เหตุที่ทำให้โลกพินาศ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 27 พฤศจิกายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    ธรรมที่เป็นเหตุให้โลกพินาศลงนั้นมี ๓ อย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ

    == สมัยใดสัตว์ทั้งหลายมีสันดานหนาแน่นไปด้วยราคะแล้ว เมื่อถึงคราวพินาศย่อมพินาศลงด้วยไฟ เหตุด้วยราคุนั้นร้อนเหมือนไฟ
    == สมัยใดสัตว์ทั้งหลายมีสันดานมากด้วยโทสะ เมื่อถึงคราวพินาศย่อมพินาศด้วยน้ำ เหตุด้วยโทสะนั้นร้ายเหมือนน้ำกรด
    == สมัยใดสัตว์ทั้งหลายมีสันดานมากด้วยโมหะ เมื่อถึงคราวพินาศย่อมพินาศด้วยลม ด้วยโมหะเหมอืนหนึ่งลมกรด
    ** จึงเป็นอันว่าโลกธาตุย่อมพินาศลงด้วยเหตุทั้ง ๓ ประการ ดังได้กล่าวแล้วนั้น **



    สังวัฎฎอสงไขยกับ คือ กัปที่โลกนี้ถูกทำลาย

    สังวัฎฎอสงไขยกัป มี ๓ ประการ คือ

    ๑. เตโชสังวัฏฏอสงไขยกัป คือ กัปที่โลกนี้ถูกทำลายด้วย ไฟ
    ๒. อาโปสังวัฏฏอสงไขยกัป คือ กัปที่โลกนี้ถูกทำลายด้วย น้ำ
    ๓. วาโยสังวัฏฏอสงไขยกัป คือ กัปที่โลกถูกทำลายด้วย ลม




    กำหนดเวลาแห่งการพินาศของโลก

    โลกในปัจจุบันนี้จัดเป็นวิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป ก็วิวัฏฏฏฐายีอสงไขยกัปนี้ เมื่อครบ ๖๔ อันตรกัป พร้อมกับการนับอายุของมนุษย์ตั้งแต่มนุษย์มีอายุหนึ่งอสงไขยปีลงมาจนถึงพันปี เมื่อเวลาทั้ง ๒ นี้มาบรรจบกันเข้าเวลลาใดแล้ว เวลานั้นโลกก็ถึงกำหนดเวลาที่จะพินาศลง



    โกลาหล ๕
    [​IMG]

    โกลาหล คือเสียงเซ็งแซ่เอิกเกริก มี ๕ ประการ

    ๑. กัปปโกลาหล เสียงที่ประกาศก้องเอิกเกริกว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้น ไปเป็นเวาลาอีกแสนปี โลกจะถึงซึ่งความพินาศ
    ๒. พุทธโกลาหล เสียงประกาศกึกก้องว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เป็นเวลาอีกหนึ่งพันปี จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก
    ๓. จักกวัตติโกลาหล เสียงที่ประกาศว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อีกหนึ่งร้อยปี จะมีพระเจ้าจักรพรรดิ์มาบังเกิดขึ้นในโลก
    ๔. มังคลโกลาหล เสียงที่ประกาศว่า ภายในระยะเวลาอีก ๑๒ ปี พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่เป็นมงคล ๓๘ ประการ
    ๕. โมเนยยโกลาหล เสียงที่ประกาศว่า ภายในระยะเวลาอีก ๗ ปี จะมีผู้ปฎิบัติโมเนยยะมาบังเกิดขึ้นในโลก





    โลกถูกทำลายด้วยน้ำ
    [​IMG]
    โลกถูกทำลายด้วยน้ำ

    การทำลายโลกด้วยน้ำ เมื่อตอนที่กัปปวินาสลมหาเมฆตั้งขึ้นแล้วมีฝนตกลงมาพอให้ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้ว แต่นั้นฝนก็หยุดไม่ตกอีกต่อไป สำหรับการทำลายโลกด้วยน้ำ นี้ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ เกิดขึ้น แต่มีขารุทกมหาเมฆคือมหาเมฆน้ำกรดเกิดขึ้นแทน และมหาเมฆน้ำกรดนี้ก็ตกเป็นฝนตกลงมา ครั้นแรกก็ตกอย่างละเอียดก่อน แล้วก็ค่อยๆตกเม็ดฝนเม็ดใหญ่เกิดขึ้นตามลำดับ เต็มไปทั่วแสนโกฎิจักรวาล พื้นพลุธามหาบรรพตทั้งปวงเมื่อต้องฝนกรด [​IMG]ก็ทนทานมิได้แปลกละลายเป็นจุณวิจุณไปสิ้น ดุจดังก้อนเกลือที่ทิ้งลงไปในน้ำ ฉะนั้น แล้วเกิดมีลมพัดห่อหุ้มหอบน้ำเข้าไว้มิให้ไหลล้นบ้าออกไปนอกแสนโกฏิจักรวาล น้ำที่ทำลายโลกนั้นท่วมขึ้นไปถึงกามวจรเทวโลก ๖ ชั้นแล้วล่วงขึ้นไปท่วมถึงชั้นรูปพรหม๖ชั้น[​IMG]มากกว่าการทำลายด้วยไฟ ๓ ชั้น ไปหยุดอยู่ใต้ชั้น สุภกิณหา บรรดาสังขารทั้งหลายแหลกเหลวละลายไปสิ้น มาตรว่ายังมีเหลืออยู่แต่เท่าอณูไปแล้ว น้ำกรดนั้นก็ยัคงมีอยู่ต่อเมื่อเชื้อนั้นสูญสิ้นแล้ว น้ำกรดนั้นก็ยุบแห้งอันตรธานหายไป

    โลกถูกทำลายด้วยลม
    [​IMG]

    โลกถูกทำลายด้วยลม
    การทำลายโลกด้วยลม ก็เป็นไปอยู่ในตอนที่เมื่อกัปปวินาสหาเมฆตั้งชขึ้น บันดาลให้ฝนตกทั่วแสนโกฎิจักรวาลแล้วก็หยุดไป สำหรับในการทำลายโลกด้วยลมนี้ ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ มิได้เกิดขึ้น แต่บังเกิดลมขึ้นแทนชื่อว่า วาโยสังวัฏฏะคือลมทำลายโลกให้พินาศไป ลมนี้ในลั้นแรกแต่บังเกิดลมพัดอ่อนๆ พอพัดธุรีละอองอันละเอียด ให้ฟุ้งขึ้น แล้วลมนั้นค่อยๆ พักแรงกล้าขึ้นพัดเอาก้อนศิลาน้อยใหญ่ พัดถอนต้นไม้น้อยใหญ่ และภูเขาต่างๆ ให้เลื่อนลอยไปในอากาศไปกระทบกระทั่งกันแหลกละอียดสูญหายไปในอากาศไปในอากาศได้กลับตกลงมานั้นหามิได้ [​IMG]ต่อมามีลมจำพวกหนึ่งเกิดจากใต้พื้นแผ่นดิน มีกำลังแรกกล้า พัดให้แผ่นดินพลิกขึ้น แล้วก็ซัดขึ้นไปในอากาศพื้นพสุธาอันหน้าได้ ๒ แสน ๔หมื่นโยชน์ ก็แยกออกเป็นท่อนๆ ท่อนละร้อยโยขน์บ้าง สี่ร้อยโยชน์บ้าง กระทบกัน[​IMG]แหลกละเอียดเป็นจุลวิจุณไป แล้วพัดเอาภูเขาสัตตบรรพ์คีรี เขาสิเนรุราช เขาหิมพานต์ เขาจักรวาล และอากาศวิมาน [​IMG]กามาวจรเทวโลกในแสนโกฏิจักรวาล ให้เลื่อนลอยขึ้นไปกระทบประหารซึ่งกันย่อยยับสูญหายไปในอากาศ ลมนั้นจะพันตั้งแต่มนุษย์โลกขึ้นไปจนถึรูปาวจรตติยฌานภูมิพินาศไปด้วยลมทั้งสิ้น ลมประลัยโลกนี้เมื่อสังหารโลกนี้เมื่อสังหารโลกในเบื้องต่ำตั้งแต่อัชฎกาศขขึ้นนมาจนล่วงสิ้นพรหมโลก ๙ ชั้น คือ ปฐมฌานภูมิ ๓ ทุติยฌานภูมิ ๓ ตติยฌานภูมิ ๓ แล้วก็หยุดอยู่เพียงนั้น ลมปรลัยโลกนี้พัดประหารสรรพสิ่งทั้งปวงจนกระทั่งน้ำรองแผ่นดินและลมรองน้ำให้วินาศสาบสูญไปสิ้นแล้วลมนั้นก็หายสาบสูญสงบไป


    ข้อมูลจาก
    มหาอภิธัมมัตถสังคหาฎีกา (หลักสูตรชั้นมัชฌิมอาภิธรรมมิกะตรี) โดยนำมาจาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค ชินณปลีปกรณ์ สารัตถทีนีฎีกา อีกต่อหนึ่ง

    จาก http://larndham.net/index.php?showtopic=12163&st=0
     
  2. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    348
    ค่าพลัง:
    +1,295
    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

    สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกขืกายทุกขืใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้นจากทุกขืภัยทั้งสิ้นเทอญ

    สาธุ.................................................................
     
  3. apa2255

    apa2255 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +13
    รู้อย่างนี้แล้วต้องรีบนิพพานโดยเร็วกันทุกคนนะครับจะได้ไม่ต้องถูกไป ถูกน้ำ ถูกลมพัดทำลาย สาธุ
    อนุโมมนาครับอุตสาห์ค้นหามาเล่าสู่กันฟังขอให้เกิดปัญญาบารมีทุกภพทุกชาติครับ
     
  4. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    ธรรมที่เป็นเหตุให้โลกพินาศลงนั้นมี ๓ อย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ

    == สมัยใดสัตว์ทั้งหลายมีสันดานหนาแน่นไปด้วยราคะแล้ว เมื่อถึงคราวพินาศย่อมพินาศลงด้วยไฟ เหตุด้วยราคุนั้นร้อนเหมือนไฟ
    == สมัยใดสัตว์ทั้งหลายมีสันดานมากด้วยโทสะ เมื่อถึงคราวพินาศย่อมพินาศด้วยน้ำ เหตุด้วยโทสะนั้นร้ายเหมือนน้ำกรด
    == สมัยใดสัตว์ทั้งหลายมีสันดานมากด้วยโมหะ เมื่อถึงคราวพินาศย่อมพินาศด้วยลม ด้วยโมหะเหมอืนหนึ่งลมกรด
    ** จึงเป็นอันว่าโลกธาตุย่อมพินาศลงด้วยเหตุทั้ง ๓ ประการ ดังได้กล่าวแล้วนั้น **


    (b-green)

    ยุคปัจจุบัน น่าจะเจออย่างใหนมากสุด

    น้ำ หรือ ไฟ หรือ ลม
     

แชร์หน้านี้

Loading...