อานิสงค์ของการบูชาดวงประทีป..คนต้องการทิพย์จักขุญาณควรรู้

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย ศึกษาธรรม2551, 23 กันยายน 2008.

  1. ศึกษาธรรม2551

    ศึกษาธรรม2551 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +234
    สำหรับผู้ที่ต้องการทิพย์จักขุญาน หรือตาทิพย์ และญาณที่เกี่ยวข้องกับตาทิพย์ไม่ควรพลาดครับ ว่าควรทำบุญด้วยอะไร
    ขอนำประวัติท่านพระอนิรุทธะ ผู้เป็นเลิศทางตาทิพย์ในสมัยพุทธกาลมาแสดงครับ
    ประวัติพระอนุรุทธเถระ
    ใน​
    สูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

    บทว่า ​
    ทิพฺพจกฺขุกานํ ยทิทํ อนุรุทฺโธ ความว่า ตรัสว่าพระ-

    อนุรุทธเถระเป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ พึงทราบว่า
    พระอนุรุทธเถระนั้นเป็นผู้เลิศ เพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสั่งสม
    ไว้แล้ว​
    . ได้ยินว่าพระเถระเว้นแต่ชั่วเวลาฉันเท่านั้น ตลอดเวลา
    ที่เหลือ เจริญอาโลกกสิณตรวจดูเหล่าสัตว์ด้วยทิพยจักษุอย่าง
    เดียวอยู่ ดังนั้น พระเถระนี้จึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุทั้งหลาย
    ผู้มีทิพยจักษุ เพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสะสมไว้ตลอดวัน
    และคืน
    . อีกอย่างหนึ่งเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุที่เหลือ เพราะ
    ปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ก็ในเรื่องบุรพกรรมของท่านในข้อนั้น
    มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไป
    ความพิสดารว่า ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุ
    -

    มุตตรนั่นแล กุลบุตรแม้นี้ได้ไปกับมหาชนผู้ไปยังวิหารเพื่อฟังธรรม
    ภายหลังภัตตาหาร​
    . ก็ครั้งนั้น กุลบุตรผู้นี้ได้เป็นกุฎุมพีผู้ยิ่งใหญ่
    ไม่ปรากฏชื่อคนหนึ่ง
    . เขาถวายบังคมพระทศพลแล้วยืนอยู่ท้าย
    บริษัทฟังธรรมกถา
    . พระศาสดาทรงสืบต่อพระธรรมเทศนาตาม
    อนุสนธิแล้วทรงสถาปนาภิกษุผู้มีทิพยจักษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
    เอตทัคคะ
    . ลำดับนั้น กุฎุมพีได้มีดำริดังนี้ว่า ภิกษุนี้ใหญ่หนอ พระ-

    ศาสดาทรงตั้งไว้ในความเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุเอง ด้วย
    ประการอย่างนี้ โอหนอ แม้เราก็พึงเป็นยอดของภิกษุผู้มีจักษุทิพย์
    ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้จะอุบัติในอนาคต ดังนี้แล้วเกิด
    ความคิดดังนี้ขึ้น เดินเข้าไประหว่างบริษัท ทูลนิมนต์พระผู้มีพระ​
    -

    ภาคเจ้ากับพระภิกษุแสนหนึ่ง เพื่อเสวยวันวันพรุ่งนี้ ในวันรุ่งขึ้น
    ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข คิดว่า เรา
    ปรารถนาตำแหน่งใหญ่ จึงทูลนิมนต์ในวันนี้ เพื่อเสวยวันพรุ่งนี้
    แล้วทำมหาทานให้เป็นไปถึง ๗ วัน โดยทำนองนั้นนั่นแล ถวาย
    ผ้าอย่างดีเยี่ยมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งบริวารแล้วทำความ
    ปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ทำสักการะนี้
    เพื่อประโยชน์แก่ทิพยสมบัติหรือมนุษยสมบัติก็หามิได้ ก็พระองค์
    ทรงตั้งภิกษุใดไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุใน
    ๗ วันที่แล้วมาจากวันนี้ แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็พึงเป็นยอดของภิกษุ
    ผู้มีทิพยจักษุเหมือนภิกษุองค์นั้น ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า
    พระองค์หนึ่งในอนาคตกาลดังนี้แล้ว หมอบลงแทบพระบาทของ
    พระศาสดา​
    . พระศาสดาทรงตรวจดูในอนาคต ทรงทราบว่าความ
    ปรารถนาของเขาสำเร็จ จึงตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ
    ในที่สุดแสนกัปในอนาคต พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักอุบัติ
    ขึ้น ท่านจักมีชื่อว่าอนุรุทธะเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ ใน

    พระศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้านั้น ก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว
    ทรงกระทำภัตตานุโมทนาเสด็จกลับไปพระวิหาร
    .

    ฝ่ายกุฎุมพีทำกรรมงามไม่ขาดเลย ตราบที่พระพุทธเจ้า
    ยังทรงพระชนม์อยู่ เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อสร้างเจดีย์
    ทองประมาณ ๗ โยชน์สำเร็จแล้ว จึงเข้าไปหาภิกษุสงฆ์ถามว่า
    อะไรเป็นบริกรรมของทิพยจักษุขอรับ​
    . ภิกษุสงฆ์บอกว่าควรให้
    ประทีปนะอุบาสก
    . อุบาสกกล่าวว่า ดีละขอรับผมจักทำ จึงให้
    สร้างต้นประทีปพันต้นเท่ากับประทีปพันดวงก่อน ถัดจากนั้น
    สร้างให้ย่อมกว่านั้น ถัดจากนั้นสร้างให้ย่อมกว่านั้น รวมความว่า
    ได้สร้างต้นประทีปหลายพันต้น
    . ส่วนประทีปที่เหลือประมาณไม่ได้
    เขาทำกัลยาณกรรม อย่างนี้ตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวดาและ
    มนุษย์ทั้งหลาย ล่วงไปแสนกัป ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัม
    -

    พุทธเจ้า บังเกิดในเรือนกุฎุมพีใกล้กรุงพาราณสี เมื่อพระศาสดา
    ปรินิพพาน เมื่อสร้างเจดีย์ประมาณ ๑ โยชน์สำเร็จแล้ว ให้สร้าง
    ภาชนะสำริดเป็นอันมาก บรรจุเนยใสจนเต็ม ให้วางไส้ตะเกียง
    เว้นระยะองคุลี ๑ ๆ ในท่ามกลาง ให้จุดไฟขึ้นให้ล้อมพระเจดีย์
    ให้ขอบปากต่อขอบปากจดกัน ให้สร้างภาชนะสำริดใหญ่กว่าเขา
    ทั้งหมดสำหรับตนใส่เนยใสเต็ม จุดใส้ตะเกียงพันดวงรอบ ๆ ขอบ
    ปากภาชนะสำริดนั้น เอาผ้าเก่าที่เป็นจอมหุ้มไว้ตรงกลาง ให้จุดไฟ
    เทินภาชนะสำริด เดินเวียนเจดีย์ประมาณ ๑ โยชน์ ตลอดคืนยังรุ่ง​
    .

    เขาทำกัลยาณกรรมตลอดชีวิต ด้วยอัตตภาพแม้นั้น ด้วยอาการ
    อย่างนี้ แล้วบังเกิดในเทวโลก​
    . เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น.
    เขาถือปฏิสนธิในเรือนของตระกูลเข็ญใจ ในนครนั้นนั่นแลอีก เป็น
    คนหาบหญ้า อาศัยสุมนเศรษฐีอยู่ เขาได้มีชื่อว่า อันนภาระ
    . ฝ่าย
    สุมนเศรษฐีนั้น ให้มหาทานที่ประตูบ้าน แก่คนกำพร้า คนเดินทาง
    วณิพกและยาจก
    . ทุกวัน ๆ
    ภายหลัง ณ วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่าอุปริฏฐะ
    เข้านิโรธสมาบัติ ที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว พิ
    -

    จารณาว่า วันนี้ ควรจะทำการอนุเคราะห์ใคร
    . ก็ธรรมดาพระ-

    ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้อนุเคราะห์คนเข็ญใจ ท่านคิดว่า
    วันนี้เราควรทำการอนุเคราะห์ นายอันนภาระ ทราบว่า นายอันน
    -

    ภาระจักออกจากดงมายังบ้านตน จึงถือบาตรและจีวรจากภูเขา
    คันธมาทน์ เหาะขึ้นสู่เวหาสมาปรากฏเฉพาะหน้านายอันนภาระ
    ที่ประตูบ้านนั่นเอง
    . นายอันนภาระ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ถือ
    บาตรเปล่าจึงอภิวาทพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วถามว่า ท่านได้ภิกษา
    บ้างไหมขอรับ
    . พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า จักได้ผู้มีบุญมาก.

    เขากล่าวว่า โปรดรออยู่ที่นี้ก่อนเถิดขอรับ แล้วรีบไป ถามแม่บ้าน
    ในเรือนของตนว่า นางผู้เจริญ ภัตอันเป็นส่วนเก็บไว้เพื่อเรา มีหรือไม่
    .

    นางตอบว่า มี จ้ะนาย
    . เขาไปจากที่นั้นรับบาตรจากมือพระปัจเจก-

    พุทธเจ้ามากล่าวว่า นางผู้เจริญ เพราะค่าที่ไม่ได้ทำกัลยาณกรรม
    ไว้ในชาติก่อน เราทั้ง ๒ จึงหวังได้อยู่แต่การรับจ้าง เมื่อความ
    ปรารถนาจะให้ของพวกเรามีอยู่ แต่ไทยธรรมไม่มี เมื่อไทยธรรมมี
    ก็ไม่ได้ปฏิคาหก วันนี้เราพบพระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้าเข้าพอดี
    และภัตอันเป็นส่วนแบ่งก็มีอยู่ เจ้าจงใส่ภัตที่เป็นส่วนของฉันลง
    ในบาตรนี้
    . หญิงผู้ฉลาดคิดว่า เมื่อใดสามีของเราให้ภัตซึ่งเป็น
    ส่วนแบ่ง เมื่อนั้นแม้เราก็พึงมีส่วนในทานนี้ จึงวางแม้ภัตอันเป็น
    ส่วนของตนลงในบาตรถวายแก่อุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า
    . นายอันน-

    ภาระ นำบาตรอันบรรจุภัตมาวางในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า
    แล้วกล่าวว่า ขอให้พวกข้าพเจ้าพ้นจากความอยู่อย่างลำบากเห็น
    ปานนี้เถิดขอรับ
    . พระปัจเจกพุทธเจ้า อนุโมทนาว่า จงสำเร็จ
    อย่างนั้นเถิดผู้มีบุญมาก
    . เขาลาดผ้าห่มของตนลง ณ ที่ส่วนหนึ่งแล้ว
    กล่าวว่า ขอจงนั่งฉันที่นี้เถิด ขอรับ
    . พระปัจเจกพุทธเจ้านั่ง ณ
    อาสนะนั้นแล้ว พิจารณาความเป็นของปฏิกูล ๙ อย่าง แล้วจึงฉัน
    เมื่อฉันเสร็จแล้ว นายอันนภาระจึงถวายน้ำสำหรับล้างบาตร พระ
    -

    ปัจเจกพุทธเจ้า เสร็จภัตกิจแล้วกระทำอนุโมทนาว่า​
    สิ่งที่ท่านต้องการแล้ว ปรารภนาแล้ว จงสำเร็จ
    พลันเทียว ความดำริจงเต็มหมดเหมือนพระ
    -

    จันทร์เพ็ญ ๑๕ ค่ำ ฉะนั้น สิ่งที่ท่านต้องการแล้ว
    ปรารถนาแล้ว จงสำเร็จพลันเทียว ความดำริจง
    เต็มหมด เหมือนมณีมีประกายโชติช่วง ฉะนั้น
    .

    แล้วออกเดินทางไป
    .

    เทวดาที่สิงอยู่ที่ฉัตรของสุมนเศรษฐีกล่าวว่า น่าอัศจรรย์
    ทานที่ตั้งไว้ดีแล้วในพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อุปริฏฐะเป็นทาน
    อย่างยิ่งถึง ๓ ครั้ง แล้วได้ให้สาธุการ สุมนเศรษฐีกล่าวว่า ท่าน
    ไม่เห็นเราให้ทานอยู่ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ดอกหรือ เทวดา
    กล่าวว่า เราไม่ให้สาธุการในทานของท่าน เราเลื่อมใสในบิณฑบาต
    ที่นายอันนภาระถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ จึง
    ให้สาธุการ สุมนเศรษฐีดำริว่า เรื่องนี้น่าอัศจรรย์หนอ เราให้
    ทานตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ ก็ไม่อาจทำให้เทวดาให้สาธุการ นาย
    -

    อันนภาระนี้อาศัยเราอยู่ ด้วยการถวายบิณฑบาตครั้งเดียวเท่านั้น
    ทำให้เทวดาให้สาธุการได้ เพราะได้บุคคลผู้เป็นปฏิคาหกที่สมควร
    เราให้สิ่งที่สมควรแก่นายอันนภาระนั้น แล้วทำบิณฑบาตนั้นให้
    เป็นของของเราจึงจะควร ดังนี้ เรียกนายอันนภาระมาแล้วถามว่า
    วันนี้เจ้าให้ทานอะไร ๆ แก่ใครหรือ ขอรับนายท่าน ข้าพเจ้าถวาย
    ภัตรที่เป็นส่วนของข้าพเจ้าแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ
    เศรษฐีกล่าวว่า เอาเถอะเจ้า เธอจงรับกหาปณะไปแล้วให้บิณฑบาต
    นั้นแก่เราเถอะ ให้ไม่ได้หรอกนายท่าน เศรษฐีเพิ่มทรัพย์ขึ้นจนถึง
    พันกหาปณะ นายอันนภาระก็ยังกล่าวว่า แม้ถึงพันกหาปณะก็ยัง
    ให้ไม่ได้ เศรษฐีกล่าวว่า ช่างเถอะเจ้า หากเจ้าไม่ให้บิณฑบาต
    ก็จงรับทรัพย์พันกหาปณะไปแล้วจึงให้ส่วนบุญแก่ฉันเถอะ นายอันภาระ
    กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าแม้ส่วนบุญนั้นควรให้หรือไม่ควรให้
    แต่ข้าพเจ้าจะถามพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะดู ถ้าควร
    ให้ก็จักให้ ถ้าไม่ควรให้ก็จักไม่ให้ นายอันนภาระเดินไปทันพระ
    -

    ปัจเจกพุทธเจ้า ถามว่า ท่านเจ้าข้า สุมนเศรษฐีให้ทรัพย์แก่ข้าพเจ้า
    พันหนึ่ง ขอส่วนบุญในบิณฑบาตที่ถวายแก่ท่าน ข้าพเจ้าควรจะ
    ให้หรือไม่ให้ พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า บัณฑิต เราจักทำอุปมา
    แก่ท่าน เหมือนอย่างว่า ในบ้านตำบลนี้มีร้อยตระกูล เราจุดประทีป
    ไว้ในเรือนหลังหนึ่งเท่านั้น ตระกูลพวกนี้เอาน้ำมันเติมให้ใส้ตะเกียง
    ชุ่มแล้วมาต่อไฟถือไป แสงของประทีปดวงเดิมยังมีอยู่หรือหาไม่
    นายอันนภาระกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า แสงประทีปก็สว่างขึ้นไปอีก
    เจ้าข้า ข้อนี้อุปมาฉันใด ดูก่อนบัณฑิต ข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง หรือ
    ข้าวสวยทัพพีหนึ่งจงยกไว้ เมื่อท่านให้ส่วนบุญแก่คนเหล่าอื่นใน
    บิณฑบาตของตน พันคนหรือแสนคนก็ตาม ให้แก่คนเท่าใด บุญก็
    เพิ่มขึ้นแก่ตนมีประมาณเท่านั้น เมื่อท่านให้ก็ให้บิณฑบาตอันเดียว
    นั่นแหละ ต่อเมื่อให้ส่วนบุญแก่สุมนเศรษฐีอีกเล่า บิณฑบาตก็
    ขยายไปเป็น ๒ คือของท่านส่วนหนึ่ง ของเศรษฐีส่วนหนึ่ง ดังนี้
    นายอันนภาระกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกลับไปยังสำนักของ
    สุมนเศรษฐีกล่าวว่า ขอท่านจงรับส่วนบุญในบิณฑบาตทานเถิด
    นายท่าน เศรษฐีกล่าวว่า เชิญท่านรับทรัพย์พันกหาปณะไปเถิด
    นายอันนภาระกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขายบิณฑบาตทาน แต่ข้าพเจ้า
    ให้ส่วนบุญแก่ท่านด้วยศรัทธา เศรษฐีกล่าวว่า พ่ออันนภาระ พ่อให้
    ส่วนบุญแก่เราด้วยศรัทธา แต่เราบูชาคุณของพ่อ ฉันให้พันกหาปณะ
    นี้ จงรับไปเถอะพ่ออันนภาระ นายอันนภาระกล่าวว่า จงเป็นอย่างนั้น
    จึงถือเอาทรัพย์พันกหาปณะไป เศรษฐีกล่าวว่า พ่ออันนภาระ
    ตั้งแต่พอได้ทรัพย์พันกหาปณะแล้ว ไม่ต้องทำกิจเกี่ยวแก่กรรมกร
    ด้วยมือของตน จงปลูกเรือนอยู่ใกล้ถนนเถิด ถ้าพ่อต้องการสิ่งใด
    ฉันจะมอบสิ่งนั้นให้ พ่อจงมานำเอาไปเถอะ
    แหล่งที่มา:พระไตรปิฏกฉบับมหามงกุฏ ชุด91เล่ม พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต

    เล่ม32หน้า304-310​
     
  2. ศึกษาธรรม2551

    ศึกษาธรรม2551 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +234
    ...ต่อครับ
    ธรรมดาบิณฑบาตที่บุคคลถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้
    ออกจากนิโรธสมาบัติ ย่อมให้ผลในวันนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น
    สุมนเศรษฐีในวันอื่นแม้ไปสู่ราชตระกูล ไม่เคยชวนนายอันนภาระ
    ไปด้วย แต่ในวันนั้นได้ชวนไปด้วย เพราะอาศัยบุญของนายอีนน-
    ภาระ พระราชาไม่มองดูเศรษฐีเลย ทรงมองแต่นายอันนภาระ
    เท่านั้น เศรษฐีจึงทูลถามวา เทวข้าแต่สมมติเทพ เหตุไฉนพระองค์
    จึงทรงมองดูแต่บุรุษผู้นี้ยิ่งนักพระเจ้าค่ะ พระราชาตรัสว่า เรา
    มองดูเพราะไม่เคยเฝ้าในวันอื่น ๆ เศรษฐีทูลว่า เทวเขาสมควร
    มองดูอย่างไร คุณที่ควรมองดูของเขาคืออะไร เพราะวันนี้เขา
    ไม่บริโภคภัตรที่เป็นส่วนของตนด้วยตนเอง แต่ถวายแด่พระปัจเจก
    พุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ เขาได้ทรัพย์พันกหาปณะจากมือของข้าพระองค์
    พระเจ้าข้า พระราชาตรัสถามว่า เขาชื่อไร ชื่อนายอันภาระพระเจ้าข้า
    เพราะได้จากมือของท่าน ก็ควรจะได้จากมือของเราบ้าง เราเองก็จักทำการ
    บูชาเขา จึงพระราชทานทรัพย์พันกหาปณะแล้วตรัสว่า พนาย จงสำรวจดู
    เรือนที่คนนี้จะอยู่ได้ ราชบุรุษทูลว่า พระเจ้าข้า ราชบุรุษทั้งหลาย
    จัดแจงแผ้วถางที่สำหรับเรือนนั้นได้พบขุมทรัพย์ชื่อปิงคละ ในที่ ๆ
    จอบกระทบแล้ว ๆ ตั้งเรียงกัน จึงมากราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ
    พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นจงไปขุดขึ้นมา เมื่อราชบุรุษเหล่านั้น
    ขุดอยู่ ขุมทรัพย์ก็จมลงไป ราชบุรุษเหล่านั้นไปกราบทูลพระราชา
    อีก พระราชาตรัสว่า จงไปขุดตามคำของนายอันนภาระ ราชบุรุษ
    ก็ไปขุดตามคำสั่ง ขุมทรัพย์เหมือนดอกเห็ดตูม ๆ ผุดขึ้นในที่ ๆ
    จอบกระทบแล้ว ราชบุรุษเหล่านั้นขนทรัพย์มากองไว้ในพระราช-
    สำนัก พระราชาประชุมอำมาตย์ทั้งหลายแล้วตรัสถามว่า ในเมืองนี้
    ใครมีทรัพย์มีประมาณถึงเท่านี้ไหม อำมาตย์ทูลว่า ไม่มีของใคร
    พระเจ้าข้า ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น นายอันนภาระนี้จงชื่อว่า ธนเศรษฐี
    ในพระนครนี้ เขาได้ฉัตรประจำตำแหน่งเศรษฐีในวันนั้นนั่นเอง.
    ตั้งแต่วันนั้น เขากระทำแต่กรรมอันดีงามจนตลอดชีวิต
    จุติจากภพนั้นไปเกิดในเทวโลก เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์
    เป็นเวลานาน ครั้งที่พระศาสดาของพวกเราทรงอุบัติ ก็มาถือ
    ปฏิสนธิในนิเวศน์เจ้าศากยะพระนามว่า อมิโตทนะ กรุงกบิลพัสดุ์
    ในวันขนานนาม ผู้คนทั้งหลายตั้งชื่อเขาว่า เจ้าอนุรุทธ เป็นกนิษฐ-
    ภาคาของเจ้าศากยะพระนามที่ มหานามะ เป็นโอรสของพระเจ้า
    อาของพระศาสดา เป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง เป็นผู้มีบุญมาก ภัตร
    เกิดขึ้นในถาดทองแก่เขาทีเดียว ภายหลังพระมารดาของเขาคิดว่า
    จักให้ลูกของเรารู้จักบทว่า "ไม่มี" เอาถาดทองปิดถาดทองอีก
    ใบหนึ่ง แล้วส่งใบแต่ถาดเปล่า ๆ ในระหว่างทาง เทวดาทำให้เต็ม
    ด้วยขนมทิพย์ เขามีบุญมากถึงเพียงนี้ อันเหล่านางฟ้อนที่ประดับ
    ตกแต่งแล้วแวดล้อมเสวยสมบัติบนปราสาท ๓ หลัง เหมาะแก่ฤดู
    ทั้ง ๓ เหมือนเทวดา.
    ส่วนพระโพธิสัตว์ของเราจุติจากดุสิตในสมัยนั้น มาถือ
    ปฏิสนธิในครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรง
    เจริญวัยโดยลำดับ ทรงครองเรือนอยู่ ๒๙ ปี แล้วทรงเสด็จออก
    มหาภิเนษกรมณ์ ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณโดยลำดับ ทรง
    ยับยั้งที่โพธิมัณฑสถาน ๗ สัปดาห์ ประกาศพระธรรมจักร ณ
    ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ทรงกระทำการอนุเคราะห์โลก ทรงให้
    อำมาตย์ ๑๐ คน พร้อมทั้งบริวารคนละพัน ที่พระราชบิดาทรง
    สดับข่าวว่า บุตรของเรามายังกรุงราชคฤห์แล้วตรัสว่า ไปเถิด
    พนาย พวกเจ้าจงนำบุตรของเรามา ดังนี้ ให้บวชด้วยเอหิภิกขุ
    บรรพชาแล้ว อันพระกาฬุทายีเถระทูลวิงวอนให้เสด็จจาริกจึงมี
    ภิกษุแสนรูปเป็นบริวาร เสด็จออกจากรุงราชคฤห์ไปยังกรุง-
    กบิลพัสดุ์ ทรงทำพระธรรมเทศนาอันวิจิตรมีปาฏิหาริย์ด้วยอิทธิ-
    ปาฏิหาริย์เป็นอันมาก ในสมาคมแห่งพระญาติ ยังมหาชนให้ดื่ม
    น้ำอมฤตแล้ว ครั้นวันที่ ๒ ทรงถือบาตรและจีวรไปประทับยืน
    ที่ทวารพระนคร ทรงรำพึงว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ทรงประพฤติการเสด็จกลับยังพระนครแห่งสกุลอย่างไรหนอ ดังนี้
    ทราบว่า ทรงประพฤติเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก จึงทรง
    เสด็จเพื่อบิณฑบาตตามลำดับตรอก ทรงตรัสธรรมถวายพระราชา
    ผู้ทรงสดับข่าวว่า บุตรของเราเที่ยวบิณฑบาตเสด็จมคธแล้ว ผู้มีสักการะ
    สัมมานะที่พระราชบิดาทูลเชิญให้เสด็จมาแล้ว ทูลเชิญให้เสด็จเข้านิเวศน์
    ของพระองค์ทรงกระทำแล้ว ทรงอนุเคราะห์พระญาติที่พึงทรงกระทำในที่นั้น
    ทรงกระทำแล้ว ทรงอนุเคราะห์พระญาติที่พึงทรงกระทำในที่นั้น
    แล้วให้ราหุลกุมารบรรพชาแล้ว ไม่นานนัก ก็เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์
    ไปจาริกในมัลลรัฐแล้วเสด็จกลับมายังอนุปิยอัมพวัน
    สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงประชุมศากยะสกุล
    ทั้งหลายตรัสว่า ถ้าบุตรของเราจักครองเรือน จักเป็นพระเจ้า
    จักรพรรดิ์ ประกอบด้วยรัตนะ ๗ แม้ราหุลกุมารนัดดาของเรา
    จักแวดล้อมพระเจ้าจักรพรรดิ์นั้นเที่ยวไปกับหมู่กษัตริย์ อนึ่ง
    ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงทราบความข้อนี้ไว้เถิดว่า แต่บัดนี้ บุตร
    ของเราทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขัตติยกุมารจงเป็นบริวารของ
    พระองค์เถิด พวกท่านจงให้ทารกคนหนึ่ง จากตระกูลหนึ่ง ๆ ครั้น
    พระเจ้าสุทโธทนตรัสอย่างนี้แล้ว ขัตติยกุมารถึงพันองค์จึงออก
    ผนวชโดยพระดำรัสครั้งเดียวเท่านั้น สมัยนั้นเจ้ามหานาม
    เป็นเจ้าแห่งกุฎุมพี จึงเข้าไปหาเจ้าศากยะพระนามว่า อนุรุทธะ
    ได้กล่าวคำนี้ว่า พ่ออนุรุทธะ บัดนี้ ศากยะกุมารที่มีชื่อเสียงออก
    ผนวชตามพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงผนวชแล้ว ไม่มีใคร ๆ ออก
    ผนวชจากสกุลของเราเลย ถ้ากระนั้นเจ้าจงบวช หรือว่าพี่จักบวช
    เจ้าอนุรุทธได้ฟังดำรัสของเจ้าพี่แล้วไม้ยินดีในการครองเรือน
    ได้ออกผนวชเป็นพระองค์ที่ ๗ ลำดับแห่งการผนวชของเจ้าอนุรุทธ
    นั้นมาแล้วในคัมภีร์สังฆเภทขันธกะ เจ้าอนุรุทธเสด็จไปยังอนุปิย-
    อัมพวัน บวชแล้วด้วยประการฉะนี้ บรรดาเจ้าศากยะกุมารเหล่านั้น
    พระภัททิยเถระบรรลุพระอรหัตภายในพรรษานั่นเอง พระอนุรุทธ-
    เถระทำทิพยจักขุให้บังเกิด พระเทวทัตทำสมาบัติ ๘ ให้บังเกิด
    พระอานนทเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระภัคคุเถระและพระกิมภิละ-
    เถระได้บรรลุอรหัตในภายหลัง ก็อภินิหารแห่งความปรารถนา
    แต่ปางก่อนของพระเถระทุกรูปนั้น จักมาถึงในเรื่องของแต่ละคน
    ก็พระอนุรุทธเถระนี้เรียนกรรมฐานในสำนักของพระธรรม
    เสนาบดีแล้วไปบำเพ็ญสมณธรรมปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจติยะ
    ก็ตรึกแล้วถึงมหาปริวิตก ๗ ประการ ลำบากในวิตกที่ ๘ พระ
    ศาสดาทรงทราบว่า พระอนุรุทธลำบากในมหาปุริสวิตกที่ ๘
    ทรงพระดำริว่า เราจักทำความดำริของเธอให้เต็มจึงเสด็จไปใน
    ที่นั้น ประทับนั่งบนพุทธอาสน์อันประเสริฐที่เขาปูลาดไว้ ทรงทำ
    มหาปุริสวิตกที่ ๘ ให้เติมแล้วตรัสมหาอริยวงสปฏิปทา ประดับ
    ไปด้วยความสันโดษด้วยปัจจัย ๔ และมีภาวนาเป็นที่มายินดีแล้ว
    เสด็จเหาะไปถึงเภสกฬาวันเทียว พอพระตถาคตเสด็จไปแล้วเท่านั้น
    พระเถระมีวิชา ๓ เป็นพระมหาขีณาสพใหญ่ คิดว่า พระศาสดา
    รู้ใจของเรา เสด็จมาประทานมหาปุริสวิตกที่ ๘ ให้เต็ม อนึ่ง มโนรถ
    ของเรานั้นถึงที่สุดแล้ว ปรารภธรรมเทศนาอันไพเราะของพระ-
    พุทธเจ้าทั้งหลาย และธรรมที่ตนแทงตลอดแล้วได้ภาษิตอุทาน
    คาถาเหล่านี้ว่า
    พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว
    เสด็จมาหาเราด้วยมโนมยิทธิทางกาย เมื่อใดความดำริได้มีแก่เรา
    เมื่อนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้สูงขึ้น พระพุทธเจ้าผู้ทรง
    ยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า ได้ทรงแสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า
    เรารู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์แล้ว เป็นผู้ยินดีในพระศาสนาอยู่
    วิชา ๓ เราก็บรรลุโดยลำดับแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    เราก็ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
    ต่อมาภายหลัง พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา-
    วิหาร ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า อนุรุทธะเป็น
    ยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้มีทิพยจักขุในศาสนาของเรา.
    จบ อรรถกถาสูตรที่ ๕

    .............................................
    แหล่งที่มา​
    พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ ​
    - หน้าที่ 315

     

แชร์หน้านี้

Loading...