(๑๕) มุนีนาถทีปนี: ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 26 กรกฎาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ๓. สมเด็จพระสุมังคละอุบัติ


    เมื่อศาสนาของสมเด็จพระสัพพัญญูโกณฑัญญะพุทธเจ้าเสื่อมสูญไปหมดแล้ว กาลเวลาก็ล่วงมาจนสิ้นสารกัปนั้น และเวลาต่อมาจากนั้นมา โลกก็ว่างจากพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาประกาศอมตธรรมนำสัตว์ออกจากโอฆสงสารช้านาน ต่อกาลครั้งหนึ่ง จึงมีสารมัณฑกัปบังเกิดขึ้นอีก ก็ในสารมัณฑกัปนี้ ปรากฎมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ๔ พระองค์ คือ
    ๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ๔. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎโสภีตะสัมมาสัมพุทธเจ้า




    ในสมัยที่สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์แรกในสารมัณฑกัปนี้คือ ขณะที่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังทรงประกาศพระศาสนา ยังมหาชนให้ดื่มอมตธรรมคุณพิเศษอยู่นั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของพวกเราก็ได้มาอุบัติเกิดถือกำเนิดในตระกูลพรหมณ์มหาศาลมีนามอันเป็นมงคลว่า สุรุจิพราหมณ์

    อยู่มาวันหนึ่ง สุริจิพราหมณ์ได้ออกไปถวายนมัสการและสดับธรรมีกถา ณ สำนักแห่งองค์สมเด็จพระสุมังคละสัมพุทธเจ้าบรมโลกนายกแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาว่า
    "ข้อแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ วันพรุ่งนี้ ข้าพระบาทขออาราธนาพระพุทธองค์ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงไปรับอาหารบิณฑบาตของพระบาท พระเจ้าข้า"
    สมเด็จพระสุมังคละศาสดาทรงรับอาราธนาแล้ว พราหมณ์ก็ถวายบังคมลามาสู่เรือนและรำพึงว่าพัสดุสิ่งของทั้งหลายที่จะตกแต่งเป็นยาคูภัตตาหาร กับทั้งผ้าไตรจีวรที่จะถวายแก่พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค ที่อาราธนาได้เป็นจำนวนมาก ก็พอจะมีถวายทั่วทุกองค์ได้ ก็แต่ว่าสถานที่ๆ จะแต่งตั้งอาสนะที่นั่งของภิกษุทั้งหลายให้เพียงพอนี่แล รู้สึกว่าจะอัตคัตคับแคบขัดข้องนัก จักทำฉันใดดี? สุรุจิพราหมณ์เธอครุ่นคิดวิตกอยู่อย่างนี้ ก็เพราะว่าพระภิกษุสงฆ์สาวกของพระตถาคตเจ้าในกาลครั้งนั้นมีมากมายนัก นัยว่ามีตั้งแสนกว่ารูปขึ้นไป แต่ด้วยใจเลื่อมใสโอฬารกว้างขวาง เธอจึงนิมนต์อาราธนามาฉันที่เรือนของตนหมดทุกรูปไม่ทันคิด มาคิดได้เอาก็เมื่อกลับถึงบ้านแล้วนั่นเอง

    ด้วยเดชะอำนาจอภินิหารทานบารมีของพระโพธิสัตว์เจ้าก็ให้บันดาลร้อนถึงบัณฑุกัมพลสิลาอาสน์สมเด็จพระอินทราธิราชเจ้าจอมไตรตรึงษ์สวรรค์ ท้าวเธอจึงพลันตรวจดูก็ทรงรู้เหตุว่า
    "พระบรมโพธิสัตว์สุรุจิพราหมณ์ เธออาราธนาพระภิกษูสงฆ์กับพระสัพพัญญูเจ้าแล้ว บัดนี้ วิตกด้วยว่าจะตกแต่งปูลาดอาสนะให้พอเพียงแก่พระสงฆ์อันมากมายนักหนา กาลนี้ควรที่เราจะต้องลงไปช่วยสงเคราะห์ในบุญกรรมนั้น"
    ทรงดำริดังนี้แล้ว สมเด็จพระอมรินราธิราชจอมทวยเทพเจ้าเหล่าชาวสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ จึงจำแลงแปลงเพศเป็นนายช่างใหญ่ มีมือถือขวานมายืนปรากฎอยู่ต่อหน้าพราหมณ์โพธิสัตว์ แล้วจึงทรงเอื้อนอรรถตรัสถามว่า
    "ท่านผู้เจริญ ท่านจะต้องการจ้างทำงานสิ่งใดบ้างหรือไม่?"
    "ท่านรับจ้างทำงานสิ่งใดเป็นบ้างเล่า?" สุรุจิพราหมณ์ถามขึ้นทั้งๆ กำลังวิตกอยู่

    "ขึ้นชื่อว่าศิลปศาสตร์ในการช่าง ส่ิ่งไรที่ข้าพเจ้าจะมิได้รู้ มิได้เชี่ยวชาญนั้นมิได้มี คือการสร้างโรงร้าน หรือเรือนอยู่ หรือมณฑปใหญ่ ใครจะจ้างทำสิ่งใดๆ ข้าพเจ้าก็ย่อมทำได้อย่างสวยงามสิ้นทุกประการ" อันทวัฑฒกีคือนายช่างพระอินทร์บอกความสามารถของตน
    "ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว เรามีการที่จะจ้างท่านให้ทำสักอย่างหนึ่ง แต่ก็สงสัยว่าท่านจะทำไม่ได้เสร็จตามความประสงค์ของข้าพเจ้า" พราหมณ์กล่าวขึ้นตามความรู้สึกอันจริงใจของตนในขณะนั้น
    " ข้าแต่ท่านมหาพรามหณ์ การสิ่งใดของท่านมี ก็จงบอกแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าคิดว่าจักทำให้สำเร็จตามความต้องการของท่านได้ "นายช่างพระอินทร์รุกเร้าถาม

    สุรุจิพราหมณ์จึงว่า "ดูกรนายช่าง บัดนี้เราได้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ประมาณแสนกว่ารูปเอาไว้ให้มารับบิณฑบาตฉันในวันพรุ่งนี้ ตอนอรุณรุ่งเช้า เราคิดว่าจะจ้างให้ท่านสร้างมหามณฑปใหญ่ ให้ปูลาดเป็นอาสนะถวายพระสงฆ์มากมายเห็นปานนั้น ท่านยังจะสามารถรับทำได้หรือไม่?"

    "ข้าพเจ้ารับจะสร้างให้เสร็จตามความต้องการของท่านได้แต่ว่าท่านสามารถจะให้ค่าจ้างแก่ข้าพเจ้าได้หรือ?" นายช่างพระอินทร์กลับถามถึงเรื่องค่าจ้างแรงงาน

    "เอาเถิด...เมื่อท่านทำได้ตามความต้องการของข้าพเจ้าแล้ว ท่านประสงค์ค่าจ้างเท่าใด ข้าพเจ้าจะไม่ขัดข้องเลย แม้แต่ชีวิตของข้าพเจ้าก็ยินดีสละให้ได้ อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติที่ข้าพเจ้ามีอยู่เลย ขอให้ข้าพเจ้ามีสถานที่ๆ จะถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสงฆ์ตามความตั้งใจของข้าพเจ้าก็แล้วกัน" พราหมณ์กล่าวตอบ

    อินทวัฑฒกีก็กล่าวว่า "ดีแล้ว" ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะรับทำเอง ขอท่านจงบอกสถานที่ๆ จะก่อสร้างมณฑปนั้นเถิด" เมื่อสุรุจิพราหมณ์ชี้มือไปยังบริเวณเนื้อที่อันกว้างใหญ่ของตนแห่งหนึ่ง จึงไปยืนแลดูที่บริเวณนั้นด้วยกำลังเทพศักดามหานุภาพ ก็บันดาลภูมิสถานบริเวณกว้างใหญ่นั้น ให้มีอันเตียนเลี่ยนตลอดราบรื่นมีพื้นเสมอเป็นอันดี สมเด็จท้าวสักรินทรโกสีย์จึงดำริว่า
    "ในภูมิสถานมีประมาณเท่านี้ มหามณฑปแล้วไปด้วยแก้วเจ็ดประการ จงบังเกิดมี ณ กาลบัดนี้"
    คราที่นั้น ก็บังเกิดมหัศจรรย์ด้วยเทพนฤมิต มหามณฑปวิภูสิตสำเร็จแล้วด้วยแก้วหลังใหญ่ ก็ทำลายปฐพีผุดขึ้นมา เสาและขื่อแห่งมหามณฑปนั้น ประดับสลับต้นกันแล้วไปด้วยแก้วและเงินทอง ตามเชิงข่ายรายรอบเขตมณฑปนั้น มีระบายตาข่ายกระดึงแก้วและทองห้อยอยู่ระยับสลับกันเป็นอันดี เวลามีลมอ่อนรำเพยพัด ก็อุบัติเสียงเสนาะศัพท์สำเนียงกระดึงดังวังเวงฟังเสียงดังเพลงทิพย์ อนึ่ง ในที่ว่างบางแห่งย่อมมีทิพย์สุคนธบุปผชาติหอมฟุ้งขจรตลบอบอวลไปทั่วมหามณฑปสถาน แล้วสมเด็จท้าวมัฆวานเทวราชจึงอธิษฐานจิตเนรมิตว่า
    "อาสนะอันสมควรพร้อมทั้งตั่งรองเท้าน้ำใช้น้ำฉัน จงพลันบังเกิดขึ้นภายในมณฑปนี้"


    ทรงอธิษฐานแล้ว ก็ทอดพระเนตรไปในมหามณฑปขณะนั้น อาสนะสงฆ์ครบจำนวนก็บังเกิดขึ้นพลันพร้อมไพบูลย์และมีตุ่มใหญ่ๆ เต้มไปด้วยน้ำใสตั้งไว้ตามมุมมหามณฑปนั้น ครั้นสำเร็จสิ่งประสงค์แล้ว ก็กลับมาบอกความแก่สุรุจิพราหมณ์ผู้เป็นนายจ้าง ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งวิตกอยู่ในเรือนด้วยคิดว่า บุรุษนายช่างนั้นคงทำไม่สำเร็จเสียมากกว่า เพราะตามธรรมดาต้องใช้เวลาสร้างนานเป็นเดือนเป็นปี ครั้นท้าวโกสีย์แปลงมาบอกว่า
    "ข้าแต่ท่าน บัดนี้ มหามณฑปนั้น ข้าพเจ้าทำสำเร็จแล้ว ท่านจงไปดูก่อน เสร็จแล้วอย่าลืมย้อนกลับมาให้ค้าจ้างค่าออกแก่ข้าพเจ้าเสียก็แล้วกัน"

    พราหมณ์ผู้โพธิสัตว์เจ้าได้สดับดังนั้น ก็ดีใจ รีผลุนผลันลุกขึ้นออกไปดู ครั้นเห็นประจักษ์แจ้งแก่สายตา ก็มีความโสมนัสเป็นล้นพ้น มีกมลเต็มไปด้วยปิติ มิได้ทันที่จะคิดถึงสิ่งใด รีบกลับเข้าไปในเรือนเพื่อจักจ่ายทรัพย์อันเป็นค่าจ้างแก่นายช่างผู้วิเศษ ก็ให้เกิดเหตุอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น เพราะว่าคนผู้เป็นนายช่างซึ่งทวงค่าจ้างอยู่เมื่อครู่นี้ ให้มีอันเป็นอันตรธานหายไปเสียแล้ว จึงได้สติวิจารณ์ดูด้วยปัญญา ก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า
    "มหามณฑปประดับงามตระการเป็นปานนี้ มนุษย์ที่ไหนจักทำได้ นี่ชะรอยท้าวสหัสนัยน์จอมไตรตรึงษ์ทรงรู้ถึงความวิตกหนักใจของเรา จึงทรงพระอุตสาหะเสด็จมากระทำความอนุเคราะห์แก่อาตมาเป็นแน่แท้"


    ครั้นตระหนักแน่ในใจฉะนี้ ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาเป็นทวีตรีคูณในบุญวิบากเป็นนักหนา จึงจินตนาการสืบไปว่า
    "ด้วยความงามของมหามณฑปมีความประเสริฐถึงเพียงนี้ อาตมาจะถวายทานแก่พระสงฆ์มีองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเป็นประธาน แต่เพียงเวลากาลวันเดียวหาควรไม่ จำเราจักอาราธนาพระสงฆ์ถวายทานสืบไปอีก ให้ได้สักเจ็ดวันเถิด นั่นแหละจึงจะสมควร"


    ดำริดังนี้แล้ว สุรุจิพราหมณ์ผู้มีทรัพย์มหาศาลก็สั่งให้จัดแจงพัสดุสิ่งของสำหรับถวายทานเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก ได้บำเพ็ญมหาทานบริจาคแด่พระสงฆ์มากมายสุดประมาณทุกๆ วันถ้วนถึงเจ็ดวัน ครั้นถึงวันอวสานที่สุดจะเลิกแล้วนั้น สุรุจิพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ได้จัดบำเพ็ญมหาทานเป็นพิเศษ คือครั้นพระภิกษูสงฆ์ทั้งปวงฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยก็ให้ชำระบาตรเช็ดถูให้สะอาดดีแล้ว ก็ให้ใส่ให้เต็มด้วยน้ำมันเนย น้ำผึ้งน้ำอ้อยทั้งแสนกว่าบาตรเป็นส่วนเภสัชทานแล้ว ก็จัดการถวายไตรจีวรครบผ้าบริวารอันกอปรด้วยมูลค่าเป็นอันมาก แต่ผ้าไตรจีวรที่มิสู้งามที่ถึงแก่พระภิกษุนวกะผู้บวชใหม่ สถิต ณ อาสน์สุดท้าย ก็ยังมีค่านับได้หลายตำลึง จะป่วยการกล่าวไปใย ถึงไตรจีวรที่ได้แก่พระเถระผู้ใหญ่ในสังฆมณฑลนั่นเล่า


    คราวนั้น สมเด็จพระสุมังคละบรมโลกุตมาจารย์ เมื่อจะทรงประทานภัตตานุโมทนากถา จึงทรงพิจารณาว่า
    "มหาพราหมณ์ผู้นี้ มีอุตสาหะมาบำเพ็ญอามิสมหาทานใหญ่ยิ่งนักฉะนี้ จะมีอานิสงส์เป็นประการใดหนอ"


    ก็ทรงทราบด้วยพระญาณทุกประการแล้ว จึงโปรดประทานพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
    "ดูกร มหาพราหมณ์ กาลล่วงไปในอนาคตกำหนดไว้ ๒ อสงไขยเศษอีกแสนกัป ในเบื้องหน้านั้น ตัวท่านจะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุด ๒ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปนั้น"
    ครั้นได้สดับพระพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระชินสีห์เป็นลัทธยาเทศเช่นนี้ สุรุจิมหาพราหมณ์โพธิสัตว์ก็ปรีดาปราโมย์ยิ่งนัก ดำริว่า
    "เราจักได้สำเร็จโพธิญาณเป็นเที่ยงแท้แล้ว ก็แต่ว่า บัดนี้ จักมีประโยชน์อันใด ด้วยฆราวาสวิสัยครองเรือนอยู่ จำเราจักสู้อุตสาหะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีออกบวชดีกว่า"


    เบื้องว่า พระโพธิสัตว์นั้น ครั้นคิดบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเช่นนี้ จึงสละสมบัติอันไพบูลย์มิได้อาลัย ออกบรรพชาในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าบรมศาสดา อุตสาห์บำเพ็ญคันถะธุระและสมถกรรมฐาน ก็สำเร็จฌานอภิญญาสมาบัติมิได้เสื่อม สิ้นชนมายุแล้วก็ไปอุบัติเกิดเป็นองค์พระพรหมวิเศษ เสวยพรหมสุข ณ ชั้นพรหมโลก

    ๔. สมเด็จพระสุมนะอุบัติ

    เมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมังคละบรมโลกนายกเสื่อมสิ้นล่วงไปแล้ว โลกก็ว่างจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานสิ้นกาลได้พุทธันดรหนึ่ง จึงปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเสด็จอุบัติตรัสในโลกนี้อีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมไตรโลกนายก ทรงประกาศศาสนธรรมนำสัตว์ทั้งหลายให้ออกจากทุกข์ในวัฏสงสารได้เป็นจำนวนมาก

    กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในภุชงคตระกูล เป็นพญานาคราชนามว่า พญาอดุลยวาสุกรี มีมหิทธศักดานุภาพอันยิ่งใหญ่ ได้เป็นอิสสราธิปไตยในนาคพิภพ ครั้นได้แจ้งกิตติศัพท์บันลือว่า
    "บัดนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมนะบรมศาสดาจารย์ ทรงอุบัติมาตรัสในโลกแล้ว"
    เพียงแต่ได้สดับอรรถประโยคนี้เข้าเท่านั้น พญาอดุลยวาสุกรีก็ให้มีอันเป็นเกิดขนพองสยองเกล้าด้วยความปรีดาปราโมทย์เป็นนักหนา รีบพาประยูรวงศ์สัมพันธ์ ญาติคณานาคบริษัทออกจากนาคพิภพมาถวายนมัสการกระทำสักการะบูชาสมเด็จพระสุมนะพุทธองค์กับพระอริยสงฆ์บริวาร ทำการประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีสำเนียงเสนาะเลิศ แล้วได้อุทิศถวายทิพยภูษามีสีงามประเสริฐแด่พระพุทธองค์และพระสงฆ์บริวารมีหฤทัยเบิกบานชมชื่นในพระพุทธคุณ ถึงพระไตรสรณคมน์เป็นนาถะที่พึ่ง


    จึงในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระสุมนะบรมศาสดาจารย์ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
    "พญาอดุลยนาคราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนกัปแล้วจักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่ง ๒ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น"

    ครั้นได้สดับพระพุทธพยากรณ์ฉะนี้ พญาอดุลยวาสุกรีก็มีจิตยินดีปราโมทย์ยิ่งนัก แล้วถวายนมัสการลงพาบริวารของตนกลับไปยังนาคพิภพ เสวยภิรมย์ชมสมบัติเป็นสุขอยู่ตลอดกาลนาน จวบจนถึงกาลอายุขัย

    ๕. สมเด็จพระเรวตะอุบัติ


    เมื่อศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมสูญหมดสิ้นไปแล้ว โลกก็ว่างเปล่าจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลาสิ้นกาลนับได้พุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมโลกนายกทรงพระยศพระคุณหาที่สุดมิได้นำสัตว์ทั้งหลายให้ลุถึงความเกษมสวัสดีเป็นอันมาก

    กาลครั้งหนึ่ง พระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า อติเทวมาณพ ศึกษาเจนจบในไตรเวทางคศาสตร์ วันหนึ่ง ได้มีโอกาสสดับมธุรสธรรมิกถา ที่แสดงคุณแห่งปหานการละกิเลส จากพระโอษฐองค์สมเด็จพระโลกเชษฐเรวตะพุทธเจ้า แล้วมีจิตเลื่อมใสนักหนามีศรัทธาตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ ยกมือขึ้นเหนืออุตมางค์ พลางเปลื้องผ้าห่มสีสวยสดมีค่าหนึ่งพันตำลึง ออกทำสักการะบูชาพระสัทธรรมเทศนา


    จึงในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระเรวตะบรมศาสดาจารย์ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า
    "อติเทวมาณพผู้นี้ นานไปในอนาคตจักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมในกาลภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่ง ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัป"


    ครั้นได้สดับพระพุทธพยากรณ์ ฉะนี้ อติเทวมาณพผู้โพธิสัตว์ทรงพุทธบารมี ก็มีจิตยินดีปลาบปลื้มเป็นทียิ่ง อุตสาหะบำเพ็ญกุศลทรงพระบารมี ครั้นถึงแก่ชีพิตักษัยก็ได้ไปอุบัติเกิดในสุคติภูมิ


    ;aa40​

    พระเทพมุนี (วิลาส ญาณวโร)
    มุนีนาถทีปนี : ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า
    หน้า ๑๕๙-๑๖๘
     

แชร์หน้านี้

Loading...