ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทุกท่านยังจำข่าวเมื่ออาทิตย์ก่อนเรื่องยารักษาไวรัส Covid-19 ที่ดันตลาดหุ้น Dow Jones ขึ้นไปกว่า 800 จุดได้ไหมครับ ? มาวันนี้ความหวังต้องสลายไปเพราะ WHO เผยว่าผลทดลองยา #Remdesivi ไม่มีประสิทธิภาพรักษาโรคไวรัส Covid-19...

    ส่งผลให้ตลาดหุ้นหุ้นสหรัฐโดนเทขายหนักหลังจากบวกมาตลอดทั้งวัน Dow Jones โดนเทขายกว่า 500 จุดหลังขึ้นไปเกือบแตะระดับ 24,000 จุดอีกครั้ง

    องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า ผลการใช้ยา remdesivir ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่ผลิตโดยบริษัท Gilead Sciences ของสหรัฐ หลังจากทดสอบที่คลินิกในจีน พบว่ายาดังกล่าวไม่สามารถเร่งอัตราการฟื้นตัวของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้ รวมทั้งไม่สามารถป้องกันผู้ป่วยจากการเสียชีวิตได้ด้วย

    ยา Remdesivir นั้นขึ้นมาเป็นความหวังของโลกหลังอาทิตย์ก่อนได้รายงานว่า ทางมหาวิทยาลัยชิคาโกได้ทำการทดลองยาตัวนี้ในผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 125 คน โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่มีอาการหนัก 113 คน และพบว่ายามีผลตอบสนองที่ดี ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับยาตัวนี้หายดีจนกลับบ้านได้แล้ว ซึ่งมีคนไข้เพียง 2 รายเท่านั้นที่เสียชีวิต

    แต่อย่างที่เราได้เรียนไปว่าคงต้องรอให้ได้ผลทดลองอย่างเป็นทางการก่อน เพราะอาจจะเป็นเพียงสถิติที่ดีบนจำนวนผู้ป่วยทดลองในจำนวนน้อย

    อย่างไรก็ตามทางบริษัท Gilead Sciences ได้ออกมาโต้เถียงว่าผลการศึกษาวิจัยของ WHO นั้นยังไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้เช่นกันและยังเป็นการทดสอบด้วยปริมาณทดลองที่น้อย #เราคงยังต้องติดตาม เรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

    ข่าวใหญ่อื่นๆเมื่อคืน

    1️⃣ สภาสหรัฐผ่านร่างเงินช่วยเหลือเพิ่ม 4.84 แสนล้านเหรียญให้กับโรงพยายบาล การทดลองยาต้านไวรัส และธุรกิจขนาดเล็กแล้ว เหลือแค่รอทรัมป์เซ็นอนุมัติ
    2️⃣ คนงานสหรัฐตกงานเพิ่มขึ้น 4.4 ล้านคนในอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 26.5 ล้านคนภายใน 5 อาทิตย์ สูงกว่ายอดคนได้รับงานใหม่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ 100 ปีที่ผ่านมาที่ 22.4 ล้านราย นับจาก The Great Depression เสียอีก
    3️⃣ สหรัฐประกกาศ PMI ดัชนีบ่งชี้สภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิต ออกมาดีกว่าที่คาดที่ 36.9 จุด (จากคาดการณ์ที่ 35 จุด)

    ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #OilTradingKP

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จำคุก 3 เดือน โจรขโมยหน้ากากอนามัยจากร้านขายยา

    เมื่อวานนี้ศาลฮ่องกงได้ตัดสินจำคุกนาย Kwok Wai-hong วัย 46 ปี เป็นเวลา 3 เดือน หลังขโมยหน้ากากอนามัยจำนวน 7 กล่อง รวมมูลค่า 1,870 เหรียญฮ่องกง จากร้าน Lung Cheng Medicine ที่ Mong Kok เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา

    เขาอ้างกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เขาเพียงแค่ลืมจ่ายเงิน แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจค้นร่างกาย กลับพบว่าเขาไม่มีเงินเลย

    ทั้งนี้ พบว่า นาย Kwok เป็นผู้ว่างงานและต้องได้รับความช่วยเหลือจากสวัสดิการรัฐ ทั้งนี้ยังพบว่าเขาคดีติดตัวก่อนหน้านี้ 21 คดี โดยมี 18 คดีที่เกี่ยวข้องกับการขโมย

    ***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***


    Source : https://www.scmp.com/news/hong-kong...irus-hong-kong-man-jailed-stealing-300-masks?

    #ข่าวฮ่องกง #khaohongkong

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หมดความอดทน

    Anti-Trump Protesters Dump 'Body Bags' Outside President's Washington, D.C. Hotel

    • กลุ่มผู้ประท้วงในสหรัฐนำถุงบรรจุศพปลอมไปวางเรียงรายที่หน้าโรงแรมทรัมป์ ในกรุงวอชิงตัน ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เป็นการประท้วงประธานาธิบดี 'โดนัลด์ ทรัมป์' ที่ไม่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้ ทำให้สหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในโลก

    • ผู้ประท้วงคนหนึ่งกล่าวว่า 'โดนัลด์ ทรัมป์' เป็นคนป่วย ตั้งใจเจตนาในการโกหกหลอกลวง ผู้คนมีแต่ความเอือมระอาหน่ายเหนื่อย 'อยู่อย่างไม่มีความหวัง เพราะเป็นสังคมที่สิ้นหวัง' และเป็นประธานาธิบดีที่ไร้ความสามารถ พร้อมกับเรียกร้องให้ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ควรสละตำแหน่ง และบอกด้วยว่าคนทั้งโลกก็ต้องการให้ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ลาออกเช่นเดียวกัน

    • บรรณานุกรม :

    Credit : https://www.newsweek.com/anti-trump...outside-president-washington-dc-hotel-1499953

    Credit : https://www.the-sun.com/news/703618/donald-trump-protest-nyc-coronavirus-rude-nasty-democrats/

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ข่าวภัยพิบัติ #ลมผลักน้ำแข็ง
    // ปรากฏการณ์ สึนามิน้ำแข็ง หรือ Ice Shove ณ ทะเลสาบ ในมินิโซต้า สหรัฐอเมริกา //
    22/04/20
    ดู Ice Shove เป็นกองภูเขาเมื่อวานก่อน(21/04)! นี่คือทะเลสาบ Mille Lacs เมื่อวานนี้ในเมือง Isle รัฐมินนิโซตา!

    จากสภาพอากาศที่อบอุ่น Lake Mille Lacs ในมินนิโซตาจาก ซึ่งเริ่มที่จะทำให้น้ำแข็งละลายและเช่นนั้นคลื่นน้ำแข็งจะกระแทกเข้ากับบ้านเรือนบนชายฝั่งอย่างช้าๆในสิ่งที่เรียกว่า การผลักของน้ำแข็ง (Ice Shove) บางคนก็เรียกแบบชาวบ้านๆว่า Ice Tsunami..

    “ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อน้ำแข็งกำลังเริ่มละลายเมื่อเราเข้าสู่กลางฤดูใบไม้ผลิ” Taylor Ward นักอุตุนิยมวิทยาของ CNN กล่าวว่า "เมื่อมันละลายและลมแรงพัดน้ำแข็งและคลื่นน้ำกับน้ำแข็ง ถูกพัด เริ่มกองพะเนินอยู่ด้วยกัน ในขณะที่น้ำแข็งกองสูงขึ้นมันก็จะสูงขึ้นๆและมีแนวโน้มที่จะถูกลมพัดแรง"
    CR: Johnsons Portside | 04-20-2020 @ WeatherBug -,@ Live Storm Chasers,@ bbcweather
    (Instagram).
    Sherry Winter | Pam Bock Julin | @ mindy_decoursey
    CNN: https://www.cnn.com/2020/04/21/us/ice-shove-in-minnesota-trnd-weather/index.htm
    #Watchers

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #Volcano
    23/04/20
    การปะทุใหม่ของ #Sangay ใน ประเทศเอกวาดอร์ #Ecuador ในตอนเช้ามีการไหลกระแสเล็ก ๆ ในปีกข้างหนึ่งของภูเขาไฟ
    วันที่ 23 เมษายน 2020
    เครดิต @ESPECIGEST
    #Watchers

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #สภาพอากาศโลก
    24/04/20
    ภาพลูกเห็บ ขนาดเท่าเหรียญวานนี้ใน
    ,รัฐโตลูกา ,เม็กซิโก (23/04)
    CR: @ fernando_cr04
    #Watchers

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ ไปกันใหญ่แล้วครับ ⚠️ นักวิทยาศาสตร์สหรัฐพบว่าสารฟอกขาว (ฺBleach) นั้นสามารถฆ่าเชื้อไวรัส Covid-19 ในน้ำลายได้อย่างรวดเร็ว ทางทรัมป์ไม่รอช้าจึงเร่งแนะนำชาวอเมริกันผ่านการแถลงที่ทำเนียบขาวเลยว่า "เราควรหาวิธีฉีดสารฟอกขาวเหล้านี้เข้าไปในร่างกายของเราเพื่อฆ่าเชื้อ !"

    งานเข้าเลยครับทีนี้ ! ทางบริษัทจำหน่าย สารฟอกขาวและน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆนั้นจึงต้องเร่งออกจดหมายเตือน #ไม่ให้ประชาชนพยายามกินหรือฉีดสารฟอกขาวเหล่านี้เข้าไป เพื่อฆ่าไวรัส ! เพราะว่าหากมีใครทำตามเข้าไปจริงๆนั้นคงจะโดนฟ้องอย่างมโหฬารแน่ !

    ทรัมป์ยังได้กล่าวต่ออีกว่า "ถ้าสารฟอกขาวและน้ำยาฆ่าเชื้อเหล่านี้สามารถฆ่าไวรัสได้ในพริบตา มันน่าจะมีอะไรที่เราทำได้ใช่ไหม ? จะให้ฉีดเข้าไปในปอดได้หรือป่าว ?" ทรัมป์ได้กล่าวให้นักวิทยาศาสตร์ของเขาเร่งหาทางใช้ยาฟอกขาวเหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้

    ทางด้านแพทย์หลายๆฝ่ายต้องรีบออกมาให้ความรู้กับประชาชนแล้วแก้ข่าวของทรัมป์ว่า พวกน้ำยาเหล่านี้มีอันตรายต่อร่างกายมากๆ อย่าว่าแต่กินเข้าไปแต่แค่เพียงสูดกลิ่มเยอะๆก็สามารถทำลายปอดได้แล้ว เพราะฉะนั้นประชาชนทางบ้านอย่าคิดจะลองเป็นอันขาด

    และหากหลายท่านกำลังตกตะลึง #นั้นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทรัมป์แนะนำ เพราะหลังจากที่ทางนักวิทยาศาสตร์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มว่าแสงแดดนั้นสามารถฆ่าเชื้อไวรัส Covid-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อว่าการระบาดจะดีขึ้นในช่วงฟดูร้อน ทรัมป์ก็ได้ถามเพิ่มทันทีว่า... "แล้วเราจะมีวิธีทำให้แสงเหล่านี้เข้าไปในร่างกายคนได้หรือป่าว ? ทำอย่างไรให้แสงสามารถเข้าผ่านผิวคนได้ ? พวกคุณน่าจะศึกษาเรื่องนี้เพราะผมคิดว่ามันน่าสนใจมาก"

    และนี่ก็คือคำแถลงจากประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ... ผู้นำประเทศที่กำลังจะเซ็นอนุมัติเงินช่วยเหลือเพิ่ม 4.84 แสนล้านเหรียญในคืนนี้ ให้แก่โรงพยายบาล การทดลองยาต้านไวรัส และธุรกิจขนาดเล็กแล้ว ที่ทางสภาสหรัฐได้อนุมัติผ่านมาแล้ว...

    ติดตามกันต่อไปว่าสหรัฐที่จะเริ่มกลับมาเปิดเมืองบางส่วนกันใหม่ในเดือนพฤษภาคมนี้ จะไปได้รอดหรือไม่

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #OilTradingKP

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #อยู่ญี่ปุ่นต้องทำงาน! บุคลากรในโรงพยาบาลติดเชื้อโคโรน่าแต่ยังต้องไปทำงานเพราะคนไม่พอ ทำให้ติดเชื้อถึง 128 ราย!

    วันนี้ 24 เม.ย. 2020 สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า โรงพยาบาลพักฟื้นตัว ในกรุงโอซาก้าติดเชื้อแล้วกว่า 128 ราย โดยต้นทางใหญ่ๆอาจจะมาจาก บุคลากรในโรงพยาบาล

    โดยสาเหตุหลักๆมาจาก คนไม่พอต่อการทำงานในโรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องเรียกผู้ติดเชื้อโคโรน่าที่กำลังพักฟื้นตัวอยู่ที่บ้านมาทำงานต่อ แต่การเรียกมานั้นทำให้ผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลแห่งนี้พุ่งเพิ่มขึ้นถึง 128 ราย

    ล่าสุดตอนนี้ทางโรงพยาบาลแห่งนี้กำลังตรวจสอบทุกคนแล้วว่ามีการติดเชื้อโคโรน่าเพิ่มหรือไม่ แต่มีโอกาสสูงมากที่จะติดเยอะกว่า 128 ราย

    กดติดตามเพจนี้ "คนไทยในญี่ปุ่น" และกดเห็นโพสต์ก่อน เราจะคัดข่าวและคอนเท้นต์ที่มีคุณภาพสู่มือถือของคุณในทุกๆวัน!

    อ้างอิง : https://news.tv-asahi.co.jp/

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อธิบายข้อเท็จจริง สถานการณ์COVID-19เมืองฮาร์บิน และประเด็น ฮาร์บิน Lockdown-ปิดเมือง

    ------

    ตอนนี้มีคนถามอ้ายจงเข้ามาจำนวนมาก ถึงประเด็นที่เป็นกระแสในโซเชียลไทยขณะนี้ “เมืองฮาร์บิน ปิดเมือง-LOCKDOWN ซึ่งเป็นสัญญาณว่า จีนกำลังกลับมาระบาดหนักรอบสอง” อ้ายจงเลยขออธิบายความจริงเรื่องนี้ให้ทราบกันครับ

    ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า เท่าที่คุยกับเพื่อนคนจีนที่เป็นนักข่าวในจีน และดูจากข้อมูลที่ทางการจีนแถลงออกมาในแต่ละวัน ตอนนี้สถานการณ์ COVID-19ในจีน เรียกว่ายังอยู่ในระดับที่ดี ทางการจีนมองว่าสามารถควบคุมได้ แต่ที่น่ากังวล คงเห็นจะเป็น พื้นที่มณฑลเฮยหลงเจียง ที่มีพื้นที่ติดกับประเทศรัสเซีย ที่แต่ละวันยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทั้งมีอาการและไม่มีอาการ โดยจุดเริ่มต้นมาจาก ผู้ป่วยที่เดินทางจากนอกจีนเข้าสู่เฮยหลงเจียง โดยเฉพาะจากรัสเซีย

    และเมืองฮาร์บิน เมืองเอกของมณฑลเฮยหลงเจียง ก็มาอยู่ในกระแสในโซเชียลจีน ว่าาจะปิดเมือง ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งทางการฮาร์บินออกมาแก้ข่าวเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 ว่าเป็นข่าวปลอม

    จุดเริ่มต้นของกระแสปิดเมืองฮาร์บิน มาจากช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ มีจำนวนผู้ป่วยทั้งมีอาการและไม่มีอาการมากกว่า70ราย ที่เชื่อมโยงกับ ผู้ป่วยที่เป็นนักศึกษาจีนที่เดินทางกลับมาจากนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทำให้ตอนนี้ เมืองฮาร์บินมีมาตรการจำกัดการเข้าออกของพื้นที่หมู่บ้าน-เขตที่พักอาศัยทั้งหมดทั่วเมือง แต่ขนส่งมวลชน และการทำงาน ยังปกตินะครับ
    กล่าวคือ คนที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านหรือเขตที่พักอาศัย-คอนโดนั้น ยังสามารถเข้าออกได้ตามปกติ แต่มีมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดเข้ามาใช้อย่างเข้มงวด ได้แก่
    -โชว์ Healthcode เพื่อแสดงสถานะของร่างกาย ถ้าเป็นสีเขียว สามารถเข้าออกได้ เพราะปลอดเชื้อ ทั้งเข้าและออกเขตที่พัก
    - ต้องสวมหน้ากากเมื่อออกจากบ้าน/ห้องพัก
    - วัดอุณหภูมิร่างกายทั้งเข้าและออกจากเขตที่พักเช่นกัน
    - ห้ามมีการรวมกลุ่มคน ,เล่นไพ่,มาเยี่ยมญาติ มากินข้าวร่วมกันอะไรแบบนี้ ห้ามหมด รวมถึงพวกกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะ งานศพ งานแต่ง อีเว้นท์ต่างๆ

    ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านหรือเขตที่พักนั้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า แต่คนส่งของ และส่งอาหาร ยังสามารถมาส่งได้อยู่ โดยจะวางไว้ตรงจุดที่กำหนดไว้

    สรุปก็คือ กระแสในบ้านเรา ที่มีการระบุว่า เมืองฮาร์บิน HARBIN มีการใช้มาตรการ LOCKDOWNปิดเมือง ไม่ได้เป็นการ LOCKDOWN แบบที่เกิดขึ้นในอู่ฮั่น แต่เป็นการบังคับใช้มาตรการเข้าออกเขตที่พักอาศัยแบบเข้มงวด และแบนไม่ให้คนนอกเขตที่พักอาศัยนั้นเข้าไป ทั้งคนและยานพาหนะ รวมถึงมีการแบนกิจกรรมที่รวมกลุ่มคน

    ------

    สรุปสถานการณ์ COVID-19ในจีน ประจำวันที่ 24 เม.ย.63

    1. จำนวนผู้ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ เพิ่มขึ้น 34ราย (มาจากนอกจีน 1ราย)

    - เปลี่ยนไปเป็น ป่วยแบบมีอาการ 3ราย (มาจากนอกจีน 1 ราย)

    - ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ อยู่ระหว่างการกักตัวทั้งหมด 979ราย (มาจากนอกจีน 157ราย)

    2. จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ (แบบมีอาการ) 6ราย

    - วันก่อนหน้าเพิ่ม 12ราย

    - ผู้ป่วยที่เดินทางมาจากนอกจีน (Imported case) 2ราย

    - ผู้ป่วยในประเทศ (Local infection) 4ราย
    พบที่ เฮยหลงเจียง 3ราย, กว่างตง 1ราย

    3. จำนวนผู้ที่หายดีและออกจากรพ. เพิ่มขึ้น 50ราย

    4. จำนวนผู้เสียชีวิต เพิ่มขึ้น 0 ราย

    5. จำนวนผู้ป่วยCOVID-19สะสม 84,313ราย (ถ้าเอาเฉพาะติดเชื้อมีอาการที่ระบุตัวเลขโดยทางการ อยู่ที่ 82,804ราย) /กำลังรักษา 1,356ราย, รักษาหายและออกจากรพ. 78315ราย /เสียชีวิต 4,642ราย

    6. จีนมีผู้ป่วยCOVID-19ที่เดินทางจากนอกจีนสะสม 1618 ราย จากจำนวนผู้ป่วยสะสมทั่วจีน

    7. อัตราการหายดี 92.79% และอัตราการเสียชีวิต 5.51%

    8. มีทั้งหมด 14 พื้นที่ระดับมณฑล-มหานคร-เขตปกครองตนเองและเขตปกครองพิเศษในจีน ที่ไม่มีผู้ติดเชื้อทั้งรายใหม่และกำลังรักษาตัวในรพ.

    ได้แก่ เหอหนาน, เจียงซี, กว่างซี, ซินเจียง, ไห่หนาน, กานซู่, หนิงเซี่ย, ชิงไห่, ทิเบต, หูหนาน ,กุ้ยโจว,ฉงชิ่ง, ซื่อชวน,อันฮุย

    - 0 ราย มี 14พื้นที่
    - ต่ำกว่า 10ราย มี 7 พื้นที่
    - 10-99ราย มี 10 พื้นที่
    - 100-499ราย มี 3พื้นที่

    สำหรับมณฑลหูเป่ย ตอนนี้มีผู้ติดเชื้อกำลังรักษาในรพ. 46 ราย โดยอยู่ที่เมืองอู่ฮั่นทั้งหมด พื้นที่อื่นในหูเป่ยออกจากรพ.หมดแล้ว
    ส่วนมณฑลเฮยหลงเจียง ที่อยู่ในกระแสความกังวลขณะนี้ เป็นพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อกำลังรักษาในรพ.มากที่สุดในจีน จำนวน407 ราย

    ------

    อ้ายจงอ้างอิงจาก

    - Weibo:人民日报
    https://m.weibo.cn/2803301701/449715565147523

    - Weibo:北京晚报
    https://m.weibo.cn/status/4497141747410248

    - Weibo:中国新闻网
    https://m.weibo.cn/status/4496450660564043

    - https://voice.baidu.com/act/newpneumonia/newpneumonia/

    - http://shanghaiist.com/2020/04/22/h...tudent-spreads-coronavirus-to-over-70-people/

    #อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เหลือเชื่อ! ไม่เคยรู้มาก่อน ปกติ 1 ใน 7 ของชาวอเมริกา ต้องพึ่งพา “โรงทาน” (ฟู้ดแบงค์)! ถึงกับต้อง ‘ถลึงตา’ อ่านตัวเลขใหม่ ไม่ผิด! นี่คือสถิติจาก “ป้อนอเมริกา” (Feeding America) เครือข่ายการกุศลแห่งชาติของบ้านเขา
    (ฟู้ดแบงค์ ไม่น่าจะแปลว่า “ธนาคารอาหาร” นะครับท่าน เพราะหน้าที่คือ “แจกฟรี” … แล้วถามว่าธนาคารที่ไหนในโลกมีให้อะไรใครฟรีบ้างเหรอ?)

    ซึ่งตอนนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว น่าจะ 2 หรือ 3 ใน 7 ที่ต้องเข้าแถวรอรับข้าวฟรีจากโรงทาน …
    ก็ปัจจุบัน คนตกงาน ปาเข้าไป 26 ล้านแล้วน่ะสิ!
    .
    รอยเตอร์ส ยกตัวอย่างเมือง เอล ปาโซ ในรัฐเท็กซัส
    เปิดแจกตอนตี 4 … แถวยาวเฟื้อยเป็นกิโลฯ
    พอเข็มนาฬิกาชี้ไปที่ 9 โมงเช้าเท่านั้นแหละ ข้าวกล่องเหลือแต่น้ำซอสมะเขือเทศที่ใช้ราดเส้นพาสต้า แต่ไม่มีเส้น! แน่นอนว่าไม่มีข้าว ไม่มีถั่ว ไม่มีอาหารกระป๋อง
    คนที่เหลือเอาอะไรกิน? ได้แต่โกยลม วักเข้าไปในท้องแก้ขัด แล้วเดินกลับบ้านให้ตัวเบาที่สุด จะได้ใช้แรงน้อยที่สุด … ประหยัดพลังงาน

    “โรงทาน” ทั่วแผ่นดินอเมริกาก็หาได้ต่างจากนี้ไม่
    ที่มหานครนิวยอร์ก ยิ่งเข้าไปใหญ่ เมื่อ 1 ใน 3 ของ “โรงทาน” ต้องปิดชั่วคราวเพราะไม่มีอะไรจะแจก!
    .
    ปกติ ‘สายพาน’ อาหารสู่มูลนิธิ “ป้อนอเมริกา” มาจากไหน?
    ราวๆ 30% มาจากพวกร้านขายของนี่แหละ คนทำธุรกิจบ้านเขามี ‘จิตสำนึก’ ดีทีเดียว เพราะเซเว่น อีเลเว่น เอ๊ย ไม่ใช่ พิมพ์ผิด! … เพราะร้านขายของพวกนี้จะบริจาคพวกพืชผักผลไม้ที่ไม่ค่อยสวย หรือใกล้ๆจะหมดอายุ ส่งไปให้ด้วยความเมตตากรุณา

    ราวๆ 25% ก็มาจากการอุดหนุนของรัฐบาล หาพวกเนื้อสัตว์ ชีส ฯลฯ มาให้
    ที่เหลือก็มาจากชาวไร่ชาวสวน ฟาร์ม หรือพวกร้านขายของ ตามกำลังศรัทธา
    นอกนั้น ก็มูลนิธิไปซื้อมาเองตามสมควร

    (หลายปีก่อน เคยดูจากสารคดี “รอบโลก” ของ กรุณา บัวคำศรี --- สนุกมาก ขอแนะนำ ตะกี้หาแปะไว้ในคอมเมนต์ให้แล้ว มีสองตอน)
    .
    แล้วนาทีนี้ เป็นไงล่ะ?
    ช่วง ‘ปิดเมือง’ ชาวบ้านก็แห่ๆๆซื้อๆๆไปตุนไว้สิ … ร้านขายของมีอะไรเหลือบ้างมั้ยเถอะ จะสวยไม่สวย คนไม่เลือกทั้งนั้น กวาดเอาหมด

    คนบ้านเขาก็มี ‘จิตสำนึก’ จริงๆ ขอย้ำ! เพราะถึงของหมด แต่ร้านพวกนี้ก็บริจาคเงินสร้างโรงงานผลิตหน้ากาก เอ๊ย ไม่ใช่ พิมพ์ผิดอีกแล้ว! ร้านพวกนี้บริจาคเงินให้มูลนิธิแทน

    แต่ไม่ใช่จะมีของให้หาซื้อง่ายนักหรอก แถมเวลาแบบนี้ข้าวปลาอาหารก็แพงกว่าธรรมดาอีก ต้องใช้เงินเยอะขึ้น และคนก็เข้าคิวขอมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว ซื้อไม่พอ …
    .
    พวกชาวไร่ชาวสวน ฟาร์ม ที่เคยช่วยเหลือ ตอนนี้ หลายแห่งกลับต้องทำลายพืชผลทิ้ง เพราะการขนส่งก็ถูกตัดขาดเกือบหมด
    ผลิตให้น้อยที่สุด

    มีบ้าง ที่พยายามจะหาทางส่งไปให้ แต่มูลนิธิก็ขาดแคลนแรงงาน
    ให้อาสาสมัครมาช่วยสิ … แหม ช่วงวิกฤติ ‘ปิดเมือง’ แบบนี้ คนก็ไม่ค่อยอยากออกจากบ้าน

    ลำบาก … ลำบากจริงๆ
    .
    ถ้าท่านไม่เคยท้องหิวจนแสบกระเพาะ ไม่เคยอกหักจนเสียดหัวใจ ท่านไม่มีทางเข้าใจความเจ็บปวดทรมานของผู้อื่นได้อย่างถ่องแท้หรอก …

    https://www.reuters.com/article/us-...hort-on-staples-as-hunger-soars-idUSKCN2261AY

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดีย สร้างสะพาน ณ รัฐ “อรุณาจัลประเทศ” เพื่อแสดงความเป็น ‘เจ้าเข้าเจ้าของ’ เต็มพิกัด!
    แปลกตรงไหน? สร้างสะพานใน ‘แผ่นดิน’ ของตัวเอง --- เผอิญว่ามันยังไม่ใช่เด็ดขาดซะทีเดียวน่ะสิ … อินเดียบอกใช่! แต่จีนบอกไม่!

    สะพานพาดตรง ‘พรมแดน’ ขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจ … แย่งกันถือสิทธิครอบครองตั้งแต่ปี 1962
    และจะแย่งกันไปตลอดกาล … หรือจนกว่าจะรบกันขึ้นมาจริงๆ!
    ซึ่งก็คงไม่ … ดังนั้น ก็ต้องเป็นปัญหาเรื้อรังเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
    .
    นี่เรียกว่า “ภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitics)!
    มันคืออะไร?
    อยากจะบอกว่า เพจนี้โดยหลักแล้วเกี่ยวกับ “ภูมิรัฐศาสตร์” แทบทั้งหมด … ซึ่งก็ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร อ้าว!

    แต่ไม่ว่ามันจะแปลว่าอะไร ครอบคลุมเรื่องอันใดบ้าง … ที่แน่นอนเลย พื้นฐานสุดของมันคือ “ข้อพิพาทเรื่องดินแดน” นี่แหละ --- สุดคลาสสิคเลย
    (ไว้วันหน้า มีโอกาส จะมาเจาะลึกถึงคำนี้กัน --- “ภูมิรัฐศาสตร์”!)
    .
    สะพาน ปกติ เป็น สัญลักษณ์ ของการ ‘เชื่อม’ สัมพันธ์
    สะพาน ครั้งนี้ กลับใช้สื่อ ถึงการ ‘สะบั้น’ สัมพันธ์ --- ‘ตัดขาด’ สิทธิของจีนจากจุดนั้น ยึดมั่นถือมั่นว่าคือของฉัน อินเดียเจ้าเอง! ส่วนจีนก็ต้องทำหน้าที่ ‘ตอด’ ตามตะเข็บต่อไป

    มันก็คงไม่จบหรอก ใหญ่ต่อใหญ่ ไม่มีใครยอมกัน แล้วก็ยังมีอีกหลายจุดที่ ‘งัดข้อ’ กันไม่สุดสิ้น
    นี่คือสิ่งที่ฟ้าดินกำหนดมา … ในระดับประเทศแล้ว ท่านเลือก ‘เพื่อนบ้าน’ ของท่านไม่ได้ ยกแผ่นดินหนีได้ที่ไหนกันล่ะ ต้องเป็น ‘ลิ้นกับฟัน’ กัดกันไปตราบชั่วกาลนาน

    https://www.bloomberg.com/news/arti...hina-face-off?srnd=premium-asia&sref=mu7Gtsbe

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผลการทดสอบแอนติบอดีชี้ชาวนิวยอร์ก 2.7 ล้านคนอาจติดโควิด-19
    April 24, 2020

    นิวยอร์ก, 23 เม.ย. (ซินหัว) — เมื่อวันพฤหัสบดี (23 เม.ย.) แอนดรูว์ กัวโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า ขณะนี้เขาได้ทราบผลการทดสอบแอนติบอดีของผู้คนในรัฐนิวยอร์กที่ระบุว่าร้อยละ 13.9 ในกลุ่มนี้มีผลเป็นบวก ซึ่งหมายความว่านิวยอร์กอาจมีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ราว 2.7 ล้านคน
    การทดสอบดังกล่าวเปิดตัวโดยหน่วยงานด้านสุขภาพของรัฐเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ โดยได้เก็บตัวอย่างจากบรรดาผู้มาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต 3,000 รายจากสถานที่ 40 แห่งในเทศมณฑล 19 แห่งของรัฐ
    ผลการศึกษาเบื้องต้นชี้ให้เห็นตัวเลขจริงของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดในรัฐที่ 19.45 ล้านคน ซึ่งอาจสูงกว่าข้อมูลทางการถึง 10 เท่าที่ประกาศโดยมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ที่ 263,754 ราย ณ เวลา 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นในวันพฤหัสบดี
    ผู้เข้ารับการทดสอบแอนติบอดีที่มีผลทดสอบเป็นบวก เป็นผู้ที่เคยมีประวัติว่าติดโรคโควิด-19 และหายดีแล้ว โดยการทดสอบครั้งนี้แสดงให้เห็นภาพรวมของอัตราการติดเชื้อทั่วรัฐและได้ให้คำแนะนำว่ารัฐควรดำเนินการเช่นไรต่อไป และควรกลับมาเริ่มต้นเศรษฐกิจอีกครั้งอย่างไร
    นครนิวยอร์กมีอัตราผลการทดสอบเป็นบวกอยู่ที่ร้อยละ 21.2 ซึ่งสูงกว่าที่อื่นในรัฐ ส่วนเกาะลองไอแลนด์มีอัตราเป็นบวกร้อยละ 16.7 ขณะที่เทศมณฑลเวสต์เชสเตอร์และร็อกแลนด์มีอัตราเป็นบวกร้อยละ 11.7 และพื้นที่ที่เหลือของรัฐอยู่ที่ร้อยละ 3.6
    รายละเอียดด้านเชื้อชาติแสดงให้เห็นอัตราการเป็นบวกของผู้คนหลากหลาย ดังนี้ ชาวลาตินอเมริกา (22.5), คนผิวดำ (22.1), ชาวเอเชีย (11.7) และคนผิวขาวในรัฐ (9.1)
    ขณะเดียวกัน ผู้หญิงร้อยละ 12 มีผลการทดสอบเป็นบวก ส่วนผู้ชายร้อยละ 15.9 มีผลการทดสอบเป็นบวก
    ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่า อัตราการเสียชีวิตที่แท้จริงของผู้คนในรัฐอาจอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.5 ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 7 ที่คำนวณโดยหน่วยงานทางการด้านสถิติ

    (19 เม.ย.) แอนดรูว์ กัวโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กเยือนห้องปฏิบัติการด้านสุขภาพแห่งนอร์ธเวลล์ ก่อนบรรยายข่าวสรุปโควิด-19 ประจำวันในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
    อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะอธิบายผลการทดสอบนี้ได้อย่างไร เพราะกัวโมแสดงความเห็นว่า “คนเหล่านี้เป็นคนที่ออกไปซื้อของ พวกเขาไม่ใช่คนที่อยู่ในบ้าน พวกเขาไม่ใช่คนที่แยกตัวเองออกมา พวกเขาไม่ใช่คนที่กักตัว”
    ดร. โอซิริส บาร์บอต (Oxiris Barbot) ผู้บัญชาการด้านสุขภาพของนครนิวยอร์กกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีผลการทดสอบเป็นบวก 138,000 รายในเมืองนั้นเป็นเพียง “ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง” เท่านั้น เนื่องจากมีข้อจำกัดมากมายในการตรวจวินิจฉัยเมื่อช่วงแรกเริ่มของการระบาด
    “ฉันคงไม่ประหลาดใจแล้วในเวลานี้ ถ้าพบว่าเราอาจมีชาวนิวยอร์กกว่า 1 ล้านคนที่ติดโรคโควิด-19” เธอกล่าวในการบรรยายสรุปประจำวันของนายกเทศมนตรี
    ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระบบ (CSSE) ของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) ประกาศสถิติเมื่อเวลา 7.31 น. ของวันนี้ (24 เม.ย.) ว่ารัฐนิวยอร์กมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ทั้งสิ้น 20,973 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตในเมืองนิวยอร์กถึง 16,388 ราย

    https://www.xinhuathai.com/high/ผลการทดสอบแอนติบอดีชี้_20200424

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัสเซียปฏิเสธ...การปิดตัวดาวเทียมอิหร่านละเมิดมติของ UNSC

    =-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

    หัวหน้าคณะกรรมการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่สหรัฐว่า ความสำเร็จของอิหร่านในการส่งดาวเทียมทหารเข้าสู่วงโคจร ละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไม่มีมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติห้ามอิหร่านในการส่งดาวเทียม
    การเปิดตัวดาวเทียมทหารสู่อวกาศนั้นไม่เป็นการละเมิดใดๆเพราะมันไม่ได้ติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ใดๆ ควรคำนึงถึงความจริงที่ว่าเมื่อมีดาวเทียมทหารก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีอาวุธใดๆซ่อนอยู่ภายใน

    BY>>>>>Giant Khan<<<<<

    https://tn.ai/2249738

    https://www.tasnimnews.com/en/news/...-s-satellite-launch-violates-unsc-resolutions

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ของขวัญจากทอม_แฮงค์ถึงเด็กชายออสซี่
    #เพื่อนใหม่ในวันวิกฤติไวรัสโคโรน่า

    วันนี้มีข่าวมาจากทางออสเตรเลีย ว่ามีเด็กชายวัย 8 ขวบคนหนึ่ง ในเมืองโกลด์โคสท์ รัฐควีนสแลนด์ ในออสเตรเลีย ได้รับจดหมายจากดาราฮอลลิวู้ดชื่อดัง ทอม แฮงค์ พร้อมเครื่องพิมพ์ดีดรุ่น Vintage ที่เป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นส่วนตัวของทอม แฮงค์ ที่เขารักมาก มาเป็นของขวัญ

    เด็กชายผู้โชคดีคนนี้ชื่อว่า Corona De Vries เด็กน้อยได้ข่าวว่าดาราคนดัง พร้อมภรรยา ริต้า วิลสัน มาติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ขณะที่เดินทางมาถ่ายภาพยนตร์ในออสเตรเลีย ซึ่งทอม แฮงค์ เป็นดาราคนแรกๆ ที่มีข่าวว่าติดเชื้อ เลยกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

    น้อง Corona จึงส่งจดหมายไปถึงเขา ช่วงระหว่างที่ทอม แฮงค์ กับภรรยา ต้องกักโรค และพักรักษาตัวในออสเตรเลีย นานมากว่า 2 สัปดาห์ เนื้อหาในจดหมายของเด็กชายเขียนไว้ว่า

    "ผมได้ข่าวว่าคุณ และภรรยา ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า พวกคุณ OK ไหมครับ? ส่วนผมมีปัญหาครับนิดหน่อย ผมชอบชื่อของผมนะ แต่เวลาไปโรงเรียน โดนเพื่อนล้อตลอดเลย ว่าเป็น ไวรัสโคโรน่า ผมทั้งเสียใจ ทั้งโกรธเลยหล่ะครับ"

    จดหมายของเด็กชายโคโรน่า ทำให้ทั้งทอม แฮงค์ และ ภรรยาประทับใจมาก หลังจากที่พักรักษาตัวจนหายดีแล้ว ทอม แฮงค์ และ ริต้า วิลสัน เดินทางกลับไปสหรัฐเรียบร้อย และได้พิมพ์จดหมายตอบกลับมาให้เด็กชายที่ออสเตรเลีย มีใจความดังนี้

    10 เมษายน 2020

    สวัสดี สหายโคโรน่า

    จดหมายของคุณทำให้ผม และภรรยาซาบซึ้งใจมาก! ขอบคุณที่ได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน - เพื่อนที่ทำให้เพื่อนรู้สึกดีในยามเศร้าหมอง

    ผมเห็นคุณในทีวีนะ ถึงแม้ว่าผมจะกลับสหรัฐแล้ว - ด้วยสุขภาพดีเยี่ยม ถึงแม้ว่าจะหายดีแล้ว แต่พอได้รับจดหมายของคุณ ทำให้รู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก คุณรู้ไหม คุณเป็นคนเดียวที่ผมเคยรู้จักที่มีชื่อว่า "โคโรน่า" - เหมือนกับพระอาทิตย์ทรงกลด หรือ มงกุฎ ไงครับ

    ผมคิดว่าเครื่องพิมพ์ดีดนี้ น่าจะเหมาะกับคุณนะ ผมเอาติดตัวไปด้วยตอนที่ไปโกลด์โคสท์ แต่ตอนนี้มันเป็นของคุณแล้วครับ ถามผู้ใหญ่นะว่า ใช้มันอย่างไร แล้วใช้พิมพ์จดหมายถึงผมนะ

    แล้วทอม แฮงค์ก็เซ็นชื่อและลงท้ายจดหมายด้วยลายมือว่า

    “P.S. You got a friend in ME!” - เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ

    ทอม แฮงค์ เป็นคนที่หลงใหลความคลาสิคของเครื่องพิมพ์ดีดมาก และมีเครื่องพิมพ์ดีดรุ่นลายครามเก็บสะสมไว้หลายสิบเครื่อง และมักจะพกเอาไปทำงานออกกองด้วยเสมอ แถมใช้จริง ชอบจริง

    แล้วยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวของเครื่องพิมพ์ดีดของเขาด้วย ชื่อว่า Uncommon Type: Some Stories ซึ่งมีแปลเป็นภาษาไทยแล้วด้วยนะคะ ชื่อเรื่องว่า พิมพ์ (ไม่) นิยม โดยสำนักพิมพ์ a book ใครสนใจ ไปลองเช็คตามร้านหนังสือได้ค่ะ

    ความชอบเรื่องเครื่องพิมพ์ดีดโบราณของทอม ทำให้เกิดกระแสความนิยมเครื่องพิมพ์ดีดกลับมา จนราคาเครื่องพิมพ์ดีดเก่าในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทีเดียว

    ส่วนเครื่องพิมพ์ดีดที่ทอม แฮงค์ ให้เป็นของขวัญเด็กชายโคโรน่า ก็เป็นรุ่น 1937 Vintage LC SMITH & CORONA ลายคราม คลาสสิคมากๆเลยค่ะ

    แหล่งข้อมูล
    https://www.theguardian.com/film/20...letter-to-bullied-australian-boy-named-corona




     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่นำมาซึ่งมาตรการปิดเมืองต่างๆ นั้น ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก

    และถึงแม้ว่าจะกลับมาเปิดเมืองตามปกติ แต่ก็ใช่ว่าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ จะกลับมาเป็นปกติโดยทันที

    เราจะพาคุณไปเรียนรู้จากเมืองอู่ฮั่น เมืองแรกของโลกที่โดนสั่งปิดเพราะโรคระบาดครั้งนี้..


    [ในความเป็นปกติ ที่ไม่ปกติ]

    หลังจาก 2 เดือนกว่าๆ ของการล็อกดาวน์ ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมืองอู่ฮั่นก็ได้กลับมาเปิดอีกครั้ง

    ในขณะที่โรงพยาบาลสนามที่สร้างมาพิเศษ ได้ทยอยปิดตัวลง

    ผู้คนเริ่มเดินทางไปไหนมาไหน ออกมาจับจ่ายใช้สอย พนักงานกลับมาทำงาน โรงงานก็กลับมาเปิดอีกครั้ง

    แต่เพราะโควิด-19 ได้คร่าชีวิตชาวอู่ฮั่นไปประมาณ 2,500 ราย

    ผู้คนจึงยังคงใช้ชีวิตแบบ "รักษาระยะห่าง" เป็นเรื่องปกติ

    การใส่หน้ากากอนามัยกลายเป็นเรื่องปกติ

    การตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้านค้า หรือก่อนเข้าทำงานกลายมาเป็นเรื่องปกติ

    และเมืองอู่ฮั่นก็ยังคงเหมือนกับหลายๆ เมืองทั่วโลก นั่นก็คือผู้คนใช้ชีวิตแบบระมัดระวัง เพราะกลัวว่าโรคระบาดอาจจะกลับมาระบาดหนักขึ้นอีกครั้ง


    [ร้านอาหาร ธุรกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบ]

    หลายคนอาจจะคิดว่า เมื่อกลับมาเปิดเมือง ธุรกิจอาหารที่ประสบปัญหาด้านยอดขาย จะมีลูกค้ากลับมากินกันอย่างคับคั่ง

    ร้านหมูกะทะ ร้านชาบู จะต้องเนืองแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งรอคอยวันเปิดเมืองมาโดยตลอด.. แต่มันจะเป็นแบบนั้นจริงหรือ!?

    สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ตามไปสัมภาษณ์ชีวิตของเจ้าของร้านหม้อไฟรายหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีร้านเปิดกว่า 10 สาขา

    เมื่อเกิดการปิดเมือง ร้านทั้งหมดของเขาได้รับผลกระทบทันที เขาต้องตัดสินใจปิด 7 สาขารอง และเปิดเพียง 3 สาขาใหญ่ เพื่อทำตลาดแบบเดลิเวอรี่

    แม้จะมีบริการเดลิเวอรี่มาช่วยอำนวยความสะดวก แต่ก็ยังคงทำยอดขายได้ประมาณ 20% ของยอดขายในช่วงปกติเท่านั้น

    จนกระทั่งเมืองอู่ฮั่นกลับมาเปิดอีกครั้ง ก็ใช่ว่าลูกค้าจะกลับมาในทันทีทันใด

    ธุรกิจร้านอาหารยังคงได้รับผลกระทบ เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากก่อนโรคระบาด

    จากเดิมที่ตอนพักเที่ยงจะไปแออัดกันในร้านอาหารแถวออฟฟิศ มาถึงตอนนี้พวกเขาทำกับข้าวมาทานเองมากขึ้น บ้างก็ใช้วิธีสั่งเดลิเวอรี่จากร้านอื่นที่ไกลกว่ามาทานได้

    โดยเฉพาะกับธุรกิจร้านหม้อไฟ ชาบู ปิ้งย่าง ที่อาจจะต้องเสี่ยงกับการทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เสี่ยงกับการไปตักวัตถุดิบที่ปนเปื้อนร่วมกับคนอื่น

    ก่อนหน้าการระบาด ลูกค้าในเมืองอู่ฮั่นที่จะมากินร้านหม้อไฟแห่งนี้ในช่วงเวลาอาหารเย็น ต้องรอคิวประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้มันกลับดูเงียบเหงาลงอย่างชัดเจน


    [ย้อนกลับมามองที่ประเทศไทย]

    ธุรกิจที่สร้างรายได้ให้ไทยอย่างเป็นกอบเป็นกำ นั่นก็คือ "การท่องเที่ยว" และ "การส่งออก"

    แม้ในไทยโรคโควิด-19 จะไม่ระบาดรุนแรง แต่ก็ระบาดรุนแรงมากทั้งในจีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา จึงน่าจะส่งผลกระทบด้านการท่องเที่ยวไทยและการส่งออกของไทยอย่างมหาศาล

    แม้ธนาคารโลกจะประเมินไว้ว่า ผลกระทบจากโควิดทำให้ปีนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทย อาจติดลบได้ถึง -5% แล้วมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในปีหน้า

    แต่เราก็ไม่สามารถรู้ว่า ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววัน ไทยเราจะฟื้นตัวในปีหน้าได้จริงหรือไม่!?


    กลับมาที่เรื่องของการเปิดเมือง ยอดผู้ติดเชื้อของไทยที่อยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ดี หลังจากนี้เราอาจจะได้เห็นมาตรการที่ผ่อนคลายลง

    และถึงแม้จะผ่อนคลายถึงขั้น "อนุญาตเปิดทุกอย่างได้" แต่โรคระบาดก็ยังคงไม่หายไป เช่นเดียวกับความกังวลของผู้คนในสังคม ก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน

    โดยเฉพาะกับธุรกิจร้านอาหาร หรือสถานบันเทิง ที่จะต้องมีคนเข้าไปแออัดกันในสถานที่แห่งเดียว คงจะเป็นงานเหนื่อยของเจ้าของธุรกิจ ที่จะต้องหาวิธีในการสร้างความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง

    คุณคิดว่า.. หลังจากกลับมาเปิดให้บริการตามปกติแล้ว ร้านอาหารเป็นอย่างไร!?

    ร้านจะต้องลดจำนวนโต๊ะลง เพื่อเพิ่มที่ว่างภายในร้านให้มากยิ่งขึ้นรึเปล่า!?

    ร้านที่ขายแบบกลับบ้าน อาจจะได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะที่ร้านแบบปิด จะได้รับความนิยมน้อยลงหรือไม่!?

    หรือการเดลิเวอรี่ โดยไม่ต้องสนใจหน้าร้านเลย จะกลายมาเป็นอีกรูปแบบใหม่ของการเปิดร้านอาหารในอนาคตได้หรือไม่!?

    คุณมีความคิดเห็นอย่างไร มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันครับ...


    -----------------------------------------------------


    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First

    เพื่อติดตามเรื่องใหม่ๆ ได้ก่อนใครนะครับ

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "วิสัยทัศน์" ที่ดี เปลี่ยน "ดินแดนรกร้าง" ให้เป็นแหล่งนวัตกรรมระดับโลก...

    คุณคิดว่าสถานที่ใดบนโลกใบนี้ มีธุรกิจแห่งโลกอนาคต รวมตัวกันอยู่มากที่สุด??

    คำตอบส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้น Silicon Valley แหล่งรวมบริษัทไอทีระดับโลก

    ไม่ว่าจะเป็น Apple, Google, Facebook, Intel หรือ Tesla ล้วนเป็นชื่อที่คุ้นหูเราแทบทั้งสิ้น

    แต่กว่าจะมาเป็นแหล่งนวัตกรรมชั้นนำของโลกอย่างในทุกวันนี้

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าได้รับแรงสนับสนุนจากสถาบันอย่าง Stanford University มหาวิทยาลัยชั้นนำซึ่งตั้งอยู่ห่างไปไม่ถึง 10 กิโลเมตร

    อะไรที่ทำให้ Silicon Valley และ Stanford ผูกพันจนแทบจะแยกกันไม่ได้!?

    ก่อนอื่นเราต้องย้อนกลับไปเมื่อราวร้อยปีที่แล้วครับ...


    สิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นเลย ถ้าไม่ได้ไอเดียของอดีตผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Leland Stanford

    คุณ Leland คิดสร้างเมือง Palo Alto ขึ้นมา บนพื้นที่ซึ่งตอนนั้นยังห่างไกลความเจริญ

    แต่การจะทำให้เมืองใหม่น่าสนใจ ก็ต้องหาอะไรมาดึงดูดผู้คน นั่นทำให้มหาวิทยาลัย Stanford ถือกำเนิดขึ้นในปี 1885

    แต่จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีจริงๆ ก็หลังจากการก่อตั้งประมาณ 60 ปี

    พอสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง การพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ก็ไม่ได้หยุดตามไปด้วย และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีนักศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่มีความสามารถ

    ตัวอย่างเช่น David Packard - Bill Hewlett สองผู้ก่อตั้ง HP ก็เป็นศิษย์เก่าของสถาบันแห่งนี้


    เราอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของ Frederick Terman มาก่อน

    แต่เขาคือคนที่มีส่วนสำคัญ ผลักดันให้ Silicon Valley กลายเป็นแหล่งนวัตกรรมอย่างทุกวันนี้

    เขาคืออดีตอธิการบดีแห่ง Stanford ซึ่งเล็งเห็นว่าพื้นที่รอบข้างมีโอกาสพัฒนาเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในอนาคต

    จึงทำเรื่องแบ่งพื้นที่บางส่วนของมหาวิทยาลัย ตั้งเป็น "Research Park" โดยเน้นดึงดูดผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมมาตั้งบริษัท

    บริษัทเด่นในยุคนั้น อย่างเช่น HP, General Electric, Lockheed มาตั้งสำนักงาน

    ทำให้ Silicon Valley กลายมาเป็นแห่งรวมคนเก่งด้านนวัตกรรม และดึงดูดคนมากความสามารถจากทั่วโลก มาใช้ชีวิตในที่แห่งนี้

    จนในยุค 1990 ก็ได้กลายมาเป็นแหล่งสำนักงานของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ต ในช่วงดอทคอมกำลังบูม

    หลังจากวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม บริษัทที่อยู่รอดได้ก็คือเหล่า "ของจริง" ซึ่งยังคงใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสำนักงานหลัก

    ขณะที่เหล่าคนรุ่นใหม่ ก็มีความฝันทั้งที่จะได้เข้าทำงานกับบริษัทระดับท็อปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพของตนเอง หรือบางกลุ่มก็เข้ามาที่ Silicon Valley เพื่อหานักลงทุน

    สิ่งเหล่านั้นผลักดันให้พวกเขาเดินทางมาแสวงหาความฝันยัง Silicon Valley นั่นเอง...


    ชื่อเสียงของ Silicon Valley เติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับชื่อเสียงของ Stanford University ในฐานะแหล่งปั้นนักธุรกิจด้านนวัตกรรม

    เป็นเสมือนเสาหลักในการขับเคลื่อน Ecosystem ใน Silicon Valley ทั้งบรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเอง ก็เป็นเจ้าของธุรกิจในนั้นมากมาย

    ขณะที่ศิษย์เก่าผู้ได้รับความรู้จากสถาบันแห่งนี้ กลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จระดับโลกหลายต่อหลายคน

    ไม่ว่าจะเป็น Sergey Brin มหาเศรษฐีทรัพย์สิน 1.5 ล้านล้านบาท ผู้ร่วมก่อตั้ง Google

    Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal ก็มีทั้งปริญญาตรีและปริญญาโทจากสถาบันนี้

    ขณะที่ผู้ร่วมก่อตั้งอีกคน Elon Musk ที่หลายคนรู้จักเมื่อมาเปิดบริษัท Tesla ก็เคยมาเข้าเรียนปริญญาโท

    รวมทั้งผู้ก่อตั้ง Nike, Intagram หรือ SnapChat และนักธุรกิจคนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน


    จะเห็นได้ว่าของบุคคลที่มองเห็น "อนาคต" ก่อนคนอื่นๆ สามารถเป็นสิ่งจุดประกายให้หลายคนเดินรอยตามได้

    ทั้งการเปลี่ยนหุบเขารกร้าง จนกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยด้านนวัตกรรม

    การเปลี่ยนพื้นที่ในสถาบันการศึกษา ให้กลายเป็นแหล่งบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก


    ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย...

    เมื่อเทียบอันดับเศรษฐีไทย-อเมริกัน พบว่าจะมาจากธุรกิจที่แตกต่างกันพอสมควร โดยเฉพาะทางฝั่งอเมริกัน ที่จะมีธุรกิจด้านเทคโนโลยีเยอะกว่า

    ท็อป 10 เศรษฐีอเมริกัน มาจากธุรกิจเทคโนโลยี 6 คน

    และ 5 ใน 6 คนนั้น ก็เกี่ยวข้องกับ Silicon Valley อีกด้วย...

    แสดงว่าแหล่งนวัตกรรมแห่งนี้ มีส่วนช่วยสร้างธุรกิจที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศใช่หรือไม่!?

    และเราจะสามารถสร้างแหล่งนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจด้านอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยี ให้กลายมาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจเพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศได้ด้วยหรือไม่!?

    มีสถานที่ไหนน่าสนใจ!? แล้วจะต้องมีแนวทางอย่างไร!?

    ลองมาร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันครับ...


    -----------------------------------------------------


    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First

    เพื่อติดตามเรื่องใหม่ๆ ได้ก่อนใครนะครับ

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สรุปเรื่องการล้มละลายของ Virgin Australia สายการบินอันดับสองในประเทศออสเตรเลีย

    ทำไมเรื่องดังกล่าวจึงน่าสนใจ!? แล้วจะส่งผลมาถึงไทยหรือไม่!? ติดตามอ่านกันได้เลยครับ...


    [เกิดอะไรขึ้นกับ Virgin Australia !?]

    หลังจากประสบกับปัญหาขาดทุนต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ปี พร้อมกับหนี้สินประมาณ 100,000 ล้านบาท แล้วมาเจอกับวิกฤติโควิด-19 ซ้ำเข้าไปอีก

    สายการบิน Virgin Australia ที่เจียนอยู่เจียนไป ยื่นขอเงินกู้จากรัฐบาลออสเตรเลียประมาณ 30,000 ล้านบาท

    แต่คำขอกู้ดังกล่าว "ไม่ได้รับการอนุมัติ" เพราะเรื่องนี้มีความซับซ้อนเล็กน้อย...

    มีรายงานว่า รัฐบาลออสเตรเลียกังวลว่าเงินดังกล่าวอาจจะถูกใช้อย่างไม่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อ Virgin Austrlia มีเจ้าของเป็นสายการบินและนักธุรกิจต่างชาติ

    เจ้าของหลักๆ ของสายการบินนี้ก็คือ Richard Branson นักธุรกิจชื่อดัง, HNA Group บริษัทจากจีน รวมถึงสานการบินดังอย่าง Singapore Airlines และ Etihad Airways

    ซึ่งธุรกิจเหล่านั้นก็ได้รับเงินช่วยเหลือพิเศษจากทางรัฐบาลของแต่ละประเทศ แต่เป็นเงินช่วยเหลือธุรกิจในประเทศเท่านั้น จึงไม่สามารถเอาเงินมาช่วย Virgin Australia ได้

    ทางสายการบินจึงต้องหันหน้าเข้าหารัฐบาลออสเตรเลีย

    แต่อย่างที่กล่าวไปว่า.. รัฐบาลเองก็อาจจะมองว่า เมื่อเจ้าของเดิมไม่ยอมใช้เงินส่วนตัวมาอุดหนุนตรงนี้ แล้วเหตุใดต้องเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องปล่อยกู้ให้!?


    ในที่สุด.. เมื่อคำขอกู้เงินรอบนี้ไม่สำเร็จ ฝ่ายบริหารของสายการบินจึงตัดสินใจขอเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย

    จากนั้นบริษัทก็ถูกส่งต่อให้กับ Deloitte บริษัทตรวจสอบบัญชีชื่อดังเป็นผู้ควบคุมดูแล้ว

    ทั้งนี้ Deloitte จะทำการปรับชำระบัญชี รวมถึงเจรจากับนักลงทุน ที่สนใจจะมาเซ้งกิจการนี้ ซึ่งล่าสุดก็มีรายงานว่ามีอย่างน้อย 10 เจ้าที่ให้ความสนใจ

    ทางด้านรัฐบาลออสเตรเลียเอง แม้จะไม่ให้เงินกู้รอบล่าสุด แต่ก็มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนเงินกู้ให้กับ "เจ้าของใหม่"

    นั่นเพราะถ้า Virgin Australia หายไปจริงๆ จะทำให้เหลือเพียงสายการบิน Qantas เป็นรายใหญ่เพียงรายเดียว ซึ่งอาจจะเกิดการผูกขาดทางธุรกิจขึ้นมาได้


    [จาก Virgin Australia กลับมามอง "การบินไทย"]

    แม้การล้มละลายของสายการบินใหญ่ในครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินในออสเตรเลียเท่านั้น

    แต่ Virgin Australia และการบินไทย มีเรื่องที่คล้ายคลึงกันอย่างหนึ่งก็คือ บริษัทขาดทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีหลัง

    ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สายการบินอันดับสองของแดนจิงโจ้ ขาดทุนต่อเนื่องมาถึง 7 ปีแล้ว

    และหากเราจะเปรียบเทียบในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า...

    Virgin Australia

    ในปี 2018 ทำรายได้ 111,000 ล้านบาท ขาดทุน 13,400 ล้านบาท

    ในปี 2019 ทำรายได้ 120,000 ล้านบาท ขาดทุน 6,400 ล้านบาท


    การบินไทย

    ในปี 2018 ทำรายได้ 200,000 ล้านบาท ขาดทุน 11,000 ล้านบาท

    ในปี 2019 ทำรายได้ 188,000 ล้านบาท ขาดทุน 12,000 ล้านบาท


    ตัวเลขที่น่าสนใจก็คือ "ส่วนของผู้ถือหุ้น" ของการบินไทย (ยอดทรัพย์สิน ลบกับ หนี้สิน) ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

    จากส่วนของผู้ถือหุ้นประมาณ 30,000 ล้านบาทในปี 2017 เหลือประมาณ 11,000 ล้านบาทในปีล่าสุด


    จากรายงานข่าวก่อนหน้านี้ ระบุว่าการบินไทยเหลือเงินสดเพียงประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งพอจะเป็นค่าใช้จ่ายได้เดือนเดียวเท่านั่น และตอนนี้กำลังเงินสดขาดมือ!!

    ซึ่งก็ตรงกับข่าวที่ออกมาในเดือนมีนาคมว่า การบินไทยเสนอแผนงานกู้เงิน 50,000 ล้าน แต่ถูกกระทรวงคมนาคมตีกลับมา เพราะรายละเอียดของแผนยังไม่ชัดเจน

    บริษัทจึงต้องกลับมาทบทวนแผน เพื่อทำเรื่องขอค้ำประกันเงินกู้จากทางรัฐบาลใหม่อีกครั้ง หรือไม่ก็ต้องมองหาเงินจากนักลงทุนรายอื่นๆ


    ก่อนหน้านี้มีข่าวลือออกมาว่าอาจจะมีการลงทุนเพิ่มในการบินไทย จากกลุ่มทุนใหญ่ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคุณเจริญ (ไทยเบฟ), กลุ่ม ปตท. หรือกระทั่ง AOT แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น

    และเราต้องติดตามกันว่าการบินไทย จะสามารถมองหาทางออกจากวิกฤตินี้ได้อย่างไร..!?


    [นี่อาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น..]

    ก่อนหน้านี้ หน่วยงานวิเคราะห์ด้านการบิน CAPA ได้ออกมาประเมินว่าวิกฤติโควิด-19 ที่กำลังเล่นงานธุรกิจการบินโดยตรง จะทำให้สายการบินหลายแห่งล้มละลายไปในปีนี้

    ซึ่งการประเมินนี้ ก็ไปตรงกันกับรายงานสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ที่ระบุว่าอนาคตของพนักงานสายการบินทั่วโลก 25 ล้านคน กำลังอยู่บนความเสี่ยง

    พวกเขายังเน้นว่า "โดยเฉพาะสายการบินภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค"

    วิกฤติครั้งนี้ Virgin Australia คือสายการบินรายใหญ่เจ้าแรกที่เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย

    นี่อาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดของวิกฤติ แต่อาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

    เราอาจไม่ต้องถามว่า จะเกิดการล้มละลายตามมาอีกหรือไม่ เพราะน่าจะมีเกิดขึ้นตามมาในไม่ช้า

    คำถามก็คือ จะมีอีกกี่สายการบิน หรือมีสายการบินใหญ่รายไหนที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการ "ล้มละลาย" ในอนาคตอันใกล้...

    คุณอย่างไรบ้างครับ!?

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ในช่วงวิกฤติโควิด-19 หลายคนอาจจะได้ยินคำว่า “New Normal” กลายเป็นศัพท์ใหม่ที่ถูกพูดถึงกันมากยิ่งขึ้น

    คำดังกล่าว มักถูกนำมาใช้อธิบายพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนไป หลังจากโรคระบาดครั้งนี้จบสิ้นลง

    แต่แท้จริงแล้ว New Normal นั้นมีที่มาอย่างไร?? แล้วหมายถึงอะไรได้บ้าง? เราจะพาคุณไปรู้จักในบทความนี้…


    1. ที่มาของคำว่า New Normal

    จากข้อมูลพบว่า New Normal ถูกนำมาใช้โดย Bill Gross ผู้ก่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ชาวอเมริกัน

    โดยใช้อธิบายถึงสภาวะเศรษฐกิจโลก หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอเกอร์ ในสหรัฐฯ ช่วงระหว่างปี 2007-2009

    สาเหตุที่เขาต้องใช้คำว่า New Normal นั่นก็เพราะแต่เดิม วิกฤติเศรษฐกิจจะมีรูปแบบค่อนข้างชัดเจน

    เมื่อเศรษฐกิจเติบโตไปได้ช่วงระยะหนึ่ง จะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดฟองสบู่ แล้วก็เกิดเป็นวิกฤติทางเศรษฐกิจตามมา

    หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่นานเศรษฐกิจก็จะเริ่มฟื้นตัว แล้วก็กลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้งในระยะเวลาไม่นาน

    สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ จะเรียกว่า Normal ก็ได้


    แต่หลังจากการเกิดวิกฤติในครั้งนั้น หลายคนมองว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่สามารถกลับไปเติบโตได้ดีเหมือนเดิม

    ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น…

    การพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป ทั้งที่หลายประเทศมีหนี้สาธารณะสูงมาก

    การมีหน่วยงานกำกับดูแลที่เข้มงวด ทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนลดลง

    การยืมเงินจากอนาคต เพื่อแลกกับตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจในวันนี้ จะส่งผลให้เติบโตได้ลดลงในอนาคต

    จากนั้นเป็นต้นมา คำว่า New Normal มักจะถูกนำมาใช้เรียกการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ถดถอยลง และอาจจะไม่มีวันโตได้ในระดับเดิมอีกแล้ว


    2. ตัวอย่างของ New Normal

    แม้คำนี้จะเกิดจากชาวอเมริกัน แต่ถ้าจะให้เห็นภาพของคำว่า New Normal ได้ชัดเจนที่สุด คงต้องยกตัวอย่างการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน

    ตั้งแต่ปี 2002 จนถึง 2007 ก่อนเกิดวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ เศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตรามากกว่า 10% มาโดยตลอด

    จนกระทั่งปี 2008 เศรษฐกิจของจีนเริ่มมีตัวเลขการเติบโตลดลงเรื่อยๆ

    และหลังจากปี 2014 เป็นต้นมา เศรษฐกิจจีนนั้นยังไม่เคยโตสูงกว่า 7% อีกเลย

    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกมายอมรับว่าการเติบโต 7% แทนที่จะเป็น 10% เหมือนครั้งอดีตนั้น ไม่ใช่การถดถอยทางเศรษฐกิจ

    เพียงแต่เป็น “New Normal” ของจีนในอนาคต ซึ่งเมื่อโตขึ้นมาถึงระดับนี้ จะให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจกลับไปโตพรวดพราดแบบเดิมคงเป็นไปไม่ได้แล้ว


    3. New Normal กับวิกฤติโควิด-19

    จากเดิม New Normal เป็นคำที่ใช้อธิบายการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนเดิม ว่าเป็น “ความปกติแบบใหม่” ที่ต้องยอมรับให้ได้

    ปัจจุบันเราจะได้เห็นการพูดถึงคำว่า New Normal ในแง่ของเชิงธุรกิจ การตลาดมากยิ่งขึ้น

    เพื่ออธิบายว่า “สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อาจจะกลายเป็นเรื่องปกติหลังจากนี้”


    โดยเฉพาะการเปรียบเทียบพฤติกรรมผู้บริโภค ที่จะเปลี่ยนไปหลังจากเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง!? และธุรกิจจะต้องปรับตัวเพื่อรับมืออย่างไร!?

    ตัวอย่างเช่น…

    – การ Work from Home อาจจะได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นจากหลายกิจการ จนทำให้ผู้ให้บริการเช่าออฟฟิศ ไม่มีรายได้ดีเหมือนเดิม

    – เมื่อคนทำงานที่บ้านมากขึ้น บริษัทสร้างคอนโด-บ้าน ก็อาจจะต้องเน้นการนำเสนอ “ห้องทำงาน” มากขึ้นกว่าเดิม จากที่เคยเน้นขายแต่ความสะดวกสบายของห้องนั่งเล่น ครัว หรือห้องนอน

    – กลายเป็นว่า ถ้าทำงานที่บ้านได้ การอยู่ในเมืองอาจจะไม่จำเป็นงั้นหรือ!? เทรนด์คอนโดห้องเล็กๆ ใจกลางเมืองนั้น กำลังถูกท้าทายหรือไม่!? เราน่าจะได้คำตอบชัดเจนขึ้นหลังจากนี้

    – ความสำคัญของ “หน้าร้าน” อาจจะลดน้อยลง เมื่อคนสามารถเลือกวิธีซื้อออนไลน์ หรือกระทั่งสั่งอาหารผ่านบริการเดลิเวอรี่ได้มากยิ่งขึ้น

    – เราอาจจะเห็น ธุรกิจเพลงและดนตรี มีการจัดแสดงในรูปแบบอื่นมาเพื่อสร้างรายได้ เช่น การให้ศิลปินแสดงคอนเสิร์ตผ่านระบบไลฟ์สด แล้วให้คนจ่ายเงินเพื่อเข้ามาชม

    – กระทั่งโรงแรมและที่พัก ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต พฤติกรรมการกินข้าวเช้าแทนที่จะต้องไปกินรวมกันในห้องอาหาร ก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นการเสิร์ฟถึงห้อง ที่กลายเป็นมาตรฐานใหม่


    สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างบางส่วนของ New Normal ในแง่ของพฤติกรรมผู้บริโภคที่อาจจะเปลี่ยนไปเท่านั้น ซึ่งเป็นการยกขึ้นมาให้เห็นภาพคร่าวๆ และอาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกธุรกิจ

    เพราะฉะนั้น หลังจากอ่านจบแล้ว ลองมาคิดและพูดคุยกันเล่นๆ สิครับ

    ว่าสำหรับคุณแล้ว “ความปกติแบบใหม่” ที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งในไทยและบนโลกของเรานั้น จะเป็นในรูปแบบใดได้อีกบ้างครับ…!?


    -----------------------------------------------------


    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First

    เพื่อติดตามเรื่องใหม่ๆ ได้ก่อนใครนะครับ


    ภาพ: TAT Sukhothai

     
  19. jutikidecha

    jutikidecha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +52
    หายดีเหมือนเดิม ไวๆน๊ะครับ

    ถึงแม้จะป่วย แต่คุณภาพข่าวสารยังยอดเยี่ยมเช่นเดิมครับ
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อย่าไปหวังกับวัคซีนรักษา COVID-19 เพราะขนาด SARS พบการติดเชื้อมาประมาณ 18 ปีแล้ว ขณะนี้ก็ยังไม่มีวัคซีน
    PSX_20200424_224601.jpg
    โรค SARS เริ่มมีการรายงานซึ่งเป็นข่าวเล็กๆ ว่ามีผู้เสียชีวิตจากปอดอักเสบแต่ไม่พบเชื้อในประเทศจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545....และในขณะนี้การให้ vaccine นั้น ยังไม่สามารถผลิตมาใช้ได้ ซึ่งแม้ว่าจะผลิตออกมาก็คงต้องรอดูผลการรักษาและป้องกันอีกระยะก่อน

    -------
    SARS (Severe Acute Respiratory Syndrome)

    ผศ.นพ.สุรพล กอบวรรธนะกุล
    ภาควิชาอายุรศาสตร์


    SARS มาจาก Severe Acute Respiratory Syndrome และชื่อที่ใช้เป็นทางการในประเทศไทยคือ "โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงที่ไม่ทราบสาเหตุ"
    โรคนี้เริ่มมีการรายงานซึ่งเป็นข่าวเล็กๆ ว่ามีผู้เสียชีวิตจากปอดอักเสบแต่ไม่พบเชื้อในประเทศจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ต่อมาพบมีการเกิดโรคและกลุ่มอาการนี้ที่ฮ่องกง จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2546 พบว่ามี ผู้ป่วยๆ ด้วยโรคนี้และเกิดเสียชีวิต เมื่อมีการติดตามและตรวจสอบต้นตอของแหล่งแพร่โรค จึงมีการรายงานและศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง จนเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก สถานการณ์ของโรคนี้จนถึงวันเขียนรายงานนี้ (28 เมษายน 2546) มีรายงานผู้ป่วยแล้วประมาณ 5,000 ราย และเสียชีวิต 318 ราย มีประเทศรายงานว่าพบผู้ป่วยทั้งหมด 26 ประเทศ ประเทศที่พบผู้ป่วยมากได้แก่ ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียตนาม แคนาดา สำหรับประเทศไทยจนถึงขณะนี้พบผู้ป่วย 7 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย ซึ่งทั้ง 2 รายนั้นเป็นผู้ป่วยที่ได้เดินทางมาจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรค ที่เหลืออีก 5 รายนั้นหายเป็นปกติ และที่มีรายงานว่าพบเพิ่มอีก 1 รายซึ่งเป็น Probable case
    วันที่ 22 มีนาคม 2546 คณะนักวิจัยของประเทศเยอรมันและฮ่องกงได้รายงานว่าจากการนำเนื้อเยื่อปอดของผู้เสียชีวิตจากโรค SARS จากมณฑลกวางตุ้ง โดยการทำการเพาะเชื้อไวรัสในเซลล์เลี้ยงเชื้อพิเศษพบว่าเป็น Paramyxovirus
    วันที่ 24 มีนาคม 2546 นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ควบคุมป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC; USA) ได้รายงานว่าพบเชื้อ Coronavirus ซึ่งไม่ใช่เชื้อ Paramyxovirus ซึ่งเชื้อ Coronavirus นั้น เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจโดยมีอาการหวัดทั่วๆ ไป และหายเองได้โดยไม่พบว่ามีรายงาน ทำให้เกิดเสียชีวิตมาก่อน นอกจากนั้นอาจทำให้เกิดอาการทางเดินอาหารอักเสบ (Gastroenteritis) และโรคระบบทางประสาท แต่อาจจะพบว่าเชื้อ Coronavirus สามารถทำให้เกิดโรคและมีความรุนแรงได้ในสัตว์ ซึ่งขณะนี้ CDC ได้ทำ Tissue culture จากผู้ป่วยเป็นโรค ตรวจหาพบ Cytopathic effect และได้นำมาตรวจด้วย Electron microscope พบลักษณะรูปร่างขนาด 100 nm. มีก้านยื่นออกมาจากตรงกลางของอนุภาคโดยรอบดูคล้ายกับมงกุฎ จากนั้นได้ใช้ PCR primers และหา Gene sequence จนสามารถยืนยันได้ว่าเป็นเชื้อ Coronavirus ที่แยกได้จากผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจาก SARS ที่ได้มาจากฮ่องกงและแคนาดา

    การวินิจฉัย
    การวินิจฉัยประกอบด้วย :-
    -- ประวัติและอาการ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกได้ในแนวทางในการวินิจฉัยไว้คือ
    - ผู้ป่วยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นมา
    - ผู้ป่วยมักจะมีอายุช่วง 25-70 ปี พบว่า เพศชายมีอุบัติการมากกว่าหญิงในอัตราส่วน 2:1
    - มีประวัติเดินทางมาจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรค หรือได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคนี้
    - ระยะฟักตัวของโรค โดยทั่วไป 2-7 วัน ซึ่งบางรายอาจจะนานถึง 10 วัน อาการเริ่มต้น มีไข้วัดได้ 38.0 ฐC ขึ้นไป และ มีอาการของไข้ไวรัสทั่วไป เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร ซึ่งเกิด 1-2 วัน
    - ต่อมาวันที่ 3-7 อาจจะมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ บางรายอาจพบมีอาการหายใจลำบากจนมีภาวะ Hypoxemia พบราวร้อยละ 10-20 ในกลุ่มที่มีอาการหายใจรุนแรงอาจต้องใช้ respirator อัตราตายของ ผู้ป่วยวินิจฉัยว่าเป็น SARS ทั้ง probable และ suspected case อยู่ที่ร้อยละ 3
    -- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
    - การตรวจ CBC ในระยะแรกมักพบ absolute lymphocyte count ลดน้อยลง ในรายที่มีอาการหนักพบว่าประมาณครึ่งหนึ่งมี Platelets ต่ำอยู่ระดับ 50,000-150,000/cumm.
    - การตรวจ Blood chemistry มี CPK สูงขึ้นได้ในระยะแรก ส่วน Liver enzyme สูงกว่าปกติได้ 2-6 เท่าของปกติ
    - CXR ในรายที่อาการน้อยไม่พบการเปลี่ยนแปลง ส่วนรายที่มีอาการรุนแรงของระบบทางเดินหายใจ จะพบมีการเปลี่ยนแปลงได้หลายลักษณะ เช่น เป็น Focal to general infiltration, patchy และ interstitial infiltration ส่วนรายที่รุนแรงมากในระยะท้ายอาจพบลักษณะ Consolidation

    การรักษา
    ขณะนี้ยังไม่มียาที่ใช้ได้ผลที่ได้รับการศึกษาอย่างแท้จริง แม้จะมีผู้ทดลองใช้ Oseltamivir หรือ ribavirin ร่วมกับการใช้ steroid ส่วนการให้ vaccine นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถผลิตมาใช้ได้ ซึ่งแม้ว่าจะผลิตออกมาก็คงต้องรอดูผลการรักษาและป้องกันอีกระยะก่อน
    มาตรการป้องกัน
    เนื่องจากโรคนี้การติดต่อจะเป็นลักษณะ Droplets transmission
    การป้องกันตนเองในระดับเบื้องต้น :- เช่น การไม่เข้าไปในแหล่งที่มีการแพร่ของเชื้อโรค หรือในที่ๆ มีชุมชนแออัด การล้างมือทั้งก่อนและหลังมีการสัมผัสกับผู้ต้องสงสัย การใช้ผ้าปิดปากและจมูกเมื่อเข้าตรวจหรือสัมผัสกับผู้ป่วยที่สงสัย
    การคัดกรองผู้ป่วย :- เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อจากในประเทศเลย ฉะนั้นการตั้งต้นตรวจจากผู้เดินทางเข้าประเทศ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
    มาตรการระดับประเทศและภูมิภาค
    :- เมื่อ 26-27 เมษายน 2546 ได้มีการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขของกลุ่มประเทศอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย ได้ข้อตกลงในการคัดกรองผู้เดินทางจากกลุ่มเสี่ยง มีการตกลงร่วมมือในการส่งข้อมูล และวางแผนการวิจัย และแนวทางการรักษา
    :- 29-30 เมษายน 2546 จะมีการประชุมสมาชิกมนตรีอาเซียน ซึ่งจะมีหัวข้อสำคัญเรื่อง SARS บรรจุในวาระการประชุม หวังว่าผลการประชุมคงจะทำให้มีความร่วมมือ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค SARS ในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่พบการแพร่ระบาดมากที่สุด อย่างเป็นรูปธรรม
    สำหรับข้อมูลโรค SARS นี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ฉะนั้นหากสนใจให้เปิดดูข้อมูลได้ที่
    http://www.who.int/crs/sars country
    http://www.who.int/crs/sars
    http://www.cdc.gor/od/ocmedia/transcripts/to30324.htm
    http://www.who.int/crs/sars/clinical/en

    https://www.si.mahidol.ac.th/sirirajcme/Others/Hot_issues/sars.asp
     

แชร์หน้านี้

Loading...