เมื่อพระอินทร์มารักษาหลวงพ่อตอนตายครั้งแรก

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 22 กันยายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    [​IMG]
    คราวนี้มาว่ากันถึงผล พออายุ ๒ ปีเศษ ๆ ใกล้จะถึง ๓ ปีผมป่วยฉับพลัน นั่นก็คือโรคท้องร่วง ไอ้โรคนี้ผมทราบ ทราบจากพระท่านบอกว่าผมต้องตายเพราะโรคนี้ โรคทางท้องจะร่วงหรือไม่ร่วง เวลานี้มันไม่ค่อยจะร่วง เวลานี้ขี้ไม่ออก มันไม่ค่อยจะร่วงมากกว่า คือไม่พยายามจะออก เมื่อก่อนนี้ร่วงบ่อย เดี๋ยวนี้ไม่ร่วงแล้ว ก็ทางท้องเหมือนกันมันถ่ายไม่ไหว มันถ่ายไม่ออกต้องใช้ยาระบายเป็นปกติ ฉะนั้นเวลานี้ผมจึงป่วยไข้ไม่สบาย แต่ว่าการป่วยไข้ไม่สบายกับธรรมะนี่ผมก็ถือว่าผมต้องสู้ ถ้าเพื่อธรรมะแล้ว ผมต้องสู้จนกว่าจะสิ้นชีวิต แต่เรื่องอื่นไม่แน่ ผมไม่สู้ใครเพราะแรงไม่มี การมาพูดนี่ก็พูดกันในขณะที่ยังป่วยไข้ไม่สบาย วันนี้ก็ยังเดินโซซัดโซเซ หลังจากเลิกจากการรับแขก ลุกขึ้นมามันมึนใกล้จะล้ม แต่ก็ไม่เป็นไร ตั้งใจว่าวันนี้จะบันทึกให้จบเล่มที่ ๑ คือครบ ๑๐ คาสเซท เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้น ท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุกมารักษา ท่านลุงนี่เป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ ท่านมีความเข้าใจทั้ง ๒ อย่าง เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาแต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้ ในที่สุดผมก็จะต้องตาย การตายคราวนั้นก็มีญาติอยู่เยอะ มีท่านย่าอยู่ด้วย มาพยาบาลffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    และท่านย่าของผมก็ดี ท่านยายก็ดี ทั้ง ๒ คนนี่ปกตินินทาคนไม่เป็นและก็ทรงศีล ๕ อยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะท่านย่า ใช้คำภาวนาโดยท่านมีลูกประคำ คือมีลูกประคำชักอยู่เรื่อย ๆ เวลาท่านจะตายคือผมเป็นเด็กโตแล้วท่านนั่งชักลูกประคำไปครึ่งพวงท่านก็ตาย แล้วหันหลังพิงฝา แสดงว่าจริยาของท่านในด้านธัมมะธัมโมท่านดีมาก เมื่อผมตายเข้าจริง ๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน<O:p></O:p>
    มันเป็นเวลาเย็นแล้วใกล้จะ ๕ โมงเย็น ที่ผมรู้นี่ท่านพ่อกับท่านแม่ท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้ เมื่อท่านกลับไปบ้าน ท่านก็อาบน้ำอาบท่านแต่งกายแต่งตัวแล้ว ก็หวังว่าจะกินข้าวเย็นให้มันอิ่ม อิ่มแล้วจะกลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จ ก็ปรากฏว่าท่านลงจากบ้านวิ่งตื้อมาบ้านทันที บ้านไม่ไกลกัน<O:p></O:p>
    เป็นอันว่าบรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจไม่เคยเห็นจริยาของย่าแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งตามมา มีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจเพราะผมตาย แต่ว่าเรื่องร้ายอาจจะเกิดขึ้นที่บ้านก็ได้ท่านจึงวิ่งมา ทุกคนไม่เคยเห็น ต่างคนตามมาแล้วท่านย่าขึ้นมาบนบ้าน มาถึงแทนที่ท่านจะนั่งตามปกติ ปกติท่านชอบนั่งพับเพียบ ไปที่ไหนเห็นแต่ท่านนั่งพับเพียบเป็นปกติ และการนั่งพับเพียบท่านก็ไม่ค่อยจะพลิก บางทีตั้งครึ่งวันค่อนวัน ท่านนั่งพับเพียบด้านขวาก็ขวาซ้ายก็ซ้ายไม่พลิกอีก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    วันนั้นท่านขึ้นมา ท่านพ่อท่านแม่บอกว่าท่านนั่งขัดสมาธิ ๒ ชั้นแล้วก็ถามว่า "ลูกของกูป่วยไข้ไม่สบายเท่านี้มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกของกูตาย?"<O:p></O:p>
    ท่านพ่อบอกว่า "คุณแม่ครับ คุณแม่ก็มารักษาด้วยตนเอง มาพยาบาลด้วยตนเองก็ทราบอยู่แล้ว"<O:p></O:p>
    เสียงท่านลักษณะผิดจากเดิม เป็นลักษณะของผู้ชาย แล้วพูดจาห้าวหาญบอกลักษณะผู้ชายชัด เมื่อท่านพ่อท่านแม่บอกอย่างนั้น ท่านก็บอก<O:p></O:p>
    "กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือพระอินทร์ เป็นพ่อของเจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับเป็นแสนชาติ ทำไมเท่านี้พวกมึงรักษากันไม่ได้หรือ ?"<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ก็เรียกหมอคือท่านลุงเข้ามาถามว่า "ทำไมโรคแค่นี้เอ็งรักษาไม่ได้หรือโรคไม่หนักหนา ?"<O:p></O:p>
    ท่านลุงก็บอกว่า "เกินวิสัยของผมแล้วครับเป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้"<O:p></O:p>
    ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมา ๑ ขัน แล้วก็เอาธูปมา ๓ ดอก เอาเทียนมา ๑ เล่ม ข้าจะทำน้ำมนต์ ข้าจะรักษาเอง" <O:p></O:p>
    ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมา ๑ ขัน แล้วก็เอาธูปมา ๓ ดอก เอาเทียนมา ๑ เล่ม ข้าจะทำน้ำมนต์ ข้าจะรักษาเอง"<O:p></O:p>
    ในที่สุดท่านก็ทำน้ำมนต์ หลังจากทำน้ำมนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า "เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ ๆ ข้า"<O:p></O:p>
    เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ ๆ ท่านเอามือลูบไปครั้งพร้อมกับเป่าแล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ๓ ครั้ง พอ ๓ ครั้ง ท่านก็อมน้ำตั้งใจเงียบ ๆ ประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ<O:p></O:p>
    พอเป่าไปครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้นขยับมือได้ พอเป่าไปครั้งที่ ๓ ปรากฏว่า เด็กลุกขึ้นพูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่าง ๆ ที่เป็นหายหมด<O:p></O:p>
    หลังจากนั้นท่านก็ประกาศว่า ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าถ้าจะเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา<O:p></O:p>
    แล้วท่านก็มองหน้ามาที่เด็กเรียกเข้ามาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ ๆ ให้หันหน้ามาว่า "เจ้าจงจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอ็ง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับเป็นแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้น หรือมีการขัดข้องอะไรก็ตาม จงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันที ถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า"<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เวลานั้นกลัวทั้งผีทั้งหมาบ้า ผมนะ ผมเองนี้ปกติกลัวผีมาก สมัยเป็น เด็ก ๆ อยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ พอนั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้ กลัว นี่ความรู้ ตอนนี้รู้ตัว<O:p></O:p>
    สำหรับไอ้สุนัขนี่ผู้ใหญ่เขาหลอกหมาบ้าจะกัด หมาบ้าจะกัด ก็เลยมีอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก ๒ กลัวนี่ท่านไม่รู้ใจ หลังจากนั้นท่านก็ลาไป<O:p></O:p>
    เมื่อลาไปแล้วตามปกติของผมเป็นคนกลัวผี บางวันท่านพ่อท่านแม่พี่ท่านไปข้างล่าง ท่านบอก<O:p></O:p>
    "อยู่ข้างบนนี่นะอย่าไปไหนเลย และก็อย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหล่นใต้ถุน จะเจ็บ"<O:p></O:p>
    ตั้งแต่ตอนเด็กมา คำสั่งผมถือว่าเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสั่งของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ผู้ใหญ่อาจจะเห็นเป็นโรคมายาก็ได้ ทำอย่างไร ท่านสั่งไม่ได้ลงก็ต้องไม่ลง ถ้าจะลงก็กลัวถูกตี จะตีหรือไม่ตีก็ยังไม่แน่ ในที่สุดก็แก้ไขช่วยปัญหาตนเองนึกถึง ท่านพระอินทร์ ว่า <O:p></O:p>
    "ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผีแล้ว"<O:p></O:p>
    นึกปั๊บเห็นท่านทันที ท่านมาในลักษณะที่เราเข้าใจ เราเข้าใจกันว่า พระอินทร์ตัวเขียว ท่านก็มาเขียว ๆ มาแล้วท่านก็บอกว่า<O:p></O:p>
    "ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้ ผีทั้งหมดสู้พ่อไม่ได้"<O:p></O:p>
    และในการบางครั้งท่านก็มีภารกิจ ท่านมาแล้วท่านก็บอกว่า<O:p></O:p>
    "พ่อต้องรีบกลับ แต่คนนี้จะช่วยลูก"<O:p></O:p>
    คนนี้ก็คือมี ๒ คน ครั้งแรกมีผู้หญิงสาว และก็สวย สวยก็ไม่สวยเปล่า ใส่ชฎาด้วย ทั้งตัวเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวพราวระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอก<O:p></O:p>
    "คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติ เพราะเป็นชายาของพ่อ คือเป็นเมียพ่อนั่นเอง แล้วคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน เขาจะช่วยสงเคราะห์ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระให้แม่กับพี่มา"<O:p></O:p>
    ผมก็มีความสุข ถ้าหากท่านพ่อกลับ ท่านแม่กับท่านพี่ก็มาอยู่ก็คุยกันแบบคนธรรมดา ผมก็ชอบสวย ๆ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า<O:p></O:p>
    "นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหม เพชรตรงนี้ดีไหม" ท่านก็ชวนคุย ผมก็มีความเพลิดเพลิน ผมก็มีความสุข<O:p></O:p>
    แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก พอจับไปนอนตักรู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มาก และมีความอบอุ่นเป็นพิเศษท่านลูบไปลูบมา ประเดี๋ยวเดียวผมก็หลับ นี่เรื่องของเทวานุภาพ<O:p></O:p>
    และวันต่อ ๆ มา บางครั้งบางทีผมอยู่คนเดียว ก็มีความรู้สึกว่ามีลุงคนหนึ่ง ลุงในชาตินี้ท่านตายไปแล้ว คือลุงคนนี้ก่อนที่ท่านจะตาย เมื่อมีชีวิตท่านรักผมมาก และก็เคยขอท่านพ่อท่านแม่ว่า "คนนี้เป็นลูกของฉัน" ท่านไม่มีลูก ท่านพ่อกับท่านแม่ก็อนุญาตขอยกให้เป็นลูก ฉะนั้นในเมื่อท่านตายก็เข้าใจว่าทรัพย์สินบางส่วนอาจจะตกถึงผมก็ได้ และทรัพย์สินส่วนนั้นอาจจะมีอยู่ถึงเวลานี้ก็ได้ ผมเข้าใจว่า "อาจจะ" นะ ก็เป็นอันว่ามีความรู้สึกว่าท่านมานอนใกล้ ๆ <O:p></O:p>
    บางทีผมนั่งข้างนอก ท่านมานอนอยู่ในห้องเสียงกรนได้ยิน จำได้ว่า เป็นเสียงลุง กลิ่นตัวได้รับก็จำไม่ว่าเป็นกลิ่นตัวของท่านก็หมดความกลัว<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในเหตุการณ์บางขณะเวลาเดินไปไหน เมื่อเกิดความกลัวขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ลักษณะเดินชัด กลางวันมองก็ไม่เห็นตัว แต่บางครั้งตอนที่ผมโตไปแล้ว นี่เล่าถึงโตเลยนะ ถึงความเป็นหนุ่มแล้ว ก็มีลักษณะอย่างนั้น บางทีผมก็แกล้งบอกว่า "เอ้า เดินข้างหน้าบ้างซิ เดินข้างหลังอย่างเดียวไง" ก็มีลักษณะเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวาไปเดินข้างหน้าแล้วก็มีเสียงคนเดินข้างหลัง<O:p></O:p>
    บางคราวมีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะการคุยหัวเราะต่อกระซิกนี้เป็นลักษณะคล้าย ๆ กับว่าเป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัวความจริง ผมเป็นหนุ่มแล้วผมก็ยังหวาดกลัว แต่ลักษณะของผมเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าลงก้าวเท้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับจะไปไหนต้องไปให้ได้ มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนเดินบอกลักษณะว่ามีคนติดตามก็มีอยู่เสมอ<O:p></O:p>
    มีคราวหนึ่งผมเดินไป เดินไปเดินมาอยู่ เดินไปก็มีความหวาดอยู่นิดที่ตรงนั้นมันมืด และก็มีสุมทุมพุ่มไม้ ตอนนี้หนุ่มแล้วนะ พอเข้าเขตนั้นชัดไม่ไว้ใจ ตาก็มองจุดนั้น ไอ้มือหนึ่งก็ดึงปืนมาจากกระเป๋า อีกมือหนึ่งถือมีด คิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ต้องยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน<O:p></O:p>
    ก็ผมคิดอย่างนั้นก็เสียงหัวเราะครืนทันที ลักษณะ ๖ คน แต่ถามว่า<O:p></O:p>
    "หัวเราะทำไม ใครมา ท่านแม่และท่านพี่หรือ?"<O:p></O:p>
    ก็เสียงตอบว่า "ไม่ใช่แม่และก็ไม่ใช่พี่" แต่เป็นเสียงผู้หญิงเสียงเพราะมาก ถามว่า "ใครล่ะ ?"<O:p></O:p>
    ท่านก็เลยตอบว่า "น้อง"<O:p></O:p>
    ถามว่า "น้องมีกี่คน?"<O:p></O:p>
    "น้องลักษณะอย่างนี้มีหลายพันคนบนดาวดึงส์"<O:p></O:p>
    ถามว่า "พ่อกับแม่ฉันสมัยนั้นมีลูกเป็นพัน ๆ หรือ...?"<O:p></O:p>
    ก็บอก "ไม่ใช่ เป็นลูกคนอื่นที่เอาทำน้อง"<O:p></O:p>
    ไม่เข้าใจถามว่า "มาทำน้องอย่างไร?"<O:p></O:p>
    ก็บอกว่า "ผู้ชายกับผู้หญิงถ้าแต่งงานกัน ผู้หญิงถือว่าเป็นน้องของผู้ชาย"<O:p></O:p>
    "ถ้าเช่นนั้นที่มานี่มาหมดไหม...?"<O:p></O:p>
    เขาบอก "มาไม่หมด มาแค่ ๖ คน"<O:p></O:p>
    ก็อยากจะดู ถามว่า "รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร...?"<O:p></O:p>
    ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืด ๆ ก็เหมือนไฟฟ้าสว่าง ๒,๐๐๐ แรงเทียน เห็นชัดมาก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ร่างกายเธอแต่งตัวเป็นนางฟ้า ไม่ใช่คนแล้ว ถามว่า "สวยไหม...?" ก็ตอบว่า "สวย"<O:p></O:p>
    แล้วเขาถามว่า "สาว ๆ ที่เคยไปรักสวยเท่านี้ไหม...?"<O:p></O:p>
    ไม่มีใครแตะได้เลย สวยไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เขาก็เลยถามต่อ หัวหน้าถามว่า "ถ้างั้นจะแต่งงานกับคนนี้ หรือจะแต่งงานกับสาว ๆ ในเมืองมนุษย์...?"<O:p></O:p>
    ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีโอกาสจะแต่งงานกับนางฟ้าได้ก็จะแต่ง"<O:p></O:p>
    ทีนี้ไอ้กำลังใจในตอนนั้นบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ความรู้สึกในการรักคนจางลง แต่ไม่หมด แต่ว่ามีความต้องการอย่างเดียวคือ อยากจะมีเมียเป็นนางฟ้า อารมณ์นี้มันขังมาจนกระทั่งในสมัยที่บวช เล่าเรื่องในสมัยหลวงพ่อปาน จึงปรากฏว่าอยากแต่งงานกับนางฟ้า จนกระทั่งเวลานี้ก็ไม่ได้แต่ง เวลานี้ถ้าชวนแต่งก็ไม่ไหวแล้ว เดินก็ไม่ไหว เพียงแค่นึกจะรักอารมณ์ก็ยังไม่ไหว มันเหนื่อยเพราะความแก่<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    รวมความว่า การตายครั้งแรกของผมนี่ ผมเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษาก็อาศัยคำภาวนา "พุทโธ" โดยไม่ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ ท่านบังคับหรือไม่บังคับ ลักษณะก็ต้องบังคับ แต่การบังคับของท่านเป็นประโยชน์ในเวลาที่ผมตาย ตายไปแล้วเกิดฟื้นใหม่ รู้จักเทวดา ฉะนั้นผมจึงเชื่อว่าเทวดามีจริง ที่ พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ เทวดามี ผมเชื่อ<O:p></O:p>
    ความจริงเวลานั้นผมยังไม่เคยฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าเลย การรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ก็แถมเลยอยากจะแต่งงานกับนางฟ้าเสียด้วย นี่เป็นไปมากเหมือนกัน แต่ความจริงก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีกิเลส
    ที่มา http://suknirun.buddhi.sm/manom_history/manom_history17.html<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2007

แชร์หน้านี้

Loading...