(๓) ผจญมาร

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 31 กรกฎาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    พระบัญชาให้ออกจากสมณเพส

    ถึงพระพิมลธรรม

    ด้วยทางการตำรวจได้
    ทำการสอบสวนเรื่องความประพฤติของท่านได้ความประจักษ์แล้ว จึงขอเสนอเรื่องถวายสมเด็จสังฆนายกๆ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการ พร้อมด้วยเจ้าคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ใหญ่ซึ่งเป็นพยานอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้ความเป็นหลักฐานตรงตามการสอบสวนที่ทางการตำรวจได้ทำการสอบสวนมาแล้วนั้น

    คณะกรรมการฝ่ายสงฆ์เห็นว่า ท่านถึงศีลวิบัติ ขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว ไม่สมควรทรงเพสบรรพชิตในพระพุทธศาสนา และไม่ควรดำรงสมณศักดิ์ต่อไป

    ฉะนั้น ฉันส่งบันทึกของสมเด็จสังฆนายกรายงานการประชุมคณะกรรมการและสำเนาคำให้การมายังท่าน ขอให้ท่านพิจารณาตนด้วยตน ขอให้ท่านออกเสียจากสมณเพสและหลบหายตัวไปเสีย จะเป็นการดีกว่าที่จะปรากฎโดยประการอื่นๆ เพื่อรักษาตัวท่านเองและเพื่อเห็นแก่วัดและพระศาสนา และขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ภายในกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันที่ปรากฎในลิขิตนี้้

    (ลงพระนาม) สมเด็จพระอริยวงศ์ ส.ร.
    (สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ)

    มูลกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชจะทรงมีพระบัญชาสั่งให้ข้าพเจ้าออกเสียจากสมณเพสและหลบหายตัวไปเสีย ฯลฯ นั้น เนื่องมาจากเหตุที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สังฆนายกในขณะนั้น พร้อมด้วยพระเถระที่เป็นคณะกรรมการอีก ๒-๓ รูปกับคณะนายตำรวจบางคน ที่ร่วมกันพิจารณาเสาะหาความพลาดผิดของ
    ข้าพเจ้าโดยลับหลัง ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

    วันที่ ๓ กันยายน ๒๕๐๓ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ อุฏฐายีมหาเถร วัดมกุฏกษัตริยาราม สังฆนายก ทำหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช กิตติโสภณมหาเถร วัดเบญจมบพิตร มีข้อความว่าดังนี้

    สังฆนายกกราบทูลสังฆราช

    ขอประทานกราบทูล ฝ่าพระบาททรงทราบ

    เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๓ ทางการตำรวจสันติบาล มีรองผู้บังคับการตำรวจสันติบาลเป็นหัวหน้าพร้อมด้วยผู้กำกับการตำรวจสันติบาล ได้นำพยานในคดีเรื่องพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุฯ เสพเมถุนทางเว็จมรรค และทำอัชฌาจารย์ปล่อยสุกกะ มายืนยันรับรองคำให้การของตนต่อหน้ากรรมการสงฆ์ มีเกล้ากระหม่อม พระธรรมรัตนากร สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง และพระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดพระนคร โดยเจ้าหน้าที่ตำนวจผู้ทำการสอบสวนได้จดบันทึกไว้ ได้อ่านให้พยานฟังทีละคน ในฐานะเป็นผู้เสียหายและเป็นพยาน พยานทุกคนให้การยืนยันว่าเป็นความจริง แลคนหนึ่งได้ให้การเพิ่มเติมว่า พระพิมลธรรม ได้เสพเมถุนทางเว็จมรรคของตน ๑ ครั้ง เจ้าหน้าที่ได้บันทึกรายงานการประชุมไว้พร้อม และได้ลงนามรับรองไว้เป็นหลักฐาน ดังสำเนาที่ถวายมาพร้อมนี้แล้ว

    คณะกรรมการฝ่ายสงฆ์เห็นว่ พระพิิมลธรรมต้องศีลวิบัติ ขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว ไม่สมควรทรงเพสเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา และไม่สมควรดำรงสมณศักดิ์ต่อไป จึงขอประทานเสนอใต้ฝ่าพระบาท เพื่อทรงจัดการในชั้นปกครอง

    ควรมิควรและแต่จะทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ
    สมเด็จพระมหาวีรวงศ์
    ๓ ก.ย.๒๕๐๓

    มูลกรณีที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์สังฆนายกจะทำหนังสือฉบับนี้กราบทูลสมเด็จพระสังฆราชกิตติโสภณมหาเถร วัดเบญจมบพิตร นั้นมีดังนี้

    เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๐๓ หลังจากสมเด็จพระวันรัต ได้รบสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ อุฏฐายีมหาเถร วัดมกุฏกษัตริยาราม ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสังฆนายก ได้ประมาณ ๓ เดือน ทางกรมตำรวจ ซึ่งไม่ทราบว่าได้รับคำร้องจากใคร (เข้าใจว่าได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระสังฆราชเอง) ได้ไปเสาะหาบุคคลบางคนไปให้การปรักปรำพระพิมลธรรมว่าประพฤติล่วงละเมิดพระวินัย ซึ่งตามคำให้การของบุคคลที่ตำรวจไปเสาะหามาเป็นพยานในวันนี้ ไ่ม่พอที่จะปรับโทษพระพิมลธรรมถึงขั้นปาราชิกได้ ต่อมาทางการตำรวจได้รายงานเรื่องนี้ไปถวายสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ อุฏฐายีมหาเถร สังฆนายก

    ถึงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๓ เวลา ๑๓.๑๕ น. ได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องนี้ ผู้เข้าประชุมวันนี้ คือ

    ๑. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สังฆนายก
    ๒. พระธรรมรัตนากร สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง
    ๓. พระธรรมคุณาภรณ์ สังฆมนตรีว่าการองค์การศึกษาและเจ้าคณะจังหวัดพระนคร
    ๔. พ.ต.ประสาธน์ สุวรรณสมบูรณ์ รักษาการแทน พบก.ส.
    ๔. พ.ต.อ.เอื้อ เอมะปาน รองผบก.ส.
    ๖. ร.ต.อ.สุพันธ์ แรมวัลย์ สารวัตรผู้จดบันทึก

    บันทึกรายการประชุมวันนี้ มีดังต่อไปนี้

    ประธานฯ ได้เรียก พลฯ สมัคร ชวลิต วงศ์เกตุกร พยาน และได้สั่งให้ ร.ต.อ.สุพันธ์ แรมวัลย์ อ่านคำให้การของพยาน ซึ่งได้ให้การไว้ต่อหน้าพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๑๕๐๓ ให้พยานฟัง พยานรับรองและยืนยันว่า เป็นคำให้การที่ได้ให้การไว้จริงและถูกต้อง และให้การด้วยความสมัครใจเพื่อรักษาเกียรติของวัดมหาธาตุฯไว้

    ต่อมาได้เรียกนายวีรยุทธ วัฒนานุสรณ์ และได้อ่านคำให้การซึ่งนายวีรยุทธ ได้ยืนยันและรับรองว่า เป็นคำให้การของพยานเอง ซึ่งได้ให้การไว้กับพนักงานสอบสวนจริง และได้ให้การด้วยความเต็มใจและพร้อมกันนี้ก็ได้ให้การเพิ่มเติมต่อหน้าประธานฯ และกรรมการดังมีรายนามข้างต้นอีกว่า นอกจากที่ได้ชักว่าวให้แล้ว ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม ได้เคยสำเร็จทางเว็จมรรคแก่พยานอีก จนสำเร็จความใคร่ ๑ ครั้ง และต่อมาพยานก็ไม่ยอมให้ทำเว็จมรรคแก่พยานอีก

    ต่อมาได้เรียก นายอุทัย นัยเนตร พยาน และได้อ่านคำให้การซึ่งเคยได้ให้ไ้ว้กับพนักงานสอบสวนฟัง พยานยืนยันและรับรองว่าเป็นคำให้การซึ่งพยานเคยให้การไว้กับพนักงานสอบสวนจริง และได้ให้การด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้เพื่อรักษาเกียรติของวัดมหาธาตุฯไว้

    เวลา ๑๔.๔๐ น. พ.ต.อ. ประสาธน์ สุวรรณสมบูรณ์ รกท.ผบก.ส.ได้สั่งให้ร.ต.อ. ชาญวุฒิ โพธิวงศ์ และ ร.ต.ท. อารยะ พรหมพันธุ์ ไปนิมนต์พระมหาแพ ญาณวโร โดยถือหนังสือของท่านเจ้าคุณพระธรรมรัตนากร สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ไปนิมนต์ที่วัดมหาธาตุฯ แต่ขัดข้อง พระมหาแพไม่ยอมมาให้การ ได้ขอร้องกันอยู่จนเวลา ๑๗.๐๐ น. จึงได้รับโทรศัพท์จาก ร.ต.ท.อารยะ ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรมไม่ยอมให้มา จึงบันทึกไว้

    ลงชื่อ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ประธาน
    ลงชื่อ พระธรรมรัตนากร ประธาน
    ลงชื่อ พระธรรมคุณาภรณ์ กรรมการ
    ลงชื่อ พ.ต.อ.ประสาธน์ สุวรรณสมบูรณ์ พยาน
    ลงขื่อ พ.ต.อ.เอื้อ เอมะปาน พยาน
    ลงชื่อ ร.ต.อ.สุพันธ์ แรมวัลย์ พยานจดบันทึก

    ด้วยหลักฐานเอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คณะนายตำรวจผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจเหนือพลตำรวจเหล่านั้น ไปเกลี้ยกล่อมประสมการบังคับพลตำรวจผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ให้การทิ่มตำข้าพเจ้าอย่างหนักที่สุด แต่ก็น่าเห็นใจพลตำรวจเหล่านั้น ซึ่งไม่มีหนทางที่จะหลบเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้

    เมื่อข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาสั่งว่า ขอให้ท่านออกเสียจากสมณเพศและหลบหายตัวไปเสีย จะเป็นการดีกว่าที่จะปรากฎโดยประการอื่นๆ ฯลฯ ดังนั้นแล้ว จึงคิดว่า สมเด็จพระสังฆราชคงยังไม่ทรงทราบความจริงตามที่เป็นจริง จึงได้มีพระบัญชาสั่งการอย่างรุนแรงเช่นนั้น คงทราบจากรายงานที่สังฆนายกกราบทูลมาเท่านั้น เมื่พอพระองค์ได้ทรงทราบความจริงตามที่เป็นจริงแล้ว คงจะทรงเปลี่ยนพระมติมาเป็นการลดหย่อนผ่อนโทษให้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงทำหนังสือขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช ในเชิงขอความเป็นธรรม ซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้

    "เรื่องพระพิมลธรรมขอความเป็นธรรม"

    ขอประทานกราบทูลใต้ฝ่าพระบาททรงทราบ

    พระลิขิตนำบันทึกของสมเด็จสังฆนายก สำเนาคำให้การของพยานและทรงพระกรุณาแนะนำเกล้ากระหม่อมให้พิจารณาตนด้วยตน ภายในกำหนด ๑๕ วันนั้น เกล้ากระหม่อมได้รับทราบแล้ว ความรู้สึกในพระกรุณาธิคุณเป็นอย่างสูง

    ก่อนอื่น เกล้ากระหม่อมขอพระวโรกาสกราบทูลความรู้สึกในตนของตนและถวายเหตุผลโดยสังเขป ขอใต้ฝ่าพระบาทได้โปรดอาศัยพระกรุณาทรงพิจารณาด้วยพระเมตตา เพื่อความร่มเย็นของเกล้ากระหม่อมและเพื่อความสวัสดีของวัดมหาธาตุฯ จักเป็นพระกรุณาธิคุณอันมีคุณค่ายิ่ง

    เมื่อเกล้ากระหม่อมได้อ่านบันทึกของสมเด็จพระสังฆนายกและสำเนาคำให้การของพยานแล้ว รู้สึกเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกแปลกประหลาดใจเป็นที่สุด ด้วยเกล้ากระหม่อมคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะได้แปรรูปไปอย่างเลวร้ายถึงเช่นนั้น เพราะเกล้ากระหม่อมมิได้เคยประพฤติสิ่งที่ชั่วช้าลามกน่าบัดสีเห็นปานนั้น และมิได้นำความเสื่อมเสียมาสู่วงการคณะสงฆ์แต่ประการใด ตรงข้าม เกล้ากระหม่อม ได้ขวนขวายพยายามทุกวิถีทาง เพื่อความสวัสดีของคณะสงฆ์ และเพื่อใต้ฝ่าพระบาทตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นแก่วัดมหาธาตุฯ และเกล้ากระหม่อมอย่างหนักหน่วงตลอดมา เกล้ากระหม่อมก็พยายามสงบไว้ ไม่ขวนขวายไม่กระตือรือร้นในทางต่อต้าน ไม่คิดและไม่ปฏิบัติในทางทางที่ลบหลู่ดูหมิ่น

    แท้จริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่วัดมหาธาตุ และเกล้ากระหม่อมในระยะกาลที่ผ่านมาแล้ว อาทิ กรณีใบปลิวเถื่อน กรณีคอมมิวนิสต์ ก็นับว่าเป็นการร้ายแรงอย่างที่สุด ซึ่งไม่เคยมีมาในกาลก่อน เป็นเหตุให้มหาชนวิพากษ์วิจารณ์ทั้งด้านดีและด้านเสีย เป็นผลให้เสื่อมเสียแก่วงการคณะสงฆ์อย่างหนักหน่วยที่ไม่เคยมีมา ทั้งนี้ด้วยการกระทำที่ไม่สุขุมรอบคอบด้วนสันติวิธีเป็นมูลฐาน เกล้ากระหม่อมขอยืนยันด้วยความจงรักภักดีว่า ภายในจิตตุปปาทหนึ่งก็ไม่เคยเกิดขึ้น ในเกล้ากระหม่อมในการที่จะกระทำเช่นนั้น แม้ในกรณีคอมมิวนิสต์ก็เช่นกัน ถ้าจะได้พิจารณากันด้วยความเป็นธรรมตามข้อเท็จจริงแ้ล้ว ก็จักเป็นไปได้ตามข้อกล่าวหาและที่เลื่องลืออื้อฉาวกันอยู่ภายนอก

    ส่วนในกรณีที่เกี่ยวกับเกล้ากระหม่อมโดยเฉพาะ ตามที่ใต้ผ่าพระบาทมีพระบัญชาไปนั้น เกล้ากระหม่อมรู้สึกทราบซึ้งในพระกรุณาธิคุณเป็นอย่างสูง แม้จะทรงบัญชาไปในทางเสียหายแก่เกล้ากระหม่อมอย่างร้ายแรง แต่ก็จำต้องทรงพระบัญชาตามข้อเสนอของสมเด็จสังฆนายก ในเมื่อมิได้ทรงทราบข้อลึกตื้นจากเกล้ากระหม่อม ที่เกล้ากระหม่อมมิได้มากราบทูล ก็ด้วยกริ่งเกรงว่า โลกภายนอกจะสำัคัญผิดเป็นอย่างอื่น และจะเป็นการรบกวนพระทัยใต้ฝ่าพระบาท แม้แต่หวังว่า เมื่อไรใต้ฝ่าพระบาทจะทรงพระเมตตาประทานพระโอวาทพระอนุสาสน์อันเป็นที่ร่มรื่นชื่นเย็นเป็นเสมือนคนปราณีบอกขุมทรัพย์แก่คนทุคตะ ฉะนั้น เท่านั้น

    ตามที่ใต้ฝ่าพระบาทมีพระบัญชาแนะนำเกล้ากระหม่อมให้พิจารณาตนด้วยตน ให้ออกเสียจากสมณเพส และให้หลบหายตัวไปเสีย เพื่อรักษาตนเองและเพื่อเห็นแก่วัดและพระศาสนานั้น เกล้ากระหม่อมได้พิจารณาและเล็งผลได้ผลเสียส่วนตนและส่วนรวมแล้ว เห็นว่าถ้าปฏิบัติดังนั้น จักไม่เป็นผลดีแก่วัดและพระศาสนาส่วนรวม ทั้งจักเป็นผลเสียหายแก่ส่วนตัวอย่างไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง

    อนึ่ง ในฐานะที่เกล้ากระหม่อมเป็นพระเถระผู้ใหญ่ และได้ทำคุณประโยชน์แก่พระศาสนาและประชาชนมาพอสมควร ดังที่ทรงทราบในใต้ฝ่าพระบาท เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญชนิดคอขาดบาดตายเกิดขึ้นแก่เกล้ากระหม่อมเช่นนี้ ในฐานที่ใต้ฝ่าพระบาททรงเป็นพระสังฆบิดร สมควรที่จะทรงพระเมตตา เปิดโอกาสให้เกล้ากระหม่อมได้ใช้ความพยายามปลดเปลื้องมลทินของตนโดยเสรี โดยความเป็นธรรมไม่ควรเร่งรีบเสือกใสไล่ส่ง ในเวลาอันจำกัดและจำเป็นเช่นนี้เลย แม้แต่เกล้ากระหม่อมซึ่งได้ยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างสนองงานคณะสงฆ์และส่วนพระองค์ อย่างร่วมเป็นร่วมตายมาถึงเพียงนี้ ก็ยังมิได้รับพระเมตตาปราณีในทางที่ชอบที่ควรแล้ว ผู้น้อยซึ่งอยู่ใต้ร่มพระบารมีจะเห็นเป็นอย่างไร?

    ฉะนั้น เกล้ากระหม่อมจึงขอวโรกาสกราบทูลมา เพื่อใต้ฝ่าพระบาทได้ทรงพระเมตตาพิจารณาสั่งให้ความเป็นธรรมแก่เกล้ากระหม่อม โดยชอบธรรมวินัยและระเบียบโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อความสวัสดีของวัดมหาธาตุฯ ซึ่งคณะปัจจุบันมีใต้ฝ่าพระบาทเป็นร่มโพธิ์อยู่เพียงพระองค์เดียว

    ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรด
    (ลงชื่อ) เกล้ากระหม่อม พระพิมลธรรม


    คณะสงฆ์วัดมหาธาตุฯ รับรองความบริสุทธิ์

    เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๓ คณะสงฆ์วัดมหาธาตุฯ จำนวน ๔๖๕ รูปรับรองความบริสุทธิ์โดยสมัครร่วมใจกันทำหนังสือกราบทูลสมเด้จพระสังฆราช ซึ่งมีใจความดังต่อไปนี้

    ขอประทานกราบทูลใต้ฝ่าพระบาท ทรงทราบ

    ตามที่ฝ่าพระบาทกับคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์ มีสมเด็จสังฆนายกเป็นประธาน อาศัยหลักฐานจากพยานคฤหัสถ์ ๓ ปาก แล้วมีมติและมีพระบัญชาวินิจฉัย ชี้ขาดว่า ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ต้องศีลวิบัติ แล้วสั่งบังคับให้ท่านออกจากสมณเพสและหลบหายตัวไปสเีย ภายใน ๑๕ วันนั้น

    พวกเกล้ากระหม่อม คณะสงฆ์วัดมหาธาตุฯ ผู้มีนามข้างท้ายนี้ มีความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เหลือที่จะอดกลั้นยับยั้งนิ่งนอนใจเป็นอุเบกขาอยู่ได้ ด้วยวิธีการปฏิบัติเช่นนั้น ไม่เป็นแต่เพียงเพื่อทำลายเจ้าอาวาสให้ยืนตายทั้งเป็นเท่านั้น แต่เป็นการทำลายสถาบันวัดมหาะาตุฯอันเป็นชีวิตจิตใจของพวกเกล้ากระหม่อมด้วย

    การที่ท่านผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ จะใช้อำนาจโดยทางหนึ่งทางใด เพื่อลงโทษเจ้าอาวาสและสถาบันวัดมหาธาตุฯ นั้น ก็สุดแท้แต่ท่านผู้ใหญ่จะพึงเมตตากรุณาใช้ดุลยพินิจโดยรอบครอบถี่ถ้วน กอปรด้วยเห็นกาลไกล ส่วนด้านพระธรรมวินัยนั้น พวกเกล้ากระหม่อมยังยึดมั่นอยู่ว่าท่านเจ้าอาวาสของพวกเกล้ากระหม่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ทรงไว้ซึ่งศีลสมบัติ ควรแก่การกราบไหว้เคารพบูชา ขอพวกกระหม่อมอยู่ด้วยความสนิทใจ

    ท่านเจ้าอาวาสนั้น เมื่อว่าโดยคุณสมบัติ ซึ่งมีต่อพวกเกล้ากระหม่อม ท่านเป็นผู้เต็มเปี่ยมชุ่มชื่นอยู่ด้วยเมตตาปราณี คอยปกป้องให้ได้รับความร่มเย็นตลอดมา เป็นเสมือนพ่อกับลูก และท่านบำเพ็ญตนเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกทายกทายิกาสาธุชน ตลอดถึงเด็กเล็กเด็กน้อย ทั้งภายในวัดและภายนอกวัด แม้ในด้านการศึกษาการปฏิบัติ และการสรางซ่อมวัดวาอาราม ท่านก็ได้ชักจูงนำพาในภาระหน้าที่เหล่านี้โดยเข้มข้นแข็งขัน ทำให้สถาบันวัดมหาธาตุฯสมบูรณ์ด้วยการศึกษาและการปฏิบัติ เป็นสัปปายะแ่ก่บรรพชิต และคฤหัสถ์ทั้งหลาย ทั้งชาวกรุงและหัวเมือง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไปในหมู่ชนผู้มีความใคร่ต่อการศึกษาและการปฏิบัติ เป็นผลให้พวกเกล้ากระหม่อมผู้อยู่ภายในใกล้ชิด และภายในร่มเงาบารมีธรรมของท่าน ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข และรู้สึกกระหยิ่มใจในศักดิ์ศรีของวัดมหาธาตุฯ ตลอดมา

    เพราะฉะนั้น พวกเกล้ากระหม่อมซึ่งเป็นผู้อยู่ใกล้ชิด จึงขอประทานกราบทูลยืนยันความบริสุทธิ์และปฏิปทาของท่าน โดยพวกเกล้ากระหม่อมมิได้มีความรังเกียจในตัวท่าน ไม่ว่าจะด้วยประการใดๆ และขอยืนว่าจะเคารพนับถือท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรตลอดไป ขอประทานกราบทูลเพื่อทรงทราบใต้ฝ่าพระบาท

    ควรมิควรสุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรด
    เกล้ากระหม่อม คณะสงฆ์วัดมหาธาตุฯ

    ต่อมา วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๐๓ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า ถึงอย่างไรก็ควรที่จะเจริญพรให้ท่านนายกรัฐมนตรีผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอย่างสูงสุดในทางอาณาจักร ได้ทราบความจริงตามที่เป็นจริงไว้ เพื่อป้องกันมิให้เข้าใจผิดไปตามเหตุผลที่บุคคลบางพวก อาจมาเสกแสร้งแต่งขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนและพวกของตน ข้าพเจ้าจึงทำลิขิตขึ้นฉบับหนึ่งเรียนท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งมีข้อความดังต่อไปนี้

    เจริญพร ฯพณฯ จอมพล นายกรัฐมนตรี ที่นับถืออย่างยิ่ง

    อาตมาภาพยัมีสมณสัญญาว่า ตนเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงศีลโดยปกติ อาตมภาพก็ดี การงานที่อยู่ในภายใต้การกระทำของอาตมาภาพก็ดี ขอรับรองโดยสมณสัญญาว่า ไม่เป็นภัยแก่ชาติ แก่พระศาสนาแต่อย่างใด ดังที่มีผู้เห็นไม่ตรงกันสำคัญผิดอยู่ในขณะนี้

    ฉะนั้น จึงขอเจริญพรมาเพื่อโปรดทราบ และถวายความอุปถัมภ์ให้อาตมภาพได้มีโอกาสปฏิบัติกรณียกิจนั้นๆ ให้สำเร็จผลประโยชน์แก่ชาติและพระศาสนาโดยสะดวกตามควรแก่เหตุ และขออารักขา อย่าให้ผู้เห็นไม่ตรงกันและผู้มุ่งร้ายใช้กำลังเข้ากีดกันและตัดหนทางเสียเลย จักเป็นมหากุสลอันประเสริฐของ ฯพณฯ และเป็นคุณประโยชน์แก่ชาติศาสนา อันอยู่ภายใต้ความอุปถัมภ์โดยตรงของฯพณฯ

    ขออำนวยพรมาด้วยเมตตาธรรม
    (ลงชื่อ) พระพิมลธรรม

    การที่ท่านผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ จะใช้อำนาจโดยทางหนึ่งทางใด เพื่อลงโทษเจ้าอาวาสและสถาบันวัดมหาธาตุนั้น ก็สุดแท้แต่ผู้ใหญ่จะพึงเมตตากรุณาใช้ดุลยพินิจโดยรอบคอบถี่ถ้วน กอปรด้วยเห็นกาลไกล ส่วนด้านพระธรรมวินัยนั้น พวกเกล้ากระหม่อมยังยึดมั่นอยู่ว่า ท่านเจ้าอาวาสของพวกเกล้ากระหม่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ทรงไว้ซึ่งศีลสมบัติ ควรแก่การกราบไหว้เคารพบูชา ของพวกเกล้ากระหม่อมอยู่ด้วยความสนิทใจ

    ตามลิขิตของคณะสงฆ์วัดมหาธาตุฉบับนี้ แสดงให้เห็นชัดว่า พระสงฆ์จำนวนมาก ซึ่งอยู่วัดเดียวกันมาเป็นเวลายาวนาน ก็ไม่มีความรังเกียจเดียดฉันแต่ประการใด ซึ่งนับว่าเป็นหลักฐานอันแน่นหนามั่นคงที่สุด มิใช่แต่เพียงขอความเป็นะรรมและขอรับรองความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าแด่สมเด็จพระสังฆราชผู้ทรงเป็นพระสังฆบิดรเท่านั้น คณะสงฆ์วัดมหาธาตุฯ ยังได้ร่วมกันทำลิขิตของความอารักขาและความเป็นธรรมไปยัง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ในเวลานั้น อีกทางหนึ่ง คือ ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีข้อความดังนี้

    อ่านต่อ เรื่องขอความอารักขาเพื่อความเป็นธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...