากความหวังไว้กับใคร แล้วโยมจะสิ้นหวัง จงฝากความหวังไว้กับ"ตัวเอง" ต้องเอาตัวเองเป็นที่พึ่ง เทพเทวดาเป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะเขาก็ต้องไม่มีกาย เขาก็ยังต้องลงมาเกิด..รอวันเกิดน่ะ นี่โยมเกิดแล้วโยมไม่พึ่งตัวเอง..โยมก็โง่ดักดานเต็มทีแล้วนะ เค้าเรียกว่าขาดปัญญา สิ่งไหนควรบูชาต้องรู้ อันไหนควรเป็นมงคลต้องรู้ ท่านก็อยู่ภพภูมิของท่านส่วนหนึ่ง แล้วในการที่โยมแผ่เมตตาจิตไปมากๆนั้นเป็นการดี ท่านก็จะมีฤทธิ์ได้ แต่การที่โยมไปกราบไหว้บูชาน่ะไม่มีฤทธิ์นะจ๊ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     

แชร์หน้านี้

Loading...