เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 ตุลาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1965.jpeg
      IMG_1965.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      346.2 KB
      เปิดดู:
      46
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พรุ่งนี้พวกเราจะมีงานหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่บิณฑบาตที่ตลาดริมแควเมืองท่าขนุน หลังจากนั้นทางด้านทีมงานถ่ายทำวีดีโอ ก็จะทำการถ่ายทำสถานที่ต่าง ๆ ภายในเขตชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน ใครที่รับผิดชอบส่วนไหนให้ดูแลในส่วนนั้น โดยเฉพาะในเรื่องของความสะอาด

    ในช่วงออกบิณฑบาตก็แจ้งเขาด้วยว่า เราของดบิณฑบาตเช้าวันที่ ๑๓ หนึ่งวัน เพราะว่ามีงานบิณฑบาตถวายพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ณ ที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งพวกเราจะออกไปบิณฑบาตวันอาทิตย์ที่ตลาดชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน แล้วก็เคลื่อนย้ายต่อไปที่หน้าอำเภอทองผาภูมิเลย

    ส่วนพรุ่งนี้หลังจากบิณฑบาตและฉันเช้าแล้ว กระผม/อาตมภาพเองต้องเข้าร่วมประชุมกลุ่มย่อยกับนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน สถาบันพระปกเกล้า ที่เขามาต้องการจะหาข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนชุมชนของเราอย่างยั่งยืนว่าทำอย่างไรกัน แล้วก็ยังต้องไปร่วมงานสอบนักธรรมชั้นตรีสนามหลวงวันที่สองอีก

    ก็แปลว่างานหลายอย่าง เช่นการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมรุ่นที่ ๗ - ๒๕๖๗ ก็คือหลังจากฉันเช้าแล้ว ทำการบวชเสร็จ ก็ต้องทิ้งภาระให้กับพระวิปัสสนาจารย์ดำเนินการกันไป

    เรื่องของงานต่าง ๆ ถ้าหากว่าประดังมาพร้อม ๆ กัน กระผม/อาตมภาพเคยบอกกล่าวพวกเราไปหลายครั้งแล้วว่า ต้องจัดลำดับความสำคัญ ก่อน หลัง เร็ว ช้า ของงานให้ได้ แล้วเราจะมีงานอยู่ข้างหน้าแค่งานเดียว ที่จะไม่หนักเกินกำลังของเรา ถ้าหากว่าเราจัดระดับความสำคัญ ก่อน หลัง เร็ว ช้า ของงานไม่ได้ เราก็จะเอาทุกงานมารวมกัน กลายเป็นภาระหนักเกินกำลังของเรา

    เรื่องเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับสติและปัญญา สติจะมีได้ต้องมีสมาธิเป็นเครื่องประกอบ ถ้าสมาธิทรงตัว สติก็ว่องไว ปัญญาจะมีได้ก็ต้องมีสมาธิเป็นเครื่องประกอบ ถ้าสมาธิทรงตัว ปัญญาก็แหลมคม ชัดเจน

    จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวกับพวกเราไปหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า แทบทุกคำตอบในการปฏิบัติธรรมอยู่ที่สมาธิ ยกเว้นการที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลในช่วงปลายเท่านั้น ที่ต้องเน้นปัญญาเป็นหลัก แต่ก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิในการตัดละอยู่ดี ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะรู้สึกเหมือนอย่างกับจับเงาในน้ำ ก็คือมองเห็นชัดเจนขนาดไหนแต่ก็จับไม่ติด เพราะว่ากำลังของเราไม่เพียงพอ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    เรื่องของการปฏิบัติธรรม มีบางสายสอนให้เน้นหนักในเรื่องวิปัสสนา โดยเฉพาะให้กำหนดรู้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบันอย่างเดียว รู้แล้ววาง..รู้แล้ววาง ประมาณว่า "รู้หนอ..รู้หนอ" ซึ่งลักษณะนั้นจะว่าไปแล้ว ไม่ใช่วิปัสสนาญาณที่แท้จริง เป็นแค่การมีสติอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น

    เมื่อสติอยู่กับปัจจุบัน รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ ก็ไปเข้าใจว่าเป็นกำลังของวิปัสสนา แต่ความจริงถ้าสติเคลื่อนไปแม้แต่นิดเดียว รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะกลับมาอย่างเต็มที่เหมือนเดิม ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมสายนี้จึงจะทุกข์ทรมานมาก เพราะว่าจะโดน รัก โลภ โกรธ หลง กระหน่ำตีอยู่ตลอดเวลา โดยที่เรามีหน้าที่แค่ตามดูตามรู้ไปเฉย ๆ

    ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมถ้าหากว่าจะให้ได้ผล เราจะต้องอาศัยทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานควบคู่กันไป เพราะว่าสมถกรรมฐานจะเพาะให้เรามีกำลังสูง ส่วนวิปัสสนากรรมฐานเหมือนอาวุธที่คมกล้า เราต้องมีกำลังถึงจะยกอาวุธขึ้นมาตัดฟันสิ่งต่าง ๆ ได้ ถ้าเรามีแต่อาวุธ ไม่มีกำลัง ก็ยกไม่ขึ้น มีกำลังไม่มีอาวุธ จะตัดอะไรก็ยากเต็มที

    สมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐานจึงเหมือนคนที่ผูกขาติดกัน พอเราก้าวข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหน้าจนสุดแล้ว ก็ต้องก้าวอีกข้างตามไปถึงจะได้ระยะทาง ไม่เช่นนั้นถ้าหากว่าเราทำอย่างเดียว ถึงเวลาก็จะก้าวต่อไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าไปสุดเชือกหรือโซ่ที่ล่ามอยู่ ก็จะโดนกระตุกกลับ..!

    ถ้าหากว่าเราผลัดกันก้าว ก็คือปฏิบัติสมถภาวนาไปจนกำลังใจทรงตัว ไปต่อไม่ได้แล้ว คำว่า "ไปต่อไม่ได้" ถ้าท่านที่รู้จักสังเกตจะเหมือนกับเราเดินไปชนผนัง เป็นทางตัน ไปต่อไม่ได้ แล้วกำลังใจของเราจะเคลื่อนคล้อยถอยออกมาเอง ตอนช่วงนั้นต้องรีบฉวยโอกาสพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานทันที ก็คือพิจารณาให้เห็นชัดเจนว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา

    เนื่องเพราะว่าถ้าเราไม่รีบพิจารณา รัก โลภ โกรธ หลง จะฉวยกำลังสมาธินั้นไปใช้งานแทน เราก็จะฟุ้งซ่านไปใน รัก โลภ โกรธ หลง ได้อย่างหนักแน่นมาก ระงับไม่ได้ เพราะกำลังของกิเลสดีกว่า เนื่องจากได้สมาธิไปช่วย เราจึงจำเป็นต้องใช้กำลังสมาธิไปในการพิจารณา

    เมื่อรู้สึกว่าการพิจารณานั้นเริ่มเลือนลาง ไม่ชัดเจน แปลว่าสมาธิของเราตกแล้ว เราก็เร่งกลับมาภาวนาในสมถกรรมฐานใหม่ เมื่อไปจนสุด ไปต่อไม่ได้ก็คลายสมาธิมาพิจารณา ทำสลับกันไปสลับกันมา ลักษณะอย่างนี้ถึงจะมีความก้าวหน้า
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    หลายต่อหลายท่านไปเน้นสมถภาวนาอย่างเดียว โอกาสที่ท่านจะบรรลุก็มีเหมือนกัน แต่ต้องกดกิเลสให้นิ่งเอาไว้ต่อเนื่องเป็นเวลา ๒๐ - ๓๐ ปี เผลอหลุดเมื่อไรก็โดนกิเลสงัดหงายท้อง..! ขนาดพระเถระที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณในทางปฏิบัติธรรมก็สึกหาลาเพศมาแล้ว ในขณะเดียวกันสายที่บอกว่าเน้นแต่วิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว ก็โดนกิเลสตีปางตายเหมือนกัน เพราะว่าไม่มีกำลังที่จะยกอาวุธขึ้นมาตัดมาฟันอะไรได้..!

    เรื่องของการปฏิบัติธรรมจึงต้องมีครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริงช่วยแนะนำวิธีการให้กับพวกเรา ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าพิจารณาวิปัสสนาญาณอย่างเดียว ตามในอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรกล่าวไว้ก็คือ พระภิกษุรูปหนึ่งบวชพระตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี แล้วก็พิจารณาวิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียวต่อเนื่องไป แล้วบรรลุอรหัตผลตอนอายุ ๘๐ ปี นั่นคือการบรรลุด้วยปัญญาวิมุติ คือใช้ปัญญาอย่างเดียว ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง ใครจะมีเวลา ๖๐ ปี มาพิจารณาวิปัสสนาต่อเนื่องแบบนั้นได้บ้าง ?

    ส่วนท่านที่ทรงสมาธิในสมถกรรมฐานอย่างเดียว ถ้าท่านแน่จริงก็ไปได้เหมือนกัน ก็คือกดกิเลสเอาไว้นานเพียงพอจนกิเลสตายไปเอง เขาเรียกว่าบรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มกิเลส เพียงแต่ว่าเราก็ต้องมีกำลังเพียงพอและมีอายุที่ยืนนานพอเหมือนกัน เพราะถ้านานไม่พอ เผลอเมื่อไรกิเลสก็งอกงามใหม่ ทั้งสองอย่างจึงมีทั้งข้อเด่นข้อด้อยของตนเองที่สามารถเอามาเสริมกันได้พอดี

    ในเมื่อมีวิธีที่ง่าย ก็คือทำสองอย่างสลับกันไปสลับกันมา แต่กลับเห็นผู้ปฏิบัติบางสายไปเน้นเอาอย่างเดียว แล้วบรรดาลูกศิษย์ก็เดือดร้อนอยู่เสมอ เพราะว่ากิเลสไม่เคยปรานีเรา ถึงเวลาก็ตีเราเกือบตาย ส่วนเราเองนั้นก็ปัญญาไม่พอ หรือว่าปรับการปฏิบัติธรรมไม่เป็น ครูบาอาจารย์บอกอย่างไรก็เชื่อตามนั้นอย่างเดียว เมื่อถึงเวลากิเลสตีกลับ ก็เสียผู้เสียคนไปมากต่อมากแล้ว

    จึงเป็นเรื่องที่พวกเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักและทำให้ถูก เพราะว่าเราไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร จึงต้องเร่งรัดปฏิบัติธรรมให้เกิดผลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าไปไม่ถึงที่สุด ก็ให้เหลือหนทางในการเวียนว่ายตายเกิดที่สั้นที่สุด เพื่อที่เราจะได้เหลือชาติเกิดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ เนื่องจากว่าเกิดเท่าไรก็ทุกข์เท่านั้น

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าพวกเรามัวแต่ประมาทอยู่ ไม่เร่งรัดการปฏิบัติของตนเอง มัวแต่ไปชมดอกไม้ข้างทาง เรื่องโน้นก็ดี เรื่องนี้ก็น่าสนใจ เราก็จะโดนกิเลสหลอกให้อยู่กับรัก โลภ โกรธ หลง กันต่อไปอีกนับชาติไม่ถ้วน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...