หลวงพ่อใช้คาถาพระอินทร์สงเคราะห์ครูและนักเรียน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 สิงหาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    [​IMG]
    ที่จังหวัดชัยนาทก็มีโรงเรียนมัธยมชาย โรงเรียนมัธยมหญิง และก็มีโรงเรียนราษฎร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กนักเรียนหญิง ชอบดูหมอดูมาก ไปขั้นแรกเธอมาหา ก็มาถามเรื่องหมอดู ก็คิดในใจว่า เด็กพวกนี้เราจะต้องหาทางให้เรียนดีให้ได้ เมื่อถามครูบาอาจารย์ถามว่า ปีหนึ่งนักเรียนสอบได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไหม มีพระท่านหนึ่งชื่อ ปลัดเจือ เคยเป็นปลัดอำเภอมา ท่านบอกว่าอย่างเก่งก็ ๖๐ เปอร์เซ็นต์เด็กตกมาก
    ก็เลยคิดในใจว่า ในเมื่อเด็กมาก็ดีแล้ว ต้องหาทางให้เด็กนักเรียนให้ดีให้ได้ ทางที่จะให้เด็กเรียนดีก็มีทางเดียว คือ หมอดู หมอดูก็ใช้การดูจริง ๆ ไม่ลงเลข ถ้าลงเลข เขาต้องเรียน หมอเลข ไม่ใช่หมอดู อย่างนี้เราเรียกกันว่า หมอดู จริง ๆ คือเมื่อเธอมาถามว่า ปีนี้จะสอบได้ไหม ก็มองหน้าเธอนิดหนึ่ง แล้วก็ตอบว่า ปีนี้สอบได้ เธอถามว่า การศึกษาของเธอไม่ดีจะทำอย่างไร ตอนนี้ต้องหลอกเด็ก หลับตานิดหนึ่ง แล้วก็ลืมตา บอกว่า ความจริงการศึกษาของเธอนี่ดี มันสมองดี ปัญญาก็ดีมาก สติสัมปชัญญะก็ดีมาก แต่ทว่า ดูหนังสือน้อยไปหน่อย และอีกประการหนึ่ง นอนดึกไปนิดหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือ ชอบเที่ยวคืนวันอาทิตย์
    ฉะนั้น ถ้าหากว่าจะเรียนหนังสือให้ดี สอบให้ได้ไม่พลาดพลั้งจะได้ทุกปี ก็คือ อย่านอนดึก ตั้งใจดูหนังสือช้า ๆ ด้วยความเต็มใจตั้งใจจำ อย่านอนให้ดึก ถ้ารู้สึกว่าง่วง ให้เลิกดูหนังสือเสีย แล้วก็นอนหลับไป ประการที่สอง คืนวันเสาร์เป็นวันหยุดเที่ยวได้ แต่วันอาทิตย์จงอย่าเที่ยว เพราะจะอดนอน ประการที่สาม การเคารพบิดามารดา มีความสำคัญ เคารพครูบาอาจารย์ มีความสำคัญ ถ้าทำอย่างนี้ละก็ หลวงพ่อช่วยได้
    และเธอก็ถามว่า ถ้าก่อนจะสอบ จะมารดน้ำมนต์ได้ไหม ก็บอกว่า ได้ พรมน้ำมนต์ให้ได้ เด็กที่พรมน้ำมนต์ให้ทุกคนรับรองว่าต้องสอบได้ แล้วจึงให้ คาถาของพระอินทร์ ไว้ทุกคน ที่พระพุทธรูปวัดประยุรวงศ์ฯ ท่านบอก เพราะตอนนั้นอยู่วัดประยุรรวงศ์ฯ ย้ายจากวัดอนงคาราม มาอยู่วัดประยุรวงศ์ฯ เรียนเปรียญ ๔ ประโยค นอนอยู่ในพระอุโบสถ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นอนฝันไปว่า มีพระประธานท่านลงมาจากแท่น ท่านบอกคาถาให้ บอกว่า ปีนี้ครูสอนได้ภาคเดียว ความจริงเขาเรียนกัน ๓ ภาค ครูสอนได้ภาคเดียว ระเบิดลงวัด ก็ปรากฏว่า ครูเหาะออกจากวัด หนีไปเลย ก็เรียนแค่ภาคเดียว
    ท่านก็บอกว่า ปีนี้เขาจะออกภาค ๓ มงคลทีปนี เขาจะออกภาค ๓ ท่านก็เลยบอกคาถาให้ว่า สหสสเนตโต เทวินโท ทิพจกขุ วิโสทายิ ท่านบอกว่า เวลาที่ข้อสอบออกมา ให้อ่านดูข้อสอบว่าแปลได้ไหม ตอบได้ไหม ถ้าคิดว่า แปลไม่ได้ ตอบไม่ได้ ให้คว่ำกระดาษข้อสอบลง แล้วก็นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระอินทร์ ว่าคาถาบทนี้ ๓ จบ แล้วก็หงายกระดาษขึ้นมา ดูข้อสอบว่า ตอบได้หมดไหม ถ้าตอบไม่ได้หมด คว่ำกระดาษไปใหม่ และว่าคาถาบทนี้อีก ๗ จบ แล้วหงายกระดาษขึ้นมา คราวนี้ไม่ต้องดูแล้ว ให้ตอบตามความรู้สึก ผลก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ
    ปรากฏว่าเวลาเขาสอบ ออกภาค ๓ จริง ๆ พระที่สอบปีนั้นเหงื่อแตกไปตาม ๆ กัน ก็มีพระองค์หนึ่ง ท่านเห็นเป่ายานัตถุ์ ท่านเลยบอก ขอยานัตถุ์ผมหน่อยครับ ความจริงผมไม่ติด แต่ความจริงการสอบเปรียญ กรรมการเขาเคร่งครัดมาก เขานั่ง ๔ ด้าน ถ้ามองหน้า พูดกันหรือส่งกระดาษให้กัน เขาเอาเป็นตก คราวนั้นสอบที่วัดบวรฯ ที่ไหนก็เหมือนกัน ก็ค่อย ๆ ส่งยานัตถุ์ไปให้ท่าน แล้วก็ชำเลืองดู เห็นท่านเหงื่อแตกพลั่ก ท่านบอกว่า ผมไม่รู้เรื่องเลยครับ ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมก็เขียนตามเรื่องของผมจะพึงเขียน ก็เขียนไป ๑๕ นาที แล้วก็นำไปส่ง
    เมื่อนำไปส่งปรากฏว่าหัวหน้าคณะกรรมการหัวหน้าชั้น ได้แก่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอรุณฯ เวลานั้นเป็น เจ้าคุณศากยมุนี เจ้าคุณชั้นสามัญ เวลาเขาให้จริง ๆ ๔ ชั่วโมง แต่เขียน ๑๕ นาที ท่านก็แปลกใจ ท่านคงคิดว่า ทำไม่ได้ เขียนส่งเดชมาให้ ท่านบอกอย่าเพิ่งไปเลย เอากลับไปเขียนใหม่ ไม่เป็นไรหรอกผมเป็นหัวหน้าห้อง ผมไม่ถือเป็นความผิด
    ก็ บอก ไม่เป็นไรขอรับ ผมถือว่า ผมหมดความสามารถผมแค่นี้ ท่านก็ชวนกินน้ำร้อนก่อน ชวนฉันน้ำร้อนนิดหน่อย แล้วก็บอก ไปเข้าห้องใหม่ซิ ไปดูใหม่ ไปทำให้เรียบร้อย เวลาเหลืออีกเยอะแยะ อีกตั้ง ๓ ชั่วโมงกว่า ก็บอกว่า ผมทำได้แค่นี้แหละครับ จะนั่งอีก ก็นั่งเสียเวลาเปล่า ท่านก็เลยขอจดชื่อ ฉายา วัด และคณะไว้ ก็ไม่ทราบว่าท่านจะจดเพื่ออะไร คิดว่า อาจจะเอาตกก็ได้ ปรากฏว่าผลการสอบปรากฏ เขาประกาศขึ้นมา ปีนั้นได้คะแนนเอก คำว่า คะแนนเอก หมายความว่า ไม่ผิดสักศัพท์เลย แปลได้ทั้งหมด วิชาอื่นก็ได้ดีทั้งหมด และต้องใช้ทุกวิชาเหมือนกัน
    ฉะนั้นคาถาบทนี้จึงให้เด็กนักเรียนหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไปส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียนหญิง นักเรียนชายไม่ค่อยมี เป็นอันว่าเวลาพักเวลาเที่ยงเธอก็ไปกัน นั่งกันเต็มกุฏิ กุฏิเล็ก เป็นกุฏิเล็ก ๆ บางทีนั่งกันไม่ไหว ก็ไปนั่งข้างล่าง ได้เวลาเธอก็กลับ ให้คาถาบทนี้ไป ทุกคนก็ไปท่องจำ บอกว่าเวลาก่อนที่จะดูหนังสือให้ไหว้พระ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ นึกถึงบิดามารดา ความดีของท่าน นึกถึงครูบาอาจารย์ และนึกถึงพระอินทร์ เจ้าของคาถา แล้วว่าสัก ๑ จบ แล้วก็ดูหนังสือ
    เมื่อจะเลิกจากอ่านหนังสือ ก็ว่า อีก ๑ จบ วันแรก ๆ ก็อาจจะจำไม่ได้ แต่วันต่อไปอาจจะคล่องตัวขึ้นมาเอง เธอก็ทำตามนั้น เวลาจะสอบจริง ๆ ทุกคนก็มากันเกือบทั้งโรงเรียน ยกทัพกันมาเลย ถนนขาวพรึ่บด้วยเสื้อนักเรียนหญิง ต้องนั่งอยู่บนกุฏิ ให้เธออยู่ข้างล่าง เดินพรมน้ำมนต์ให้ บอกว่า ทุกคนต้องสอบไล่ได้ ไม่มีใครสอบไล่ตก กำลังใจเธอก็มี
    ในที่สุดปีนั้นได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นักเรียนไม่ตกเลยสักคน แต่ว่าตอนกลาง ๆ ปี อาจารย์ใหญ่ที่เป็นสตรี ได้ข่าวมาจากคนอื่นบอกว่า เขาเห็นว่านักเรียนมาที่วัด เกรงว่าจะมาติดไสยศาสตร์ แต่คนที่เขารับฟัง เขาเคยมา เขาบอก ไม่ใช่ไสยศาสตร์ พระมาจากกรุงเทพฯ มาแนะนำในการเรียน ให้สังเกตการเรียนของนักเรียนให้ดีว่า ปีนี้นักเรียนจะเรียนดีกว่าปีก่อน ๆ อาจารย์ก็สังเกตและก็สงสัย ในเมื่อนักเรียนสอบได้จริง ๆ อาจารย์ใหญ่ ก็เลยมาบ้าง
    พอปีที่ ๒ ก็ปรากฏว่า ไม่มาแต่นักเรียนแล้ว ครูเธอก็มาด้วย ครูบางคนก็จะสอบเลื่อนชั้น ครูก็มาเหมือนกัน เป็นอันว่า ในเมื่อนักเรียนเข้ามามาก ทีนี้ความดีของเธอ ๑. นอนไม่ดึก ๒. ขยันดูหนังสือ ๓. ไม่เที่ยวไม่เตร่ ๔. กลับบ้านมีความเคารพบิดามารดา กลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายตามประสาของโบราณ พ่อแม่ก็แปลกใจ บรรดาพ่อแม่ทั้งหลายก็เลยพากันมาทำบุญที่วัดนี้ บางคนก็บอกว่า ท่านฉันยกให้เลย เฆี่ยนได้ ตีได้ตามชอบใจ ถ้าไม่พอใจ ถ้าเธอทำผิดบอก เอาแค่ยกให้ก็แล้วกัน ยกให้เป็นลูก เป็นอย่างอื่นไม่รับ เพราะมากด้วยกัน รับไม่ไหว
    เป็นอันว่า ไม่มีหน้าที่ต้องเฆี่ยน ต้องตี เพราะว่าทุกคนเป็นคนว่านอนสอนง่ายอยู่แล้ว เป็นคนดีอยู่แล้ว ก็รวมความว่าปีต่อ ๆ มาทุกปี นักเรียนไม่มีใครสอบตก ถือระเบียบไปตามนั้น ก็ได้เหตุผลว่า พ่อแม่ทั้งหลายมาบอกให้ฟังว่า ท่านพูดไปอย่างไรมันฟังหมด มันเชื่อหมด เวลาฉันเลี้ยงมันมา ฉันสอนมัน มันไม่ยอมรับฟัง มันไม่ยอมเชื่อ ถามว่าเรื่องอะไรล่ะ ก็บอกว่า บางทีจะชวนไปเที่ยว เวลากลางคืนบอกไม่ไปหรอก หลวงพ่อห้าม หลวงพ่อห้ามเที่ยวกลางคืน หลวงพ่อห้ามนอนดึก ให้เที่ยวได้เฉพาะคืนวันเสาร์ ห้ามกลับดึก คืนวันอาทิตย์ห้ามเที่ยว อาทิตย์หนึ่งให้เที่ยวได้คืนเดียว คือ คืน วันเสาร์ แต่ดึกไม่ได้ หลวงพ่อบอกว่า ให้ขยันดูหนังสือ เธอก็ดูหนังสือ พ่อแม่ก็เลยชอบใจ ในเมื่อพ่อแม่ชอบใจ ก็เลยมาทำบุญกันที่วัดล้นศาลา ศาลาที่เคยมีคนพร่องนั่งไม่กี่คน เป็นคนล้นศาลา นอกศาลาออกมามาก
    ที่มา หนังสืออ่านเล่นเล่ม 18
     

แชร์หน้านี้

Loading...