ราหุลสังยุตต์ จักขุสูตร

ในห้อง 'พระไตรปิฎก เสียงอ่าน' ตั้งกระทู้โดย บุญญสิกขา, 30 กรกฎาคม 2009.

  1. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๘
    สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ราหุลสังยุตต์ ปฐมวรรค

    ๑.จักขุสูตร<O:p</O:p

    [๕๙๙]ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถีครั้งนั้นแลท่านพระราหุลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งที่ควรส่วนข้างหนึ่งท่านพระราหุลเมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาสขอพระผู้มีพระภาค จงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อที่ข้าพระองค์ได้สดับแล้วพึงเป็นผู้ๆเดียวหลีกออกจากหมู่ไม่ประมาทมีความเพียรส่งตนไปแล้วอยู่<O:p</O:p

    [๖๐๐]พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าดูกรราหุลเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าเป็นทุกข์พระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรละ
    หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรานั่นเป็นเรานั่นเป็นตัวตนของเรา
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า<O:p</O:p
    <O:p
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าดูกรราหุลเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน โสตะเที่ยงหรือไม่เที่ยง
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าเป็นทุกข์พระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรละ
    หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรานั่นเป็นเรานั่นเป็นตัวตนของเรา<O:p</O:p
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า<O:p</O:p
    <O:p
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าดูกรราหุลเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ฆานะเที่ยงหรือไม่เที่ยง
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าเป็นทุกข์พระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรละ
    หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรานั่นเป็นเรานั่นเป็นตัวตนของเรา
    ท่านพระราหุลกราบทูล ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า<O:p</O:p
    <O:p
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าดูกรราหุลเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ชิวหาเที่ยงหรือไม่เที่ยง
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าเป็นทุกข์พระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรละ
    หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรานั่นเป็นเรานั่นเป็นตัวตนของเรา
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า<O:p</O:p
    <O:p
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าดูกรราหุลเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กายเที่ยงหรือไม่เที่ยง
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าเป็นทุกข์พระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรละ
    หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรานั่นเป็นเรานั่นเป็นตัวตนของเรา
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า<O:p</O:p
    <O:p
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าดูกรราหุลเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใจเที่ยงหรือไม่เที่ยง
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่าเป็นทุกข์พระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่าก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรละ
    หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรานั่นเป็นเรานั่นเป็นตัวตนของเรา
    ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า<O:p</O:p
    <O:p

    [๖๐๑]พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรราหุลอริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุย่อมเบื่อหน่ายทั้งในโสตะย่อมเบื่อหน่ายทั้งในฆานะย่อมเบื่อหน่ายทั้งในชิวหาย่อมเบื่อหน่ายทั้งในกายย่อมเบื่อหน่ายทั้งในใจเมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัดเพราะคลายกำหนัดจิตย่อมหลุดพ้นเมื่อจิตหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้วดังนี้อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี<O:p</O:p
    <O:p
    จบสูตรที่๑ จักขุสูตร

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.653702/[/MUSIC]<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...