วิญญาณห่วงหลาน

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 23 มีนาคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    ( * เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ณ บ้านชะแล้ ต.ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเล่าอัดเทป โดยพระภิกษุผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งอยู่วัดภูตบรรพต (เขาผี) ต.ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา และพระครูสัมพิพัฒนวิริยาจารย์ (พัลลภ วลฺลโภ) แห่งวัดราชผาติการาม กรุงเทพฯ ได้เอื้อเฟื้อส่งเทปเรื่องนี้ให้ผู้เขียน เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๒ )
    "เณร, แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจอยู่ จะไปไหนก็ไม่ได้ ยังมีความห่วงใยในอี่สาวกุหลาบอยู่ จะไปเกิด (ในภพอื่น) ก็ไม่ได้ จึงได้ไปพาเณรมาปรึกษา เรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าแบ่งไว้ให้ เพราะแม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกแล้วทั้ง ๔ คน คนละส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่าได้ยกให้อี่สาวกุหลาบมัน เพราะเป็นเด็กที่กำพร้าแม่มาแต่เล็ก...."
    เรื่องมันแปลก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่เป็นเรื่องจริง ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ เรื่องมีอยู่ว่า
    นางขุ้ย (ไม่ทราบนามสกุล) อยู่บ้านชะแล้ หมู่ที่ ๕ ต.ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา อายุประมาณ ๗๕ ปี ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคอะไรไม่ปรากฏ เมื่อต้นเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นเดือนที่ฝนกำลังตกชุกในภาคใต้ น้ำก็กำลังท่วม ณ บริเวณหมู่บ้านแห่งนั้น ซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งทะเลสาบสงขลา ครั้รจะเก็บศพไว้บำเพ็ญกุศลที่บ้านตามประเพณีที่นิยมกันในถิ่นนั้นก็ไม่สะดวก เพราะน้ำท่วม เรือแพก็ขัดข้อง จะนิมนต์พระไปสวดพระอภิธรรมก็ไม่อาจจะไปได้ ลูกหลานและญาติพี่น้องจึงได้ตกลงกันให้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้ อันเป็นวัดประจำหมู่บ้านแห่งนั้น
    เมื่อลงมติเห็นพร้อมกันแล้ว ก็ได้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้ ทำพิธีสวดอยู่ ๕ คืน จนกระทั่งถึงวันกำหนดเผา ญาติพี่น้องก็มาเผาศพนางขุ้ยครั้งนี้โดยพร้อมหน้าพร้อมตากัน โดยทำพิธีเผาที่ป่าช้าประจำหมู่บ้านแห่งนั้น
    เนื่องจากนางขุ้ยเป็นคนที่เกิดที่บ้านชะแล้นี้เอง และมีพี่น้องร่วมท้องด้วยกันถึง ๑๒ คน แต่ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ๑๑ คน รวมทั้งนางขุ้ยนี้ด้วย ที่ยังมีชีวิตอยู่เพียง ๑ คน นางขุ้ยจึงมีลูกหลานมาก เมื่อลูกหลานและญาติพี่น้องทั้งที่อยู่ใกล้และไกลมาพร้อมเพรียงกันแล้ว จึงทำให้งานศพนางขุ้ยเป็นงานที่ใหญ่มากงานหนึ่งในตำบลนี้
    ในงานนี้ ญาติพี่น้องได้รวมความเห็นกันว่า จะให้หลานชายนางขุ้ย ผู้เป็นลูกของลูกสาวคนสุดท้องของนางขุ้ยเองบวชหน้าศพ เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้นางขุ้ยผู้เป็นแม่เฒ่า (ยาย) ดังนั้น ญาติพี่น้องจึงได้ให้นายจีน อายุ ๑๘ ปี ซึ่งเป็นบุตรของนางเป็ดได้บวชหน้าศพ
    เมื่อตกลงกันแล้ว ญาติพี่น้องก็ไปจัดซื้อเครื่องบวชมาพร้อม แล้วนิมนต์พระอุปัชฌาย์มาบวชที่วัดชะแล้ โดยบวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้ว รุ่งขึ้นก็เคลื่อนศพไปป่าช้าเพื่อเผาตามธรรมเนียมในชนบท โดยได้นิมนต์พระจากวัดต่างๆ มาสวดมาติกาบังสุกุลด้วย งานฌาปนกิจศพก็เป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น
    แต่หลังจากที่เผาศพแล้ว ก็มีเรื่องซึ่งไม่น่าคาดฝันเกิดขึ้นกับสามเณรบวชใหม่ เพราะมีต้นเหตุมาจากพินัยกรรมของนางขุ้ยเอง คือ
    เมื่อประมาณ ๘ ปีที่ล่วงมานี้ นางขุ้ยได้เอาหลานสาวมาเลี้ยงไว้คนหนึ่ง ชื่อ กุหลาบ ซึ่งเป็นลูกของลูกชายคนโตของนางขุ้ย โดยเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ จนเดี๋ยวนี้มีอายุได้ ๑๕ ปี นางขุ้ยเรียกหลานคนนี้ว่า "อี่สาว" ตามประเพณีการเรียกชื่อหลานของคนในถิ่นนี้ แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า กุหลาบ ตามชื่อจริง
    กุหลาบเป็นเด็กดี มีความกตัญญูกตเวที แต่เป็นเด็กกำพร้าแม่มาตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ เพราะแม่ของเธอได้ตายไปเมื่อเธออายุได้ ๓ ขวบแล้ว นายหิ้มผู้เป็นพ่อก็มีเมียใหม่ ครั้นจะให้อยู่ที่บ้านด้วยกันก็เกรงว่าจะเกิดขัดใจกับแม่เลี้ยง นายหิ้มจึงตัดสินใจเอากุหลาบมาฝากไว้กับนางขุ้ยผู้เป็นแม่ ตั้งแต่กุหลาบอายุได้ ๘ ขวบ เพราะนางขุ้ยขณะนั้นก็ไม่มีใครจะอยู่ด้วย เนื่องจากลูกๆ ได้แต่งงานและแยกครอบครัวไปอยู่ต่างหากกันหมดแล้ว
    นางขุ้ยมีลูกอยู่ ๔ คน คือ
    คนที่หนึ่งชื่อ นายหิ้ม บิดาของกุหลาบ
    คนที่สองชื่อ นายผิน ปัจจุบันอยู่ ต.ประดู่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง
    คนที่สามชื่อ นายส้อง มีภรรยาแล้ว อยู่ที่ ต.ชะแล้ หมู่ ๓
    คนที่สี่เป็นหญิงชื่อ นางเป็ด ไปมีสามีอยู่ที่จังหวัดตรัง
    ต่อมา นางขุ้ยป่วย มีอาการค่อนข้างหนัก และรู้สึกตัวว่าจะไปไม่รอดแล้ว จึงให้เรียกลูกทั้ง ๔ คน มาพร้อมกันแล้ว พูดขึ้นว่า "มาพร้อมกันทุกคนแล้วนะลูก แม่นี้รู้ตัวว่าจะไม่รอดแล้ว แม่จึงอยากจะแบ่งสมบัติให้แก่ลูกทั้ง ๔ คน ในขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่และยังมีสติดีอยู่ สมบัติของแม่ก็มีไม่มาก แต่พอจะแบ่งให้ลูกๆ ได้ ตามที่แม่มี"
    ลูกทั้ง ๔ คน เมื่อแม่พูดขึ้นเช่นนั้นแล้ว ต่างก็ไม่สบายใจที่แม่ผู้บังเกิดเกล้าจะจากไป แต่ก็รู้สึกยินดีที่แม่จะได้แบ่งสมบัติให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องยุ่งยากในภายหลัง จึงได้พูดขึ้นว่า "แบ่งเสียให้เรียบร้อยให้สมบูรณ์ ดีแล้วแม่ จะไม่ยุ่งยากในภายหลังเมื่อไม่มีแม่แล้ว"
    นางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า "ที่นา แม่จะแบ่งให้ แปลงไหนจะให้ลูกคนไหนแม่จะบอกไว้ แบ่งให้เท่าๆ กันทั้ง ๔ คน เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันในภายหลัง แม่จะทำไว้ให้ถูกต้อง แต่แม่จะแบ่งสมบัติออกเป็น ๕ ส่วน คือ ลูกทุกคนแบ่งให้เท่ากัน ส่วนที่ ๕ นั้นเป็นส่วนผี คือส่วนที่ ๕ เมื่อแม่ตายไปแล้ว แม่จะให้กับกุหลาบมัน เพราะอี่สาวกุหลาบ แม่นำมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย ลูกทุกคนจะเห็นด้วยหรือไม่ กุหลาบนี้เมื่อโตขึ้นแล้วก็ได้เลี้ยงดูช่วยเหลือแม่ ได้หุงข้าวหุงปลา ปฏบัติแม่เจ็บเมื่อไข้ไม่สบาย รวมทั้งอาหารการกินต่างๆ กุหลาบก็เป็นผู้จัดทำ ฉะนั้น นาแปลงนี้ แม่จะให้กับอี่สาวกุหลาบมัน" ลูกทั้ง ๔ คนก็ยินยอมเห็นด้วย
    เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว ต่อมา นางขุ้ยก็ได้ถึงแก่กรรมลง ลูกหลานญาติพี่น้องได้จัดการศพเรียบร้อยดังกล่าวแล้ว
    เมื่อเผาศพนางขุ้ยเสร็จแล้ว ล่วงมาได้ ๓ คืน พวกลูกๆ ทั้ง ๓ คน (เว้นคนพี่ผู้เป็นพ่อของกุหลาบ) มาปรึกษาเห็นต้องกันว่า "นาแปลงที่เป็นส่วนผีที่จะให้กุหลาบนั้น จะแบ่งให้อีกทำไม ในเมื่อพ่อของกุหลาบก็ได้ส่วนแบ่งแล้ว พวกเรา ๓ คน มาแบ่งกันเองดีกว่า แล้วก็เอามาแบ่งกันเสียเอง ๓ คน
    ส่วนนายหิ้มก็พูดไม่ออก และก็ไม่สนใจ เพราะไม่อยากทะเลาะกับน้องๆ ในฐานะที่เป็นพี่ กุหลาบจึงไม่ได้อะไรเลย ทั้งๆ ที่ได้เลี้ยงดูปฏิบัติย่ามา และย่าก็ได้แบ่งสมบัติไว้ให้ก่อนตาย จึงทำให้ร้อนถึงผีนางขุ้ยผู้ตายไปแล้ว
    หลังจากเผาศพนางขุ้ยแล้วได้ ๓ วัน สามเณรจีนซึ่งบาชหน้าไฟคุณยาย ได้ตั้งใจว่าจะสึกมาก่อนหน้านี้ แต่ยังหาวันดีไม่ได้ ก็ทำให้ไม่สบายใจ ข้าวก็ไม่ยอมฉัน และไม่ยอมสังคมกับภิกษุสามเณรอื่นๆ ด้วย
    ในกุฏิที่สามเณรจีนอยู่นั้นมีพระเณรอื่นอยู่ด้วย แต่อยู่คนละห้อง ในคืนวันนั้นพระเณรได้ยินประตูห้องสามเณรจีนปิดดังโครม ต่างเข้าใจว่าสามเณรจีนเข้านอน และต่างก็รู้อยู่ด้วยว่าสามเณรจีนไม่ค่อยสบายใจ จึงไม่อยากเข้าไปรบกวนคุยด้วย แต่เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น พระเณรก็ได้ยินเสียงสามเณรจีนเปิดประตูออกจากห้อง ก็พากันสงสัยและเปิดประตูออกมาดู และเข้าไปดูในห้องสามเณรจีนก็ไม่พบ พากันเอาไฟฉายไปค้นหาทั่ววัดก็ไม่พบ ก็สงสัยว่าสามเณรจีนจะไปผูกคอตาย พระเณรจึงพากันนั่งปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกัน
    หลังจากนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมง สามเณรจีนก็ขึ้นไปบนวัด เพราะวัดชะแล้ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งมีบันไดขึ้นมาทางด้านศาลาการเปรียญ (โรงธรรม) และเมื่อสามเณรจีนไปถึงวัดแล้ว พระเณรในวัดได้ยินเสียงหมาเห่าหอน ไล่ตามไปประมาณ ๒๐ วา พระเณรก็สงสัย แต่พอเงียบเสียงหมา สามเณรจีนก็ถึงห้อง พระจึงเจ้ามาถามว่า "เณรไปไหนมา"
    เมื่อถูกสอบถาม สามเณรจีนก็ได้สติขึ้นมาทันที จึงบอกว่า แม่เฒ่า (ยาย) มาพาไปที่เปลว (ป่าช้า) ก็เดินตามหลังแม่เฒ่าและคุยกันไป ผมสำคัญว่าแม่เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ผมใจลอยนึกไปว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย พอไปถึงป่าช้า แม่เฒ่าบอกว่า "เณร นิมนต์นั่งลง แม่เฒ่าจะพูดให้ฟัง" ก็เลยนั่งคุยกับแม่เฒ่า โดยหันหน้าไปทางทิศใต้ นั่งใกล้กับแม่เฒ่า แม่เฒ่าได้พูดว่า "เณร, แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจ จะไปไหนก็ไม่ได้ ยังมีความห่วงใยในอี่สาวกุหลาบอยู่ จะไปเกิด (ในภพอื่น) ก็ไม่ได้ ก็เลยพาเณรมาปรึกษาเรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าแบ่งไว้ให้นั้น เพราะแม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกทั้ง ๔ คนแล้ว คนละส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่าบอกแล้วว่ายกให้แก่อี่สาวกุหลาบมัน เพราะเป็นเด็กที่กำพร้าแม่มาแต่เล็ก (ทั้งๆ ที่ตกลงกันแล้ว) แต่เมื่อแม่เฒ่าตายแล้ว ทำไมลูกทั้ง ๓ คน เอาส่วนของกุหลาบมาแบ่งกันเสียเอง ไม่ยอมให้กุหลาบ ทำไมลูกทั้ง ๓ คน จึงมาคิดทรยศโกงของหลาน เรื่องนี้แหละที่แม่เฒ่าต้องเรียกเณรมาปรึกษา ขอให้เณรช่วยไปตามแม่ของเณรมาเร็วๆ ให้เณรไปตามแม่เณรที่จังหวัดตรัง แล้วคืนสมบัติส่วนนี้ให้กุหลาบเสีย มิฉะนั้นแล้วแม่เฒ่าจะมีความกังวลใจอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ไปเกิด (ในภพอื่น) แม่เฒ่าจะเฝ้าสมบัติอยู่นี่ พรุ่งนี้ ขอให้เณรรีบไปตามโยมแม่มา"
    "เมื่อพูดตกลงกันแล้ว แม่เฒ่าก็มาส่งผม และเดินกันมาถึงวัดนี้แหละครับ แม่เฒ่ามาพาผมไปป่าช้าและเดินมาส่งผมถึงวัด ผมก็ยังรู้สึกว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย แต่พอแม่เฒ่ากลับไปแล้วผมกลับได้สติทันที และจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ดังที่เล่ามานี่แหละ" สามเณรจีนพูดในที่สุด
    เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน เมื่อพระเณรได้ฟังดังนั้น ต่างก็พากันขนหัวลุกด้วยความกลัว แล้วพูดว่า "ป้าขุ้ยเป็นผีมีศีลธรรม มีธรรมะ แกแบ่งสมบัติไว้ให้ลูกทุกคนถูกต้องแล้ว"
    ในคืนต่อจากนั้น หมาในวัดพากันเห่าหอนอยู่ที่บันใดทางขึ้นสู่วัดชะแล้อย่างหวาดกลัว (เพราะเสียงหมาเห่าหอนในยามค่ำคืนเช่นนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยชนบทว่า หมามันเห็นผี มันจึงเห่าหอน และในชนบทแถบนั้นก็ไม่มีไฟฟ้าด้วย) พระเณรต่างพากันกลัวไม่กล้านอน ด้วยคิดว่าผีป้าขุ้ยมาอีกแล้ว สามเณรจีนก็กลัวเช่นกัน จนกระทั่งหมามันหอนเสียงโหยหวนต่อกันลงไปทางเบื้องล่าง อันเป็นทางมุ่งไปยังป่าช้าประจำหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น
    แต่ในคืนต่อมาหลังจากคืนนั้น ผีนางขุ้ยก็มาสิงสามเณรจีนผู้เป็นหลานของตน จึงเกิดเรื่องโกลาหลหนักขึ้น คือ สามเณรจีนร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง พูดบ้าง พระเณรจึงเข้าไปในห้องสามเณรจีนแล้วถามว่า "ทำไมจึงเป็นอย่างนี้"
    สามเณรก็พูดขึ้นว่า "ฉันห่วงสมบัติ เพราะกุหลาบมันไม่ได้ส่วนแบ่ง และฉันอยากจะรู้ว่า ที่ให้เณรไปตามโยมแม่ที่ จ.ตรังนั้น เณรไปแล้วหรือยัง"
    พระเณรได้บอกว่า ฎเณรได้ไปตามแล้ว ป้ากลับเสียเถิด เมื่อเณรได้บวชแล้ว และได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แล้ว มาทำไมอีก"
    ผีนางขุ้ยในร่างของเณรตอบว่า ฉันไม่ไปก่อนละต้น เดี๋ยวก่อน ไปตามลูกฉันมาก่อน ยกเว้นเณรผินเพราะมันอยู่ไกล และขอให้หาหมอผีมาด้วย เพื่อมาไล่ผี เพราะเกรงว่าจะมีผีอื่นมาหลอกหลอนเอาได้" (คำว่า "ต้น" เป็นคำที่ชาวปักษ์ใต้เรียกพระสงฆ์บวชใหม่หรือที่พรรษาน้อยทั่วไป ย่อมาจากคำไทยโบราณว่า"ชีต้น" ส่วนคำว่า "เณร" เป็นคำภาษาใต้ของไทย นอกจากจะหมายถึงสามเณรทั่วไปแล้ว ยังใช้เรียกทิดทุกคนว่า "เณร" อีกด้วย ดังนั้นคำว่า "เณรผิน" ในที่นี้ จึงหมายถึงนายผิน ผู้เป็นลูกชายคนที่ ๒ ของนางขุ้ย ซึ่งอยู่ไกลถึงจังหวัดพัทลุงนั่นเอง)
    ก็ในหมู่บ้านชะแล้นั้น ได้มีผู้ที่เข้าใจเรื่องการไล่ผีอยู่คนหนึ่ง คือ นายเฉี้ยง และนายเฉี้ยงคนนี้เป็นหลานของนางขุ้ยเอง บ้านอยู่ใกล้วัดชะแล้ จึงได้ถูกตามตัวเชิญมาได้สะดวก และผู้ที่มาในครั้งนี้ นอกจากนายเฉี้ยงแล้ว ก็มีคนใกล้เคียงพากันมาดูเหตุการณ์ด้วยจำนวนหลายคน
    นายเฉี้ยง เมื่อมาถึงก็พิจารณาดูแล้วรู้ว่า สามเณรถูกผีเข้าแน่ จึงถามขึ้นว่า "ใครมาหยอกเณร ตายไปแล้วก็ไปสู่ที่สุขเสียซิ อย่ามาพัวพันเกี่ยวข้องอยู่กับพระเณร ไป ไปเสีย"
    ผีนางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า "อ๋อ เณรเฉี้ยง มึงอย่าไล่กู มึงเป็นลูกพี่สาวกู นี่สมบัติกูแบ่งปันให้ถูกต้องแล้ว ภายหลังน้อง ๓ คน มันมายักยอกเอาไป ไม่ให้หลานสาวมัน จะเอาแต่พวกมัน ๓ คน เณรส้องอยู่ไหน มาหรือเปล่า (หมายถึงนายส้อง ลูกชายคนที่ ๒ ของนางขุ้ย)"
    นายเฉี้ยงตอบว่า "นั่งอยู่ข้างนอก" (หมายถึงนั่งอยู่ข้างนอกห้อง)
    "บอกให้เข้ามา กูจะถามเณรส้องมัน" ผีนางขุ้ยกล่าวขึ้น
    เมื่อนายส้องเข้าไปในห้องแล้ว ผีนางขุ้ยในร่างของสามเณรก็พูดขึ้นว่า "บ้านมึงมีอะไรดีนะ กูไปแล้ว กูตั้งใจไปบ้านมึง ไปถึงแล้วได้แต่วนเวียนอยู่ที่ประตูบ้าน กูเข้าไปไม่ได้"
    แล้วนายส้องจึงพูดขึ้นว่า "แล้วทำไม แม่ไม่ไปพูดกับฉันล่ะ"
    ก็กูตั้งใจจะไปพูดกับมึงนั้นแหละลูก แต่กูเข้าไปไม่ได้ มึงใจดำนา แม่แบ่งไว้ถูกต้อง แต่สูไปแบ่งปันกันแต่พวกสู" ผีนางขุ้ยพูด (สู เป็นคำไทยเดิมซึ่งยังใช้พูดกันโดยทั่วไปในชนบทภาคใต้)
    นายส้องพูดว่า "แม่อยากให้ลูกเกิดมามาก สมบัตินิดเดียวจึงปันกันไม่พอ"
    เมื่อได้ฟังดังนั้น ผีนางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า "กูปันให้ลูกแล้ว แต่พวกสูจะเอาเหลือ (เอาเกิน) สูจะเอาให้มาก เมื่อก่อนกูตายก็ได้ถามลูกๆ กันทุกคน เห็นด้วยกันแล้ว" แล้วจึงหันไปถามนายหิ้ม พ่อของกุหลาบซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วยว่า" "เณรหิ้ม มึงจะว่าอย่างไร ลูกมึงที่แม่พามาเลี้ยงไว้ ไม่ได้สมบัติอะไรเลย"
    แต่นายหิ้มไม่ยอมตอบ คงจะพูดไม่ออกในฐานะที่เป็นพี่ และกุหลาบก็เป็นลูกของตนด้วย แล้วผีนางขุ้ยจึงพูดว่า "ถ้ามึงไม่ตอบ กูจะไม่ไปไหน กูจะอยู่ที่นี่"
    เมื่อได้ฟังดังนั้น นายหิ้มก็ได้พูดขึ้นว่า "แม่ไปอยู่ที่ที่สุขเถิดแม่ เขาค่อยแบ่งกันเอง อย่ามาเกี่ยวข้องอยู่เลย"
    ต่อจากนั้น นายเฉี้ยงได้พูดแทรกขึ้นว่า "ถ้าไม่ไป จะเอาดินสอพองมาสัก มันเป็นผีอื่นมาแทรก" (การเอาดินสอพองมาสักหรือขีด เช่น สักหรือขีดรอบข้อมือข้อเท้าของคนที่ถูกผีเข้า พร้อมกับบริกรรมคาถาสำทับลงไป เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของหมอผีในการไล่ผี)
    "อย่าสักกูเลย เณรเฉี้ยง กูเป็นน้าสาวมึง มึงอย่าไล่กู" พอพูดเพียงเท่านี้ ผีนางขุ้ยก็ออกจากร่างของสามเณร แล้วสามเณรจีนก็ได้สติ รู้สึกตัวทันที และทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกโล่งใจ
    ในที่สุด ได้ทราบว่า ลูกๆ ของนางขุ้ยทั้ง ๓ คนที่ไม่ยอม ก็ต้องแบ่งที่ดินอันเป็นส่วนของกุหลาบให้แก่กุหลาบไปตามคำสั่งของแม่ เพราะเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็นประจักษ์ได้ด้วยตนเองและบุคคลอื่นเป็นอันมาก ทั้งไม่ต้องการให้แม่ของตนซึ่งตายไปแล้วมีความกังวลห่วงใยในเรื่องนี้ จะได้ไปเกิดในสุคติตามความปรารถนาของทุกคน
    เรื่องนี้ เป็นการพิสูจน์การตายแล้วเกิดใหม่ได้ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน.
     

แชร์หน้านี้

Loading...