เเพชฌฆาต ฆ่าคนมาตลอด ๔๕ ปี ก็ยังบรรลุโสดาบันได้

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย omio, 19 ธันวาคม 2008.

  1. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,215
    ปรากฏเรื่องราวในคัมภีร์ พระธรรมบท ดังนี้
    ในสมัยพุทธกาล โจร ๔๙๙ คนทำกรรมมีการปล้นชาวบ้านเป็นต้น สำเร็จความเป็นอยู่แล้ว บุรุษผู้หนึ่งมีตาเหลือกเหลือง มีเคราแดง ไปยังสำนักของโจรเหล่านั้น กล่าวว่า"แม้ เราจักเป็นอยู่กับพวกท่าน." ทีนั้น พวกโจรแสดงบุรุษนั้นแก่หัวหน้าโจรแล้วกล่าวว่า "ชายแม้นี้ ปรารถนาจะอยู่ในสำนักของพวกเรา." ครั้งนั้น หัวหน้าโจรแลดูบุรุษนั้นแล้วคิดว่า "บุรุษผู้นี้ กักขฬะนัก สามารถในการที่จะตัดนมของแม่ หรือนำเลือดในลำคอของพ่อออกแล้ว กินได้" จึงห้ามว่า "กิจคือการอยู่ ในสำนักของพวกเราสำหรับบุรุษนี้ไม่มี." บุรุษนั้นแม้ถูกหัวหน้าโจรห้ามแล้วอย่างนั้น ก็ไม่ไป บำรุงศิษย์คนหนึ่งของหัวหน้าโจรนั้นนั่นแล ให้พอใจแล้ว. โจรนั้นพาบุรุษนั้นเข้าไปหาหัวหน้าโจรแล้ว อ้อนวอนว่า "นาย ผู้นี้เป็นคนดี มีอุปการะแก่พวกเรา, ขอท่านจงสงเคราะห์เขาเถิด" ให้หัวหน้าโจรรับไว้แล้ว.
    ภาย หลังวันหนึ่ง พวกชาวเมืองร่วมกันกับพวกราชบุรุษจับโจรเหล่านั้นได้ จึงนำไปสู่สำนักของพวกอำมาตย์ผู้วินิจฉัยทั้งหลาย. พวกอำมาตย์สั่งบังคับการตัดศีรษะของโจรเหล่านั้นด้วยขวาน. ลำดับนั้น พวกชาวเมืองปรึกษากันว่า "ใครหนอแล? จักฆ่าโจรเหล่า นี้" แสวงหาอยู่ ไม่เห็นใครๆ ผู้ปรารถนาเพื่อจะฆ่าโจรเหล่านั้น จึงพูดกะหัวหน้าโจรว่า "ท่านฆ่าโจรเหล่านี้แล้ว จักได้ทั้งชีวิต ทั้งความนับถือทีเดียว, ท่านจงฆ่าโจรเหล่านั้น." แม้หัวหน้าโจรนั้นก็ไม่ปรารถนาจะฆ่า เพราะความที่พวกโจรนั้นอาศัยตนอยู่แล้ว. พวกชาวเมืองถามโจร ๔๙๙ คนโดยอุบายนั้น แม้โจรทั้งหมดก็ไม่ปรารถนาแล้ว.
    พวก ชาวเมืองถามนายตัมพทาฐิกะภายหลังโจรทั้งหมด.นายตัมพทาฐิกะนั้นรับคำว่า "ดีละ" แล้ว ฆ่าโจรทั้งหมดนั้น ได้ทั้งชีวิตทั้งความนับถือแล้ว. เมื่อชาวเมืองนำโจร ๕๐๐ คนมาแม้แต่ทิศทักษิณแห่งเมืองแล้ว แสดงแก่พวกอำมาตย์โดยอุบายนั้น, เมื่อ พวกอำมาตย์นั้นสั่งบังคับให้ตัดศีรษะโจรเหล่านั้น จึงถามตั้งแต่หัวหน้าโจรเป็นต้นไป ไม่เห็นใครผู้ปรารถนาจะฆ่า จึงถามว่า "ในวันก่อน บุรุษหนึ่งฆ่าโจร ๕๐๐ คนแล้ว, บุรุษนั่นอยู่ที่ไหนหนอแล?" เมื่อชนทั้งหลายตอบว่า "พวกข้าพเจ้าเห็นเขาแล้วในที่ชื่อโน้น" จึงให้เรียกเขาแล้วสั่งบังคับว่า "ท่านจงฆ่าโจรเหล่านี้ ท่านจะได้ความนับถือ."
    นายตัมพทาฐิกะนั้นรับว่า "ดีละ" แล้วฆ่าโจรเหล่านั้น ได้ความนับถือแล้ว


    ครั้งนั้น ชาวเมืองเหล่านั้นปรึกษากันว่า "บุรุษคนนี้ดี, พวกเราจักทำเขาให้เป็นคนฆ่าโจร
    ประจำทีเดียว" ดังนี้แล้ว จึงให้ตำแหน่งนั้นแก่เขา กระทำความนับถือแล้ว
    นาย ตัมพทาฐิกะนั้นฆ่าโจร (คราวละ) ๕๐๐ๆ ซึ่งเขานำมาแต่ทิศปัศจิมบ้าง ทิศอุดรบ้าง. เขาฆ่าโจร (สิ้น) ๒ พันคน ซึ่งนำมาแต่ทิศทั้ง ๔ ด้วยอุบายอย่างนั้น. จำเดิมแต่นั้น เมื่อฆ่ามนุษย์ที่เขานำมาๆ คือ "คนหนึ่ง สองคน" ทุกวันๆ ได้กระทำโจรฆาตกกรรมสิ้น ๕๕ ปี. ในเวลาเป็นคนแก่ เขาไม่อาจจะตัดศีรษะด้วยการฟันทีเดียวได้ ต้องฟัน ๒ - ๓ ที ทำให้มนุษย์ทั้งหลายลำบาก. พวกชาวเมืองคิดกันว่า "คนฆ่าโจร แม้อื่นจักเกิดขึ้น ผู้นี้ทำมนุษย์ทั้งหลายให้ลำบากเหลือเกิน จะต้องการอะไรด้วยผู้นี้" จึงถอนตำแหน่งนั้นของเขา
    นาย ตัมพทาฐิกะนั้นกระทำโจรฆาตกรรมอยู่ในกาลก่อน จึงไม่ได้กิจ ๔ อย่างนี้ คือ "การนุ่งผ้าใหม่ การดื่มยาคูเจือน้ำนมที่ปรุงด้วยเนยใสใหม่ การประดับดอกมะลิ การทาด้วยของหอม." ในวันที่ถูกออกจากตำแหน่ง เขากล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจงต้มยาคูเจือน้ำนมแก่เรา" แล้วให้คนถือผ้าใหม่ ระเบียบดอกมะลิและเครื่องทา ไปยังแม่น้ำอาบน้ำแล้ว นุ่งผ้าใหม่ ประดับดอกไม้ มีตัวทาด้วยของหอมมาสู่เรือน นั่งแล้ว. ทีนั้น ชนทั้งหลายวางยาคูเจือน้ำนมที่ปรุงด้วยเนยใสใหม่ข้างหน้าของเขาแล้ว นำน้ำสำหรับล้างมือมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2008
  2. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,215
    ในขณะนั้น พระสารีบุตรเถระออกจากสมาบัติ พิจารณาทางเที่ยวภิกษาของตนว่า "วันนี้ เราควรไปที่ไหนหนอแล?" เห็นยาคูเจือน้ำนมในเรือนของนาย<st1>ตัมพทาฐิกะนั้น จึงใคร่ครวญว่า">ตัมพทาฐิกะนั้น จึงใคร่ครวญว่า</st1> "บุรุษนั้นจักทำการสงเคราะห์เราหรือหนอแล?" รู้ว่า "เขาเห็นเราแล้ว จักทำการสงเคราะห์แก่เรา, ก็แล กุลบุตรนี้ ครั้นกระทำแล้ว จักได้สมบัติใหญ่" จึงห่มจีวร ถือบาตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของนายตัมพทาฐิกะนั้น
    นายตัมพทาฐิกะนั้น พอแลเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่า "เรากระทำโจรฆาตกกรรมมานาน, เราฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก บัดนี้ ในเรือนของเราตกแต่งยาคูเจือน้ำนมไว้, แลพระเถระก็มายืนอยู่ที่ประตูเรือนของเรา, เรา ถวายไทยธรรมแก่พระผู้เป็นเจ้าเสียในเวลานี้ ก็ควร" ดังนี้แล้ว จึงนำยาคูที่วางไว้ข้างหน้าออกไปแล้ว เข้าไปหาพระเถระ ไหว้แล้วนิมนต์ให้นั่งภายในเรือน เกลี่ยยาคูเจือน้ำนมลงในบาตร ราดเนยใสใหม่แล้ว ได้ยืนพัดพระเถระอยู่.

    ทีนั้น อัธยาศัยเพื่อดื่มยาคูเจือน้ำนมได้มีกำลัง เพราะเขาไม่เคยได้แล้วสิ้นเวลานาน. พระเถระรู้อัธยาศัยของนาย<st1>ตัมพทาฐิกะนั้น จึงพูดกะเขาว่า">ตัมพทาฐิกะนั้น จึงพูดกะเขาว่า</st1> "อุบาสก ท่านจงดื่มยาคูของตนเถิด" เขาให้พัดในมือแก่ผู้อื่นแล้วดื่มยาคูเอง
    พระเถระพูดกะบุรุษผู้พัดว่า "ท่านจงไป จงพัดอุบาสกเถิด." เขาอันบุรุษนั้นพัดอยู่ ดื่มยาคูเต็มท้องแล้วมายืนพัดพระเถระ ได้รับบาตรของพระเถระ ผู้กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว.
    พระเถระเริ่มอนุโมทนาแก่เขาแล้ว. เขาไม่อาจกระทำจิตของตนให้ไปตามธรรมเทศนาของพระเถระได้. พระเถระสังเกตได้จึงถามว่า "อุบาสก เหตุไร ท่านจึงไม่อาจทำจิตให้ไปตามธรรมเทศนาได้?"

    ตัมพทาฐิกะ. "ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทำกรรมหยาบช้ามาสิ้นกาลนาน. มนุษย์เป็นอันมากถูกข้าพเจ้าฆ่าตาย, ข้าพเจ้า มัวระลึกถึงกรรมของตนนั้นอยู่ จึงไม่อาจทำจิตให้ไปตามเทศนาของพระผู้เป็นเจ้า ได้."
    พระเถระคิดว่า "เราจักลวงบุรุษนั้น" จึงพูดว่า "ก็ท่านได้กระทำตามชอบใจตน หรือถูกคนอื่นให้กระทำเล่า?"
    ตัมพทาฐิกะ "ท่านผู้เจริญ พระราชาให้ข้าพเจ้าทำ" <o></o>

    พระเถระ "อุบาสก เมื่อเป็นเช่นนั้น อกุศลจะมีแก่ท่านอย่างไรหนอ"
    อุบาสก เป็นคนธาตุทึบ ถูกพระเถระกล่าวอย่างนั้น มีความสำคัญว่า "อกุศลไม่มีแก่เรา" จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกล่าวธรรมเถิด." อุบาสกนั้น เมื่อพระเถระทำอนุโมทนาอยู่, มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฟังธรรมอยู่ ยังขันติเป็นไปโดยอนุโลมแก่อริยสัจ ภายในแห่งโสดาปัตติมรรค ให้บังเกิด
    [1]




    http://www.tlcthai.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...