เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 พฤศจิกายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ เดือนตุลาอาถรรพ์ผ่านไปแล้ว แต่อาถรรพ์ยังไม่พ้นไป ขอท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมด้วยเถิด..! เปิดหัวขึ้นมาก็ทำเอาตกอกตกใจกันไปตามระเบียบ

    ความจริงเรื่องที่กระผม/อาตมภาพอยากจะพูดถึงก็คือ การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) ซึ่งเป็นการประชุมทั้งคณะกรรมการบริหารกลาง คณะกรรมการขับเคลื่อนประจำหนทั้ง ๔ หน ตลอดจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗

    ปรากฏว่ามีเรื่องหนึ่งซึ่งทางคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ หนใต้ นำโดยท่านเจ้าคุณชรัช - พระราชวัชรญาณโมลี, ดร.(ชรัช อุชุจาโร ป.ธ. ๖) รองเจ้าคณะภาค ๑๘ เจ้าอาวาสวัดตานีนรสโมสร (พระอารามหลวง) ซึ่งเป็นเพื่อนกับกระผม/อาตมภาพมาน่าจะเกิน ๓๐ ปีแล้ว ท่านบอกว่าการดำเนินโครงการตรวจประเมินเพื่อยกหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบของภาคใต้ หรือว่าหนใต้นั้น มีนักศึกษาซึ่งท่านทำงานเกี่ยวกับชุมชน ทำวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโท ขอเข้าไปร่วมสังเกตการณ์เพื่อนำเอาข้อมูลไปใส่ไว้ในวิทยานิพนธ์ด้วย

    ทางนักศึกษานั้นได้ให้ข้อคิดไว้ว่า "การที่คณะกรรมการขับเคลื่อนซึ่งล้วนแต่เป็นพระทั้งหมด เมื่อถึงเวลาประกอบพิธีต่าง ๆ ตามขั้นตอนที่ได้วางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการนำสวดมนต์ไหว้พระ การอาราธนาศีล การเปิดกรวยถวายราชสักการะ การร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี การที่พระเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล และพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น กินระยะเวลาที่ยาวนานมาก ทำให้การตรวจประเมินนั้นมีเวลาน้อย ทำอย่างไรที่จะรวบรัดพิธีกรรมทั้งหมดให้เสร็จสิ้นลงภายในไม่เกิน ๓๐ นาที ?"

    ซึ่งตรงนี้พวกกระผม/อาตมภาพที่ทำงานมาล้วนแล้วแต่เห็นด้วยทั้งสิ้น โดยเฉพาะการที่เราท่านทั้งหลายตรวจประเมินในช่วงเช้านั้น เวลาจะมีน้อยมาก เพราะว่าจะติดด้วยการต้องฉันเพลของกรรมการที่เป็นพระภิกษุทั้งหมด

    ประการต่อไปก็คือ นักศึกษาท่านนั้นให้ข้อสังเกตว่า "พระที่เป็นกรรมการขับเคลื่อนนั้น ตั้งคำถามกับบรรดาส่วนราชการแทบทั้งสิ้น ก็คือบรรดาผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล หรือว่าเทศมนตรี เป็นต้น ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับสั่งการ ส่วนระดับดำเนินการนั้นมักจะเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป อย่างดีก็แค่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แล้วผู้ที่ทำงานให้สำเร็จลงก็คือชาวบ้านระดับรากหญ้าตาดำ ๆ นั่นเอง ซึ่งเป็นผู้ที่รู้ปัญหาดีที่สุด แต่ไม่เคยได้รับการถามคำถามเลย ?"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    ตรงนี้ต้องบอกว่ากระผม/อาตมภาพก็เห็นด้วย แต่ว่าไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด เพราะว่านักศึกษาท่านลงไปเก็บข้อมูลเฉพาะของทางหนใต้ ถ้ามาดูในหนกลาง โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพเอง แม้จะโดนจำกัดด้วยเวลา และได้รับการกระซิบบอกว่า "อย่าถามเกิน ๒ คน เพราะว่าจะกินเวลามาก" กระผม/อาตมภาพก็มักจะถามทั้งเด็กเล็ก ทั้งครูบาอาจารย์ และปราชญ์ชาวบ้าน เหล่านี้เป็นต้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ท่านทักท้วงมาทั้ง ๆ ที่ได้เข้าร่วมงานเพียงเล็กน้อย แสดงว่าเป็นผู้ที่มีข้อสังเกตที่แหลมคมมาก

    อีกส่วนหนึ่งก็คือ "การตรวจประเมินในช่วงเช้าจะติดด้วยการฉันเพล แล้วทางเจ้าภาพก็จัดภัตตาหารมาถวายชนิดจัดเต็มไปเสียทุกแห่ง แต่ว่าวัตถุประสงค์ของโครงการก็คือ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ให้ทุกคนรู้จักหลักทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง รู้จักการดำเนินชีวิตตามหลักพอเพียง แต่ว่าบางที่ขนภัตตาหารมาถวายกรรมการอย่างชนิดที่เกินพอเพียงไปมาก !?"

    ตรงนี้ถือว่าท่านมีข้อสังเกตที่ดี แต่ว่าถ้าหากว่าท่านทราบนโยบายของประธานอำนวยการ ก็คือพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง องค์ประธานอำนวยการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ถึงกับกล่าวว่า "อย่าไปรบกวนชาวบ้านเขา ให้ซื้อข้าวกล่องฉันกันเองเป็นดีที่สุด" แต่คราวนี้ทางเจ้าภาพเขามีน้ำใจ โดยเฉพาะหลายต่อหลายแห่ง อย่างเช่นว่าวัดเจดีย์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดไอ้ไข่ ยังบอกว่า "กรรมการมาน้อยเกินไป ต่อให้มามากกว่านี้ก็เต็มใจที่จะเลี้ยง" เป็นต้น

    ตรงนี้ต้องบอกว่า คำว่า "พอเพียง" นั้นมาจากคำว่า "สันโดษ" มีส่วนหนึ่งก็คือ "ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน" บุคคลที่มีฐานะร่ำรวย ก็สามารถที่จะกระทำบางสิ่งบางอย่างตามฐานะของตนได้มากกว่าบุคคลที่มีฐานะต่ำกว่า ในเมื่อทางเจ้าภาพเขาสามารถที่จะถวายภัตตาหารแก่คณะกรรมการ ก็ย่อมทำตามฐานานุรูปของตน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้อสังเกตข้อนี้ของท่าน แปลว่า
    ท่านอาจจะเข้าใจคำว่าพอเพียงผิดไป

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เจ้าของทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่โด่งดังไปทั่วโลก พระองค์ยังให้คำอธิบายว่า "คำว่าพอเพียงไม่ได้หมายถึงยากจน" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้อสังเกตนี้ทางคณะกรรมการจะนำมาปรึกษาหารือกันอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะดำเนินการอย่างไรถึงจะออกมาละมุนละม่อมและพอเหมาะพอดี
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    แต่ว่าสิ่งที่ท่านให้ข้อสังเกตมา ทั้ง ๆ ที่เข้าร่วมงานเพียงเล็กน้อย แล้วสามารถที่จะบอกกล่าวในส่วนที่ถือว่าเป็นข้อบกพร่องบ้าง ในส่วนที่เป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจบ้าง ต้องบอกว่าถ้าท่านจบปริญญาโทแล้ว ขอให้รีบเรียนต่อปริญญาเอกด้วยเถิด เพราะว่าบุคคลที่มีสายตาในระดับนี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาไปให้ถึงระดับสูงสุด..!

    เผื่อว่าท่านได้รับตำแหน่งหน้าที่อะไร จะได้บริหารงานตรงนั้นออกมาให้ดีที่สุด ให้สมกับความรู้ความสามารถของท่าน กระผม/อาตมภาพในฐานะคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ รูปหนึ่ง ขอน้อมเอาคำติชมและคำแนะนำของท่านมา เพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไขในการตรวจประเมินหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ครั้งต่อไป และขออำนวยอวยพรให้ท่านสำเร็จการศึกษาในระดับสูงสุด เท่าที่พึงมีของประเทศของเราได้โดยง่ายด้วย

    อีกเรื่องหนึ่งก็คือการที่เมื่อวานนี้ ทางด้านหลวงพี่น้ำฝน (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม หัวหน้าพระวินยาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ท่านได้เอาหนังสือของเจ้าอาวาสวัดสามชุก ซึ่งเรียกตัวพระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตฺตธมฺโม ซึ่งออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับชาวบ้าน ตลอดจนกระทั่งทางคณะสงฆ์ ให้กลับสู่ต้นสังกัดภายใน ๗ วัน

    ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องดูว่าคำสั่งของเจ้าอาวาสจะมีผลหรือไม่ ? เนื่องเพราะว่า
    เจ้าอาวาสมีสิทธิ์ในการรับคนเข้า เอาคนออก ในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ถ้าหากว่าไม่ยอมกลับต้นสังกัดภายใน ๗ วัน แล้วเกิดหลวงปู่เจ้าอาวาสท่านเฮี้ยนขึ้นมา แล้วปลดท่านออกจากสังกัดวัด หรือว่าให้ท่านออกจากสังกัดวัด ก็จะกลายเป็นหลักลอย ถ้าหาวัดสังกัดไม่ได้ ท่านก็จะต้องสึกหาลาเพศไปตามกฎหมายของเรา ที่ห้ามพระไม่มีสังกัด ถ้าอยู่ในลักษณะเช่นนั้น ก็คาดว่าสิ่งที่ท่านดื้อทำไปก็จะเกิดผลร้ายแก่ตัวของท่านเอง

    แต่ว่าในส่วนหนึ่งก็คือภาพพจน์ที่เกิดขึ้น บางคนท่านใช้คำว่า "พระสงฆ์ทะเลาะกัน" บ้าง หรือว่า "มีการฟาดแรง" บ้าง เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในลักษณะของการ "เสี้ยม" ทำให้สังคมของเราแตกแยกกัน แล้วก็มีบุคคลบางประเภทที่อยู่ในลักษณะเกรงว่าฟืนไฟจะไหม้แรงไม่พอ แล้วโยนเชื้อเพลิงเพิ่มเข้าไปด้วย..! อย่างวันนี้ที่มีทนายคนหนึ่งไปแจ้งความ แล้วก็โดนคนตบปาก เพราะว่าไม่ถูกอารมณ์ของแฟนคลับอีกฝ่ายหนึ่ง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    เรื่องพวกนี้ ถ้าเราสังเกตดูจะเห็นความแตกแยกในบ้านในเมืองของเราอย่างชัดเจน และกระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ความแตกแยกทั้งหลายเหล่านี้มาจากมือของท่านเอง ก็คือมือของท่านที่ถือโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้โดยง่าย แต่ว่าเป็นข้อมูลที่ไม่มีความรอบคอบ ไม่มีความรอบด้าน แถมยังมีคนเจตนาจะปั่นหัวให้คนทะเลาะกัน เพื่อที่จะหายอดวิว หายอดไลค์อีกต่างหาก แล้วท่านทั้งหลายขาดสติ ไป รัก โลภ โกรธ หลง ตามที่เขาปั่นหัว ก็ทำให้สังคมของเราแตกแยกกันมากขึ้นไปทุกที..!

    ถ้าท่านทั้งหลายตั้งสตินับ ๑ ถึง ๑๐๐ เสียก่อน ลองดูว่าถ้าเราไม่แตะโทรศัพท์สักวันหนึ่งจะขาดใจตายหรือไม่ ? ซึ่งตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าไม่ตายแน่นอน เนื่องเพราะว่าบางทีตนเองก็ลืมโทรศัพท์ไป ๓ - ๔ วัน จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้อีกทีก็ต้องไปค้นหา ไม่สามารถที่จะใช้โทรศัพท์อื่นเรียกหาได้ เนื่องจากว่าปิดเสียงป้องกันการรบกวนเอาไว้ด้วย

    ถ้าท่านทั้งหลายสามารถที่จะห่างจากโทรศัพท์ได้ นอกจากจะทำให้ใจเย็นลงแล้ว ยังสามารถที่จะหักห้ามใจของตนเองจากความเคยชินได้ ถ้าท่านสามารถหักห้ามใจตนเองให้ละสิ่งที่เคยชินได้ ท่านทั้งหลายจะรักษาศีลกี่สิกขาบทก็สามารถที่จะรักษาได้ เนื่องเพราะว่าการห้ามใจตนเองนั่นแหละคือศีล..!

    จึงขอฝากเอาไว้เป็นข้อคิดให้กับท่านทั้งหลายว่า สังคมบ้านเราในปัจจุบันนี้ แตกแยกมาตั้งแต่สมาร์ทโฟนเข้ามาสู่สังคมไทย ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าการแบ่งสีแบ่งฝ่าย สารพัดสารเพ เริ่มจากการสื่อสารที่ติดต่อกันง่าย แล้วต่างฝ่ายต่างก็มีกองเชียร์ของตนเอง ถึงขนาดนัดกันลงถนน นัดกันที่จะไปลุยฝ่ายตรงข้าม..!

    จึงทำให้สิ่งนี้ก็คือโทรศัพท์ฉลาด หรือว่าสมาร์ทโฟน เป็นตัวทำให้สังคมของเราแตกแยกยังไม่พอ ยังทำให้เด็กนักเรียนของเราขาดสมาธิในการเรียน เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไถโทรศัพท์ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ทำให้สามารถที่จะติดต่อกับบุคคลอื่นได้ง่าย แล้วปัจจุบันนี้ก็จะมีข่าวว่าวัยรุ่นหนุ่มสาว โดนหลอกโดนลวงจนกระทั่งเสียหายไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร โดยที่พ่อแม่ไม่สามารถป้องกันได้ ก็เพราะว่าโทรศัพท์อยู่กับลูกตลอดเวลา

    ถ้าท่านทั้งหลายเห็นผลร้ายเช่นนี้แล้ว ลองจำกัดตัวเองดูบ้าง ว่าเราจะใช้โทรศัพท์ตอนเช้าสัก ๑ ชั่วโมง ตอนเย็นสัก ๑ ชั่วโมง เวลาที่เหลือลองปิดโทรศัพท์ทิ้งไปดู ว่าสามารถที่จะทำใจได้หรือไม่ ? ถ้าท่านสามารถที่จะทำได้ กระผม/อาตมภาพก็ขอแสดงความยินดีด้วย ว่าท่านสามารถที่จะรักษาศีลได้ทุกข้อ

    ศีลย่อมสามารถทำให้สมาธิของท่านทรงตัวได้ง่าย ถ้าสมาธิทรงตัว ปัญญาก็จะเกิด มีปัญหาทางโลกก็สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ มีปัญหาทางธรรม ก็สามารถที่จะพิจารณาจนรู้แจ้งแทงตลอดได้เช่นกัน ขออำนวยอวยพรให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จ ถ้าไม่สามารถหย่าขาดจากโทรศัพท์ได้ อย่างน้อย ๆ ก็เว้นระยะห่างกันบ้างก็ยังดี

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...