เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 25 ตุลาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_4172.jpeg
      IMG_4172.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      346.2 KB
      เปิดดู:
      37
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ท่านที่เข้าพรรษาหลังก็เหลืออีก ๓ วันพระ ก็คือจะไปออกพรรษาในช่วงวันลอยกระทง ซึ่งก็คือต้องเป็นรุ่งขึ้นหลังจากลอยกระทง

    ในส่วนนั้นไม่ขอกล่าวถึง ส่วนที่จะขอกล่าวถึงก็คือคำว่า "วันพระ" ซึ่งนับว่าเป็นความอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เนื่องเพราะว่าถ้าพูดกันแบบทางการ เขาเรียก "วันธรรมสวนะ" คือวันของการฟังธรรม ด้วยความที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ผู้ที่พิมพ์ปฏิทินก็เลยนำเอาพระพุทธรูปเล็ก ๆ พิมพ์ลงไปในวันที่นั้น ๆ จนกระทั่งชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ติดปากว่า "วันพระ"

    คราวนี้คำว่าวันพระที่กระผม/อาตมภาพบอกว่ายิ่งใหญ่มาก ก็เพราะท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานมานาน ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว สิ่งที่พระองค์ทำไว้ยังอยู่ในความทรงจำของพุทธศาสนิกชนทุกรูปทุกนาม จนกระทั่งเห็นรูปของพระองค์ท่านก็เรียกว่าวันนี้คือ "วันพระ" ซึ่งคำว่าพระมาจากบาลีว่า "วร (วะระ)" แปลว่า "ความประเสริฐ"

    ในส่วนนี้เราจะเห็นได้ว่า แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะไม่ได้ต้องการให้เราแสดงความเคารพกราบไหว้ท่านโดยประการทั้งปวงก็ตาม แต่ด้วย "ความกตัญญู" คือรู้คุณของพระองค์ท่านที่มีต่อพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และ "กตเวทิตา" ก็คือกระทำสิ่งที่ดี ๆ ตอบ จึงมีการกราบไหว้บูชาสักการะพระองค์ท่านเป็นปกติ ซึ่งเป็นการทำตามคำสอนของพระองค์ท่านที่ว่า "ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การบูชาบุคคลที่ควรบูชา จัดว่าเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง"

    เมื่อสืบทอดมาจนถึงเราท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณร ญาติโยมที่เป็นพุทธศาสนิกชนแค่มองก็จะเห็นว่า นี่คือเชื้อสายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    โดยเฉพาะบุคคลที่มีสภาพจิตเปิดรับเอาเฉพาะสิ่งที่ดี ๆ เข้าไป แค่มองเห็นก็จะได้รับผลมหาศาล สมกับที่พระองค์ท่านตรัสเอาไว้อีกส่วนหนึ่งในมงคลสูตรว่า "สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การได้เห็นสมณะคือนักบวช จัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    เนื่องเพราะว่าสภาพจิตของบุคคลที่พบเห็นสมณะ จัดเป็นสังฆานุสติ เป็นกรรมฐานกองใหญ่ยิ่ง ที่สามารถนำพวกเราให้หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ นั่นก็คือสภาพจิตที่ประกอบไปด้วยศรัทธาในคุณพระรัตนตรัย เมื่อเห็นหมู่พระภิกษุสามเณรก็น้อมจิตระลึกถึงด้วยความเคารพ

    ถ้าดูในธรรมบท สุปติฎฐิตเทพบุตรไม่เคยสร้างคุณงามความดีอะไรเลย เพียงแต่ก่อนเสียชีวิต นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่นิดเดียวเท่านั้น เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ต้องบอกว่าค้ากำไรเกินควร..! แต่ว่าเราท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า เขากระทำความดีเพียงเล็กน้อย คุณงามความดีนั้นก็จะส่งผลเพียงเล็กน้อย ก็คืออยู่ได้แค่ ๗ วันเท่านั้น ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดา คาดว่าสุปติฎฐิตเทพบุตรป่านนี้ก็ยังคงจ่อมจมอยู่อเวจีมหานรก..!

    แต่ด้วยความที่แม้ปัจจุบันท่านไม่เคยสร้างคุณงามความดีอะไรไว้ แต่ในอดีตเคยสร้างบุญกุศลเอาไว้ ทำให้กุศลนั้นส่งผลให้ แม้วินาทีสุดท้ายก่อนจุติก็ยังได้ฟังเทศน์อุณหิสวิชัยสูตรจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุติเดี๋ยวนั้น เกิดใหม่เดี๋ยวนั้น พร้อมด้วยทิพย์สมบัติที่เลอเลิศขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะว่าเป็นพระโสดาบันไปแล้ว

    นี่คือความอัศจรรย์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องการหรือไม่ต้องการแสดงออก แต่ในสิ่งที่พระองค์ท่านตั้งใจเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในจิตในใจของพุทธศาสนิกชนและบุคคลทั่วไป ก็คือมองเห็นพระ ไม่ต้องเลื่อมใสก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่แล้ว

    แต่ว่าบุคคลในปัจจุบันนี้มองพระในลักษณะของบุคคลผู้ต่ำกว่าตนเอง พูดง่าย ๆ ก็คือพอเห็นพระ แทนที่จะคิดถึงคุณงามความดีก็ไปคิดถึงสิ่งชั่วช้าสามานย์ต่าง ๆ เนื่องจากว่าสภาพจิตไปเปิดรับเอาสิ่งชั่ว ๆ เข้าไปมาก ทำให้มองไม่เห็นคุณงามความดีของผู้อื่นเลย ไม่เพียงแต่มองไม่เห็นคุณงามความดีของคนทั่วไปเท่านั้น แม้แต่คุณงามความดีของพระภิกษุสามเณรก็มองไม่เห็น ถ้าลักษณะของจิตที่มืดบอดแบบนี้ โอกาสที่จะลงสู่เบื้องล่างมีเยอะมาก ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะว่าในปัจจุบันบุคคลประเภทนี้มีมากขึ้นไปทุกที..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    เราท่านทั้งหลายต้องทราบว่าพระพุทธศาสนาของเรานั้นต้องประกอบไปด้วย

    ๑) พระศาสดา คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา

    ๒) ศาสนธรรม คือ คำสอนของพระองค์ท่าน ได้แก่ พระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

    ๓) ศาสนบุคคล คือ พระภิกษุสามเณร ผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา เมื่อศึกษาเล่าเรียนจนแตกฉานแล้ว ก็นำเอาศาสนาธรรมนั้นไปเผยแผ่ต่อบุคคลทั่วไป เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่คนหมู่มาก

    ๔) ศาสนวัตถุ คือ สิ่งก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ วิหาร เจดีย์ มณฑป ตลอดจนกระทั่งพระพุทธรูป

    ถ้าขาดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งไป ก็ไม่สามารถที่จะเป็นศาสนาได้ เป็นได้แค่ลัทธิเท่านั้น อย่างเช่นลัทธิคอมมิวนิสต์ ผู้ที่เผยแพร่แรกเริ่มก็คือคาร์ล มาคส์ สิ่งที่เป็นคำสอนก็คือแนวคิดที่ว่าประชาชนทุกคนต้องเสมอกัน ศาสนบุคคลของเขาก็คือบรรดาผู้นับถือลัทธิคอมมิวนิสต์ทั้งปวง แต่ไม่มีศาสนสถาน ดังนั้น..คอมมิวนิสต์จึงเป็นได้แค่ลัทธิ เป็นศาสนาไม่ได้

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้นการสร้างศาสนวัตถุนั้น มีทั้งวัตถุประสงค์ในการกระทำให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย อย่างเช่นอุโบสถ ใช้ในการทำสังฆกรรมต่าง ๆ อย่างเช่นการบวชพระ หรือการทบทวนพระปาฏิโมกข์เป็นต้น เป็นสิ่งที่ต้องมี เพื่อที่จะได้เป็นที่ทำสังฆกรรม

    ในสมัยก่อนป่ายังมีมาก ก็สมมติเอาสถานที่ใดสถานที่หนึ่งขึ้นมา โดยกำหนดทิศทั้ง ๘ ตามสิ่งสำคัญที่มองเห็นชัด เมื่อคณะสงฆ์รับรองแล้วก็ถือว่าเป็นอุโบสถ ทำสังฆกรรมได้ แต่ว่าระยะหลัง โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ไม่มีป่าแบบนั้นให้อีกแล้ว ป่าที่เหลือถ้าไม่ใช่ป่าสงวน ก็เป็นอุทยานแห่งชาติ ไม่ใช่อุทยานแห่งชาติก็เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พระภิกษุสามเณรไม่สามารถที่จะทำตามแบบโบราณได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เข้าพระทัยดี จึงได้พระราชทานวิสุงคามสีมาให้ เมื่อถึงเวลาสร้างวัดขึ้นมา พระองค์ท่านก็พระราชทานสถานที่นั้นให้แก่คณะสงฆ์ พระราชทานแล้วเป็นสิทธิ์ของสงฆ์เลย ไม่ใช่ของพระองค์อีก อย่างที่หลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม เมื่อถึงเวลาโดนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ เนรเทศ ท่านก็ไปนอนตีพุงอยู่ในอุโบสถ..!

    ครั้นสังฆการีไปเร่งรัดว่าให้ออกจากราชอาณาจักรได้แล้ว ท่านถามว่าจะให้ออกไปไหน ? เพราะว่าตรงนี้ไม่ใช่ราชอาณาจักร เป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้เป็นของพุทธจักรไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ท่านมีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่ เมื่อพระองค์ท่านพระราชทานที่มา ทางคณะสงฆ์ก็ต้องจัดการให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ไม่ได้สร้างอุโบสถไว้ให้นกขี้รด..! หากแต่สร้างไว้เพื่อทำสังฆกรรมสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา

    บุคคลที่มองไม่เห็นคุณงามความดีทั้งหลายเหล่านี้ สภาพจิตอาจจะมืดบอดอย่างหนึ่ง หรือว่าถ้าเคยบวชมา อาจจะมีสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ไม่ว่าจะเป็นตนเองกระทำ หรือคนอื่นกระทำกับตนเองอีกอย่างหนึ่ง แล้วก็ทำให้ฟันธงว่าพระภิกษุสามเณรหาดีไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าสิ่งที่เขาทำก็คือค้านสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ว่าจะเป็น ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ก็ดี สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ก็ตาม

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่เราท่านต้องตระหนักเอาไว้ว่า สมบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานแก่พวกเรา โดยเฉพาะหลักธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ เมื่อย่อลงมาแล้วเหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นแก่น เป็นแกน เป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะพระภิกษุสงฆ์ สามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาส พึงที่จะไขว่คว้ามาใส่ตนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อสามารถทำได้แล้วจะได้ถ่ายทอดต่อไป โดยที่ไม่ผิดไม่เพี้ยนเหมือนอย่างกับบุคคลที่ได้กล่าวถึงมา

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...