(๑๑) มุนีนาถทีปนี: ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 16 กรกฎาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี

    เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าของเรา แต่ครั้งมีพระบารมียังอ่อนถูกราคะกิเลสครอบงำ ทำให้ประกอบกรรมล่วงกามมิจฉาแล้วไปสืบปฏิสนธิเกิดในนรกเสวยทุกข์แสนสาหัสเป็นเวลานานนักถึง ๑๔ มหากัปดังกล่าวแล้ว แต่ต่อจากนั้น ด้วยอำนาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยู่ไม่เสื่อมคลายไปง่ายๆ ครั้นจุติจากนรกแล้ว จึงต้องไปสืืบปฏิสนธิถือกำเนิดเกิดเป็นฬา เป็นเวลานานนับได้ ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงไปถือกำเนิดเป็นโคอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็นคนพิการ ตาบอด หูหนวกแต่กำเนิดอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วมิหนำซ้ำให้ถือกำเนิดเป็นกระเทยอีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงมาถือกำเนิดเป็นสตรีอีก เป็นเวลานานถึง ๕๐๐ ชาติ

    ในกรณีนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย พึงสันนิษฐานลงเถิดว่าแต่เพียงเศษของอกุศลกรรมที่ทำด้วยความประมาทมาตามสนอง ก็น่าสะพึงกลัวยิ่งนักหนา ฉะนั้น จงอย่าได้ประมาทในอกุศลกรรมความชั่วทั้งปวงเลย ดูแต่พระโพธิสัตว์เจ้าของเรานี่เถิด ทั้งๆ ที่ตั้งพระหฤทัยไว้แล้วว่า จะขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอนุกูลสงเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลายอยู่โดยแท้ ควรแลหรือที่พระองค์ยังต้องถูกราคะกิเลสมาครอบงำเหยียบย่ำบีฑา แต่ครั้งเป็นมาณพหนุ่มช่างทอง ให้เกิดปรองดองรักใคร่กับภรรยาของผู้อื่น ได้ชมชื่นรื่นรมย์อยู่เพียงสามเดือน แต่ต้องถูกกรรมมาซัดทำให้วิบัติขัดขวางเสียเวลาที่จะสร้างบารมีเพื่อโพธิญาณนับเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ได้ ก็จะป่วยกล่าวไปใยถึงสามัญชนสัตว์ทั่วไปนี่เล่า อย่าได้ประมาทเลย

    เมื่อถือกำเนิดเกิดเป็นสตรีเพศได้สี่ร้อยกว่าชาติแล้ว ครั้นถึงพระชาติเป็นที่สิ้นสุด เศษปรทากรรมคือการล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น พระชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นสตรีเพศครบห้าร้อยนั้น ด้วยอปราปรเวทนียกรรมตามสนองจึงเป็นเหตุให้พระองค์ถือกำเนิดเป็นขัตติยกุมารี ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชผู้เป็นใหญ่

    ก็ในสมัยนั้น เป็นกัปที่มีชื่อว่า สารกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์เดียว ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชเช่นกันฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราซึ่งทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตราชกุมารี จึงทรงเป็นพระกนิษฐภคินีของสมเด็จพระมิ่งมงกุำฎพระองค์นั้น แต่ต่างพระมารดากัน

    เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรจอมไตรโลกุตมาจารย์เจ้าเสด็จมากอุบัติตรัสในโลก กาลครั้งนั้น หมู่มนุษย์นิกรนานาประชาชาติ มีสมเด็จพระพุทธบิดา คือพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชาธิราชเป็นประธาน ได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอันมาก พากันจัดสรรทำสักการะบูชาอุทิศเป็นพระพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และอุปัฏฐากบำรุงด้วยจตุปัจจัยในสังฆมณฑล พระพุทธศาสนาถึงความเจริญรุ่งเรืองนักหนา ประชาสัตว์ต่างได้ลิ้มรสอมตธรรม สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเป็นจำนวนมาก ตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของตนที่สร้างไว้

    วันหนึ่งเป็นเวลาสายัณหสมัยใกล้ค่ำแล้ว เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรี ประทับยืนอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ทอดพระเนตรลงมาข้างล่างก็ทอดทัศนาการเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งทรงสมณสารูป มีกิริยาอาการน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เจ้ากูมาประดิษฐานบิณฑบาตอยู่แทบพระทวารวัง พระนางเจ้าจึงทรงจินตนาว่า "ภิกษุมาบิณฑบาตในเวลาเย็น อันมิใช่กาลที่ควรบิณฑบาตเช่นนี้ ชะรอยจะมีประสงค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมั่นคง" ทรงจินตนาดังนี้แล้ว จึงดำรัสใช้บุรุษคนหนึ่งว่า "ท่านจงลงไปถามความต้องการของพระผู้เป็นเจ้าให้รู้แจ้งแล้วจงมา" ราชบุรุษรับพระดำรัสถวายบังคม ลงมาถามได้ความแล้ว กลับขึ้นไปทูลว่า "พระผู้เป็นเจ้า ประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน"

    เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรีนั้น จึงให้ไปอาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมาเอง ณ อาสนะอันสมควรแล้ว จึงมีพระดำรัสถามว่า
    "พระผู้เป็นเจ้า ต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด?"
    "ขอถวายพระพร พระราชธิดา! อาตมภาพโคจรบิณฑบาตน้ำมันได้เป็นอันมากแล้ว ก็แต่งประทีปมากมายนักหนาทำสักการะบูชาแด่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียันรุ่ง ครั้นเวลาสายสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน ณ สำนักแห่งพระบรมครูอาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายอีกเล่า แต่เฝ้ากระทำอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์เสมอมานะ พระราชธิดา ขอถวายพระพร"

    ทรงได้ฟังพระคุณเจ้าเล่าถวายให้ฟังดังนี้ เจ้าสุมิตตาราชบุตรีก็มีจิตยินดีเลื่อมใสหนักหนา จึงทรงถือขันสุพรรณภาชน์ยุรยาตรไปตักตวงน้ำมันพันธุ์ผักกาดจนเต็มขันแล้วก็ทูนเหนือเศียรเกล้านำมา ในขณะนั้นเจ้าหญิงราชธิดาก็ทรงบังเกิดความคิดอันสูงส่งบรรเจิดจ้าขึ้นมาว่า
    "สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของเราได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตว์โลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไปเบื้องหน้า ขอจงอาตมาได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่อจะอนุกูลแก่สัตว์โลกฉันนั้นเถิด"
    เมื่อเกิดความคิดคำนึง ฉะนี้แล้ว พระราชธิดาเจ้าจึงนำสุพรรณภาชน์น้ำมันนั้น ลงจากเบื้องบนพระเศียรเกล้าแล้วก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตั้งมโนปณิธานว่า
    "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าสำเร็จดังมโนรถเถิด พระคุณเจ้าขา ขอพระคุณเจ้าจงเอาน้ำมันนี้ไปบูชาองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธรรมิกราช ซึ่งตรัสเป็นองค์พระสัพพัญญูของข้าพเจ้าแล้ว ขอพระคุณเจ้าจงมีจิตการุณช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยว่า พระราชบุตรีกนิษฐภคิณีของสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านี้ ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีกาลประสาทโสมนัสศรัทธายิ่งนักหนา ขอน้อมพระเกศถวายอภิวาทพระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณ และขอตั้งปณิธานปรารถนาดังนี้ว่า ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้เป็นปัจจัยนานไปในอนาคต จักขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งแลขอให้ทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เหมือนด้วยชื่อแห่งน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด"
    ครั้นมีพระดำรัสไปดังนี้แล้ว สุมิตตาราชกุมารีก็ถวายอภิวาทพลางส่งพระผู้เป็นเจ้านั้นกลับไป

    ฝ่ายพระภิกษุผู้เป็นเจ้ารูปนั้น ครั้นได้น้ำมันตามความประสงค์มากกว่าทุกวันแล้วก็ดีใจนักหนา รีบอุ้มบาตรน้ำมันกลับมาสู่มหาวิหารในราตรีกาลวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ได้มีโอกาสกระทำประทีปบูชาให้สว่างไสวมากกว่าทุกวัน ครั้นแล้วจึงเข้าไปถวายอภิวาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงกราบทูลว่า

    "ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาค พระเจ้าข้า! เวลาราตรีนี้ข้าพระองค์ได้ตกแต่งประทีปบูชามากขึ้นกว่าทุกราตรีเช่นที่เห็นอยู่เวลานี้ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันภคินีของพระองค์ถวายมาและพระนางเจ้าได้ทำพุทธภูมิปณิธานว่า ด้วยเดชะผลทานที่ถวายด้วยใจเลื่อมใสยิ่งนักนี้ พระกนิษฐภคินีเจ้าปรารถนาขอได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สิทธัตถะในอนาคต ข้าพระองค์โอกาสกราบทูลถามว่า ความปรารถนาของพระภคินีเ้จ้าจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า?"

    สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณทีปังกรบรมศาสดาได้ทรงสดับแล้วจึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    "ดูกรภิกษุ! บัดนี้ สุมิตตาราชกุมารีกนิษฐภคินีของเรานั้น เจ้ายังตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรีเพศ จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ก่อน"

    "พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ! ก็พระกนิษฐภคินีของพระองค์จักไมมีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า" พระคุณเจ้ารูปนั้นถวายนมัสการกราบทูลขึ้นอีก

    ลำดับนั้น สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงพิจารณาดูในอดีตภาคก็ทรงทราบว่าพระกนิษฐภิคินีสุมิตตรากุมารีเจ้าได้เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้นานนักหนา แต่ครั้งเป็นมาณพแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรเป็นเดิม เมื่อทรงพิจารณาดูในกาลส่วนอนาคตภาค ก็ทรงทราบว่าพระน้องนางเจ้าอาจสำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิปณิธานได้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาว่า
    "ดูกรภิกษุ! กาลข้างหน้าในอนาคตนับแต่นี้ไปอีก ๑๖ อสงไขยหนึ่งแสนมหากัปจักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าสมเด็จพระทีปังกรซึ่งเป็นนามเสมอกับด้วยเรานี้ จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ในกาลนั้นแล สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าวพยากรณ์ซึ่งพระภคนีของเรา พระน้องนางจักได้รับลัทธยาเทศในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"

    เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสฉะนี้แล้ว พระภิกษุรูปนั้นก็ถวายนมัสการกระทำปทักษิณแล้ว ก็ไปสู่ปราสาทเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตากุมารี เล่าแจ้งความตามที่ได้ฟังมาจากพระโอษฐพระผู้มีพระภาคเจ้า พอได้ทรงสดับคำเล่าบอกจบจง เจ้าฟ้าหญิงก็ทรงมีพระกมลโสมนัสยิ่งนัก มีพระเสาวณีย์ถวายนิตยปวารณาว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าขา! แต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าจงอย่าได้เที่ยวไปแสวงหาที่อื่นเลย พระุคุณจงมารับน้ำมันในสำนักแห่งข้าพเจ้านี้เป็นนิตย์ทุกวันเถิด"

    ตั้งแต่วันนั้นมา พระผู้เป็นเจ้าก็มารับน้ำมันพันธุ์ผักกาดจากปราสาทของเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี ไปทำประทีปบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเป็นนิตย์ทุกวัน

    ฝ่ายเจ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารีนั้นเล่า ครั้นเวลาอรุณรุ่งเช้า ก็ให้จัดแจงอาหารอันประณีตเป็นอันมาก พร้อมด้วยเครื่องสักการะบูชามีมาลาและของหอมเป็นอาทิ แวดล้อมด้วยบริวารเข้าสู่มหาวิหาร ถวายบิณฑบาตทานแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเชื่อมั่นเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ก็จำเดิมแต่กาลนั้นมา เจ้าฟ้าหญิงก็มีให้พระหฤทัยเบื่อหน่ายจากความที่ได้อัตภาพเป็นสตรีเพศยิ่งนัก สู้อุตส่าห์ก้มหน้าบำเพ็ญกุศล เป็นต้นว่าบริจาคทาน รักษาศีล สมาทานอุโบสถ ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดเสวยทิพยสมบัติในดุสิตเทวโลก ก็เป็นอันว่า บัดนี้ สมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าของเราทรงหมดสิ้นจากเศษปรทารกรรมความล่วงเกินภรรยาของผู้อื่นแต่เพียงนี้

    อรติเทวราชบพิตร

    เมื่อเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี สิ้นพระชนมายุไปบังเกิดในสวรค์เทวโลกชั้นดุสิต เป็นเทพบุตรเสวยทิพยสมบัติอยู่สิ้นกาลนาน กำหนดได้ห้าสิบเจ็ดโกฎิกับอีกหกล้านปีแล้ว ก็จุติจากดุสิตสวรรค์ท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิดด้วยอำนาจวัฎสงสารอีกสิ้นกาลนานช้า

    กาลครั้งหนึี่ง พระองค์ได้ทรงมาถือกำเนิดในราชตระกูล ครั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้สืบราชสมบัติแทนพระราชบิดา ได้ราชาภิเษกเป็นเอกองค์อัครราชาธิบดี เถลิงสิริราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตร ดำรงราชกิจโดยทศพิธราชธรรม มีอำมาตย์ผู้หนึ่งนามว่า สิริคุตมหาอำมาตย์ เป็นผู้อนุศาสน์บอกอรรถธรรม

    ก็ในกาลครั้งนี้ ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้า คราวหนึ่ง พระองค์ทรงอุตสาหะเสด็จพระพุทธดำเนินมา ณ กรัณฑกะนครของพระเจ้าอรดีเทวราช เพื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาประกาศพระบวรพุทธศาสนา ให้เหล่าประชาสัตว์ได้ดื่มอมตธรรม ในขณะที่พระองค์เสด็จมาถึงพระนครนั้น พระฉัพพัณณรังษีหกประการอันซ่านออกจากพระพุทธสรีระกาย ปรากฎมากมายนักหนาครอบงำทั่วภารา แลดูราวกับว่าภานุมาศเทพมณฑล คือพระจันทร์มาอุทัยไขรัศมีพร้อมกันทั้งพันดวง มีรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสวน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

    ในระยะนั้น สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตรกำลังประทับนั่งบนพระแท่นรัตนบัลลังก์ ณ พื้นเบื้องบนพระมหาปราสาท มีสิริคุตมหาอำมาตย์หมอบเฝ้าอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์ ครั้นท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรังษีมาปรากฎอย่างอัศจรรย์ มิได้ทันที่จะทรงพระอนุสรณ์คำนึงเห็นว่าเป็นอะไรกันแน่ จะว่าเป็นพญาไกรสรสีหราชหรือว่าเป็นเทพยดามนุษย์นิกรคนธรรพ์กินนรมากระทำฤทธิ์ให้วิปริตไปก็ให้ทรงมีพระกมลสะท้านหวาดเสียวเป็นที่สุด ทรงมีพระอาการจะทรุดพระองค์ลงจากพระราชบัลลังก์อาสน์

    สิริคุตมหาอำมาตย์ได้เห็นพระอาการสะดุ้งพระราชหฤทัยดังนั้น จึงรีบผายผันไปทัศนาดูโดยสีหบัญชรของพระแกล ก็แลเห็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งทรงพระสิริโสภาประดับด้วยพระทวัตติงสะมหาปุริสลักษณ์และพระอสีติยานุพยัญชนะมีพระฉัพพรรณรังษีโอภาสทำให้สว่างกระจ่างจับทั่วสกลภารา สิริคุตมหาอำมาตยาบดี แต่พอได้ทอดทัศนาเห็นพระองค์เช่นนี้ก็ทราบได้ทันทีว่า เจ้าของพระรัศมีนั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคราวนี้ หากจะมีปัญหาว่า ทำไมสิริคุตอำมาตย์จึงทราบได้ทันทีเช่นนี้ มีคำวิสัชนาว่า สิริคุตอำมาตย์ผู้นี้หรือก็คือ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ซึ่งได้มีอภินิหารบารมีอบรมมานานนักหนา นานกว่าพระเจ้าอรดีเทวราชมหากษัตริย์แห่งตน ได้เคยประสบพบปะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามากมายหลายร้อยชาติแล้ว ทั้งในชาตินี้ก็เป็นพระราชครูผู้รอบรู้สั่งสอนอรรถธรรมแก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นพอได้ทอดทัศนาเห็นสมเด็จพระจอมมุนี จึงพลันทราบได้ทันทีว่า องค์พระผู้ทรงพระรัศมีเห็นปานฉะนี้ คือ องค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นสิริคุตอำมาตย์ทราบชัดด้วยใจตนเองเช่นนี้ ก็มีจิตยินดีโสมนัสเป็นล้นพ้น รีบลนลานกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของตน

    ข้าแต่มหาราช พระเจ้าข้า! ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดเสียว ทรงพระวิตกถึงภัยสิ่งใดเลย แสงพระรัศมีที่เห็นนั้นเป็นแสงแห่งรัศมีของท่านผู้ทรงบุญญาธิการยิ่งผู้หนึ่ง ที่กำลังมุ่งหน้ามาสู่พระนครของเรานี้ และท่านผู้มีกำลังมาสู่พระนครเรานี้นั้น จะได้เป็นสามัญบุคคลก็หามิได้ โดยที่แท้ ท่านผู้นั้นคือสมเด็จพระมิ่งมงกุฎบรมศาสดาจารย์ผู้ทรงพระสัพพัญญุตญาณยอดโลกแล้ว ท่านผู้นี้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้อุดมในไตรโลกเป็นเอกอัครโลกนายก ทรงอุบัติขึ้นเพื่อจะเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงเป็นพระเ้จ้าผู้ชนะมารและสมควรจะรับสักการะบูชาน้อยใหญ่ของประชาสัตว์ทั้งหลาย ทรงมีคติที่ไปเป็นอันดี ทรงไพบูลย์ด้วยวิทยาและจรณธรรม เป็นผู้อำนวยนำนิพพานสุขให้แก่ฝูงสัตว์ได้ พระองค์ย่อมเป็นใหญ่ในสามภพตรัสรู้แจ้งจบในสรรพเญยยธรรมทั้งปวง ด้วยพระองค์เป็นผู้วิเศษในทางทรมานสัตว์บุรุษดุจสารถีอุดม ทรงเป็นบรมศาสดาของหมู่เทพยดาแลมนุษย์ เป็นพุทธบุคคลเบิกบานในโลก จะหาผู้ใดเปรียบโดยคุณธรรมใดๆ มิได้ เป็นผู้ไม่มีความอาลัยแล้วในสรรพสมบัติอันเป็นเครื่องรัดตรึงสัตว์ทั้งปวงไว้ มีปัญญาจักษุลุล่วงในทางเป็นประโยชน์ ทรงเป็นธรรมสามีใหญ่ในธรรมสำเร็จพระพุทธภูมิเหมือนพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน ทรงมีพระกมลมากด้วยความละเอียดอ่อนยิ่งด้วยพระมหากรุณา ทรงสามารถที่จะประกาศธรรมโฆษณา ทั่วทั้งไตรโลกธาตุ พระเจ้าข้า"

    เมื่อสิริคุตอำมาตย์ประกาศพรรณนาพระพุทธเจ้าด้วยพจนากถาอยู่ฉะนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์พรหมเทวาสัมมาสัมพุทธเ้จ้าได้เสด็จมาใกล้สถานที่นั้นโดยลำดับกาล สิริคุตอำมาตย์เห็นสมเด็จพระพิชิตมารเสด็จมาใกล้ จึงทูลเตือนให้พระสติแำก่พระเจ้าอรดีเทวราชว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า! ขอเชิญเสด็จอุฏฐานการจากราชบัญลังก์ ไปทำปัจจุคมนาการต้อนรับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าข้า"

    สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบรมกษัตริย์ ครั้นได้ทรงสดับสิริคุตมหาอำมาตย์กราบทูลดังนี้ พระองค์ก็ทรงมีพระกมลโสมนัสเต็มตื้นไปด้วยพระปิติ ซาบซ่านไปทั่วทั้งพระสรีระกาย ทรงมีพระพักตร์มืดมนด้วยกำลังพระปิติกล้า ในขณะนั้น พระองค์ก็ทรงมีปวัตตนาการวิงเวียนล้ม และตกลงมาจากชานพระทวาร น่าตกใจกลัวจะสิ้นพระชนม์นักหนา แต่ด้วยอำนาจพระราชศรัทธาอันกล้าหาญของพระองค์มาโอบอุ้ม จึงเกิดอัศจรรย์บันดาลเกิดเป็นดอกเศวตโกสุมปทุมชาติงามสะอาดตระการประมาณเท่ากงเกวียน แหวกพื้นปฐพีผุดขึ้นบานรับประคับประคองพระองค์ไว้ ครั้นทรงได้พระสติจึงทรงเลื่อนพระองค์ลงจากดอกปทุมบุปผชาติ และดอกปทุมบุปผชาตินั้นก็เลื่อนหายไปในขณะนั้นทันที สมเด็จพระเจ้าอรตีเทวราช จึงเสด็จยุรยาตรไปด้วยพระบาทเปล่า เข้าไปสู่สำนักเฉพาะพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระพรหมเทวาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถวายนมัสการและกระทำการสักการะบูชาด้วยสุมนบุปผชาติเลือกล้วนแต่ที่ดีๆ บริบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นบริสุทธิ์สะอาด ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใสโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่ทรงนิ่งงัน เฝ้านมัสการบูชาแล้วบูชาเล่าอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานแสนนาน

    ภายหลังต่อมา สมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราชบพิตรพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธา ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมภารถวายเครื่องอุปกรณ์ทานทั้งหลายอื่นเป็นอันมาก ทรงมีพระราชหฤทัยชื่นชมโสมนัสนัก แล้วทรงเกิดความคิดบรรเจิดจ้าปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ จึงทรงซบพระเศียรเกล้าก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตั้งพระทัยอุทิศทำพุทธภูมิปณิธานว่า
    "้ข้าแต่พระองค์ผู้สัพพัญญู! พระองค์ได้ตรัสเป็นพระพุทธองค์บรมนารถ สามารถยังสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้ตามได้ฉันใด ขอให้ข้าพระองค์ จงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจงสามารถนำสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้ตามด้วยฉันนั้น อนึ่งพระองค์ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณพ้นจากภพกันดารแล้ว และสามารถเปลื้องตัวในโลกทั้งหลาย ให้ล่วงพ้นจากภพกันดารด้วยฉันใด ขอให้ข้าพระองค์จงได้ตรัสรู้ธรรมเช่นนั้น และสามารถเปลื้องสัตว์โลกทั้งหลาย ให้ล่วงพ้นจากภพกันดารฉันนั้นเถิด"

    เมื่อสมเด็จพระเจ้าอรดีเทวราช ได้ทรงกระทำพระพุทธภูมิกปณิธานในพระทัยฉะนี้แล้ว ก็มีพระกมลเบิกบานบันเทิงเป็นหนักหนาแล้วจึงถวายนมัสการลา เสด็จอุฏฐาการกระทำประทักษิิณสมเด็จพระพรหมเทวาโลกนายกแล้ว ก็เสด็จกลับคืนสู่พระราชวัง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ทรงพระอุตสาหะสร้างสมพระราชกุศล ทรงบริจาคทานสมาทานศีลอุโบสถ ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ มีพระกมลนิยมยินดีในกุศลธรรมสุจริต มิได้เบื่อหน่าย ทรงมุ่งหมายในพระพุทธภูมิเป็นนิรันดร์ จนสวรรคตสิ้นพระชนมายุแล้ว เสด็จไปอุบัติเกิดในสวรรค์เทวโลก

    การสร้างพระพุทธบารมีที่เล่ามานี้ เป็นการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณตอนเริ่มแรก คือตอนมโนปณิธาน ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้แต่ในหฤทัยอย่างเดียว มิได้ออกโอษฐ์เปล่งวาจาปรารถนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูแห่งเราทั้งหลาย แต่เพียงส่วนน้อยในอสงไขยต้นเท่านั้น มิใช่ทั้งหมด อย่าเข้าใจผิดเ้ป็นอันขาด ความจริงพระองค์ได้ทรงสร้างพระบารมีในตอนนี้และได้พบพระพุทธเจ้ามากมายหลายชาตินักหนา จนนับไม่ถ้วน ไม่สามารถจะประมวลพระชาติของพระองค์มากล่าวไว้ให้หมดสิ้นในที่นี้ ได้จำไว้ง่ายๆ ก็แล้วกันว่า องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าของเราทั้งหลายนี้ พระองค์ทรงสร้างพระบารมีตอนเริ่มแรก ได้แต่นึกปรารถนาพระพุทธภูมิในพระหฤทัย ตามเรื่องที่ยกมาเล่าเป็นตัวอย่างนี้ นับเป็นเวลานานถึง ๗ อสงไขย

    ในกรณีนี้ ท่านผู้มีปัญญาก็ย่อมจะพิจารณาเห็นกันทั่วไปแล้วหรือมิใช่เล่าว่า การสร้างพระบารมีเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณขององค์พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นการลำบากแลใช้เวลายืนยาวนานเพียงไร

    พรรณาในมโนปณิธาน ความปรารถนาเริ่มแรกซึ่งพระพุทธภูมิแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดม เห็นสมควรที่จะยุติลงได้แล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้



    ;aa41



    พระเทพมุนี

    มุนีนาถทีปนี : ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า
    หน้า ๑๑๘-๑๓๐


     

แชร์หน้านี้

Loading...