(๑๓) มุนีนาถทีปนี: ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 21 กรกฎาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    บทที่ ๔


    พระบารมีตอนปลาย

    บัดนี้ จักพรรณนาถึงการสร้างพระบารมี เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณขององค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าตอนปลาย คือตอนที่ทรงได้รับลัทธาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายต่อไป

    เมื่อพระองค์ได้ทรงเริ่มสร้างพระบารมีตอนต้นเป็นมโนปณิธานตั้งความปรารถนาซึีงพระพุทธภูมิแต่ในพระหฤทัยเป็นเวลานาน ๗ อสงไขยและต่อมาได้ทรงสร้างพระบารมีตอนกลางเป็นวจีปณิธานตั้งความปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิด้วยการออกโอษฐ์เปล่งพระวาจาเป็นเวลานาน ๙ อสงไขย ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน ตอนนี้ ก็ถึงการสร้างพระบารมีตอนปลาย ซึีงเป็นตอนที่สำคัญเพราะความมุ่งมั่นในพระโพธิญาณของพระองค์ใกล้จะสำเร็จลงแล้ว โดยได้รับลัทธาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายว่าจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในกาลอนาคตแน่นอน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า พระองค์ใดทรงเป็น นิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้แน่นอนต่อการได้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ในตอนนี้เองแม้ว่าพระองค์ใกล้จะได้สำเร็จพระโพธิญาณ เพราะได้ผ่านการสร้างพระบารมีมานาน ๒ ตอนต้น รวมกันถึง ๑๖ อสงไขยก็ดี ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังต้องทรงสร้างพระบารมีในตอนปลายนี้อีก เป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขย กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป

    ก่อนอื่นขอแจ้งให้ทราบว่า ในการกล่าวถึงการสร้างพระบารมีตอนปลายนี้ ตั้งใจว่าจะพรรณนาให้มากกว่าตอนอื่น เพราะเป็นตอนสำคัญที่เราท่านควรสนใจ เมื่อได้ปรับความเข้าใจกันเป็นอันดีเช่นนี้แล้ว ก็จะได้เริ่มเข้าเรื่องเสียที

    ที่ว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเราทั้งหลาย ได้ทรงพระอุตสาหะสร้างพระบารมีในตอนปลายนี้ เป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัปนั้น พึงทราบตามลำดับของพระชาติที่พระองค์ทรงมีโอกาสพบสมเด็จพระพุทธเจ้าและได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่พระองค์พบในพระชาตินั้นๆ ดังต่อไปนี้

    ๑. สมเด็จพระทีปังกรอุบัติ

    บรรดาเวลา ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัปนั้น ในอสงไขยที่หนึ่งคนแรกทีเดียว ปรากฎว่ามีสารมัณฑกัปหนึ่งบังเกิดขึ้น ก็คำว่า สารมัณฑกัปนี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะจำได้ว่า เป็นกัปที่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ๔ พระองค์ใช่ไหมเล่า เพราะได้เคยกล่าวไว้แล้วในตอนว่าด้วยเรื่องอสุญกัปโน่นแล้ว ก็ในสารมัณฑกัปที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่ ก็มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ๔ พระองค์ คือ
    ๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎตัณหังกรพุทธเจ้า
    ๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฏเมธังกรพุทธเจ้า
    ๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจ้า
    ๔. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรพุทธเจ้า

    ก็ในระยะกาลที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ พระองค์แรก คือพระตัณหังกรพุืทธเจ้าและพระเมธังกรพุทธเจ้า และพระสรณังกรพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกและประกาศพระศาสนาอยู่นั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเรา ก็ได้เกิดในโลกนี้ ด้ประสบพบปะและสร้างพระบารมีในสำนักของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทุกๆ พระองค์มา แต่เพราะวาสนาบารมียังไม่เต็มที่บริบูรณ์ดี จึงยังไม่ได้รับลัทธาเทศพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์นั้นเลย ฉะนั้นตอนนี้จึงไม่ค่อยสำคัญเท่าใดนัก มาถึงตอนสำคัญเอาเมื่อถึงศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในสารมัณฑกัปนั้น คือศาสนาของสมเด็จพระสรรเพชญทีปังกรพุทธเจ้า จึงจะเกิดเหตุสำคัญ ซึ่งจะได้พรรณนาดังต่อไปนี้

    จะกล่าวกลับจับความ จำเิดิมตั้งแต่ศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจ้า ค่อยเสื่อมสลายสูญสิ้นไปหมดแล้ว โลกก็ว่างจากศาสนาอยู่ชั่วระยะกาลนานช้า ต่อมาจึงได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นอีกพระองค์หนึีง สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็ทรงประกาศพระพุทธศาสนา ยังศาสนธรรมให้แผ่กว้างออกไปเหล่าสัตว์ทั้งหลายในสมัยนั้น ครั้นได้รับรสพระธรรมเทศนา ต่างก็ได้บรรลุมรรคผลตามสมควรแก่อุปนิสัยของตนเป็นอันมากแล้ว

    กาลครั้งนั้น ยังมีพราหมณ์มาณพหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏนามว่า สุเมธพราหมณ์ มีทรัพย์มหาศาลนับได้มากมายหลายโกฏิทีเดียว นอกจากนั้นยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงมนต์ เฟื่องฟุ้งรู้แจ้งในไตรเพทางคศาสตร์ฉลาดในศิลป์สิ้นทุกประการ วันหนึ่งสุเมธพราหมณ์ผู้หนุ่มนั้น นั่งอยู่ภายในห้องระโหฐานเป็นที่สงัดแล้วรำพึงขึ้นด้วยจินตามยปัญญาว่า
    "ขึ้นชื่อว่า การก่อภพกำเินิดเกิดเป็นรูปกายขึ้นใหม่นี้ ย่อมมีกองทุกข์ท่วมท้นหฤทัยเที่ยงแท้ อนึ่ง แม้เมื่อชนม์ชีพแตกพรากจากกายทำลายร่างสรีรพยพนั้นเล่า ก็เป็นทุกข์ถึงที่สุดใหญ่ยิ่งกว่าทุกข์ทั้งปวง การก่อภพชาติใหม่นี้เป็นทุกข์ใหญ่หลวง เพราะก่อชาติกำเนิด ชาติก่อให้เกิดชรา ชราก่อให้เกิดพยาธิมรณะ เมื่อชาติชรา พยาธิ มรณะ มีขึ้นมาได้แล้ว ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไข้ ไม่ตายก็คงจะมีเป็นแม่นนั่น อย่ากระนั้นเลย ควรที่เราจะประสงค์เจาะจงแสวงหาความดับชาติ ชรา พยาธิ มรณะนั้นให้จงได้ อนึ่ง ตัวเราคงต้องตายต้องทอดทิ้งซึ่งร่างกายอันเน่าเปื่อยปฏิกูลนี้ แล้วไปเกิดใหม่ให้ได้ทุกข์อีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไฉนจึงยังหนักหน่วงห่วงใยในร่างกายเครื่องปฏิกูลนี้อยู่เล่า ควรที่เราจะพึงหาทางออกไป ไม่เกิดเสียจะดีกว่า ก็แต่ว่าหนทางนั้นเห็นทีจะพึงพบได้โดยยาก จำเราจะพึ่งความพยายามให้จงมาก อุตสาหะเสาะแสวงหาหนทางนั้นให้พบจงได้ อนึ่งความทุกข์ภัยพยาธิมีแล้วฉันใด ความสุขก็คงมีเช่นเดียวกัน อีกประการหนึ่ง เมื่อภวะกำเนิดคือความก่อเกิดมีแล้วฉันใด วิภวะคือความไม่ก่อกำเนิดเป็นร่างกาย ก็คงจะมีเช่นเดียวกัน อีกประการหนึ่ง เมื่อความร้อนคือเตโชธาตุไฟมีอยู่แล้ว ความเย็นคืออาโปธาตุ ก็มีไว้สำหรับความร้อนแก้กันฉันใด ก็เมื่อไฟคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย บังเกิดมีแล้ว สิ่งที่พึงระงับดับอัคคีเหล่านั้น ก็คงมีเป็นแม่นมั่น อีกประการหนึ่ง เหมือนการบาปมีแล้ว ย่อมมีการบุญแก้ ความเกิดมีแน่ ความไม่เกิดเที่ยงแท้ที่สัตว์พึงปรารถนา ก็คงจักมีเป็นแม่นมั่น
    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้ทรงพลัง แต่มีตัวแปดเปื้อนคูถอุจจาระเน่าเหม็นร้ายกาจนักหนา เมื่อมาเห็นสาระอันเต็มเปี่ยมด้วยน้ำใสสะอาด ควรหรือที่เขาจะไม่กระวีกระวาดล้างเนื้อล้างตัวเสียให้หมดมลทิน ก็ตัวเรานี้ ในเมื่อมลทินคือกิเลสที่ควรล้างกำลังแปดเปื้อนฉันใด ตัวเรานี่เล่า ก็มีร่างกาย อันเปรียบประหนึ่งหมู่มหาโจรใจฉกาจสามารถที่จะปล้นผลาญจิตใจ ให้ขาดจากกุศลธรรมทั้งปวง จำเราจะตัดห่วงเสน่หาในกายทอดทิ้งเสียอย่าให้มีอาลัย เหมือนหนึ่งบุรุษที่ถูกโจรชิงทรัพย์ไปฉันนั้นเถิด
    สุเมธมาณพผู้มีปรีชา ครั้นคิดอุปมาทบทวนย้อนหน้าย้อนหลังวิจิตรพิศดารมากมายดังนี้แล้ว ในที่สุด ก็ตัดสินใจให้เปิดคลังสมบัติของตนมากมายหลายโกฏิบริจาคให้เป็นทานแจกจ่ายยาจกวณิพกพวกอนาถาหาที่พึ่งมิได้จนหมดลิ้นแล้ว ก็ออกไปสู่ประเทศเขตป่าใหญ่ ณ ที่ใกล้เชิงเขาธรรมิกบรรพตจัดแจงสร้างบรรณศาลาอาศรมบทเป็นที่อาศัยเสร็จแล้วก็เปลื้องผ้าสาฎกเนื้อดีที่ตนครอง นุ่งผ้าเปลือกป่านและคากรองบวชเป็นดาบสสร้างพรตพรหมจรรย์ ไม่กี่วันต่อมา ก็ละทิ้งเสียซึ่งบรรณศาลาที่อยู่ เพราะรู้ว่ายังทำให้เกิดห่วงใย เข้าป่าลึกเข้าไปอีก อาศัยสถานร่มไม้รุกขมูลเป็นที่อยู่ เลือกดูผลไม้ที่หล่นลงมาเอาเป็นประมาณ รับประทานเป็นอาหารพอแต่ว่าเป็นปาปนมัติเครื่องเลี้ยงชีพเท่านั้น มีจิตมุ่งมั่นปฏิบัิติโดยทางกสิณานุโยคพยายามอยู่ในอรัญญสถานไม่นานก็ได้บรรลุอภิญญาสมาบัติ

    ครั้นเมื่อสุเมธดาบสผู้ยิ่งด้วยพรตพรหมจรรย์ ท่านได้สำเร็จอภิญญาณานสมาบัติบริบูรณ์ดี มีวสีภาพเชี่ยวชาญชำนาญแล้ว ก็เพลิดเพลินเจริญฌานเป็นสุขอยู่ หารู้ไม่เลยว่า บัดนี้ สมเด็จพระชินสีห์ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มาตรัสเป็นพระบรมโลกนายกแล้ว ความจริงนั้นควรจะรู้ หากไม่เพลิดเพลินเจริญฌานอยู่ เพราะธรรมดาวิสัยของผู้ได้อภิญญาสมาบัติย่อมรู้เห็นซึ่งนิมิตในกาลทั้ง ๔ ก่อน คือกาลเมื่อผู้ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาปฏิสนธิ ๑ กาลเมื่อพระองค์ประสูติจากพระครรภ์ ๑ กาลเมื่อได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ กาลเมื่อทรงประทานพระธรรมจักรเทศนา ๑ ซึ่งสุเมธดาบสฌานมีอยู่แล้ว จะไม่แสวงหาสระน้ำที่มีอมตธรรมเป็นอทกวารี แล้วล้างเสียซึ่งมลทินคือกิเลสนั้นหรือไฉน

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนโยธีนายทหารผู้ชายฉลาดที่ถูกข้าศึกศัตรู หมู่ปรปักษ์ปัจจามิตรมาล้อมไว้ เมื่อหนทางที่พอจะประลาดหลีกลี้หนีไปได้ยังมีอยู่ ควรหรือที่จะหลงมุมานะสู้จนเสียชีวิตไม่คิดหนี ก็ตัวเรานี้เมื่อข้าศึกคือกิเลสมีอำนาจร้อนรุมหุ้มห้อมล้อมไว้อยู่ และหนทางเป็นที่เกษมเปรมใจคือพระนิพพาน อันเป็นที่หลีกหนีจากกิเลสมีอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้จักไม่คิดหลีกหนีไปหรือไฉน

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีโรคาพยาธิบีฑาอยู่ เพื่อได้พบแพทย์ผู้วิเศษแล้ว ควรหรือที่บุรุษนั้นจะไม่คิดอ่านเยียวยารักษาพยาธิแห่งตนให้หาย ก็ตัวเรานี้ เมื่อโรคพยาธิคือกิเลสมาย่ำยีบีฑาเบียดเบียนอยู่ จะไม่เสาะแสวงหาแพทย์ทิพยาจารย์ให้พยาบาลขจัดเสียซึ่งโรคาพยาธิคือ กิเลสหรือไฉน

    อีกประการหนึี่ง เปรียบเหมือนชายผู้มีน้ำใจรักความสะอาด ซึ่งมีซากศพอันแรงร้ายกาจด้วยกลิ่นเหม็นปฏิกูลน่าเกลียดยิ่ง มาผูกพันกระสันติดอยู่กับคอตน ควรหรือที่ชายคนนั้นจะสู้ทนกลิ่นเหม็นได้ เขาย่อมจะร้อนรนขวนขวายปลดเปลื้องซากศพนั้นให้พ้นจากคอตนเสียโดยเร็วฉันใด ตัวเรานี้เล่าจะเอื้อเฟื้ออาลัยอาวรณ์อะไร ในร่างกายอันเน่าเปื่อยปฏิกูลมากมูลอยู่ด้วยซากสางต่างๆ จงรีบหาทางปลดเปลื้องทอดทิ้งเสีย อย่าให้เป็นห่วงใยเฝ้าอาลัยเหลียวแลอยู่ เหมือนบุรุษผู้มีซากศพติดคอนั่นเถิด

    อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษถูกหมู่โจรร้ายใจฉกาจมันอาจหาญพากันมาปล้นกลุ้มรุมชิงฉวยเอาห่อทรัพย์ได้แล้ว แลเห็นว่าตัวจักไม่สามารถเพื่อจะหักชิงเอาห่อทรัพย์กลับคืนมาได้ เขาย่อมสิ้นอาลัยในทรัพย์ไม่เสียดาย หมายแต่จะเอาชีวิตรอดรีบวิ่งหนีไปโดยเร็ว ข้อนี้มิได้รู้ในกาลสำคัญที่กล่าวมานี้ ก็เพราะความที่ตนเพลิดเพลินเจริญฌานเป็นการหนักอยู่ จึงมิได้เห็นมิได้รู้ด้วยมิได้ใฝ่ใจดูซึ่งเหตุอื่นเลย ต่อเมื่อหมู่มหาชนเป็นอันมาก อาราธนาสมเด็จพระทีปังกรตถาคตเจ้ามาแต่ปัจจันตประเทศ จึงเกิดเหตุมหาโกลาหลเป็นการใหญ่ เพราะว่าประชาชนทั้งหลายมีความชื่นชมโสมนัสต่างพากันจัดแจงตกแต่งหนทาง แผ้วถางเกลี่ยมูลพูนถมระดมกันกระทำทางเป็นที่เสด็จพระพุทธดำเนินอยู่

    ในขณะนั้น สุเมธดาบสผู้มีตบะอันสูง เพราะบรรลุฝั่งแห่งอภิญญา เที่ยวจาริกมาทางอากาศกลางเวหา มองลงมาเห็นประชาชนประชุมอยู่เป็นหมู่มาก ดูหลากประหลาดด้วยล้วนรื่นเริงบันเทิงจิตน่าพิศวง สุเมธดาบสจึงลงจากคัคฆณัมพรห้วงเวหาหาว แล้วมีพจนประภาษถามข่าวคราวชนมนุษย์หมู่นั้นว่า
    "มหาชนชวนชื่นรื่นเริงบันเทิงจิต ชวนกันประกอบกิจแผ้วถางปฐพีโสภโณภาสเพื่อบุคคลผู้ใดจะจรมา?"
    มหาชนเหล่านั้นได้ฟังถาม จึงแจ้งความแก่สุเมธฤาษีผู้มีฤทธิ์ว่า
    "ข้าแต่ท่านฤาษี! สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้อนุตตรโลกนายกยอดบุคคลเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายมีใจเลื่อมใสในพระองค์เป็นยิ่งนัก จึงชวนกันแผ้วยถางเพื่อให้เป็นทางที่เสด็จพระพุทธดำเนิน ณ สถลมารควิถีเพื่อที่จะได้เสด็จมาแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพวกเราชาวเมืองนี้"
    สุเมธฤาษี แต่พอได้สดับว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้วในโลกเท่านั้น ก็พลันเกิดปิติเป็นล้นพ้นสุดประมาณ จึงมาจินตนาการว่า กาลนี้ควรที่เราจะหว่านพืชเพื่อผล ขระนี้เป็นมงคลขณะบังเกิดมี หาควรที่เราจะมาทำละเมินเสียไม่ ครั้นได้คำนึงจินตนาด้วยอำนาจศรัทธากอปรด้วยญาณโสมนัสฉะนี้แล้ว จึงกล่าวกะชนเหล่านั้นว่า
    "แม้ท่านทั้งหลาย แผ้วถางทางถวายพระพุทธเจ้าละก็จงของให้โอกาสแก่เราสักแห่งหนึ่งเถิด เราบังเกิดศรัทธาปรารถนาใคร่จะทำทางถวายพระพุทธเจ้าบ้าง"
    คราวนั้น ชนทั้งหลายเห็นว่าฤาษีเป็นผู้มีฤทธิ์เป็นผู้มีฤทธิ์เพราะเหาะมากลางอากาศได้เช่นนั้น ก็เลยชี้มือไปตรงบริเวณซึ่งถากถางทางยากลำบาก เพราะมีเปือกตมโคลนเลน เป็นบริเวณที่ต้องถมหามูลดินมาเกลี่ยให้เสมอ เป็นส่วนที่ทำยาก แล้วบอกแก่ฤาษีว่า
    "ถ้าท่านปรารถนาจะทำทาง ถวายต้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จงทำบริเวณที่ตรงนั้นให้สำเร็จด้วยดีเถิด ท่านฤาษี"
    สุเมธดาบสบรมโพธิสัว์ ครั้นเขายกอนุญ่าตให้ทำที่ตรงนั้นให้สะอาดเรียบร้อย ก็มิรอช้า อุสาหะตั้งหน้าประกอบการมีจิตวารำพึงพระพุทธนามว่า พุทโธ นั้นเป็นเนืองนิตย์ เปลื้องหนังเสือที่รองนั่งออกผูกทำเป็นถุงกะทอห่อหิ้วซึ่งมูลดิน เอามาถมในที่ลาดลุ่มลึกเป็นเลนเหลวอยู่นั้น ยังมิทันที่จะทำได้สำเร็จตลอด เหลืออยู่ยาวประมาณชั่วตัวคน ก็ได้เวลาที่สมเด็จพระทศพลมิ่งมงกุฎพุทธทีปังกรศาสดา เสด็จพาพระขีณาสวสงฆ์มากมายมาใกล้จะถึง

    เสียงศัพท์บรรเลงอื้ออึง ด้วยสำเนียงทวยเทพศุภสุรคณานิกรเป็นถ่องแถวแนวสลอนด้วยมหาชนเอนกแน่นหนา ทำปัจจุคมนาการนำเสด็จพระพุทธดำเนินมา บางหมู่ก็ประโคมดุริยดนตรีแตรสังข์กังสดาลห้องกลองก้องสนั่นศัพท์แซ่ซ้องสาธุการ เอิกเกริกด้วยความโสมนัสทั้งมนุษย์และเทพยดาอินทร์พรหมต่างก็มีกรประณมมิได้คลายเคลื่อนแลละลานเลื่อนตามเสด็จพระพุทธดำเนินมา ฝูงเทวดาก็ประโคมทิพยดนตรีหมู่มนุษย์ก็ประโคมดีดสีตีเป่าตามภาษามนุษย์ ดำเนินนำตามเสด็จพระพุทธลีลา บางเทพยดาก็โปรยปรายทิพยบุปฝา มีดวงดอกทิพยมณฑารพโกสุมเป็นประธานลอยเลื่อนเกลื่อนทั่วทั้งทิศานุทิศ ณ เบื้องบนนภากาศ หมู่มนุษยชาติก็ยกขึ้นซึ่งเครื่องสักการะบูชาล้วนเครื่องหอม แห่ห้อมล้อมจรลีตามเสด็จพระพุทธดำเนินมา

    กาลครั้งนั้น สุเมธดาบสก็มีจิตเบิกบานอธิษฐานอุทิศชีวิตถวายแด่พระพุทธองค์ จึงปลดเปลื้องชำาสยายเกษาลง ลาดปูผ้าเปลือกไม้กับหน้งเสือรอนั่งบนเปือกตมนั้นแล้ว ก็ทอดกายนอนคว่ำหน้าลงต่อถนนที่ขาดลาดลุ่มเป็นเลนเหลว ที่ตนทำยังไม่ทันเสร็จนั้น พลันตั้งใจคำนึงนึกว่า
    "ขออาราธนาพระพุทธองค์ จงทรงพระมหากรุณาพาพระขีณาสวสงฆ์ทั้งหลายเสด็จทรงย่างพระบาทดำเนินไปบนกายแห่งข้าพระบาทนี้เถิด จักได้เกิดเป็นหิตานุหิประโยชน์แก่ข้าพระบาท พระองค์อย่าได้ย่างพระบาทหลักลงเลียบลุยเลนเหลวนี้เลย"
    แล้วก็หมอบคว่ำหน้านิ่งเฉย เพื่อรอให้สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าพาพระอริยสงฆ์ทรงเหยียบกายของตน ซึ่งทอดเป็นสะพานอยู่อย่างนั้น

    มีกรณีที่เราท่านทั้งหลาย ควรจะทราบไว้ในตอนนี้ ก็คือว่า ในขณะนี้หากสุเมธฤาษีจะปรารถนาหน่วงเอาอมตธรรมกำจัดกิเลสเสียให้ขาดจากสันดานแล้ว ก็จักได้สำเร็จอย่างแน่นอน เพราะอุปนิสสัยแห่งพระอรหังรุ่งเรืองเต็มอยู่ในสันดานแล้ว เพียงแต่ได้สดับพระสัทธรรมเทศนากึ่งบาทพระคาถาก็จักได้บรรลุอรหัตผล สำเร็จเป็นพระอรหันตอริยบุคคลทันที แต่สุเมธมหาฤาษีเคยสร้างพระบารมีมาเพื่อปรมาภิเษก สัมโพธิญาณปรารถนาการได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามานานนักหนา จึงในขณะนี้ท่านมหาฤาษีก็คิดไปว่า
    "จะมีประโยชน์ใหญ่หลวงอย่างไร หากเราจะได้อมตธรรมแต่เพียงตน จะมีประโยชน์ใหญ่หลวงอย่างไร ด้วยการได้ข้ามโอฆสงสารแต่ผู้เดียว แต่เมื่อใด เราได้ถึงความเป็นพระสัพพัญญูผู้ข้ามโลกแล้ว เมื่อนั้นเราจักยังสัตว์ทั้งหลายทั้งมนุษยโลกและเทวโลกให้ข้ามได้ด้วย จักให้ชึ้นสถิตสำเภอธรรม ขนส่งให้ลุล่วงข้ามถึงฝั่งแห่งพระนฤพานให้จงไ้ด้"
    จินตนาคิดไปเสียเช่นนี้ จึงมิปรารถนาเป็นสาวกสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในกาลครั้งนี้

    คราวนั้น สมเด็จพระภควันต์ทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเสด็จมาถึง จึงเสด็จสถิตอยู่ ณ เบื้องเศียรเกล้าแห่งสุเมธฤาษีนั้น ครั้นทรงพิจารณาดูด้วยพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ก็พลันมีพระพุทธฎีกา ตรัสแก่ชาวประชาพุทธบริษัททั้งหลายในที่นั้นว่า
    "ถ้าท่านทั้งหลาย แคล้วคลาดจากอมตธรรมไม่ได้บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษในศาสนาของเรานี้แล้ว และยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในภพสงสาร นานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า ก็จงปรารถนาให้ได้บรรลุในศาสนาของดาบสนี้เถิด ต่อไป ดาบสผู้นี้จักได้อุบัติตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในโลกทรงนามว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดม ในระยะเวลาอีก ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัป นักตั้งแต่กัปนี้เป็นต้นไป ในกรณีย่อมเปรียบเหมือนบุรุษที่ว่ายข้ามมหานทีถึงจะคลาดเคลื่อนจากท่าเหนือนี้ข้ามขึ้นไม่ได้แล้วไซร้ ก็คงจะข้ามขึ้นจากท้องนทีได้ ณ ท่าน้ำต่ำลงไปอีกเป็นแน่แท้ ฉันใด เมื่อท่านทั้งหลายแม้คลาดจากศาสนาของเรานี้แล้ว หากมีวาสนาก็คงจะได้สำเร็จในศาสนาของพระพุทธังกูรเจ้าดาบสนี้ ในอนาคตกาลฉะนั้น"
    เมื่อองค์พระภควันต์ทีปังกรพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ฉะนี้ ก็ทรงสงเคราะห์ยกทักขิณบาทเบื้องขวาขึ้นจรดกายสุเมธดาบสนั้นก่อน แล้วก็เสด็จบทจรพาพระขีณาสวสงฆ์เหยียบกายสะพานนั้นไป ฝ่ายเทพนิกร นาค ครุฑ คนธรรพ์เมื่อได้สดับพระพุทธฎีกาดังนั้น ต่างก็น้อมหัตถ์นมัสการพระพุทธังกูรสุเมธดาบสเจ้า แล้วก็เลยหลีกจรดลโดยเสด็จพระพุทธดำเินนต่อไป ครั้นล่วงทัศนวิสัยสมเด็จพระพุทธองค์สงฆ์บริษัทแล้ว สุเมธดาบสมหาบุรุษก็อุฏฐาการลุกขึ้นจากนั้น หากแต่ยังมีมนัสเต็มไปด้วยความสุขสันต์ปรีดาปราโมทย์ จึงมิได้เคลื่อนกายไปไหน กลับทำบัลลังก์นั่งสมาธิคำนึงด้วยปิติว่า
    "เรามีฌานชำนาญเป็นอันดี หมู่ฤาษีทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุจะได้มีอิทธิวชิรธรรม สามารถเสมอด้วยเรานั้นหามิได้ เพราะเราได้อาศัยสมบัติธรรมมากอยู่ในสันดาน จึงได้เสวยความสุขสิ้นกายวิการเห็นปานนี้"

    กาลเมื่อสุเมธฤาษีนั่งบัลลังก์สมาธิอยู่นั้น บรรดาเทพเจ้าทุกราศีสถานในโลกจักรวาล ต่างก็มาประสานศัพท์นฤนาทก้องแซ่ซ้องสาธุการถวายพรว่า
    "ท่านจักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเที่ยงแท้ มิได้แปรปรวนวิปริต ขอองค์ท่านจงสถิตถือมั่นผูกพันความพยายามไว้อย่าทำให้ความเพียรมั่นนั้นกลับถอยน้อยลงไป จงทำวิริยะบารมีให้ยิ่งใหญ่ เพื่อได้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณต่อไปเถิด"
    สุเมธดาบสบรมโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อได้สดับพระพุทธพยากรณ์ทำนายและเทพเจ้าทั้งหลายถวายพรดังนั้น ก็ยิ่งมีกมลมั่นคำนึงพินิจฉันในพระพุทธพยากรณ์นี้ว่า
    "อันธรรมดาพระพุทธพากยกถาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ย่อมเป็นสุภาษิต จะได้วิปริตผิดพจนะกระแสแปรไปเป็นสองหรือเปล่าสูญเสียมิเป็นจริงนั้น ย่อมเป็นไปมิได้ พระองค์ดำรัสอรรถคดีสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีเป็นแน่แท้สมกระแสพระพุทธบรรหารพระโพธิญาณของเราเห็นจะำไม่สูญคงจะสำเร็จสมประสงค์เป็นมั่นคง เราคงได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเที่ยงแท้แน่นอน"
    ครั้นคิดพินิจฉัยดังนี้แล้ว สุเมธมหาฤาษีจึงพิจารณาพระทศบารมีธรรมทั้งสิบสืบไป ด้วยอำนาจอภิญญาสสมาบัติอันตนชำนาญด้วยดีเป็นวสีภาพ จึงได้ทราบว่าโพธิปริปาจนธรรมสำหรับบ่มพุทธภูมินั้น ตนได้สั่งสมมามากมายชั่วระยะเวลานานนักหนาแล้ว ก็แลด้วยเดชะมหานุภาพที่พระดาบสนั่งพิจารณาบารมี ที่เคยสร้างไว้มากมายนับไม่ถ้วนอยู่ในขณะนั้น พอจบลงก็พลันบันดาลเกิดโกลาหล ทั่วพิภพจบสกลพสุธาดลพื้นปฐพี ก็มีอันก้องกึกพิลึกสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งว่าจะแหลกทลายลงก็ปานนั้น

    ครานั้น มหาชนต่างก็ล้มสยบหวาดเสียวอยู่มิได้ล่วงรู้ดีประการใด พากันตกใจกลัวแต่เหตุการณ์ข้าที่ร้ายนั่นแหละเป็นกำลัง จึงรีบพากันเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระทีปังกรสัมพุทธเจ้าแล้วกราบทูลถามว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! มหาโกลาหลนี้ จักเป็นด้วยมหาศักดานุภาพของทวยเทพอินทร์ พรหม ยมยักษ์ ฤาษีสิทธิศักดิ์ อสูร มานพ นาค ครุฑ ตนใด ข้าพระบาททั้งหลายจักได้ทราบนั้นหามิได้ จักเป็นมหาวินาสภัยมาบีฑาโลกธาตุ หรือจักเป็นด้วยอำนาจอุปัทวะการบาปกรรมสิ่งใดประดามี หือว่าจะมีสวัสดีมงคลเป็นประการใด ขอพระองค์จงทรงแสดงเหตุให้ทราบเกล้วแก่เหล่าข้าพระบาททั้งปวงด้วยเถิด พระเจ้าข้า"

    สมเด็จพระทีปังกรสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาสำแดงเหตุมหาุโกลาหลแก่มหาชนเหล่านั้นว่า

    "ท่านทั้งหลาย อย่ามีความสะดุ้งหวาดเสียวต่อภัยสิ่งใดเลย เหตุที่เมทนีคือแผ่นดินเกิดกึกก้องโกลาหลกำเริบเช่นนี้ ก็เพราะเราตถาคตได้พยากรณ์สุเมธฤาษีว่า เธอจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาล บัดนี้ สุเมธดาบสนั้นพินิจฉัยคำนึงในบารมีธรรมของตน ด้วยเหตุนั้น มหาโกลาหลจึงบังเกิดขึ้น ด้วยเดชะอำนาจคุณบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นเป็นเหตุ"

    หมู่มหาชน ครั้นได้สดับพระพุทธฎีกาดังนั้น ต่างก็มีกมลโสมนัสปสันการในพระสุเมธโพธิสัตว์ จึงพากันรีบจัดประทีปธูปเทียนบุปผาสุมาลัย ออกไปประชุมกันกระทำสักการบูชา ต่างกันก็มีมุรอัตถวาทีถวายพรด้วยคำมงคลเป็นต้นว่า

    "ขอให้ท่านดาบส ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้า สมจริงเถิด"

    แม้ทวยเทพในสกลสถานทั่วหมื่นโลกธาตุ ก็พากันมาประชุมสักการะบูชา ด้วยทิพยสุคนธมาลัยงามเลิศต่างๆ โปรยปรายลงมาราวกะห่าฝน ที่พื้นปฐพีดลดารดาษทั่วทิศ บันลือศัพท์สาธุการเพรียกพร้องร้องถวายเทพพรมงคลว่า

    "ข้าแต่พระสุเมธดาบสผู้เจริญ! วันนี้ท่านมาทำปณิธานอันยิ่งใหญ่ ได้แล้วซึ่งคำพยากรณ์จากสำนักแห่งสมเด็จพระทีปังกรทศพลญาณ ขอความปรารถนาของท่าน จงสำเร็จสมประสงค์ ขอท่านจงได้ตรัสเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ เหมือนเช่นพรรณพฤกษชาติ ย่อมทรงช่อต่อผลอุบัติโดยฤดูกาล อนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์พระองค์ที่ล่วงแล้วๆ ล้วนแต่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงที่สุด ก็ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณสถิตเหนือ อปราชิตบัลลังก์และได้ทรงแสดงพระธรรมจักรเทศนา อันเป็นพระพุทธประเพณีสืบมาฉันใด ขอท่านดาบสจงบำเพ็ญบารมีให้ถึงที่สุด แล้วสถิตเหนืออปราชิตบัลลังก์แสดงธรรมจักรเทศนา เหมือนกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นเถิด อนึ่ง นทีแม่น้ำน้อยใหญ่ใดๆ ย่อมมีกระแสชลอันไหลหลั่งมาสู่มหาสมุทรทั้งหมดนี้ฉันใด ขอท่านจงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์จอมโลก เป็นที่ไหลหลั่งมาแห่งสรรพสัตว์ทั่วโลกธาตุประชุมเป็นสโมสรสันนิบาตกัน ณ สำนักแห่งพระองค์ ดังมหาสมุทรใหญ่เป็นที่รวมแห่งกระแสชล ฉะนั้น"

    เมื่อสุเมธฤาษีผู้มีฤทธิ์ใหญ่ ได้เห็นหมู่เทพยดาและมนุษยนิกรมาสโมสรประชุมกันกระทำสักการะบูชา และอำนวยศุภพรด้วยประการเป็นอันมากเช่นนี้ ก็มีความปรีดาว่า กาลยังอีก ๔ อสงไขยกับเศษอีกแสนมหากัปเท่านั้น เราก็จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเที่ยงแท้ เมื่อแน่แก่ใจตนเช่นนั้น ก็มีความอิ่มใจยิ่งนัก จึงอธิษฐานมั่นด้วยวิริยะบารมีหน่วงเอาพระพุทธานุสสติเป็นอารมณ์ น้อมกายบ่ายพักตร์นมัสการเฉพาะทิศ ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคพุทธทีปังกรแล้ว ก็เหาะไปสู่ประเทศป่าใหญ่อันเป็นที่อยู่ของตนโดยนภากาศอยู่เจริญอภิญญาสมาบัติมิให้เสื่อม สิ้นชนมายุแล้วก็ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้.



    ;aa41
    พระเทพมุนี (วิลาส ญาณวโร)
    มุนีนาถทีปนี : ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า
    หน้า ๑๔๔-๑๕๗

    เกิด แก่ เจ็บ ตาย.jpg


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...