สภาวะโลกร้อน กับ ความพร้อมของสังคมไทย

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 5 สิงหาคม 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    สภาวะโลกร้อน กับ ความพร้อมของสังคมไทย

    โดย ระพี สาคริก



    [​IMG]

    ปัจจุบันนี้มีคนพูดถึงเรื่อง "สภาวะโลกร้อน" กันกว้างขวางมากขึ้น จากเหตุดังกล่าว น่าจะมีผลสืบเนื่องมาจากผลกระทบซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกเป็นห่วงการดำรงชีวิตของคนในสังคมเพิ่มมากยิ่งขึ้น

    เรื่องนี้ตัวฉันเองมีอายุผ่านพ้นมาถึง 85 ปีแล้ว ทำให้มีโอกาสรู้สึกได้ถึงสิ่งที่อยู่ในรากฐานของคนในสังคมไทยมาแต่อดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตนเป็นคนมีนิสัยช่างสังเกตและจำเรื่องราวในอดีตได้อย่างแม่นยำ นอกจากนั้น อาศัยที่เป็นคนไม่มองข้ามของเล็กซึ่งอยู่บนพื้นดิน หากใช้ข้อมูลลักษณะนี้ซึ่งอยู่ในจิตใจตนเองมาแล้วเป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิต ทำให้เกิดสติ

    หวนกลับไปนึกถึงกรุงเทพฯในอดีต แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นมาประมาณ 70 ปี ซึ่งช่วงนั้นมีงานที่โดดเด่นอยู่ในประเพณีของไทยอย่างน้อย 2 งาน งานหนึ่งได้แก่ "งานภูเขาทอง" ซึ่งจัดในช่วงเดือนพฤศจิกายน ส่วนอีกงานหนึ่งคือ "งานพระบรมรูปทรงม้า" ซึ่งจัดในวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี

    โดยเฉพาะทั้งสองงานนี้เด็กๆ ชอบไปเที่ยว เนื่องจากสนใจดอกไม้ไฟที่นำไปจำหน่าย ช่วงนั้น บรรยากาศในงานพระบรมรูปทรงม้าเวลากลางคืนยังต้องสวมเสื้อสักหลาด นอกจากนั้น ยังเป็นโอกาสให้มีการสวมเครื่องแต่งตัวอวดกันระหว่างผู้ใหญ่ บางปีก็มีน้ำท่วมแต่ดูเหมือนภายในจิตใจคนกรุงเทพฯแทนที่จะรู้สึกว่าเป็นปัญหากลับสนุกสนาน เพราะมีโอกาสพายเรือบนพื้นถนน

    ความจริงแล้ว สภาพที่กล่าวมานี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมาจนกระทั่งช่วงหลังๆ เราแทบจะไม่ได้เห็นบรรยากาศดังกล่าว โดยเฉพาะบรรยากาศที่ให้ความอบอุ่น แต่กลับกลายมาเป็นความร้อนซึ่งเข้ามาแทนที่ แต่นิสัยคนไทยส่วนใหญ่มักไม่สนใจศึกษาและสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลง หากกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชีวิตของคนมีนิสัยตกอยู่ในความประมาทขาดสติ

    อนึ่ง มีหลายต่อหลายคนเห็นหน้าฉันเป็นกล้วยไม้ ไหนๆ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว ดังนั้น จึงขออนุญาตนำเอาเรื่องกล้วยไม้มาพูด อยู่มาวันหนึ่ง ประมาณช่วงกลางๆ ของชีวิตมันเกิดเรื่องแม้แต่จะเล็กน้อย หากคนตกอยู่ในความประมาทมันก็จะนำไปสู่เรื่องใหญ่ได้ไม่ยาก

    ขณะนั้น ฉันปลูกกล้วยไม้พันธุ์ที่มีนิสัยทนทานต่อแสงแดด จนกระทั่งสามารถปลูกลงแปลงเอาไว้กลางแจ้งได้อย่างเป็นปกติ ยิ่งกว่านั้นถ้ายิ่งให้แสงแดดจัด มันก็ยิ่งเจริญเติบโตแข็งแรงให้ดอกดกอีกด้วย สภาพดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นธรรมดาของบรรยากาศในกรุงเทพฯ จนกระทั่งเขียนลงไว้ในหนังสือเรื่องการเพาะปลูกกล้วยไม้ด้วย

    วันหนึ่ง ในขณะที่ฉันนั่งทำงานอยู่ในสำนักงานบริหารของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งติดเครื่องปรับอากาศ โดยที่ไม่รู้เลยว่าอะไรมันเกิดขึ้นกับบรรยากาศข้างนอก จนกระทั่งหลังกลับจากทำงานแล้ว ได้ลงมาดูกล้วยไม้ดังกล่าว ตนจึงสังเกตเห็นใบซึ่งหงายด้านบนขึ้นรับแสงแดดอย่างเป็นปกติและมีลักษณะอวบน้ำ ซึ่งหมายถึงภายในใบจะมีน้ำมากเป็นพิเศษจนกระทั่งแข็งและเปล่งปลั่ง

    ช่วงนั้น ในแต่ละวันฉันได้สังเกตเห็นใบกล้วยไม้เริ่มสุก เหมือนถูกน้ำร้อนลวก สภาพการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาแล้วมันไม่คลาดไปจากสายตาของตัวเองที่จะนำมาคิดแม้จะละเอียดอ่อนมากแค่ไหน ประกอบกับตนเป็นคนมองสองด้าน อีกทั้งมองให้ถึงรากฐานจิตใจคนทั่วไปร่วมด้วย

    สิ่งที่กล่าวเป็นตัวอย่างมาแล้วเป็นเพียงลักษณะหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในกระแสสิ่งแวดล้อม จนกระทั่งมาถึงช่วงนี้ ฉันกล้าพูดว่า ปัญหาที่จะพูดถึงมันเป็นมานานแล้ว แต่คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ตกอยู่ในความประมาทจึงไม่สนใจ จนกระทั่งเกิดปัญหาหนักอย่างเช่นที่คนโบราณเคยกล่าวฝากไว้ว่า "สัญชาติคางคก ถ้ายางหัวไม่ตกก็คงไม่รู้จักจำ"

    สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด แม้จะเป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นคนมีนิสัยอยู่อย่างไม่ประมาทย่อมสามารถสานเหตุผลไปถึงเรื่องใหญ่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ความจริงแล้วคำว่า "สัตว์โลก" ควรจะหมายถึง "มนุษย์และสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันในโลกนี้ย่อมมีความสำคัญเท่าเทียมกันและสานถึงซึ่งกันและกันหมด"

    ถ้ามนุษย์ไม่สำคัญตัวเองผิด ควรจะมีนิสัยเรียนรู้ซึ่งกันและกันกับสัตว์ต่างๆ โดยไม่มีการแบ่งแยกว่า "ฉันเป็นคน ย่อมวิเศษกว่าสัตว์อื่นๆ" ซึ่งหมายความว่า การดำเนินชีวิตของมนุษย์ไม่ควรดูถูกสัตว์ ยิ่งเป็นสัตว์เล็กๆ เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ มีความรู้สึกที่สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติได้ไม่ด้อยกว่ามนุษย์ ทั้งนี้และทั้งนั้น เนื่องจากสัตว์ในระดับดังกล่าวไม่มีความโลภโมโทสันกับสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ หากถือมั่นอยู่กับความเป็นจริงของธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง

    แม้แต่สุนัขซึ่งเข้ามาหาบางคน พร้อมทั้งเลียแข้ง เลียขาและกระดิกหาง แต่หลังจากพบอีกคนหนึ่ง มันกลับหางจุกตูดและวิ่งหนีจนสุดตัว นั่นเพราะอะไร เพราะมันรู้ว่าใครมีเมตตาและใครมีใจโหดเหี้ยม

    ซึ่งประเด็นนี้ ถ้าคนไม่ดูถูกสัตว์แม้แต่สุนัข มันก็เป็นครูสอนให้เรารู้ว่าทุกวันนี้เมื่อพูดถึง "สื่อ" หลายคนมักมองไปยังสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ แทนที่จะตระหนักได้ว่า "สื่อทางใจระหว่างมนุษย์และสัตว์" ควรใช้เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด

    สรุปแล้ว มนุษย์ควรเรียนรู้จากสัตว์ถ้าไม่หลงตนลืมตัวจนเกินเหตุ ตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา ฉันยังจำได้ดีว่า "ตั้งแต่ช่วงที่ฉันยังเป็นเด็กเป็นต้นมาฉันยังจำได้ดีว่า เมื่อมีฝนตั้งเค้า ทำให้ได้กลิ่นโอโซน ได้สังเกตเห็นมดตัวเล็กๆ สามัคคีกันคาบไข่ออกไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งนี้เองถ้าใครดูถูกว่าเป็นเรื่องเล็กมันก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าใครมีปัญญาสักหน่อยก็น่าจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ที่สอนให้มนุษย์รู้จักรักและสามัคคีกัน"

    เรื่องนี้ ในขณะนั้นเราก็ยังเห็นความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ได้อย่างชัดเจน จนกระทั่งบางคนพูดสอนผู้คนทั้งหลายเอาไว้ว่า "ดูซิ คนทุกวันนี้น่าอายสัตว์ตัวเล็กๆ หรือไม่" สิ่งที่กล่าวมาแล้วนี่เอง มันเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ตกอยู่ในความประมาทขาดสติจนกระทั่งหลงอยู่กับความสบายทำให้ไม่นึกถึง

    ยิ่งในขณะนี้ เราจะหวังความสามัคคีของคนในชาติได้จากที่ไหน แม้แต่กลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ ก็จะสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกจนกระทั่งยกพวกทำร้ายซึ่งกันและกัน ซึ่งคนเหล่านี้กระทำไปโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าใครไปพูดขวางหูเข้าสักหน่อย แทนที่จะใจเย็นและดับได้ที่ตนเอง กลับเอะอะโวยวาย แถมยังหลงโทษอีกฝ่ายหนึ่ง จนกระทั่งทำให้ชาติบ้านเมืองเสี่ยงต่ออันตรายจากทุกๆ ด้านเพิ่มมากยิ่งขึ้น

    สภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน จึงมีเหตุที่ยังไม่สำคัญเท่ากับความร้อนที่อยู่ในจิตใจคนในสังคมไทยอย่างคาดไม่ถึง

    ---------
    ที่มา:มติชน
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01way02050850&day=2007/08/05&sectionid=0137
     

แชร์หน้านี้

Loading...