2013 หลังสังคมโลกล่มสลาย-เริ่มโลกทัศน์จิตวิญญาณ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย mead, 23 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG]


    เอาเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดของประวัติศาสตร์ของโลก มาให้อ่านปวดหัวกันเล่นๆครับ


    ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษยชาติทั้งโดยรวมและปัจเจกล้วนเป็นประวัติศาสตร์ของจิตวิวัฒนาการทั้งสิ้น เรายังต้องเดินทางอีกไกลและยาวนานยิ่งนัก อียิปต์ยุคราชวงศ์อาณาจักรกรีซและโรมัน เป็นเพียงก้อนหินสองสามก้อนของถนนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์

    เคน วิลเบอร์ สะท้อนความคิดของนักคิดที่เป็นปราชญ์ระดับนำหลากหลายในอดีตและปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นศรีอรพินโธ, ปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง จนถึงเออร์วิน ลาซโล อีริก จานซ์ และไมเคิล เมอร์ฟี ที่อาจสรุปได้ว่า วิวัฒนาการของโลกมีเพียงสามมหามิติ หรือมหาอาณาจักร (great realms) ที่เป็นห่วงโซ่แห่งความต่อเนื่อง ที่เตยา เดอ ชาดัง เรียกว่า กำเนิดการของกายวัตถุ (physicogenesis) กำเนิดการแห่งชีวิต (biogenesis) และกำเนิดการแห่งจิตวิญญาณ (noogenesis) ส่วนไมเคิล เมอร์ฟี เรียกง่ายๆ ว่า รูปกาย ชีวิต และจิตรวมทั้งจิตวิญญาณ นั่นคือสามโลกแห่งวิวัฒนาการหรือสามห่วงโซ่ หรือสามองค์รวมของการดำรงอยู่ (Great Holarchy of Being) ของเคน วิลเบอร์ ที่แต่ละมิติหรืออาณาจักร (ในที่นี้คือสิ่งที่อยู่หลังกระบวนทัศน์ทางสังคม) ล้วนเชื่อมต่อสัมพันธ์กันและกัน - เป็นส่วนของทั้งหมดที่เป็นส่วนของทั้งหมดที่ใหญ่กว่านั้น - ไล่ต่อๆ ขึ้นๆ ไป โดยมีจิตวิญญาณร้อยรวง (Ken Wilber : Sex Ecology and Spirituality, 1995)

    นั่นคือ กระบวนการวิวัฒนาการทั้งสามรูปแบบสัมพันธ์และเหลื่อมล้ำกัน มนุษย์ที่เป็นเช่นเรา (H.sapiens sapiens) มีขึ้นมาบนโลกเพียง 160,000 ปีก่อน และอยู่ร่วมกับมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นอีกถึง 3 เผ่าพันธุ์ รวมทั้งบรรพบุรุษของเรา H.erectus ที่เพิ่งสูญเผ่าพันธุ์ไปเมื่อสองหมื่นกว่าปีก่อน หลัง H.neanderthalis เล็กน้อย จริงๆ แล้วมนุษย์เราคงจะมีเวลาตั้งถิ่นฐานเป็นย่านเป็นชุมชนที่เอื้อต่อวิวัฒนาการทางจิตก็เป็นช่วงหลังเมื่อมนุษย์แคระ H.floresiensis ได้สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 13,000 ปีมานี้เอง (Scientific American Fed. 2005 และ National. Geographic, Apr. 2005) โดยหลักฐานที่ยอมรับกันนั้นมนุษย์เราเริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชน ณ ที่ราบเชิงเขาซากรอส ทางตะวันตกของเอเชียกลางเช่นที่ยาร์โม (Jarmo) ก็เมื่อราวๆ 8-9,000 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณเมื่อ 11,000 ปีก่อน (Time-life Series : Emergence of Man, 1974) ที่หากว่าเรานับช่วงเวลาของวิวัฒนการของวัฒนธรรม (ที่ก็คือระดับจิตร่วมของชุมชน) ตามที่ยอมรับกัน เราจะพบว่านั่นคือช่วงเวลาของวิวัฒนาการของจิตของมนุษย์ (Ken Wilber, Up From Eden, 1981) ระดับสาม (verbal) และระดับสี่ (rational Self-egoic) ซึ่งจะสอดคล้องกับช่วงเวลาที่นักประวัติศาสตร์ยอมรับกัน คือช่วงละประมาณ 5,500 ปี ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ทางวิชาการที่แท้จริง ดังนั้นเราอาจคิดได้ว่า ปี 2000 หรือสหัสวรรษที่สามคือช่วงเวลา (เริ่มต้นของ 5,500 ปีช่วงใหม่ "เริ่มต้นของวิวัฒนาการของจิตระดับใหม่ จากระดับที่สี่สู่ระดับที่ห้าที่เป็นระดับจิตวิญญาณผ่านพ้นตัวตนระดับแรก (Ken Wilber's Psychic or Nirmankaya level)

    ฟิสิกส์ยุคใหม่ชี้บ่งไปทางด้านของกำหนดการของจักรวาล ที่ควบคุมทิศทางของวิวัฒนาการ (predestination) สอดคล้องกับนักเทววิทยาและนักศาสนา แต่ในระดับที่ย่อยลงมานักสังคมศาสตร์และนักจิตวิทยาบางคนอาจคิดว่าเป็นสิทธิของมนุษย์ทุกคนที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง - โอกาสและฟรีวิลล์ (choice-freewill) - คิดว่าเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกวิถีชีวิตของตน เช่น เราจะเลือกโรงเรียน อาชีพ คู่ชีวิต หรือกระทั่งระหว่างกระบวนทัศน์เก่ากับกระบวนทัศน์ใหม่ - กระบวนทัศน์เก่าที่มีเศรษฐกิจเสรีทำร้ายธรรมชาติ แต่ทำให้เรารวยและฟุ่มเฟือย และคิดว่าเป็นความสุขดังที่นักเศรษฐศาสตร์นักธุรกิจนักการเมืองระดับประเทศระดับโลกเป่าหูเราอยู่ทุกๆ วัน ส่วนกระบวนทัศน์ใหม่นั้น นักคิดและนักฟิสิกส์ยุคใหม่ระดับนำแทบทุกคนจะพูดสอดคล้องกับนักศาสนาผู้ปฏิบัติจิตบอกเราไปอีกทางโดยเน้นที่การอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ที่มาจากภายใน พอเพียง พอดี และยั่งยืน - แต่หากเรามองให้ถ้วนถี่ โอกาสและฟรีวิลล์ที่เราคิดว่าเป็นทางเลือกของเราหรือกระบวนทัศน์ทางสังคมนั้น เราคิดว่าเป็นฟรีวิลล์ที่จะเลือกได้อย่างเสรีหรือ? ไม่มีสิ่งหนึ่งใดกำหนด (กว้างๆ และโดยหลักการ) ยืนกำกับอยู่ข้างหลังหรือ?

    ไม่ได้ต้องการเอาอดีตงานของตนเองมาโฆษณา แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ ผู้เขียนได้พูดและเขียนบทความว่าด้วยจักรวาลทัศน์และนิเวศทัศน์ที่อยู่เบื้องหลังกระบวนทัศน์ใหม่ - บนการคาดคะเนที่มีส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535-36 ก่อนหน้าไมเคิล ออปเปนไฮเมอร์ ประธานกองทุนสิ่งแวดล้อมแห่งชาติของอเมริกาในเวลานั้น (National Environmental Fund 1992) พูดเตือนชาวโลกถึงภัยธรรมชาติสุดมหันต์ที่จะเกิดกับโลกเพราะมนุษย์กับการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างไม่ยั้งคิด และคาดการณ์ไว้ว่า หากเราไม่หยุดยั้งการทำร้ายและทำลายธรรมชาติในวันนี้ เราอาจไม่มีที่อยู่ในวันหน้าในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้ ผู้เขียนก็ยังเขียนก่อนเลสเตอร์ บราวน์ - ประธานของสถาบันจับตาโลกในเวลานั้น - โดยคาดการณ์ว่าโลกจะประสบกับมิคสัญญีเพราะขาดอาหารเพราะหน้าดินและน้ำจืดมีไม่พอ และเมื่อความต้องการข้าวมีมากกว่าที่โลกผลิตได้ (หนังสือจักรวาลสัจธรรม) เพียงแต่เลสเตอร์ บราวน์ ไปเน้นที่จีนและอินเดีย (ทั้งๆ ที่ไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น ด้วยความสำเร็จของการปฏิวัติเขียวจีนไม่รู้จะเอาข้าวที่มีเหลือเฟือไปเก็บที่ไหน) เลสเตอร์ บราวน์ บอกว่ามิคสัญญีจะเกิดขึ้นในปี 2030 (Lester Brown in Vital Signs, 1994) และก็เป็นผู้เขียนที่นำรายงานฉบับแรกของกรรมการติดตามสภาพอากาศโลกของสหประชาชาติ (IPCC's report, Oct. 1995) เรื่องโลกร้อนที่น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์ กับการพัฒนาที่จะทำให้มีน้ำท่วมในที่ลุ่มต่ำจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นในกลางศตวรรษนี้ ผู้เขียนยังนำความเห็นของฟริตจอฟ แคปรา ที่พูดว่าโลกอาจเหลือเวลาแค่ 30 ปี (Fritjof Capra : Sustainability Lives, 2000) หนังสือสองเล่มของผู้เขียนที่เขียนในช่วงรอยต่อของสหัสวรรษ (2012 สู่มิติที่ห้า กับศตวรรษหน้าโลกไม่ต้องการมนุษย์อีกแล้ว) ที่มีบทความหลากหลายที่แสดงความเป็นไปได้ของสภาวะล่มสลายระดับโลกในปี 2012 ที่มาจากความโลภของมนุษย์การพัฒนาอุตสาหกรรมกับเศรษฐกิจเสรี การคาดการณ์ของผู้เขียน ส่วนหนึ่งได้มาจากการคำนวณเนื้อที่ของแผ่นดินที่โลกมี กับหน้าดินสำหรับการเกษตรและปริมาณน้ำจืดใต้ดินเทียบกับจำนวนของประชากรโลก กับอีกส่วนหนึ่งผู้เขียนคำนวณจากสถิติของวัฏจักรธรรมชาติทางภูมิศาสตร์และภูมิศาสตร์ของปรากฏการณ์ระดับโลกทั้งหลาย ไล่ไปตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง น้ำท่วมโลก ไปจนถึงอุกกาบาตและดาวหางวิ่งมาชนโลก ที่บางส่วนไปสอดคล้องกับคำทำนายของผู้ที่หลายคนเชื่อว่ามีญาณวิเศษเช่นเอเซเกียล นอสตราดามุส เอดการ์ เคซี กระทั่งปฏิทินของชาวมายา

    ขณะเดียวกัน บทความของวันนี้ยังได้มาจากคำถาม และความเห็นที่เพื่อนหลายๆ คนพูดกับผู้เขียนเกี่ยวเนื่องกับบทความที่ลงในคอลัมน์นี้เมื่อปลายเดือนที่แล้ว "ลมฟ้าอากาศ-ช่างมันปะไร" เหมือนๆ กับคำพูดที่เด็กสาวๆ ที่มีอาชีพขายตัวพูดว่า "เอดส์ไม่กลัว แต่กลัวอด" ที่เมื่อเกิดติดโรคเข้าจริงๆ ก็พูดในเชิงตรงกันข้าม เพราะชีวิตกว่าจะตายเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน - ทั้งกายและใจ - อย่างที่คนไม่เคยเห็นหรือคนที่อยู่ไกลๆ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้

    นั่นคือเนื้อหาสาระที่ผู้เขียนเขียนว่า สังคมมนุษย์โลกในแบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน (ระบบสังคมการเมืองการศึกษา โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจเสรีการตลาด) น่าจะสิ้นสุดไปทั้งหมดภายในสิบหรือยี่สิบปี โดยเฉพาะปี 2012-13 และหลังจากนั้น ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2013 เป็นต้นไป มนุษยชาติในภาพรวม (ที่จะขยายต่อที่นี่ว่าคงเหลือไม่มากนัก จากกว่า 7,000 ล้านคนในเวลานั้น) การคาดการณ์ดังกล่าว ทำให้มีคำถามที่ถามว่า การคาดคะเนดังกล่าว ผู้เขียนไม่ได้ยกเมฆหรือเดาเองเองมากไปหน่อยหรือ?

    จริงๆ แล้ว ไม่มีใครคาดการณ์เรื่องที่จะเกิดในอนาคตได้เลย เพราะนั่นเป็นทิศทางที่จักรวาลได้กำหนดกว้างๆ ไว้ให้กับโลกดังที่กล่าวมาแล้ว นั่นคือวัฏจักรธรรมชาติหลากหลายรวมทั้งฤดูกาลและการเกิดการตายของชีวิต มนุษย์เราแต่ละบุคคลและทุกๆ คนล้วนมีทิศทางที่กำหนดไว้แล้ว เช่นหน้าตาหรือลายนิ้วมือที่เป็นด้านการภาพ และความจำกับหน้าที่ที่ให้วิถีชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันไปด้วยแรงกรรม นั่นหลายคนอาจคิดว่าเป็นคำตอบเชิงจิตนิยมศาสนาในทางวิชาการล่ะ? รู้ได้อย่างไร ที่คงตอบไม่ได้ทั้งหมด แต่หากผู้ถามศึกษาค้นคว้าจักรวาลวิทยาและฟิสิกส์ใหม่อย่างถ้วนถี่ บางทีคำตอบที่เป็นฐานของภาพปะติดปะต่อ (jigsaw) ความจริงบางส่วนก็อาจปรากฏให้เห็น เช่น จักรวาลวิทยาใหม่ (2003) ที่บอกว่าจักรวาลไม่ได้มีเพียงหนึ่ง แต่มีมากและสรรค์สร้างใหม่อย่างไม่มีสิ้นสุด แต่จักรวาลทุกจักรวาล รวมทั้งจักรวาลของเรา ให้สรรพสิ่งจากความ "ว่างเปล่า" เช่นฟองน้ำที่อยู่ๆ ก็ระเบิดเป็นบิกแบง แล้วก็พองขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากความยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ สู่ความสมภาคและสมดุล (symmetry and equilibrium) หรือเช่นแรงที่ทำให้ทุกอย่างอยู่ในสมดุล เป็นต้นว่าแรงที่ยึดโลกไม่ให้หลุดไปล่องลอยในอวกาศ หรือไม่ก็แรงที่ทำให้โลกไม่ถูกดูดให้ไปชนกับดวงอาทิตย์ และไหม้เป็นจุณ นั่นก็เพราะทิศทางของจักรวาลกำหนดให้เป็นเช่นนั้น เช่นที่จักรวาลกำหนดให้มนุษย์ทุกคนมีเซลล์สมองเท่ากับจำนวนของดาวที่ทุกๆ กาแล็กซีมีเท่าๆ กัน โดยเฉลี่ยก็คือ 10 ยกกำลัง 11

    ดังนั้น ข้อมูลที่ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า จากวันนี้ไปถึงปี 2012 คือช่วงเวลาที่อันตรายอย่างยิ่งสำหรับมนุษยชาตินั้น ไม่ใช่เป็นเพราะผู้เขียนเชื่อในปฏิทินของชาวมายา (the crash of 2012!) หรือเชื่อคำทำนายดังที่กลุ่มนิวเอจ (the Newager) เชื่อกัน เพียงแต่เวลามันมาตรงกับเวลาที่ผู้เขียนอ่านพบในรายงานทางฟิสิกส์มากมายดังที่เขียนไว้ในบทความเรื่อง ลมฟ้าอากาศโลก-ช่างมันปะไร ที่เขียนลงในคอลัมน์นี้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เช่นรายงานเรื่องของ International Climatic Change Taskforce ที่บอกว่าอันตรายสุดยิ่งใหญ่อาจเกิดกับโลกภายในหนึ่งทศวรรษ

    เมื่ออุณหภูมิที่ผิวโลกที่คาดว่าจะสูงกว่าระดับอุณหภูมิโลกของช่วงเวลาก่อนยุคอุตสาหกรรม 2 องศาเซลเซียสในช่วงต้นของทศวรรษหน้า หรือระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะสูงถึงระดับอันตราย (400 ppm) ในอีก 7 ปีข้างหน้า (ระดับก๊าซคาร์บอนในปี 2004 อยู่ที่ 382 ppm และจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ppm) และบทความที่แล้วได้รายงานการสำรวจธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ที่สำคัญและรอบด้านที่สุดที่มนุษย์เคยสำรวจ (BBC world news, 22 Apr. 2005 form Science Journal) ที่บอกว่าธารน้ำแข็ง 244 แห่งได้ละลายกลายเป็นน้ำไปแล้วร่วม 90 เปอร์เซ็นต์

    ยิ่งกว่านั้น เรารู้ว่าทุกๆ ประมาณหนึ่งร้อยปีจะมีอุกกาบาตขนาด 50 เมตรตกลงมาชนโลกทีหนึ่ง ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1908 ที่ไซบีเรีย เราจะครบร้อยปีในสามปีข้างหน้า เรารู้ว่าหลายร้อยปีถึงราวๆ หนึ่งพันปีจะมีอุกกาบาตขนาดครึ่งกิโลเมตร (ที่อาจทำลายประเทศขนาดเล็กเช่นสวิตเซอร์แลนด์ได้ทั้งประเทศ) ตกลงมาชนโลกทีหนึ่ง นี่ก็ครบกำหนดและมีความเป็นไปได้อยู่บ้างที่อุกกาบาตสองสามลูกจะตกลงมาชนโลกในปีหนึ่งปีใด เช่นอุกกาบาต 2005 GU ที่อาจจะวิ่งกลับมาตัดกับวงโคจรโลกในปี 2012 (เวบไซต์ neo.jpl.nasa.gov.com)

    เมื่อห้าเดือนก่อน สภาขั้วโลกเหนือ (Arctic Council) ที่มีแคนาดา อเมริกา ไอซ์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์และรัสเซีย ระบุว่าปัญหาโลกร้อนที่ส่งผลสู่สังคมโลกส่วนสำคัญขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือที่เปลี่ยนเร็วมาก คือสูงกว่าสองเท่าในทศวรรษหลังๆ และจะสูงระหว่าง 4-7 องศาเซลเซียสบนพื้นผิว หรือ 7-10 ที่ผิวน้ำในปี 2090 โดยจะเริ่มในปี 2012 ซึ่งในเวลานั้นน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์จะเริ่มละลายอย่างเร็วมากๆ น้ำทะเลจะสูงขึ้นกว่าปัจจุบันถึง 8 เมตร ที่สำคัญคือสภาพดินแช่แข็งที่กรีนแลนด์ ที่เก็บก๊าซคาร์บอนไว้ถึง 14 เปอร์เซ็นต์ของก๊าซทั้งหมดจะละลายส่งผลที่ให้ก๊าซคาร์บอนทะลักเข้าสู่ชั้นบรรยากาศทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว (arctic-council.org)

    มีสองเรื่องที่ผู้เขียนอยากขอร้อง
    หนึ่ง อย่าคิดว่าเราทำอะไรไม่ได้ ทำได้ครับ และได้มากเสียด้วยในความเป็นมนุษย์นี้ล่ะ
    สอง หากยังไม่เอามาคิดและไม่ทำอะไรเลย - ก็อย่าคิดว่าตายแล้วจบ - มันไม่ใช่แค่นั้นครับ มิติทางจิตวิญญาณและเรื่องของพลังงานยังไม่มีสิ้นสุด..และมันก็เกี่ยวเนื่องกันหมด ส่งผลถึงรุ่นลูกหลานของเราในอนาคตอันใกล้ด้วยครับ

    http://www.semsikkha.org/nboard/view.php?id=423
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2007
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีเรื่องราวดีๆมาฝากเพื่อนๆอยู่เสมอครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...