สมาทานศีลในวินาทีสุดท้ายของชีวิต ก็ไปดีได้

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย paang, 26 ธันวาคม 2007.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG]


    จะเห็นได้ว่า อานิสงส์แห่งศีลนั้นไม่เพียงแต่สร้างมนุษย์สมบัติให้ในปัจจุบันชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นทิพย์สมบัติที่จะคอยติดตาม นำพาให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีงามอีกด้วย

    เมื่อทุกชีวิตไปสู่สุคติได้ด้วยศีล การละจากโลกนี้ของผู้มีศีล จึงมิใช่เรื่องที่น่าหวาดกลัวเลย ดังเช่นการจากโลกนี้ไปของพ่อค้าสำเภาทั้ง ๗๐๐ คน

    พ่อค้าสำเภา ๗๐๐ คน

    เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตกาลที่ล่วงแล้วมา พ่อค้าสำเภา ๗๐๐ คน เดินทางไปทำการค้าทางทะเล

    พอถึงวันที่ ๗ ได้เกิดคลื่นใหญ่ขึ้นในกลางมหาสมุทรโหมกระแทก จนเรือแตกในขณะที่เรือกำลัง จะจมนั้น พวกพ่อค้าเห็นน้ำทะเลทะลักเข้ามาในเรือก็ตื่นตระหนกตกใจ พากันสวดอ้อนวอนให้ เทวดาของตนมาช่วย คงมีแต่บุรุษหนึ่ง ซึ่งมิได้มีความสะทกสะท้านหวั่นกลัวใดๆ เพราะใจของ เขานั้น นึกถึงแต่การที่ได้ถวายทานแด่พระภิกษุในวันที่จะลงเรือ ทั้งระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย และศีลที่ตนเองรักษา พวกพ่อค้าเห็นดังนั้น ก็พากันไต่ถามถึงเหตุที่เขาไม่กลัวภยันตราย บุรุษนั้น ก็เล่าเรื่องของตนให้ทราบ พวกพ่อค้าจึงขอร้องให้บุรุษผู้นั้นแนะนำสรณะและศีลให้แก่พวกตนบ้าง

    บุรุษผู้นั้นจึงจัดพ่อค้าเป็น ๗ แถวๆ ละ ๑๐๐ คน โดยให้สมาทานศีลทีละแถว ขณะที่แถวแรก

    สมาทานศีลนั้น น้ำก็ได้เข้ามาในเรือจนถึงระดับข้อเท้าแล้ว

    เมื่อแถวที่สองสมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงเข่า

    เมื่อแถวที่สามสมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงเอว

    เมื่อแถวที่สี่สมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงสะดือ

    เมื่อแถวที่ห้าสมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงอก

    เมื่อแถวที่หกสมาทานศีล ระดับน้ำก็ท่วมถึงคอ

    เมื่อแถวที่เจ็ดสมาทานศีล ระดับน้ำก็ถึงปาก ต้องสมาทานศีลในขณะที่น้ำเค็มไหลเข้าปาก เมื่อทุกคนได้ตั้งใจรักษาศีลดีแล้ว บุรุษผู้นั้นก็ร้องบอกด้วยเสียงอันดังว่า

    " ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มีอีกแล้ว ขอท่านทั้งหลายพึงนึกถึงแต่ศีลเท่านั้นเถิด "
    ในที่สุดทั้งหมดก็จมน้ำตาย

    ปรากฏว่าบุรุษผู้นั้นได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนพ่อค้าทั้งหลายก็ได้ไปเกิด ณ ที่นั้น เช่นกัน เทพบุตรทั้งหมดมีนามว่า ยกสัตบุรุษ เพราะล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้รับการยกขึ้นด้วย

    ธรรมของสัตบุรุษ คือ ศีล ๕ ก่อนที่จะเสียชีวิตลง วิมานของเทพบุตรเหล่านั้น อยู่เป็นลำดับเรียง กัน ๗ ชั้น ตรงกลางนั้นเป็นวิมานทองคำ สูงถึง ๑๐๐ โยชน์ เป็นวิมานของเทพบุตรซึ่งเป็นอาจารย์ ผู้แนะนำให้รักษาศีล ส่วนวิมานของเหล่าศิษย์ซึ่งมีความสูงลดหลั่นลงมา จะตั้งอยู่ล้อมรอบเป็นชั้นๆ ออกไป โดยชั้นนอกสุดมีความสูง ๑๒ โยชน์

    เมื่อเทพบุตรเหล่านั้นนึกถึงกุศลของตน ก็รู้ว่าที่ตนได้ทิพย์สมบัติเช่นนี้ เพราะอาศัยศีลที่อาจารย์ เป็นผู้แนะนำให้รักษา จึงพากันมาสรรเสริญคุณของอาจารย์ถวายแด่พระบรมศาสดา ณ พระเชตวัน- มหาวิหาร ในเวลาเที่ยงคืน โดยกล่าวเป็นคาถาสรรเสริญสัตบุรุษว่า

    " บุคคลพึงคบสัตบุรุษอย่างเดียว พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะรู้ชัดสัทธรรมของ สัตบุรุษแล้ว มีแต่ดีขึ้น ไม่มีเลวลง "

    ต่อจากนั้นเทวดาอีก ๕ องค์ ก็กล่าวคาถาสรรเสริญคุณของสัตบุรุษคล้ายๆ กัน พระพุทธองค์ ทรงรับรองว่า คำที่เทวดากล่าวมานั้นเป็นคำสุภาษิต แล้วตรัสคาถาสรุปคุณของการคบหาสัตบุรุษว่า

    บุคคลพึงคบสัตบุรุษอย่างเดียว พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะรู้ชัดสัทธรรมของ สัตบุรุษแล้ว บุคคลย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง "

    หากพ่อค้าสำเภาทั้งหลาย จบชีวิตลงอย่างทุรนทุรายหวาดผวา ก็ไม่รู้ว่าความหวาดผวานั้นจะพาพวกเขาไปสู่ภพภูมิอันน่ากลัวเพียงใด แต่เพราะได้คบหากับ สัตบุรุษผู้มีศีล ชีวิตของ พวกเขาจึงได้พบกับสิ่งที่ดีงาม ได้รู้จักการรักษาศีล ซึ่งเป็นที่พึ่งอันมั่นคงได้ ไม่ว่ายามใด

    พ่อค้าสำเภาทั้งหลายยังได้รู้ว่า เมื่อเรืออับปาง และชีวิตต้องจบสิ้นลง พวกเขาย่อมไม่อาจนำ ทรัพย์สมบัติใดๆ ติดตัวไปได้เลย แต่ศีลที่พวกเขารักษา แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ย่อมจะเป็น ทิพย์สมบัติอันโอฬารติดตามพวกเขาไป โดยที่ภัยใดๆ ก็ไม่อาจทำลาย หรือขวางกั้นไว้ได้เลย

    พ่อค้าสำเภา ผู้มีชีวิตรอนแรมเสี่ยงภัยในมหาสมุทร สามารถก้าวสู่ความเป็นเทพบุตร ผู้เสวย สุขในทิพยวิมาน มีสมบัติอันเป็นทิพย์ได้ ก็เพราะอาศัยบุญที่เกิดจากความตั้งใจรักษาศีลอย่างแน่ว แน่จวบจนสิ้นลมหายใจ


    จากหนังสือ.....
    ศีล....เป็นที่ตั้งแห่งความดีงาม
    พระมหาสุวิทย์ วิชฺเชสโก ป.ธ. ๙
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9795
     
  2. ลุงชาลี

    ลุงชาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,958
    ค่าพลัง:
    +4,763
    โมทนาสาธุบุญด้วยครับ สาธุ สาธุ

    สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
    สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ
    สัพเพ สัตตา อนีฆา โหนตุ
    สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ
    สุขี อัตตานัง ปะริหะ รันตุ
     
  3. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    เมื่อพูดกันถึง...ความตาย...

    ก็ควรจะได้ระลึกถึงสภาพจิตในขณะนั้นว่าแยบคายหรือยัง

    แทนที่จะโศกเศร้าเสียใจ ก็ควรจะเป็นความเบิกบานในพระธรรม

    ที่ได้เข้าใจความจริงอันเป็นสัจจธรรม

    ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง

    ธรรมดาของการเกิด ต้องมีการตาย

    เมื่อเกิดแล้วที่จะไม่ตาย...ไม่มี...

    การตายนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้เลย

    เมื่อเข้าใจความจริง ก็รู้ว่าความจริงเป็นสัจจธรรม


    ;22​



     

แชร์หน้านี้

Loading...