แผ่เมตตาอย่างนี้ถูกหรือไม่

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 4 ตุลาคม 2008.

  1. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ผลของการแผ่เมตตา (อ่านด้วยการพิจาณา)

    สมาธิในทางโลก มีดีและก็แบบแย่สุดๆ สาเหตุเพราะมาจาก บางวัน กามคุณ5มีกำลังมากเพราะติดโลก
    ฟุ้งเยอะนั่งอย่างไร จิตก็ไม่รวม นอนดูสมาธิ ก็เผลอแวบหลับกรนคร๊อกฟี๊ ซัก5นาทีพอรู้ตัวว่ามันทิ้งคิด จิตตกภวังค์
    ก็เข้ามาจดจ่อคิดและพิจารณาต่อในอารมณ์ ดีบ้าง ล้มบ้าง มี ปีติ สุขบ้าง แต่หาสาระและกำลังที่เด่นชัด เด่นดวง

    ใจเป็นกลางเที่ยงธรรมเกิดได้น้อย แค่แวบแล้วก็ออก ไม่สามารถรักษาจิตที่ผ่องใสได้นานเท่าไหร่ เดี๋ยวก็เผลอและก็หลง

    สมาธิที่ได้ลึกๆจึงมีน้อย ได้กำลังของสมาธิมาปานกลางและเอามาเจริญสติ
    แต่มีสมาธิที่นานๆจะเกิดมาทีเพราะเหตุจากการอบรมสติ
    คือดูลมเป็นวิหารธรรม เมื่อวันพระอาทิตย์ที่แล้วมีอะไรที่แปลกๆดีก็อดมาเล่าให้ฟังไม่ได้ครับ

    ช่วงเวลาเที่ยงคืนกว่า อ้องก็นอนดูลมไปจนหลับไปแล้ว แต่พอตีสองกายที่ขยับมันเห็นว่า มีทุกข์ปรากฏก่อนกายขยับ
    เป็นอาการของกายที่เมื่อย แน่น ตึง กายที่มีผลต่อจิตมันเห็นรูปนามชนิดนี้และมันสั่งงานทันทีคือ สูดลมหายใจ

    ลมที่ละเอียดในขณะที่กายสงบเพราะนอนอยู่ พอจะขยับมันจะสูดลมหยาบปรากฏขึ้นเพื่อไปสร้างแรงผลักดัน
    กายหยาบให้เคลื่อนไหว พออ้องขยับและมีสติรู้เกิดขึ้นมาก็เลยนอนดูลมออกสุดและเข้าสุด
    ที่จุดรู้สึกของผัสสะกระทบที่ปลายจมูก

    เหมือนเราเลื่อยไม้มีจุดตำแหน่งที่ใส่ใจคืองาน แต่งานที่ดูอยู่ก็เห็นว่า ลมหยาบค่อยๆเบาบางลงไป ไม่ต่างกับเราเลื่อยไม้
    ที่เห็นว่าเลื่อยยาวเลื่อยสั้น หยาบหรือละเอียด อ้องตามดูในขณะที่กายมันหลับไปแต่สติกลับตื่นขึ้นมา

    ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาแต่ไม่ปรากฏเผลอสติขึ้นและภวังค์จิตก็ไม่ได้เกิดถี่
    จนคุมตนเองไม่ได้

    อ้องเฝ้าตามดูลมเช่นนี้ไปเกือบชั่วโมง เสียงต่างๆที่เกิดอยู่ภายนอก ไม่ว่าเสียงแมลง เสียงฝน มีอยู่แต่จิตไม่ใส่ใจ

    มีความรู้สึกว่ามันหนัก จิตเหมือนน้ำใสที่ไม่ต้องการตระกอน ไม่กระเพื่อม ไม่หวั่นไหว เสียงจึงไม่สามารถมาเป็นหนามมา

    ทำให้เสียสมาธิออกไปได้ เปรียบเหมือนเรานั่งอยู่หน้าจอคอม ใจเราใส่ในงานหน้าจอ

    เสียงมีมากมายที่มากระทบแต่ใจไม่หวั่นไหว ใจไม่ใส่ใจ ไม่ยกอารมณ์ อยู่แต่ในงานชนิดนั้น
    ด้วยกำลังคุณแห่งอิทธิบาท4 สติพละกำกับใจเอาไว้

    ไม่จมแช่เหมือนคนนอนหลับลึก มีสติกำกับใจ เห็นแต่งานตรงหน้าอยู่ตลอด

    ลมหายใจที่ออกและเข้านั้น มันเริ่มมาๆหายๆ แผ่วเบาแทบจับไม่ไหวในผัสสะของลม

    แต่ลมมันยังไม่หายไปจริงๆ
    5ถึง10นาที มันยังปรากฏให้เห็นอยู่ เพราะกายมันทุกข์ต้องการสุข จึงต้องสูดลมหายใจเข้าไปดับทุกข์และผ่อนลมหายใจสุขออกมา

    ปีติเกิดมาแทรกเอาไว้ที่เห็นความสงบและจิตที่ปราศจากอกุศล เมื่อไม่ใส่ใจเหมือนเสียง ปีติก็จางหายไป

    เหลือสุขทุกข์คือลมที่ยังมาๆหายๆ ชั่วโมงกว่าแล้วที่นอนดูลมอยู่ อ้องกำหนดอารมณ์ในตำแหน่งที่จิตมันชิน

    เราเรียกว่ากำหนดปัญจเวกขณวสี
    ในตำแหน่งที่จิตมันจะจดจำได้ เสร็จแล้วอ้องก็ค่อยๆลุกมานั่งสมาธิในท่านั่งตรงต่อ

    ในขณะที่ลุกนั้น ลมหายใจหยาบจะปรากฏเกิดขึ้นและจิตก็เหมือนกับการถดถอยออกมาทีละน้อย แต่ชั่วระยะเวลาจากท่านอน มาท่านั่ง

    อ้องใช้เวลาไม่กี่วินาที พอกำหนดอารมณ์เดิมซักพักจิตก็รวมเข้าหาในฐานเดิมของมันเองต่อไป

    ความต่อเนื่องที่ยังไม่จางหาย เหมือนเราดูหนังและแอบมากินน้ำพักนึง และหันไปดูหนังต่อ

    เพียงแต่หนังมีกิเลสนำ
    แต่สมาธิหามีกิเลสนำหรืออยากนำไม่

    ลมหายใจที่ยังขยับเคลื่อนไหวอยู่ อ้องเริ่มไม่ใส่ใจ ไม่หวั่นไหว
    ลมมันจะไม่หายก็เรื่องของมัน แต่เพราะใจไม่ติดอารมณ์ ลมกลับหายไปโดยปราศจากการเคลื่อนไหวของลมเรียกว่า

    ไม่ต้องดู ไม่ต้องควานหา มันรวมเป็นหนึ่งเหมือนระหว่างวันที่เราสูดลมหายใจทั้งวันแต่มองไม่เห็นลม

    อ้องเรียกว่าลมนิ่ง
    เต็มอยู่ ไม่เคลื่อนไหว ตรงนี้คือลมหาย ละสุขทุกข์เสียได้ จึงพบเอกัคคตาจิต

    สิ่งที่หลวงปู่เทสก์สอนอยู่เสมอคือ ให้วางตำราทิ้งเสียก่อนแต่ให้หา เอกัคคตารมณ์ให้เจอเสียก่อน พบใจ
    จึงจะเห็นความจริงแท้ปรากฏ

    สภาวะละเอียดก็เป็นสภาวะแสดงตัวออกมา ความเป็นกลางเด่นดวงของใจ และความว่องไว อ่อนโยน นิ่มนวล
    ในขณะที่จิตมีกำลังนั้น หาได้ยากเพราะนานๆทีจะมีกำลังต่อเนื่องเช่นนี้

    ในขณะที่จิตเกิดกำลัง อ้องเจริญพรหมวิหารของอ้องเองต่อ เพราะรู้ว่าจิตที่แผ่ออกไปจะทำได้ดี และช่วยคนที่เรารักและ
    คนที่เดือดร้อนได้เป็นจำนวนมาก

    อ้องแวบเข้ามาดูใจและไปกำหนดความรู้สึกที่อ่อนโยน ความรู้สึกที่ปรากฏคือ

    ความมุ่งหวังแห่งการหวังดี รู้สึกว่าใจมันฟู มันผ่อง มันขยายตัว
    ครับ

    อ้องกำลังสร้างเมตตาอารมณ์ให้เกิดขึ้นด้วยความรู้สึก ที่ไม่ใช้คำพูดที่เค้าพูดกันเวลาแผ่เมตตา ใช้ความรู้สึกเข้าไปดูใจให้ทัน เบิกบาน ผ่องใสและหวังดี เมตตาก็เริ่มรวมกำลังของเค้าเพราะจิตที่มีกำลัง

    นิ่มนวลเช่นนี้นี่เอง

    เมตตาจึงเกิดมาจากความรู้สึกล้วนๆที่หวังดี เป็นความรักแท้ที่เรียกว่าบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

    เพราะไม่ได้หวังในผล ปราศจากราคะ ความกำหนัด ปราศจากความโลภะ คืออยากอันเป็นอกุศลปรากฏเกิดขึ้น

    ใจมันหมุนวนคลึงเคล้ากับอารมณ์แห่งความปรารถนาด
    เช่นว่านี้อยู่หลายนาทีจนมันรู้สึกเองว่าเต็มกำลัง มันก็จะถ่ายเทมาอีกอารมณ์นึงคือ ความต้องการที่จะช่วยเหลือ

    ความเอ็นดู การเกื้อกูลเพื่อให้สรรพสัตว์ที่ต้องทุกข์ให้พ้นภัย

    ไม่หวังในผลแห่งความดี ไม่หวังสิ่งตอบแทน ความดีชนิดนี้เป็นความดีที่บริสุทธิ์

    ก็คือกรุณาที่กำลังคลึงเคล้า
    ระหว่างเมตตากับกรุณา ผสมหากันหมุนวนเป็นกำลัง และแล้ว

    จิตที่สัมปยุตต์กับสมาธิก็เหมือนเปล่งประกายกระจายออกไป

    เป็นคลื่น

    เป็นวง

    เหมือนระลอกคลื่นตามกำลัง


    วงแรกออกไปแบบเหมือนวงแสบ
    วาบออกไปอย่างเร็ว สว่างและกระจายออก

    มีแสงและรัศมีแห่งคุณธรรมผสมออกไปด้วย มีจิตที่สัมปยุตกับสมาธิแผ่ออกไปด้วย

    วงแต่ละวง สีไม่เหมือนกัน มีทั้งสีน้ำเงิน หลือง ขาวอ่อน ชมพูอ่อน ที่ปราศจากสีขุ่นมัว

    จิตที่เป็นวงก็มีแสงที่เป็นกระจายเป็นเม็ดแสงเล็กๆก็มี เห็นแบบเหมือนดูหนังดีๆที่มหัศจรรย์และปีติก็ตามไปอีก

    สุขก็ปรากฏ จนต้องระงับอาการด้วยการไม่ใส่ใจ

    จิตที่แผ่ออกไปที่ไม่ใช้คำพูด อ้องว่าดีกว่านะ ใช้ความรู้สึกเหมือนแม่ที่รักลูก

    มองลูกด้วยความรู้สึกรักและผูกพัน
    กระแสจิตก็ต้องย่อมส่งถึงกัน ลูกก็จะรับรู้และมองแม่ด้วยความอบอุ่น อ้องว่าเมตตา กรุณาที่แผ่ออก
    น่าจะเป็นเช่นนี้นะครับ

    ความรู้สึกที่จิตแผ่ออกไปนั้น

    <!--emo&:10:-->จะเต็มไปด้วยความชื่นใจ มันเหมือนเราตื่นมาตอนเช้าและเกิดความรู้สึกสดชื่นเหมือนยืนอยู่บนเนินเขา

    เพราะอ้องเห็นว่า อ้องเห็นเขาค้ออ้องทั้งผืน(อยู่ที่เขาค้อกั๊บ)

    และเห็นจังหวัดเหมือนมันดูทีวีจากมุมสูงๆ
    และเห็นภาพของโลกเด่นดวง และเลยเถิดส่งออกซะกระจายไปทั่วเลย

    ใจมันจะว่ามีตัณหาคืออยากก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี

    มันเป็นอยากที่บริสุทธิ์ที่ปราศจากอกุศล
    ต้องการให้คนรับมีความสุข ได้ดี หรือดีกว่าตนเอง

    ต้องการให้เค้าพ้นทุกข์ จิตมันก็เพลินกับอารมณ์ชนิดนี้ส่งกำลังออกไปจนสุดของมุทิตา

    แล้วกำลังทั้งสามก็มารวมกันที่อุเบกขา ใจก็จะเป็นกลางเที่ยงธรรม มีความรู้สึกถึงความหนักแน่น ไม่หวั่นไหว ปรับใจ
    ตนเองให้สมดุล

    สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับจะมีกำลังของกรุณาเข้าไปกระตุ้นเตือนสติ

    ให้เค้าคลายออกเสียจากทุกข์ที่เค้าไปยึดรูปนามสภาวะ
    ด้วยกำลังของบาปที่เค้าไปจดจ่อ และ หาความดีไม่พบ มีแต่ฝันร้ายอยู่ร่ำไป เหมือนเราไปกระตุ้นเตือนเค้าว่า

    ตื่นเถิดสหาย ตื่นเถิดเพื่อนร่วมทุกข์ อย่าจมแช่กับความทุกข์ทางกายเลย เรามาปลุกจากฝันร้ายของท่าน
    กำลังของกรุณาจะเข้าไปกำจัด ความทุกข์ ความทารุณ ถ้าหากเค้ายอมรับ สภาพของวิญญาณที่รับทุกข์จะหายไป

    และเค้าก็จะตื่นจากความจริงที่โหดร้ายเหมือนโดนปลุกด้วยความร่มเย็น กำลังของมุทิตาจะส่งผลให้เค้าหมดความทุกข์โศรก

    ความเศร้าหมอง และกำลังของเมตตาจะไปกระตุ้นให้เค้าเห็นผลแห่งความดี ความอ่อนโยน จิตวิญญาณจะ
    อยู่ในสภาพเหมือนคนที่ตื่นมาจากความจริงที่โหดร้าย เพลินกับความจริงชนิดใหม่ที่เต็มไปด้วยกองบุญ

    เค้าจะเห็นเช่นนี้เป็นคตินิมิตเป็นกรรมอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และก็จะไปตามกรรมตามผล บางท่านก็เป็นเทวดา
    เป็นพรหม บางท่านก็มาเกิดเป็นมนุษย์ต่อได้ นี่ก็เพราะจิตวิญญาณทั้งหลายเหล่านั้น ก็ล้วนแล้วแต่ ใจยังไม่มืดบอดจนเกินไป

    เมื่อแผ่เมตตาเสร็จแล้วก็ทำสมาธิต่อซักพัก เมื่อจิตถอนกลังออกมาก็จะเห็นสภาวธรรมจากละเอียดไปหาหยาบ

    มันจะเห็นความจริงจนจิตไม่ตั้งมั่น และอกุศลก็จะมาปรากฏอีกต่อไป เรามาเรียนรู้ดี และไม่ดี ที่มาๆไปๆ

    เสร็จแล้วอ้องก็นอน สิ่งที่แปลกๆตามอ้องมาหาที่รีสอรท์อ้องช่วงตี3กว่าแล้ว

    ในขณะที่นอนเพลินอยู่ อ้องเห็นจิตวิญญาณมากันเต็มไปหมด คงจะเรียกว่าอัดกันเข้ามาในรีสอรท์ของอ้องนะ

    มีเป็นหมื่นๆเลย และยังทะลักเข้ามาในบ้านอ้อง จนอ้องตื่นขึ้นมาในฝันว่า โอยโหย๊วโหย่ มาทามไมละครับ เต็มไปหมดเลย

    เข้ามาบ้านอ้องแน่นทั้งเด็กและผุ้ใหญ่ และทั้งคนไทยทั้งต่างชาติ โหคนเราช่วงนี้หลงตายกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับเนี่ย

    เรื่องผีๆจึงเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่อย่ามาตอนอ้องตื่นแล้วมาให้เห็นนะ เผ่นจริงๆนะ อสูรกายบางตนเวลามาหานะ

    อ้องบอกได้เลยว่ากลิ่นสาปสางของอสูรกาย ผีต่างๆ อ้องไม่ต้องไปดมที่เก็บศพหรอกครับ เพราะบางทีมานอนข้างๆบ้าง
    มานั่งข้างๆบ้าง

    กลิ่นนี่ฟุ้งจนรู้เลยคำกลิ่นสาปสาง เหม็นอย่างไร แต่ดีนะมาตอนตื่นในฝัน เพราะมีสติรักษาอยู่

    ถ้ามาจริงๆก็ตัวใครตัวมานหล่ะครับ ผีไม่เข้าใครออกใคร สมาธิ เราจึงมาเรียนรู้กำลังนะ อย่าไปติด มันจะมี จะเป็นก็ให้มีสติอยู่เสมอนะ

    ตลอดชีวิตอ้องจึงคิดว่า การอบรมสติดีที่สุด เพราะพ้นทุกข์แน่นอน

    ก็ขอเล่าให้ฟังแบบอ่านสนุกๆนะครับ <!--emo&:11:-->[​IMG]<!--endemo-->

    อ้องครับ <!--emo&:10:-->[​IMG]<!--endemo-->
     
  2. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    แหม...เป็นกระทู้เก่า ไม่รู้เจ้าของยังเข้ามาอ่านอีกหรือเป่า... อิอิ

    ตั้งกระทู้ไว้เป็นคำถาม ก็ขอตอบละกันนะ....

    ... เป็นการแผ่เมตตาที่สุดยอดคับ...

    อ่านแล้วสัมผัสได้ถึง ..ความเย็น .. ที่แผ่กระจายออกมาเลยอ่ะ..

    อนุโมทนาสาธุด้วยคับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...