(๓) ตำนานมูลศาสนา

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 7 สิงหาคม 2009.

แท็ก: แก้ไข
  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา จุติจากชาติอันเป็นลูกสาวพระยา ก็ได้ไปบังเกิดในชั้นดุสิต อยู้่ในชั้นนั้นจนสิ้นอายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ นับเป็นปีในมนุษยโลกนี้ได้ถึง ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี (ฉบับ มช.ถึง ๖๐ โกฏิ) ครั้นจุติจากชั้นดุสิต มาเวียนว่ายตายเกิดเสวยสุขอยู่ในเทวโลกอีกหลายชาติ จนถึงชาติอันจิุติจากเทวโลก ได้มาเกิดเป็นพระยาอยู่ในเมืองกรัณฑกะ (ฉบับ มช. เป็นกรัณฑ ทุกแห่ง) ทรงพระนามว่า อติเทโว พระยาอติเทโวเจ้าเมืองกรัณฑกะพระองค์นี้ มีฤทธิ์ศํกดานุภาพเสมอด้วยพระยาจักรพรรดิ

    ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าพรหมเทโว เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้งนี้นพระองค์ได้เสด็จไปสู่เมืองกรัณฑกะ เพื่อจักเทศนาพระธรรมจักร พระองค์จึงเปล่งยังพระรัศมีเสมอด้วยแสงพระอาทิตย์ตั้ง ๑๐๐๐ ดวง ไปครอบงำหัวเมืองทั้งหลาย ในขณะนั้นพระยาอติเทโวนั่งอยู่ในปรางค์ปราสาทชั้นบน เวลานั้นมีศิริคุตต์อำมาตย์นั่งอยู่ในที่นั้นด้วย พระองค์มองเห็นพระรัศมีรุ่งเรืองทั่วทั้งพระนคร แต่พระองค์ไม่ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้ามาบังเกิดในโลก ทรงสะดุ้งตกใจกลัวยิ่งนัก มิอาจจะลงจากอาสน์แห่งพระองค์ได้ ศิริคุตต์อำมาตย์เห็นเหตุการณ์ดังนั้น ก็มองดูออกไปตามช่องปราสาท ก็เห็นยังพระพุทธเจ้าอันทรงพระรัศมีประกอบไปด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ กับทั้งลักษณะน้อยทั้งหลายอีก ๘๐ ทัศ เมื่อได้เห็นดังนั้นก็กราบทูลพระยาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า มหาบุรุษผู้นั้นใช่ใครอื่น คือพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงพระนามว่า พรหมเทโว มหาราชเจ้าจงรีบไปต้อนรับพระพุทธองค์เถิด ศิริคุตต์อำมาตย์ยังเจรจากับด้วยพระยาอยู่ยังไม่ทันสิ้นเนื้อความ พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาถึงในที่นั้น

    ในที่นี้กล่าวถึงที่สุดชาติของพระยาอติเทโวและศิริคุตต์อำมาตย์แต่พอสังเขป พระยาอติเทโวเจ้าเมืองกรัณฑกะนั้น ก็คือ พระสมณโคดมพุทธเจ้า ศิริคุตต์อำมาตย์นั้นก็คือ พระอริยเมตไตรยโพธิสัตว์เจ้า อันจักมาตรัสเป็นพระในภายหน้านี้

    เมื่อพระยาได้ยินคำแห่งศิริคุตต์อำมาตย์กล่าวดังนั้น มีตนอันเต็มไปด้วยผรณาปีติ บ่อาจจะกดหมายยังบันไดปรางค์ปราสาทได้ พระองค์จึงก้าวพระบาทลงทางสีหบัญชรปราสาท ในทันใดนั้นดอกบัวหลวงประมาณเท่ากงเกวียน ก็ผุดขึ้นจากพื้นแผ่นดินมารองรับพระองค์ด้วยอำนาจศรัทธาอันแรงกล้า แล้วพระองค์ก็ก้าวพระบาทลงจากดอกบัวหลวงดอกนั้นก็เข้าไปสู่สำนักของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า พรหมเทโว ทรงสักการะด้วยดอกไม้ทั้ง ๗ อย่าง มีดอกทายหาน เป็นต้น พร้อมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า

    ครั้นต่อมาเป็นวันถ้วนสอง พระยาก็เข้าไปสู่สำนักพระพุทธเจ้า แล้วก็ไหว้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระพุทธองค์ เจ้ากูได้ตรัสสัพพัญญูเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว และเป็นผู้นำสัตว์ให้บรรลุมรรคผลพ้นจากสงสารมีฉันใด แม้ผู้ข้านี้ ครั้นว่าได้ตรัสสัพพัญูเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอให้ได้นำสัตว์ทั้งหลายบรรลุมรรคผลพ้นจากสงสารเหมือนดังพระผู้เป็นเจ้านั้นเถิด คำปรารถนาของพระยา ทั้งนี้เป็นแต่คำนึงนึกในใจมิได้ออกวาจา ในกาลนั้นพระพุทธเจ้าพรหมเทโว เมื่อพระองค์ทรงกระทำพุทธกิจทั้งมวลเสร็จแล้ว ก็เสด็จเข้าสู่พระนิพพานในวันนั้นแล

    ครั้นสิ้นนันทะอสงไขยไปแล้ว ในสุนันทะอสงไขยมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นถึง ๙,๐๐๐ พระองค์, ในปฐวีอสงไขย ๑๐,๐๐๐ พระองค์, ในมัณฑะอสงไขย ๑๑,๐๐๐ พระองค์, ในธรณีอสงไขย ๒๐,๐๐๐ พระองค์, ในสาครอสงไขย ๓๐,๐๐๐ พระองค์, ในปุณฑริกอสงไขย ๔๐,๐๐๐ พระองค์ แต่ในนันทะอสงไขยนั้น ไม่ปรากฎว่ามีพระพุทธเจ้าบังเกิดกี่พระองค์ เป็นแต่มารวมไว้ในตอนท้ายว่า ในอสงไขยทั้งหลาย ๗ มีพระพุทธเจ้าทั้งหลายบังเกิด๑๒๒,๐๐๐ พระองค์ นัยหนึ่งว่า ๑๒๕,๐๐๐ พระองค์ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ใน ๗ อสงไขยดังที่กล่าวมาแล้วข้างบนนี้ พระสมณโคดมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ให้มหาทานปรารถนาเป็นพุทธเจ้าแต่ในใจมิได้ออกพระวาจา

    ในที่นี้ จะว่าด้วยพระสมณโคดม ครั้งเมื่อพระองค์เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอันออกพระวาจา ๙ อสงไขย ในอสงไขยทั้ง ๙ นั้นมีชื่อดังนี้ สัพพภัททะอสงไขย ๑ สัพพผุลละอสงไขย ๑ สัพพรัตนะอสงไขย ๑ อุสภขันธะอสงไขย ๑ มณีภัททะอสงไขย ๑ ปทุมอสงไขย ๑ อุสภอสงไขย ๑ ขธุตตะอสงไขย ๑ สัพพผละอสงไขย ๑ และในอสงไขยหนึ่งมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเป็นอันมาก เช่นในสัพพภัททะอสงไขยนั้น มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นถึง ๑๔,๐๐๐ พระองค์, สัพพผุลละอสงไขย ๖๐,๐๐๐ พระองค์, สัพพรัตนะอสงไขย ๗๐,๐๐๐ พระองค์, อุสภขันธอสงไขย ๘๐,๐๐๐ พระองค์, มณีภัททะอสงไขย ๙๐,๐๐๐ พระองค์, ปทุมอสงไขย ๒๐,๐๐๐ พระองค์, อุสภอสงไขย ๑๐,๐๐๐ พระองค์, ขธุตตะอสงไขย ๑๐,๐๐๐ พระองค์, สัพพผละอสงไขย ๒,๐๐๐ พระองค์ รวมพระพุทธเจ้าที่บังเกิดขึ้นใน ๙ อสงไขย ถึง ๓๕๖,๐๐๐ พระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าของเราได้ให้มหาทานแล้วพระองค์ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วยอันออกพระวาจา ในสำนักพระพุทธเจ้ามีประมาณเท่านั้น พระโพธิสัตว์ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแต่ในใจ ๗ อสงไขย ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วยอันออกพระวาจา ๙ อสงไขย รวมเวลาที่พระโพธิสัตว์ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านานถึง ๑๖ อสงไขย

    พระโพธิสัตว์ปรารถนาด้วยกายและพระวาจา ๔ อสงไขย คือเสละอสงไขย ๑ ภาสะอสงไขย ๑ ขัยอสงไขย ๑ รุจิอสงไขย ๑ อสงไขยทั้ง ๔ นี้ต่อกับสัพพพผละอสงไขย

    ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าเกิดมาในโลกนี้ ๔ พระองค์ มีพระตัณหังกร เป็นต้น เจ้ากูสร้างสมภารนานถึง ๑๖ อสงไขย ปลายแสนมหากัลป์ แล้วพระองค์ลงมาถือเอาปฏิสนธิในท้องแห่งนางสุนันทาเทวีอัครมเหสีพระยาสุนัทราช เจ้าเมืองปุฏวัตตินคร เมื่ออายุสัตว์ได้แสนปี ครั้งนั้นพระองค์อยู่ในฆราวาสได้หมื่นปี แล้วทรงละราชสมบัติออกบวชทรงกระทำเพียร ๗ วัน ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญพุทธเจ้าแทบเค้าไม้ตีนเป็ด ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา พระองค์ทรงกระทำสักการบูชาเป็นอันมาก พระองค์ก็ไม่ได้ทรงพยากรณ์ว่าจักได้เป็นพระ ครั้นจุติจากชาตินั้นก้ได้ไปบังเกิดในเทวโลก พระตัณหังกรพุทธเจ้า พระองค์ทรงกระทำพุทธกิจอยู่จนสิ้นอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระองค์ก็เสด็จเข้าสู่พระนิพพานแต่อายุสัตว์ได้แสนปี

    ตั้งแต่นั้นมา อายุสัตว์ก็ลดน้อยถอยลงมาถึง ๑๐ ปี แล้วก็กลับเจริญขึ้นไปถึงอสงไขยแล้วก็กลับลดน้อยถอยลงมาถึง ๙๐,๐๐๐ ปี ครั้งนั้นพระเมธังกรพุทธเจ้า พระองค์ลงมาถือเอาปฏิสนธิในท้องแห่งนางยโสธรา อัครมเหสีแห่งพระยาสุเทวะเมืองเมขลา พระยาสุเทวะอยู่ในราชสมบัติได้ ๗,๐๐๐ ปี แล้วทรงละราชสมบัติออกบวช พระองค์ทรงกระทำเพียรอยู่ ๑๕ วันก็ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระพุทธเจ้าแทบเค้าไม้ทองกวาว ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา พระองค์ทรงกระทำการสักการบูชาพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่า เมธังกรพระองค์นั้นเป็นอันมาก พระองค์ก็ไม่ได้พยากรณ์ว่าจักได้เป็นพระ ครั้นจุติจากชาติอันนั้นก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก พระเมธังกรพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงกระทำพุทธกิจสิ้นเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน เวลานั้นสัตว์มีอายุ ๙๐,๐๐๐ ปี

    ต่อแต่นั้นมาอายุสัตว์ก็ลดน้อยถอยลงมาถึง ๑๐ ปี แล้วก็กลับเจริญขึ้นไปถึงอสงไขยแล้วก็ถอยลงมาถึง ๘๐,๐๐๐ ปี พระสรณังกรพุทธเจ้าลงมาถือเอาปฏิสนธิในท้องแห่งนางยศวดี พระอัครมเหสีแห่งพระยาสุมังคละ เมืองวิบุลนคร พระองค์อยู่ในราชสมบัติ ๗,๐๐๐ ปี แล้วก็ละราชสมบัติออกบวช ทรงกระทำเพียรเดือนหนึ่ง ก็ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญูแทบเค้าไม้แคฝอย ครังนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา พระองค์ก็ได้ทรงกระทำสักการบูชาเป็นอันมาก พระสรณังกรพุทธเจ้าพระองค์ก็มิได้ทรงพยากรณ์ พระองค์ทรงกระทำพุทธกิจสิ้นเสร็จแล้ว ก็เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ครั้นพระองค์จุติจากชาตินั้น ก้ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ในครั้งนั้นสัตว์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วก็ลดน้อยถอยลงมาถึง ๑๐ ปี อายุของสัตว์ก็กลับเจริญขึ้นไปถึงอสงไขย แล้วกลับลงเพียง ๑๐๐,๐๐๐ ปี

    ครั้งนั้นพระทีปังกรพุทธเจ้า มาถือเอาปฏิสนธิในท้องแห่งนางสุเมธาเทวี อัครมเหสีแห่งพระยาเทวราชเมืองอมรวดี พระทีปังกรพุทธเจ้าสูง ๘๐ ศอก ไม้ลิ้นหมาเป็นไม้มหาโพธิ พระชนมายุพระองค์ ๑๐๐,๐๐๐ ปีเท่าอายุสัตว์ และว่าพระชนมายุโดยแืท้ ๘๐,๐๐๐ ปี อัครสาวกแขนขวามีนามว่า สุมังคละ อัครสาวกแขนซ้ายนามว่าติสสะ ภิกษุผู้อุปัฏฐากมีนามว่า สาคร ภิกษุณีแขนขวามีนามว่านางนันทา ภิกษุแขนซ้ายมีนามว่า นางสุนันทา

    ครั้งนั้น พระสมณโคดมเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มีนามว่าสุเมธ ครั้นสิ้นอายุบิดามารดา แล้วก็ออกบวชเป็นฤษี กระทำสมณธรรมได้บรรลุฌานสมาบัติ พระองค์ได้รับพยากรณ์ในสำนักพระทีปังกรพุทธเจ้า จุติจากชาติอันเป็นฤษีไปบังเกิดในพรหมโลก ต่อแต่นั้นมาอีกอสงไขยแสนกัลป์ว่าง ไม่มีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกโพธิเจ้าและพระยาจักรวรรดิมาบังเกิดในโลก หาแก่นสารแก่ฝูงสัตว์ทั้งหลายมิได้ประมาณกัลป์หนึ่ง และในอสงไขยที่สูญนี้มีนามว่า เสละอสงไขย เมื่อเสละอสงไขยสิ้นไปแล้วมีกัลป์อันหนึ่งตั้งขึ้นใหม่ ชื่อสารกัล์ป ในกัลป์นี้พระพุทธเจ้ามาบังเกิดในโลกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า โกณฑัญญะ พระราชบิดาของพระองค์ ทรงพระนามว่า สุนันทะ พระราชมารดา ทรงพระนามว่าสุชาดาเทวี อยู่ในเมืองรมติ พระอัครสาวกฝ่าขวาชื่อภัทรา ฝ่าย้ซ้ายชื่อสุภัทรา ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่ออนุรุทธ์ ภิกษุณีฝ่ายขวาชื่อนางติสสะ ฝ่ายซ้ายชื่อนางอุปติสสะ ไม้สาลกัลยาณีเป็นไม้มหาโพธิ สูง ๘๐ ศอก มีพระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี

    ครั้งนั้นพระสมณโคดม เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เกิดเป็นพระยาจักรวรรดิ ชื่อวิชิตาวี พระยาวิชิตาวีได้ถวายทานแก่พระพุทธเจ้ากับทั้งพระสงฆ์บริวาร ประมาณได้ ๗ วันเป็นมหาทานอันใหญ่ สิ้นกหาปณะ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ แล้วพระโกณฑัญญะพุทธเจ้าพระองค์ซ้ำทรงทำนายว่า พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่่ง ครั้นพระยาวิชิตาวีจุติจากชาตินั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติอยู่สิ้นกาลนาน ครั้นสิ้นสารกัลป์ไปแล้ว ในตอนนี้สูญไม่มีพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกโพธิเจ้ากับทั้งพระยาจักรวรรดิมาบังเกิดในโลก เรียกชื่อว่าภาสะอสงไขย

    ครั้นสิ้นภาสะอสงไขยนี้ไปแล้ว ในตอนนี้เรียกชื่อว่าสารมัณฑกัลป์ ในสารมัณฑกัลป์นี้มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิืด ๔ พระองค์ มีพระสุมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะและพระโสภีตะ ล้ำพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์นี้ พระสุมังคละพุทธเจ้าเมื่อพระองค์เสวยพระชาติเป็นโพธิสัตว์เกิดในเมืองอุตตระ เป็นพระราชโอรสพระยาอุตตระ เป็นพระราชโอรสพระยาอุตตระ นางอุตตราเป็นพระราชมารดา พระองค์มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่านางยสวดี มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งทรงนามว่าสีลโว เมื่อพระองค์จะออกบรรพชาทรงม้าอาชาไนยออกบรรพชา ไม้นาวกาน (ในอรรถกถาชาดก ปฐมภาคว่า นาครุกฺโข แปลกันมาว่า ไม้กระทิง) เป็นไม้มหาโพธิ อัครสาวกฝ่ายขวาชื่ออสุเทวะ ฝ่ายซ้ายชื่อธรรมเสนะ ภิกษุุผู้เป็นอุปัฏฐากชื่อปาลิตะ ภิกษุณีฝ่ายขวาชื่อนางสิมพลี ฝ่ายซ้ายชื่อนางอโสภา พระองค์สูง ๘๘ ศอก มีพระชนมายุ ๘๐,๐๐๐ ปี มีพระรัศมีแผ่ไปทั่วจักรวาลทั้งมวลเป็นอันเดียวกัน

    อ่านต่อ สุรุจิพราหมณ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...