แม่กาหลง

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 7 มกราคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
    าตมามาอยู่เข้าพรรษาที่วัดอัมพวันนี้เริ่มต้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ก็ไป ๆ มา ๆ ดูแลรักษาการณ์ พอดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสก็มาอยู่ประจำ สมัยก่อนนั้นมีพระภิกษุสงฆ์องค์เณรพรรษาหนึ่งไม่เกิน ๑๕ รูป หรืออย่างมากทีเดียวไม่เกิน ๑๕ รูป เพราะพื้นที่บ้านวัดอัมพวันนั้นบ้านน้อยไม่มากนักประชาชนยากจน มีอาชีพทางการทำนาทำสวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีผู้ที่มีเงินมีทองมั่งคั่งสมบูรณ์อันใดนัก และวัดอัมพวันนั้นต่อมาก็มีพระสงฆ์เพิ่มขึ้นพรรษาละ ๔๐-๕๐ รูปทุกปีตลอดมา อาตมาคิดว่าต่อไปจะก้าวหน้าได้ต้องหาสัปปายะ บางทีจะมีแขกมาที่วัดก็ต้องไปขอบิณฑบาตอาหารคาวหวานบ้านเหนือบ้านใต้มาเลี้ยงเขา ก็เป็นการลำบากแก่ประชาชนในท้องถิ่นนั้น มาคิดดูต้องหาสัปปายะทั้ง ๔ ให้ครบ วัดนี้จึงเจริญก้าวหน้าได้ กิจกรรมของคณะสงฆ์สมัยนั้นไม่เจริญ เพราะวัดนี้ข้าวของก็มีน้อย เป็นวัดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอโยธยา

    เริ่มต้นด้วย อาวาสสัปปายะ อาหารสัปปายะ ต้องหา บุคลากรสัปปายะ ช่วยเหลือกิจกรรมของคณะสงฆ์ เช่นกรรมการวัดทายก ทายิกา ช่วยกันทำงาน ประการที่สี่ต้องจัดการศึกษาความรู้ในพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรียกว่า ธรรมะสัปปายะ เรียกว่า ๔ ประการ นี้ ต้องอาศัยเนื่องกัน วัดจึงเจริญได้ มีแขกเหรื่อมาหาสมภารเจ้าวัดหรือมาธุระในวัด ก็ต้องไปขอข้าวแกงบ้านเหนือบ้านใต้มาเลี้ยงทุกครั้งก็เป็นการรบกวนชาวบ้านเขา มาคิดถึงดูว่าเหตุการณ์วันข้างหน้า วัดอัมพวันจะเจริญก้าวหน้าได้ จะต้องตั้งโรงครัว อาหารเป็นเรื่องสำคัญ บางทีแขกมาวัดไม่มีอาหารให้รับประทาน เพราะเป็นวัดที่อยู่ทุรกันดาร ป่าดงพงไพรมากมาย มีท่าน้ำเรือแล่นไปมาในลำแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นต้น


    วัดอัมพวันอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา การสัญจรไปมาก็ต้องใช้ทางเรือทางเดียว เพราะทางหลังวัดออกไปถนนเอเซียยังไม่มี เป็นป่าและคลองชลประทานก็ยังไม่มีด้วย การส่งน้ำเข้าทุ่งหรือทำเกษตร หรือทำไร่ไถนาก็ยังไม่เจริญ ที่อาตมาอยู่วัดอัมพวันนั้นมีน้ำไหลเข้าทุ่ง ตามหลักโบราณท่านว่า เดือน ๑๑ น้ำนองเดือน ๑๒ น้ำทรง พอถึงเดือนอ้ายเดือนยี่ ก็รี่ไหลลง ทำนาข้าวหนัก ข้าวกลาง แบบโบราณ ประเพณีสืบมา มาตอนหลังก็เจริญขึ้นเป็นลำดับ

    การตั้งโรงครัวจะทำอย่างไร อาตมาจากวัดพรหมบุรีมามีปัจจัยส่วนตัวมา ๓,๐๐๐ บาท มีเท่านั้นเอง ก็มาคิดทบทวนได้ว่าจะต้องหาบ้านสักหลังหนึ่ง จะซื้อไม้ใหม่แล้วนำมาปลูกจะต้องใช้ทุนทรัพย์มากปัจจัยก็ไม่มีกับเขา จะไปเรี่ยไรบ้านเหนือบ้านใต้ก็จะรู้สึกแร้นแค้น สำหรับบ้านนั้น หาเงินหาทองมาด้วยความยากลำบากจริง ๆ จะไปเรี่ยไรเขามาสร้างโรงครัวซื้อไม้ใหม่ที่ไหนเลยจะทำได้ คิดอย่างนี้แล้วก็ตั้งใจว่าจะต้องไปหาซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง ที่ราคาย่อมเยาว์พอจะซื้อได้เท่าที่มีเงินอยู่คือ ๓,๐๐๐ บาท คิดอย่างนี้แล้วตั้งแต่จากวัดพรหมบุรีที่อาตมาสอนกรรมฐานมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ เริ่มสอนกรรมฐานตามลำดับมา จนถึงยุคปัจจุบันทุกวันนี้

    นอกเหนือจากนั้นแล้วอาตมาก็ดำเนินงานแสวงหาถามญาติโยม ถามไปก็ยังไม่มีใครจะขาย ก็มีลูกศิษย์กรรมฐานจากที่จังหวัดสิงห์บุรี บ้านเตาปูน บ้านบางมอญ บ้านวัดศรีสาคร ก็มีโยมสุ่ม เป็นลูกศิษย์เก่า และมีโยมพิน บำเรอจิต เป็นลูกศิษย์เก่า ที่มาเรียนกรรมฐานจากวัดพรหมบุรีเป็นลูกศิษย์เก่ามาช้านาน ตั้งแต่โยมสุ่มยังอยู่ในวัยสาว มีลูกเล็ก ๆ เด็กแดงตลอดมาจนมีอายุมากแล้ว และแม่พิน บำเรอจิต ก็มีสามีชื่อผู้ใหญ่กลีบ เป็นผู้ใหญ่บ้าน อยู่ที่บ้านบางมอญ วัดสว่างอารมณ์ ถามเขาดูว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...