(๕) มุนีนาถทีปนี: ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 8 กรกฎาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    พระพุทธภูมิธรรม

    สมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์ ซึ่งมีพระกฤดาภิินิหารเที่ยงแท้ที่จะตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณเพราะได้รับลัทธาเทศแล้วนี้ พระองค์ท่านย่อมมีน้ำใจสลดหดหู่จากบาปธรรม กล่าวคือกุศลกรรมทั้งปวง อุปมาดุจปีกไก่อันต้องเพลิง คือ ถ้าพระองค์ท่านพิจารณาเห็นว่า สิ่งใดเป็นบาปเป็นกรรมแล้ว ย่อมหดหู่เกรงกลัวยิ่งนัก จักได้มีจิตยินดีพอใจกระทำการสิ่งนั้น แม้แต่สักนิดหนึี่งเป็นไม่มีเลย อันน้ำใจแห่งพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายนั้น ย่อมเบิกบานมั่นคง ตรงซื่อแต่ก็จะทำกองการกุศลสิ่งเดียว และขณะเดียวจะกระทำกุศลนั้น ย่อมมีใจชื่นบานกว้างขวาง มีอุปมาดุจเพดานฝ้าที่บุคคลคลี่ออกยาวใหญ่จะได้มีน้ำใจแคบเล็กน้อยต่อการบำเพ็ญกุศลแต่สักเพลาหนึี่งนั้นเป็นอันไม่มี

    อนึีง นับแต่กาลที่ได้รับลัทธาเทศเป็นต้น สมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงย่อมยังเพิ่มพูนพระบารมีให้มากยิ่งขึ้น และมีน้ำใจกอรปไปด้วยพระพุทธภูมธรรม อันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ คือ
    ๑. อุสฺสาโห... ได้แก่ทรงประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในดวงฤทัยอย่างมั่นคง

    ๒.อุมตฺโต...ได้แก่ทรงประกอบไปด้วยพระปัญญา ทรงมีพระปัญญาเชี่ยวชาญหาญกล้าเฉียบคมยิ่งนัก

    ๓.อวตฺถานํ...ได้แก่ทรงประกอบไปด้วยพระอธิษฐาน ทรงมีอธิษฐานอันมั่นคงมิได้หวั่นไหวคลอนแคลน

    ๔.หิตจริยา...ได้แก่ทรงประกอบไปด้วยพระเมตตา ทรงมีพระเมตตาเป็นนิตย์ เจริญจิตอยู่ด้วยเมตตาพรหมวิหารเป็นปกติ

    สมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมสมาทานมั่นในพระพุทธภูมิธรรม สิริรวมเป็น ๔ ประการ นี้อยู่เนืองนิตย์ทุกพระชาติ ไม่ว่าจะทรงเสวยพระชาติถือกำเนิดเกิดเป็นอะไร และในชาติดี ก็ย่อมมีพระพุทธภูมิธรรมประจำในดวงหฤทัยเสมอ

    อนึี่ง พระองค์ท่านผู้มีปกติเที่ยงแท้ที่จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น ย่อมมีพระอัธยาศัยอันประเสริฐ คือประกอบไปด้วยกุศลธรรมสูงส่งดีงามอยู่เสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นเครื่องช่วยหล่อเลี้ยงให้พระโพธิญาณแก่กล้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากไม่มีพระอัธยาศัยที่ดีงามเป็นกุศลคอยสนับสนุนหล่อเลี้ยงแล้ว "พระโพธิญาณ" อันเป็นเครื่องให้ได้ตรัสรู้เป็นเอกอัครบุคคลกล่าวคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จักถึงความแก่กล้าและเต็มบริบูรณ์มิได้ ฉะนั้น พระอัธยาศัยเพื่อให้พระโพธิญาณจริงขึ้นนี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงจะต้องมีอยู่เป็นประจำในขันธสันดาน ก็เรื่องอัธยาศัยแห่งพระโพธิสัตว์เจ้านี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงทราบจากเนื้อความที่ออกจากโอษฐสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยซึ่งเป็นพระบรมโพธิสัตว์องค์หนึ่ง... ดังต่อไปนี้

    อัธยาศัยโพธิสัตว์

    กาลครั้งหนึ่ง ยังมีพระมหาเถรเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์สาวกวิเศษประกอบด้วยพระปฏิสัมภิทาและพระอภิญญา ทรงไว้ซึี่งพระอริยฤทธิ์ประเสริฐสุด ได้มีโอกาสขึ้นไปพบเทพบุตรสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ซึ่งขณะนี้สถิตเสวยสุขอยู่ ณ เบื้องสวรรค์ชั้นดุสิตภูมิ หลังจากสนทนากันเรื่องอื่นแล้ว พระมหาเถรเจ้าก็ถามขึ้นว่า

    "ขอถวายพระพร พระองค์กระทำพระอัธยาศัยเพื่อที่จะให้พระโพธิญาณแก่กล้านั้น ทรงกระทำประการใด คือพระองค์ทรงมีพระอัธยาศัยเป็นอย่างไรบ้าง?"

    สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ซึ่งมีพระพุทธบารมีเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว และรอโอกาสที่จะมาอุบัติตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ครั้นถูกพระมหาเถรเจ้าถามดังนั้นจึงตรัสตอบว่า

    "ข้าแต่พระคุณผู้เจริญ! โยมนี้เป็นพระโพธิสัตว์ตั้งอยู่ในอัธยาศัย ๖ ประการ คือ
    ๑. เนกขัมมัชฌาสัย... พอใจบวช รักเพศบรรพชิต นักบวชเป็นยิ่งนัก
    ๒. วิเวกัชฌาสัย... พอใจอยู่ในที่เงียบสงัดวิเวกผู้เดียวเป็นยิ่งนัก
    ๓. อโลภัชฌาสัย... พอใจบริจาคทาน และพอใจบุคคลผู้ไม่โลภไม่ตระหนี่เป็นยิ่งนัก
    ๔. อโทสัชฌาสัย... พอใจในความไม่โกรธเจริญเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวงยิ่งนัก
    ๕. อโหสัชฌาสัย... พอใจในการที่จะพิจารณาสิ่งที่เป็นคุณแลโทษเสพสมาคมกับคนมีสติปัญญายิ่งนัก
    ๖. นิสสรณัชฌาสัย... พอใจที่จะยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ต้องประสงค์พระนิพพานเป็นยิ่งนัก
    นี่แหละพระคุณผู้เจริย โยมนี้มีอัธยาศัย สิริรวมเป็น ๖ ประการติดอยู่ในขันธสันดานเป็นนิตย์ พระโพธิญาณของโยมจึงแก่กล้ายิ่งขึ้นทุกทีเพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกาลบัดนี้"

    พระมหาเถรเจ้าผู้ชาญฉลาด เมื่อได้โอกาสแล้วจึงไต่ถามต่อไปอีกว่า
    "ขอถวายพระพร พระองค์ทรงสร้างพระบารมีมามากมาย เพราะมีพระทัยประกอบไปด้วยพระอัธยาศัย ๖ ประการ ซึ่งแสดงว่าไม่พอพระทัยในโลภะ โทสะ โมหะ และมีพระทัยรักใคร่ปรารถนาในบรรพชาเพศบรรพชิต มีจิตยินดีพอใจที่จะอยู่ในที่อันเงียบสงัดวิเวก อย่างนี้ก็เป็นการดี แต่อาตมภาพให้สงสัยแคลงใจอยู่เป็นหนักหนาว่าสวรรค์ชั้นดุสิตที่พระองค์เสวยสุขสำราญอยู่เวลานี้ เห็นทีจะเงียบสงัดดีอยู่ดอกกระมัง?"

    "ข้าแต่พระคุณ! สวรรค์จะเงียบใยเล่า?" สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยเจ้าทรงตอบตามจริง "อันสวรรค์ชั้นดุสิตภูมิที่โยมอยู่เวลานี้ ย่อมอึกทึกครึกโครมไปด้วยเครื่องประโลมจิต เสียงขับร้องฆ้องกลองพิณพาทย์เป็นอเนกอนันต์ สนั่นเสนาะสำเรียงเสียงไพเราะ ควรจะรื่นรมย์ยินดี หมู่เทพนารีอัปสรสวรรค์มีมากหน้าหลายหมื่นหลายพันเป็นนักหนา"

    "ขอถวายพระพร ก็เหตุไรจึงทนประทับอยู่ได้ มิเป็นการขัดกับพระอัธยาศัยแห่งพระองค์ที่ทรงว่าๆ มาเมื่อตะกี้นี้ดอกหรือนี่แหละอาตมาภาพสงสัย?"

    "ข้าแต่พระคุณผู้เจริญ! พระคุณนี่ช่างฉลาดถามนักหนา" สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยเจ้าทรงกล่าวชม แล้วตรัสสืบไปว่า "เอาเถิดโยม จะว่าให้ฟัง คือว่า ธรรมดาสรวงสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ถึงแม้จะมีเสียงอึกทึกครึกโครมประกอบไปด้วยเครื่องประโลมจิตอยู่มากมายก็จริงแล แต่ทว่าเป็นที่พนัก เป็นที่สถิตอยู่แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้สร้างพระบารมีทุกๆ พระองค์มาเพราะว่าพระโพธิสัตว์เจ้านั้น ครั้นจุติจากมนุษยโลกแล้ว ย่อมมาอุบัติเกิดในสวรรค์ดุสิตนี้ ครั้นจุติจากดุสิตสวรรค์นี้แล้ว ก็กลับไปเกิดในมนุษยโลกอีก ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะสร้างสมบ่มเพาะบารมีเพิ่มพระโพธิญาณให้ภิญโญภาพยิ่งขึ้นไป แต่เฝ้าเวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ หลายครั้งหลายหนเป็นธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นว่า โยมนี้ ใช่ว่าจะพอใจยินดีหลงเพลินเพลินติดอยู่แต่ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ตลอดไปหามิได้ รอคอยจนกว่าจะสิ้นศาสนาขององค์สมเด็จพระสมณโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งสองนี้แล้วมีอยู่คราวหนึ่ี่ง โยมจักกระทำอธิษฐานจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตที่กำลังอยู่ขณะนี้ ไปบังเกิดในมนุษยโลก แล้วบำเพ็ญกองการกุศลเป็นสืบสร้างบารมีให้ยิ่งใหญ่ต่อไปอีก ครั้งสิ้นชนมายุจุติตายจากมนุษยโลกในครั้งนั้นแล้ว ก็จักกลับมาอุบัีติเกิดเป็นเทพบุตร เสวยสุขอยู่ที่สรวงสวรรค์ชั้นดุสิตนี่อีกนานแสนนาน จนถึงกาลที่ปวงเทพเจ้าทั้งหลายในหมื่นจักรวาลพากันมาอาราธนา ดยมจึงจักจุติไปอุบัติเหตุในมนุษยโลกอีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจักได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ การณ์เป็นเช่นนี้แล พระคุณผู้เจริญ" สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงอธิบายให้พระมหาเถรเจ้าฟังอย่างยืดยาว
    พุทธกรณธรรม
    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ซึ่งมีน้ำพระทัยมุ่งหมายพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ประสงค์จักเป็นเอกองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น นอกจากจะมีคุณสมบัติพิเศษเกินกว่าคนธรรมดาสามัญหลายอย่างหลายประการตามที่พรรณนามาแล้ว พระองค์ท่านยังต้อบำเพ็ญธรรมอันสำคัญอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่ง ธรรมที่ว่านี้มีชื่อเรียกอย่างรวมๆ ว่า "พุทธกรณธรรม" คือธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า หากว่าปราศจากธรรมะพิเศษ หมวดนี้ก็ดี หรือว่าธรรมะพิเศษหมวดนี้ยังไม่ถึงภาวะบริบูรณ์เต็มที่ในขันธสันดานก็ดี พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ย่อมจักไม่มีโอกาสได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณเป็นอันขาด ก็พุทธกรณธรรมซึ่งเป็นธรรมะพิเศษเป็นเหตุให้ได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้านี้ มีอยู่ทั้งหมด ๑๐ ประการคือ
    ๑. ทานพุทธกรณธรรม
    ๒. ศีลพุทธกรณธรรม
    ๓.เนกขัมมพุทธกรณธรรม
    ๔. ปัญญาพุทธกรณธรรม
    ๕. วิริยพุทธกรณธรรม
    ๖.ขันติพุทธกรณธรรม
    ๗.สัจจพุทธกรณธรรม
    ๘.อธิฏฐานพุทธกรณธรรม
    ๙.เมตตาพุทธกรณธรรม
    ๑๐. อุเบกขาพุทธกรณธรรม

    พุทธกรณธรรมหรือธรรมพิเศษ ที่ให้ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ ประการนี้ มีอรรถาธิบายสำหรับดังต่อไปนี้
    ๑. ทานพุทธกรณธรรม
    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมยินดีในการบำเพ็ญทานเป็นเนืองนิตย์ ไม่ว่าพระองค์ท่านจะสถิตหรือเกิดในชาติไหน และเสวยพระชาติเป็นอะไร ทุกๆ พระชาติที่เกิดย่อมมีน้ำพระทัยใคร่บริจาคท่าน เมื่อได้ประสบพบพานยาจกซึี่งเป็นคนหินชาติ มีฐานะต่ำทรามก็ดี หรือยาจกผู้มีฐานะมัชฌิมปานกลางก็ดี หรือยาจกผู้ขอซึ่งมีฐานะสูงสุดเป็นอุกฤษฐ์ก็ดีเมื่อขอแล้วพระโพธิสัตว์เจ้าจะได้คิดหน้าพะวงหลังก็หามิได้ย่อมรีบเร่งจำแนกทรัพย์ธนสารให้เป็นทาน ตามความต้องการของผู้ขอด้วยความยินดีเต็มใจอย่างยิ่ง สิ่งไรที่ตนมีแล้วเป็นต้องให้ทั้งสิ้น ถวิลหวังแต่การที่จะบริจาคทานเป็นเบื้องหน้า

    อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติ อันเป็นสิ่งของภายนอกเลย แม้แต่อวัยวะเลือดเนื้อและชีวิต หากใครคิดปรารถนาอยากจะได้และมาเอ่ยปากขอแก่พระโพธิสัตว์ พระองค์ก็อาจจะบริจาคให้ได้ด้วยว่า พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ย่อมมีน้ำพระทัยประดุจดังตุ่มใหญ่ เต็มเปี่ยมด้วยน้ำ ที่ถูกบุคคลมาจับเทคว่ำ ทำให้ปากตุ่มคว่ำลงกับพื้น ก้นตุ่มปรากฎอยู่ในเบื้องบน อย่างนี้แล้วน้ำภายในตุ่มน้ำก็จักเหลืออยู่แม้แต่สักหยดหนึ่งไปได้อย่างไรกัน น้ำพระทัยของพระองค์ท่านก็เป็นเช่นนั้น คือ เหมือนกับตุ่มน้ำใหญ่ที่คว่ำลง ยินดีในการบริจาคทานโดยต้องการให้หมดไม่มีเหลือในเมื่อมียาจกผู้มาขอ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติภายนอก หรือวัตถุภายในคือเลือดเนื้อร่างกายและชีวิตก็ตามที

    ๒. ศีลพุทธกรณธรรม

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมรักษาศีล สมาทานศีลผูกใจมั่นคงในศีลเป็นอาจิณวัตร สู้อุตสาหะปฏิบัติตนให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ยังศีลให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ ตลอดระยะเวลาทุกๆ ชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหน และเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม พระองค์ท่านย่อมสมาทานมั่นคง ไม่ให้ศีลของตนย่อหย่อนบกพร่องได้ ในบางครั้ง แม้จะต้องเสียสละชีวิตเพื่อรักษาศีลแห่งตนไว้ก็จำยอม เพียบพร้อมไปด้วยน้ำใจรักศีลหาผู้เสมอเหมือนมิได้

    ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้า มีน้ำใจรักในศีลนี้ พึงเห็นอุปมาว่า ธรรมดาหมู่มฤคจามีรซึี่งมีน้ำใจรักขน จนสู้สละชนม์เพื่อรักษาไว้ซึ่งโลมชาติแห่งตนฉันใด พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น พระองค์ท่านสู้อุตสาหะพยายามรักษาศีล สมาทานศีล มีใจรักในศีล โดยอาการเปรียบปานดุจจามรีรักในขนหางแห่งตนฉะนั้น

    ๓.เนกขัมพุทธกรณธรรม

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมมีน้ำใจยินดีในการบรรพชา คือหมั่นออกจากฆราวาสวิสัยการอยู่ครองเรือนไปบวชบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์อยู่เสมอ บางครั้งเมื่อโลกเรานี้ว่างจากพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมจะออกบวชเป็นโยคี ฤาษีดาบสบำเพ็ญพรตเพื่ออบรมบ่มพระบารมี แต่เมื่อถึงคราวที่พระบวรพุทธศาสนาปรากฎในโลก พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายย่อมมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้วออกบรรพชาอุปสมบทเป็นสมณะพระภิกษุในพระธรรมวินัยแห่งองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ หมั่นออกบวชเพื่อสั่งสมเนกขัมบารมีให้ภิญโญภาพยิ่งขึ้นไปทุกชาติที่เกิด ด้วยมีน้ำจิตยินดีในภาวะที่จะออกจากทุกข์ในวัฏสงสาร พระองค์ท่านจึงตั้งใจสมาทานถือมั่นในเนกขัมมะการออกบวชอยู่เนืองๆ มา

    ในกิริยาที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้า มีจิตปรารถนาที่จะออกจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารนั้น เปรียบปานดังความปรารถนาของนักโทษที่อยู่ในเรือนจำ อันธรรมดาบุรุษนักโทษที่ประพฤติทุจริตมีความผิดต้องติดคุกตะรางทนทุกข์ทรมาน ได้รับความรำคาญขุ่นข้องหมองใจหนักหนา ย่อมปรารถนาแต่จะออกไปให้พ้นจากร้านเรือนจำที่ตนต้องระกำทุกข์อยู่เสมอทุกวันฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น ย่อมมีมนัสมั่นหมายที่จะออกไปจากคุกตะรางคือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในไตรภพวัฏสงสาร จึงหาทางออกด้วยการบำเพ็ญพรต กล่าวคือเนกขัมมะอยู่เนืองนิตย์ ไม่ยอมที่จะติดเป็นนักโทษแห่งวัฏสงสารอยู่ตลอดกาล เปรียบปานด้วยนักโทษ ไม่ปรารถนาจะติดอยู่ในคุกตลอดชีวิตเรื่อยไป ฉะนั้น

    ๔. ปัญญาพุทธกรณธรรม

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมเพิ่มพูนปัญญา หมายความว่า ย่อมแสวงหาวิชาความรู้ อันเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาอยู่เป็นเนืองนิตย์ หมั่นอบรมจิตให้ประกอบด้วยปัญญาอยู่เสมอ ทั้งนี้ก็เพราะปัญญาเป็นธรรมสูงสุดอันผู้ปรารถนาพระพุทธภูมิพึงขวนขวาย ฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย จึงขวนขวายอุตส่าห์พยายามอบรมสั่งสมปัีญญาบารมีทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหน และเสวยพระชาติเป็นอะไร ก็ต้องตั้งใจสมาทานปัญญาบารมีเป็นสำคัญ หมั่นเสพสมาคมกับท่านผู้รู้ ผู้เป็นนักปราชญ์ ย่อมไม่เลือกเลยซึ่งชนผู้มีความรู้ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ขอแต่ให้ประกอบไปด้วยความรู้ก็แล้วกัน พระองค์ท่านย่อมยินดีใคร่จะคบหาสมาคมไม่เลือกหน้า พร้อมทั้งเอาใจใส่ไต่ถามซึ่งอรรถธรรมและเหตุการณ์ทั้งปวงเป็นเนืองนิตย์ ด้วยมีน้ำจิตไม่รู้จักอิ่มในวิทยาการทั้งปวง

    ในกรณีที่พระโพธิสัตว์เจ้า แสวงหาความรู้อันเป็นการสั่งสมปัญญานี้ พึงทราบอุปมาว่า ธรรมดาพระภิืกษุสงฆ์องค์สาวกของสมเด็จพระจอมมุนีสัมพุทธเจ้า ผู้ประพฤติตามอริยวงศ์ประเวณีนั้น ครั้นเมื่อโคจรเที่ยวไปบิณฑบาต จะได้เลือกลีลาศหลีกเลี่ยงตระกูลที่สูงต่ำปานกลางใดๆ ก็หามิได้ ย่ิอมเที่ยวบิณฑบาตเรื่อยไป สุดแท้แต่ว่าใครจะเอาอาหารมาใส่ลงในบาตรก็ยินดีรับเอาไม่เลือกหน้าว่าไพร่ ผู้ดี ยาจก เศรษฐีผู้ใด เพราะมีความประสงค์เพียงจะได้อาหารพอเป็นยาปรมัตเครื่องเลี้ยงชีพตนให้คงอยู่ เพื่อบำเพ็ญสมณกิจแห่งตนอย่างเดียวเป็นประการสำคัญ จะได้เลือกผู้ให้อาหารอันเป็นบิณฑบาตทานแก่ตนเป็นไม่มีเลย อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ก็ดั้นด้นค้นคว้าแสวงหาปัญญาความรู้ ไม่เลือกท่านผู้เป็นครู ผู้ให้วิชาว่าจะเป็นอย่างไร ขอให้มีความรู้ที่จะให้วิทยาการแก่ตนก็แล้วกัน พระองค์ท่านย่อมพอใจหมั่นคบหาสมาคม ไต่ถามนำเอาความรู้มาสั่งสมไว้ในจิตสันดานของตนเป็นเนืองนิตย์ เพื่อให้ผลผลิตเป็นปัญญาบารมียิ่งๆ ขึ้นไป

    ๕. วิริยพุทธกรณธรรม

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมเพิ่มพูนวิริยะความเพียรเป็นยิ่งยวด คือมีน้ำใจกล้าหาญ ในการที่จะประกอบกุศลกรรมทำความดีอย่างไม่ลดละ เพราะโพธิญาณอันเป็นสิ่งประเสริฐสุดยอดน้น มิใช่เป็นธรรมที่จะพึงได้โดยง่าย โดยที่แท้ต้องอาศัยความเพียรอันยิ่งใหญ่จึงจะให้สำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย จึงสู้อุตสาหะพยายามเพิ่มพูนวิริยะธรรมทุกๆ ชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหนและเสวยพระชาติเป็นอะไร ก็ตั้งใจสมาทานถือมั่นในวิริยะธรรมเป็นสำคัญ ประกอบความเพียรเป็นสามารถองอาจไม่ท้อถอยในการก่อสร้างกองการกุศล จนในบางครั้งแม้จักต้องถึงแก่ชีพิตักษัย ก็ไม่คลายความเพียรไม่ย่นย่อครั้นคร้ามขามขยาดต่ออุปสรรคอันตรายทั้งหลายที่่บังเกิดมี

    ในกรณีที่พระโพธิสัตว์เจ้า มีน้ำใจประกอบไปด้วยความเพียรอันยิ่งใหญ่ เพื่อได้ตรัสเป็นเอกองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนี้ พึงทราบอุปมาว่า ธรรมดาพญาไกรสรสีหราชมฤคินทร์ซึีงเรืองฤทธิ์ คราวเมื่อมีจิตปรารถนาจะขึ้นนั่งแท่น ย่อมจะแล่นเลี้ยวไม่ลดละ อุตสาหะพยายามอย่างยิ่งยวด แม้จะพลาดพลั้งอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ถอย เพียรพยายามอยู่นักหนาจนกว่าจะขึ้นนั่งแท่นได้สำเร็จ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระบรมภูมิอันประเสริฐสุดประมาณ ย่อมมีน้ำใจอาหาญประกอบไปด้วยอุตสาหะพยายามอันเป็นวิริยธรรม ไม่ท้อถอยไม่ยั้งหยุดจนกว่าจะถึงจุดมุ่งหมาย กล่าวคือพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

    ๖. ขันติพุทธกรณธรรม

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมพยายามเพิ่มพูนขันติ คือความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ก็เพราะว่า พระโพธิญาณจักสำเร็จสมความมุ่งหมายได้นั้น ต้องอาศัยความอดทนอันยิ่งใหญ่เป็นประการสำคัญ ถ้ามีน้ำใจไม่มั่นคง ไม่มีขันติความอดทน ยอมตนเป็นประดุจดังทาสแห่งบรรดาสรรพกิเลสอยู่เสมอไปแล้ว ก็ย่อมจักแคล้วคลาดจากพระโพธิญาณ การใหญ่คือพระพุทธภูมิปรารถนาก็ไม่มีวันที่จะสำเร็จลงได้ ด้วยเหตุนี้พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย จึงพยายามสั่งสมซึี่งพระขันติธรรมอยู่เสมอทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติและเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม พระองค์ท่านย่อมสมาทานมั่นในขันติธรรม อุตส่าห์ระงับใจไม่ให้เกิดความปฏิฆะ ความขุ่นข้องหมองกมลได้ ในบางครั้งสู้อดทนจนถึงแก่ชีพิตักษัยก็มี

    ในกรณีพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายมีน้ำใจประกอบไปด้วยขันติธรรมความอดทนนี้ มีอุปมาที่ท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมดาพื้นพสุธาคือแผ่นดิน ย่อมอดทนทรงไว้ซึ่งสัมภาระน้อยใหญ่คนทั้งหลายในโลกนี้ พากันทิ้งถมระดมสาดวัตถุสิ่งของที่สะอาดก็มี และของที่โสโครกไม่สะอาดก็มี เป็นสัมภาระสิ่งของมากมายนักหนา ลงบนแผ่นพสุธาไม่ว่างเว้นตลอดทุกวันเวลา แต่ว่าพื้นพสุธาก็ดีใจหาย จะได้สำแดงอาการรำคาญเคืองหรือยินดีชอบใจในพัศดุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่บุคคลทิ้งลงทับถมเอาตามขอบใจเป็นไม่มีเลย เฉยอยู่อย่างนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายเอาพระโพธิญาณอันประเสริฐเลิศล้ำ ท่านย่อมพยายามสั่งสมขันติธรรมบำเพ็ญตนไม่ให้มีอาการโกรธพิโรธจิต คิดมุ่งร้ายหมายประหารด้วยความเดือดดาลในน้ำใจ ไม่ใช่เกิดมีอาการหวั่นไหว ในเหตุการณ์ทั้งปวงจนกว่าจะลุล่วงถึงพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

    ๗. สัจจพุทธกรณธรรม

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ย่อมพยายามเพิ่มพูนสัจธรรมเป็นยิ่งนัก คือมีน้ำใจประกอบไปด้วยสัจจะไม่ละความสัตย์ซื่อตรง หากพระองค์ท่านได้ตั้งสัจจะลงไปในการใดแล้วก็เที่ยงตรงการนั้นไม่แปรผันยักย้าย ด้วยว่า พระพุทธภูมิอันยิ่งใหญ่จักสำเร็จลงได้ ต้องอาศัยสัจจะ กล่าวคือความตรงความจริงเป็นประการสำคัญ ดังนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายจึงพยายามสั่งสมสัจธรรมอยู่เสมอทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติใด และเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตามที ย่อมพยายามที่จะรักษาความสัตย์ เชน จะรักษาวาจาคำพูดแห่งตนไม่ให้ล่วงละเมิดเกิดเป็นเท็จขึ้นมาได้ อันเป็นกิริยาที่โกหกทั้งตนเองและผู้อื่น มีความเที่ยงธรรมประจำใจนักหนา เสมอด้วยตราชูคันชั่งอันเที่ยงตรง บางครั้งถึงกับยอมให้ถึงแก่ชีพิตักษัย เพื่อรักษาสัจจะเอาไว้ก็มี

    ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายมีน้ำใจประกอบไปด้วยสัจจะความเที่ยงตรงนี้ มีอุปมาที่ท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมดาโอสธิดาราคือดาวประกายพรึกนั้น เมื่อเคยขึ้นประจำอยู่ทิศไหน ก็ย่อมโคจรขึ้นประจำอยู่ทิศนั้นวิถีนั้น จะได้แปรเปลี่ยนเยื้องยักไปปรากฎขึ้นในทิศอื่นก็หามิได้ ย่อมทรงไว้ซึ่งความเที่ยงตรงนัก ไม่ว่ากาลไหนฤดูไหน อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายเอาพระโพธิญาณอันประเสริฐเลิศล้ำ ย่อมพยายามสั่งสมสัจธรรมบำเพ็ญตนตั้งอยู่ในความสัตย์ ไม่ตระบัดบิดเบือนแปรผัน ตั้งมั่นอยู่ในความเที่ยงตรงเป็นล้นพ้น จนกว่าจะได้สำเร็จผลพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ


    ๘. อธิษฐานพุทธกรณธรรม

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมมีใจมั่นประกอบไปด้วยอธิษฐานธรรม มีความมั่นคงเด็ดขาดยิ่งนัก ด้วยว่าพระพุทธภูมิจักสำเร็จได้ ต้องอาศัยอธิษฐานธรรมเป็นสำคัญเหตุนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงจึงพยายามสร้างสมอบรมพระอธิษฐานธรรมให้มากมูลเพิ่มพูนและเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม ก็ย่อมพยายามสร้างความมั่นคงตั้งมั่นแห่งดวงจิตเพื่อให้ศักดิ์สิทธิ์สัมฤทธิ์ผลตามความมุ่งหมาย ถ้ายังขาดอยู่ไม่บริบูรณ์ ก็เพียรเพิ่มพูนให้ภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้นไป ให้สำเร็จตามความประสงค์ให้จงได้ ถ้าลงได้อธิษฐานในสิ่งใดแล้ว ก็มีใจแน่วแน่ตั้งมั่นในสิ่งนั้น มิได้หวั่นไหวโยกคลอนเลยแม้แต่น้อยถึงใครจะคอยขู่คำรามเข่นฆ่าให้อาสัญสิ้นชีวิต ก็ไม่ละอธิษฐาน จิตสมาทานในกาลไหนๆ

    ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายมีน้ำใจประกอบไปด้วยอธิษฐานธรรมนี้ มีอุปมาไว้ว่า ธรรมดาไศลที่ใหญ่หลวงคือ ก้อนหินภูเขาแท่งทึบใหญ่มหึมา อันตั้งมั่นประดิษฐานอยู่เป็นอันดี แม้จะมีพายุใหญ่สักปานใด ยกไว้แต่ลมประลัยโลกพัดผ่านมาแต่สี่ทิศ ก็มิอาจที่จะให้ภูเขาใหญ่นั้นสะเทือนเคลื่อนคลอดหวั่นไหวได้แม้แต่สักนิดหนึี่งเลย อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายซึ่งพระโพธิญาณประเสริฐเลิศล้ำ ย่อมพยายามเสริมสร้างอธิษฐานธรรมอยู่เนืองนิตย์ ไม่มีจิตหวั่นไหวในทุกสถานในกาลทุกเมื่อเพื่อให้สำเร็จเป็นอธิษฐานบารมียิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าจะได้บรรลุพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

    ๙. เมตตาพุทธกรณธรรม

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง ย่อมมีใจประกอบไปด้วยเมตตา มีน้ำใจใคร่จะให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ประสบความสุขสำราญโดยถ้วนหน้า ด้วยว่า พระพุทธภูมิจักสำเร็จลงได้ ต้องอาศัยเมตตาธรรมเป็นสำคัญ เหตุดังนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงย่อมพยายามสั่งสมเมตตาธรรมอันล้ำเลิศ ให้มากมูลเพิ่มพูนแก่กล้าทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหนและเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม ก็ย่อมอุตส่าห์พยายามอบรมเมตตาธรรม ตั้งความปรารถนาดีไม่ให้มีราคีเคืองขุ่นรุ่มร้อนในดวงจิต เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลเป็นความสุขแก่ปวงชนปวงสัตว์ทุกถ้วนหน้า ถ้ายังขาดอยู่ไม่เต็มบริบูรณ์ ก็เพียรเพิ่มพูนเสริมสร้างครั้งแล้วครั้งเล่า บางคราวถึงกับเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ชนอื่นสัตว์อื่นได้รับความสุขก็มี

    ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย มีน้ำใจประกอบไปด้วยเมตตาธรรมนี้ มีอุปมากล่าวไว้ว่า ตามธรรมดาอุทกวารีที่สะอาดเย็นใสในธารแม่น้ำใหญ่ ย่อมแผ่ความเย็นฉ่ำชุ่มชื่นใจให้แก่สัตว์ทั้งหลายทุกถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที จะเป็น หมี หมา ไก่ป่า กระทิงเถื่อนเป็นอาทิ ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็ดี หรือจะเป็นมนุษย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในเพศพรรณวรรณะใด จะเป็นขี้ข้า ตาบอด หูหนวก กระยาจก วณิพกก็ดี หรือจะเป็นคนมีทรัพย์ มียศ เป็นเศรษฐีอำมาตย์ราชเสนาตลอดจนกระทั่่งเป็นองค์พระมหากษัตรย์ประเสริฐก็ดี เมื่อมีความปรารถนา บ่ายหน้าลงมาวักดื่มกินน้ำในธารานั้นแล้ว อุทกวารีย่อมให้รสแผ่ความเย็นชื่นเข้าไปในทรวงอกทุกถ้วนหน้า จะได้เลือกว่าผู้นั้นดี ผู้นี้ชั่ว หรือว่าประการใดๆ ก็มิได้มีเลย อุปมาข้อนี้ฉันใด พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมาย ซึี่งพระโพธิญาณอันประเสริฐเลิศล้ำ ย่อมพยายามเสริมสร้างเมตตาธรรมให้มากในดวงจิต เพื่อให้ผลิตผลแผ่กว้างออกไปไม่สิ้นสุด ไม่มีจิตประทุษร้าย แม้แต่ในศัตรูคู่อาฆาตปรารถนาให้ได้รับความสุขให้หายมลทินสิ้นทุกข์หมดภัยหมดเวร แผ่ความเย็นใจไปทั่วทุกทิศ มีน้ำใจเป็นมิตรไมตรีไม่มีจำกัด หมู่มนุษย์หรือเหล่าสัตว์ที่คบหาสมาคมด้วย ย่อมได้รับความเย็นใจไม่เดือดร้อนในทุกกรณี เพื่อให้สำเร็จผลเป็นเมตตาบารมียิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าจะได้บรรลุพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณ

    ๑๐. อุเบกขาพุทธกรณธรรม

    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีน้ำใจประกอบไปด้วยอุเบกขา อุตส่าห์ยังจิตให้ตั้งมั่นในอุเบกขาธรรม ซึ่งเป็นธรรมพิเศษที่ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ได้เคยซ่องเสพสืบกันมา คือ มีจิตอุเบกขาวางเฉยเป็นกลางในธรรมทั้งหลายด้วยว่า พระพุทธภูมิอันวิเศษนี้ จะสำเร็จลงได้ ต้องอาศัยอุเบกขาธรรมเป็นประการสำคัญ ฉะนั้นพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงจึงพยายามบำเพ็ญอุเบกขาธรรมอันล้ำเลิศให้มากมูลเพิ่มพูนแก่กล้าขึ้นทุกชาติที่เกิด ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหน และเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม ก็ยอมอุตส่่าห์พยายามบำเพ็ญอุเบกขาธรรม กล่าวคือความวางเฉยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ถ้ายังขาดบกพร้องอยู่ ยังไม่เต็มบริบูรณ์ก็เพียรเพิ่มพูนเสริมสร้างอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งถึงกับต้องเอาชีวิตของตนเข้าออกแลก ด้วยหวังจักทำให้ปราศจากความจำแนก กล่าวคือความยินดียินร้าย มุ่งหมายเพื่อให้มั่นในอุเบกขาธรรมเป็นสำคัญ

    ในกรณีที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย มีน้ำใจประกอบด้วยอุเบกขาธรรมนี้ มีอุปมาที่กล่าวไว้ว่า ธรรมดาว่า พื้นปฐพีอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เมื่อมีผู้ถ่ายมูตรคูถของสกปรกโสมมอย่างใดอย่างหนึี่งลงก็ดี หรือแม้จะมีผู้เอาเครื่องสักการะบูชา บุปผา ธูปเทียน เครื่องหอม ของสะอาดทิ้งใส่ลงก็ดี พื้นปฐพี มหาพสุธาดล อันบุคคลและสัตว์ทั้งหลายเหยียบย่ำอยู่ทุกวันนี้จะได้มีความโกรธอาฆาตหรือความรักใคร่ขอบใจแม้แต่สักนิดก็หามิได้ ปราศจากความยินดียินร้ายโดยประการทั้งปวง เป็นปฐพีที่นิ่งเฉย ไม่ไหวหวั่นอยู่อย่างนั้น ตลอดเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายก้เป็นเช่นนั้น คือเมื่อมีมนัสมั่นมุ่งหมายพระโพธิญาณ ย่อมมีน้ำใจอาจหาญ พยายามเสริมสร้างพระอุเบกขาธรรมให้เกิดขึ้นประจำจิตให้ภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อให้สำเร็จผลเป็นอุเบกขาบารมีจนกว่าจะบรรลุถึงที่หมายอันยิ่งใหญ่ กล่าวคือพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย พุทธกรณธรรมหรือธรรมพิเศษที่เป็นเหตุให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เป็นธรรมที่บำเพ็ญให้สำเร็จได้โดยยากใช่ไหมเล่า ถึงกระนั้น ท่านผู้ปรารถนาเป็นสมเด็จพระจอมมุนรีสัมพุทธเจ้า ก็เฝ้าบำเพ็ญธรรมเหล่านี้เป็นเวลาช้านานหลายแสนโกฎิชาติหนักหนา อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญให้เพิ่มพูนเจริญเต็มที่ในจิตสันดาน จนกว่าจะได้บรรลุถึงพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ



    ;aa41

    พระเทพมุนี

    มุนีนาถทีปนี : ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า
    หน้า ๕๒-๖๗



    เกิด แก่ เจ็บ ตาย.jpg

     

แชร์หน้านี้

Loading...