หัวใจพระศาสนา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Nu_Bombam, 29 กรกฎาคม 2007.

  1. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    [​IMG]


    (วันสุดท้ายของการสอนพระกรรมฐาน หลวงพ่อสอนเสร็จ รับของถวายเสร็จก็ขึ้นที่พัก แต่สักประเดี๋ยวเดียวหลวงพ่อก็ลงมาคุยใหม่ คนเลยยังไม่กลับหลวงพ่อท่านมักจะสบายใจมากเมื่อสอนเสร็จวันสุดท้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งคราวนี้สอนเรื่อง"บารมี 10" ทั้ง ๓ วันเลยแสดงว่ากำลังใจของคนดีขึ้นมาก
    มีนายทหารนอกเครื่องแบบยศพันเอกท่านหนึ่งได้ถือโอกาสนี้คุยกับหลวงพ่อหลายเรื่องด้วยกัน หลวงพ่อก็โปรดเมตตาตอบให้ทำให้คิดว่าที่หลวงพ่อมาใหม่คงจะสงเคราะห์นายทหารคนนี้เป็นแน่รู้สึกท่านคุยดีเสียด้วย ลองอ่านดูนะ)

    "ได้ทราบว่าสมัยก่อนๆนั้น มีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ แต่ว่าสมัยก่อนคนยังเป็นคนป่าคนดอยจะฟังธรรมะได้รู้เรื่องหรือ...?"

    โอ๊ย! เจริญเยอะ เอาอะไรมาเป็นป่า เขาเจริญกว่าเรา ใช่ไหมเล่าวิทยาศาสตร์เวลานี้ไม่ทันเขาหรอก อย่าลืมว่าวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันนี้
    ถึงพันปีหรือยังเขาคิดเป็นหมื่นปีเขาเจริญกว่านะ
    อย่างคนสมัย พระพุทธกัสสป มีอายุ 20,000 ปี ถ้าเขาเริ่มคิด 10,000 ปี คนรองๆมาก็ตามกันเป็นแถวใช่ไหมถอยหลังไปดูจะเห็นว่าเขาเจริญกว่านี้มาก ของเราอย่างเก่งแค่ 40 ปีก็ตายแล้ว สมัยนั้นเป็นหมื่นปีก็มีการติดต่อกันนาน
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุขัยยาวแสดงว่าเขามีบุญมากการทำบาปเขาน้อย การละเมิดศีลเขาน้อยเต็มที สมัยนั้นมีแต่ความเยือกเย็นความเร่าร้อนไม่มีถ้าหากว่าคนเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ทรงอุบัติขึ้นต้องขึ้นมีบารมีทุกๆแบบ บางส่วนไม่ใช่หมดทั่วโลก กลุ่มประเทศที่มีคนจะบรรลุมรรคผลได้พระพุทธเจ้าจึงตรัสไม่งั้นท่านไม่ลงมา
    ก็แบบถ้าฝนไม่ตกเราก็ไม่รองน้ำฝนหรือถ้าฝนตกเราเอาตะกร้าไปรองมันก็ได้บ้าง สมัยนั้นคนมีอายุมาก มีบุญมากมีความเยือกเย็นมาก ในเมื่อจิตใจเขาเยือกเย็นมากกว่า มีบุญมากกว่าเขาก็บรรลุมรรคผลได้มากกว่า
    อย่างพระพุทธกัสสปท่านประกาศพระศาสนาเองตั้ง 10,000 ปี ถ้าพระพุทธเจ้าเทศน์เองอย่าห่วง ถ้าคนไม่บรรลุมรรคผลที่ไหนท่านไม่ไป
    ตอนเช้ามืดท่านใช้อำนาจพระพุทธญาณ วันนี้จะมีใครบรรลุมรรคผลบ้างเห็นหน้า เห็นชื่อ รู้สถานที่อยู่ รู้บุญเก่าแล้วท่านก็ไปแคะของเก่าคนก็บรรลุมรรคผลทันที รวมความว่าคนจะบรรลุมรรคผลมากท่านจึงอยู่นาน

    "แล้วแนวการสอนที่ท่านตรัส เข้าใจว่าจะเป็นแนวเดียวกันทุกองค์ใช่ไหมครับ?"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้
    "สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง"แนะนำให้ทุกคนไม่ทำความชั่วทุกประเภท
    "กุสลัสสูปสัมปทา"แนะนำให้ทุกคนทำแต่ความดี
    "สจิตตะปริโยทะปะนัง"แนะนำให้ทุกคนทำจิตใจแจ่มใสจากกิเลส
    "เอตัง พุทธานะสาสะนัง"ทรงยืนยันว่า พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด ที่ใครเขาบอกให้แต่ง"หัวใจพระศาสนา"อันนี้แหละ"หัวใจพระศาสนา"
    ถ้าบอกว่า "อริยสัจ" อันนั้นไม่ใช่ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาใครบรรลุใหม่ๆ ใครได้พระโสดาบันก็ส่งไปเลยใครเป็นพระอริยเจ้าท่านส่งไปประกาศพระศาสนาทุกองค์แต่ว่าการส่งไป
    ท่านยังไม่แนะนำในการสอนคนแต่อย่าลืมว่าพระอริยเจ้าท่านสอนไม่ผิดพอถึงกลางเดือน ๓ พระทั้งหมดมาประชุมกัน ท่านก็เลยประกาศ เอ้า!สอนให้เหมือนๆกันนะ เอาอย่างนี้นะ
    "สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง"แนะนำให้ทุกคนไม่ทำความชั่วทุกอย่าง
    "กุสลัสสูปสัมปทา"แนะนำให้เขาทำแต่ความดี
    "สจิตตะปริโยทะปะนัง"แนะนำให้เขามีอารมณ์แจ่มใสจากกิเลส
    แล้วก็ทรงยืนยันว่า"เอตัง พุทธานะสาสะนัง"พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด

    "กระผมเคยถามพระพุทธองค์ว่าทำไมทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานโดยตรง
    ทำไมถึงยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ท่านตรัสว่าที่ยังเป็นไม่ได้เพราะกาลเวลายังไม่ถึง
    มันเกี่ยวกับกาลเวลาด้วยหรือครับ?"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2007
  2. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    มรรคผลกับเวลา

    เดี๋ยว! คำว่า"กาลเวลา"แปลว่าบุญเก่าที่ทำไว้แล้ว ยังเข้ามารวมตัวไม่พอ ยังไม่ครบและก็บุญใหม่ที่เข้ามาก็กำลังยังไม่แก่กล้าพอ
    แล้วก็ประการที่ ๓ไอ้บาปที่เราทำไว้แต่ชาติปางก่อนมันขวางหน้าไอ้ตัวนี้มาก่อน ถ้าจะถามว่าขวางเวลาไหนก็ต้องดูกาลเวลาของมันถ้ามันขยายตัวเมื่อไหร่ บุญเก่ากับบุญใหม่ชนกันเมื่อไรก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น

    "หมายความว่าเราต้องรออายุขัยของแต่ละคนที่ไม่เท่ากันหรือครับ?"

    ไม่ใช่!รอกาลเวลาที่บุญจะเข้ามาถึง
    ดูตัวอย่าง อย่างราธพราหมณ์อยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้าเองถึง๓ ปี พระพุทธเจ้าท่านเห็นหน้าอยู่เสมอ แต่วาระยังไม่เข้ามาถึงพอตอนเช้ามืด ท่านก็ตรวจอุปนิสัยของสัตว์ ก็ทรงทราบว่าพราหมณ์นี้จะเป็นอรหันต์ภายในไม่ช้านี้ หลังจากท่านแสดงธรรมแล้วตอนเย็นท่านก็เดินอ้อมวิหารไปทำเหมือนว่าเดินเล่น
    ในเมื่อพระพุทธเจ้าเดินเล่นเรื่อยไป พระก็ต้องตามไป ก็พอดีราธพราหมณ์กินข้าวเสร็จ ล้างถ้วยล้างชาม เอาของที่เหลือมาเท เอาน้ำล้างชามมาเท
    พระพุทธเจ้าเสด็จถึงพอดี ก็ทรงหยุด ถามว่า
    "
    พราหมณ์ เธออยู่เพื่ออะไร?"
    พราหมณ์บอกว่า "เวลานี้ผมเป็นวิทาสาโท เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าข้า"
    ท่านถามว่า "ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่?"
    พราหมณ์ก็บอกว่า "ผมเป็นคนแก่ ลูกหลานไม่เลี้ยง ใช้งานไม่ได้เขาเลยไม่เลี้ยง มาอาศัยพระกิน พระพุทธเจ้าข้า"
    ท่านถามว่า "พราหมณ์ไม่อยากจะบวชหรือ?"
    พราหมณ์บอกว่า "อยากบวชครับ! แต่ไม่มีใครบวชให้ พระพุทธเจ้าข้า"
    ท่านก็ถามพระว่า "ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใครรู้คุณของพราหมณ์คนนี้บ้าง พราหมณ์คนนี้เคยมีคุณกับใครบ้าง?"
    ก็มีพระสารีบุตรนั่งกระหย่งยกมือไหว้ บอกว่า "ข้าพระพุทธเจ้ารู้คุณพราหมณ์ พระพุทธเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าถามว่า "พราหมณ์คนนี้มีคุณกับเธอเมื่อไหร่?"
    พระสารีบุตร
    ก็กล่าวว่า "ในสมัยที่พราหมณ์ยังอยู่ที่บ้านข้าพระพุทธเจ้าบิณฑบาตรผ่านไปเมื่อพราหมณ์เห็นก็ใส่บาตรให้ทัพพีหนึ่งถือว่าเป็นผู้มีคุณ"
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตรบุรุษที่มีความกตัญญูกตเวทีเป็นคนดี เพราะฉะนั้นเธอจงเป็นอุปัชฌาย์บวชให้พราหมณ์"
    พอบวชแล้ว ราธพราหมณ์ ก็ไปจำพรรษา พระพุทธเจ้ากับพระสารีบุตร จำพรรษาอยู่กันคนละที่ เวลาออกพรรษาก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าถามว่า "ลูกศิษย์ของเธอดื้อด้านหรือว่าง่าย?"
    พระสารีบุตรบอกว่า "ว่าง่ายเหลือเกินพระพุทธเจ้าข้า แนะนำว่าสิ่งไหนไม่ดีไม่ทำ สิ่งนั้นมันอะไรดีทำแน่"
    เพราะฉะนั้นจึงเป็นพระอรหันต์เร็ว ก่อนจะมาก็เป็นอรหันต์แล้วนะ ต้องอยู่ถึง ๓ ปี นี่ยังไกลนะ
    อีกองค์หนึ่งชื่อ"วักกลิ"นี่ใกล้มาก เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จไป ท่านก็ไปเทศน์คนอื่นเขาเลื่อมใสในธรรมะก็บวชตาม แต่พระวักกลิิ เลื่อมใสในความสวยของพระพุทธเจ้าก็บวชตาม พระพุทธเจ้ารูปทรงสวย เสียงก็เพราะ และฉัพพรรณรังสี ท่านบวชแล้วท่านก็ไม่สนใจในธรรม
    เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ท่านก็ไปสนใจความสวยอย่างเดียวดูอย่างนี้ถึง ๓ ปี ถ้าจะถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เตือนก็เพราะเวลามันยังไม่ถึง
     
  3. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    [FONT=&quot]การสอนตามระดับกำลังใจ[FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]พอถึง ๓ ปี ครบเต็มแน่ พระพุทธเจ้าเห็นว่า[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]พระวักกลิ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มีบารมีเต็มแน่ แต่ว่าการสอนธรรมดา[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]พระวักกลิ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ไม่บรรลุผลแน่ ต้องใช้วิธีรุนแรง[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]จึงเรียก[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]พระวักกล[/FONT][FONT=&quot]ิ เข้ามาบอกว่า[/FONT][FONT=&quot]
    "[/FONT][FONT=&quot]วักกลิ! เธอเป็นโมฆบุรุษ เป็นคนผู้ไร้ประโยชน์อยู่กับตถาคตตั้ง ๓ ปี ไม่บรรลุมรรคผล[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]อัปเปหิ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]จงไปจากที่นี่"[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]พอพระพุทธเจ้าขับ พระวักกลิ ก็คิดว่า[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ถ้าจะกลับไปบ้านเพื่อนที่มาด้วยกัน ก็เป็นพระอรหันต์ไปหมด[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ตัวเองไม่ได้เป็นอรหันต์ ก็อายชาวบ้านเขา จะอยู่ที่นี่ก็อยู่ไม่ได้[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ทำยังไง ตายดีกว่า ก็ขึ้นยอดเขาตั้งใจจะโดดเขาตาย ความตั้งใจจะโดดให้ตาย[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มันไม่ห่วงร่างกายแล้ว[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]คราวนี้แหละ! ความเป็นอรหันต์มันอยู่ตรงนั้น[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พอตัดสินใจว่าจะโดดเขา พระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพุ่งไปข้างหน้า ก็เหมือนพระองค์นั่งข้างหน้า พอเห็นพระพุทธเจ้ามา[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]พระวักกลิ[/FONT][FONT=&quot]ิ ก็ยั้งไม่โดด พระพุทธเจ้าตรัสว่า[/FONT][FONT=&quot]
    "[/FONT][FONT=&quot]วักกลิ! บุคคลใดเห็นธรรม บุคคลนั้นเห็นเราตถาคต"[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เท่านี้เอง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]พระวักกล[/FONT][FONT=&quot]ิ เป็นพระอรหันต์เลย[/FONT][/FONT]
     
  4. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    [FONT=&quot]อารมณ์สุดท้ายคือไม่ห่วงร่างกาย

    [/FONT]การสอน ถ้านิ่มนวลไม่มีผลเพราะว่าท่านเกาะพระพุทธเจ้า เกาะร่างกาย ไม่ใช่เกาะธรรมะถ้าขืนเทศน์แกก็ไม่เป็นพระอรหันต์ จึงต้องหาวิธีการให้ตัดร่างกายไม่ห่วงร่างกาย ถ้าอารมณ์ถึงก็จะถึง

    "รวมความว่า คนที่มีของเก่าตามมาก็ใช้กำลังจิตเพียงเล็กน้อยทีนี้ตอนที่พิสูจน์อยากทราบว่าอย่างตอนที่
    เห็นองค์ท่านหรือเห็นแสงกลมๆขนาดใหญ่ๆในขณะทำใจสบายๆผมเองก็ไม่แน่ใจว่า แสงที่เห็นเป็นแสงของใครผมถามท่านๆก็ทรงเฉยๆ...?"


    เราไม่รู้ว่าเป็นแสงของใคร ก็นึกว่าเป็นแสงของเราก็หมดเรื่อง แต่ก่อนที่จะภาวนานึกถึงใครล่ะ?

    "นึกถึงพระพุทธเจ้า"

    อ้าว! แล้วแสงใคร ถ้าเรานึกถึงใครก็เป็นแสงของบุคคลนั้น ถ้าแสงสว่างจ้ามากแสดงว่าจิตใจเราสะอาดมาก..


    จากหนังสือ "สนทนาธรรม เล่ม 10"
    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...