*** รวมเคล็ดวิชาแห่งทางรอด ***

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย mead, 13 เมษายน 2007.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG]


    เนื่องจากภัยพิบัติจากสิ่งแวดล้อมและจากมนุษย์ ที่เกิดขึ้นให้เราเห็นมากมายทั่วไปในขณะนี้ ซึ่งเป็นเงามายาจากจิตสำนึกของมนุษย์โลกที่ตกต่ำลง และ..ทางออกของมนุษย์ที่ดีที่สุดในเรื่องนี้คือการ"บำเพ็ญจิต"เพื่อยกระดับจิตใจให้เข้าถึงจิตวิญญาณให้สำเร็จในเวลาอันสั้น..เพื่อเตรียมจิตของเราให้พร้อมที่จะฝ่าฟัน..ไปได้กันทุกคน และช่วยกันสร้างพลังงานด้านบวกหมุนเหวี่ยงโลกใบนี้ให้สมดุลมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้..


    กระทู้นี้จะมีประโยชน์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อการพัฒนาและยกระดับจิตใจให้ก้าวหน้าขึ้นไป และเป็นกำลังใจให้เหล่าฆราวาสธรรมได้ร่วมบำเพ็ญปฎิบัติตามแนวทางสายพุทธะ ข้อสงสัยใดๆที่มีเชิญแสดงออกได้เต็มที่ เพื่อต่อยอดความรู้เดิม ให้ขยายขอบเขตกว้างขึ้นไปครับ


    ขอเชิญพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกท่าน คุณคนานันท์ พี่คลิก พี่เกษม พี่Mountain คุณหนุมานฯ พี่ฝุ่น คุณทศพร คุณ Bassate และทุกท่านที่มีข้อมูลความรู้มาแนะแนวทางทั้งทางโลกและทางธรรม แบบเปิดใจกันที่นี่ได้เต็มที่ครับ และใครมีข้อสงสัยใดๆเชิญสอบถามผู้รู้ได้เต็มที่เช่นกันครับ...


    ที่สำคัญเปิดใจให้กว้าง รับฟังแบบ Zero Base..(ว่างเป็นศูนย์..)..แล้วเราจะได้รับคำตอบที่คลายข้อสงสัยต่างๆได้อย่างเต็มที่เช่นกันครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2007
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    พระอาจารย์รัตน์ กล่าวว่า...


    ทางรอดที่ดีที่สุด คือการมีดวงตาเห็นธรรม..
    การเข้าใจในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    เหมือนการศึกษา"วงกลม"วงหนึ่ง
    อวิชชา หรือ กิเลส คือแรงยึดติดกับวัตถุในโลก
    การมีสติรู้เท่าทันการเกิด-ดับ
    จะทำให้จิตสะท้อนหลุดออกมาจากวงกลม คือเห็นธรรม
    สุดท้ายคือการดำรงอยู่ในมรรคหรือธรรมไว้ให้ได้ตลอดเวลา..

    -------------------------------------------------------------

    ผู้ที่จะรอดผ่านไปได้..ต้องมีผลกรรมไม่เกิน 30 %
    คัดแยกจากระดับผลกรรมที่สั่งสมมา..ซึ่งแต่ละคนบันทึกกันไว้เป็นรหัสในจิตหยาบและกระแสเม็ดเลือดแดง (เป็นประจุไฟฟ้าลบ -) ต้องชำระจิตหยาบให้บริสุทธิ์ด้วย การละวางกิเลส ปฎิเสธตัวตน ข้ามพ้นเงามายา..การเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง..และการมีปณิธานแห่งนิพพานเป็นที่ตั้ง ---- อาจารย์ปริญญา ตันสกุล

    --------------------------------------------------------------

    พระอาจารย์จี้กงทรงแบกรับกรรมแทนผู้ที่"รับธรรมะ"ไปแล้วถึง 70% (โดยการเจรจาต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรให้) เพื่อให้เราเร่งรีบปฎิบัติบำเพ็ญ...และมีปณิธานแห่ง "นิพพาน"
    ช่วงนี้เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุคแดงกับยุคขาว เภทภัยใหญ่ทั้งหลายกำลังอยู่เบื้องหน้าเรา ซึ่งคาบเกี่ยวกับการที่จิตญาณเราได้มีโอกาสรับรู้ว่ารากญาณของเรามาจากไหน ถ้าเราได้รับธรรมะ เราปฎิบัติบำเพ็ญ เราก็สามารถที่จะหลุดพ้น พระอนุตรธรรมมารดาทรงบัญชาให้สามพุทธะลงมาฉุดช่วยเวไนยให้ทั่วก่อน แล้วในที่สุดเภทภัยต่างๆก็จะลงมาเก็บกวาดล้างคนชั่ว คนเลวทั้งหลาย ถึงตอนนั้นจึงจะเกิดเป็นโลกยุคใหม่ขึ้น---อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม

    ------------------------------------------------------------


    ถ้าใครมีเคล็ดวิชา หรือวิถีทางอื่นๆที่เป็นทางรอดนำมาลงไว้ได้เลยครับ...ถ้ามีข้อสงสัยใดๆ ไม่ชัดเจน มาตั้งคำถาม - และกันไว้ที่นี่ครับ
    สบายๆ..ไม่ซีเรียสครับ มาแลกเปลื่ยนกันตามอัทยาศัยจ๊ะ..

    (bb-flower(bb-flower(bb-flower

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2007
  3. johot

    johot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +673
    "ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น นโยบายในทางโลกีย์ใดๆก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง

    ศาสนาทางมิจฉาทิษฐิ ก็นับวันจะแสดงปฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย
    ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรมดังไฟที่กำลังใหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด
    ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆและแยบคายด้วยจะเป็นสัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วงไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ"

    โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
    (บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
    จากหนังสือ"เพชรน้ำหนึ่ง"
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง
    ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรมดังไฟที่กำลังใหม้เรือน
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    สาธุครับคุณ johots หลวงปู่มั่นผมเองศรัทธามาตลอด..ในความเด็ดเดี่ยว มั่งคง และความเป็นคุรุท่านหนึ่งของพวกเราครับ..
     
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    หลวงปู่ : ทางรอดอันศักดิ์สิทธิ์
    พลังบุญ พลังจิต
    "หลวงปู่" ผู้เป็นคุรุของผมได้บอกกับผมว่า ข้อเขียนของท่านที่ชื่อ "พลังบุญ พลังจิต" ที่ผมจะนำมาถ่ายทอดต่อไปนี้ ได้แฝงไว้ซึ่งเคล็ดวิชาชั้นสูงสุดของพระพุทธศาสนาเอาไว้ จึงขอให้พวกผมอ่านและศึกษาซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งตีความหมายที่แฝงเร้นไว้ในข้อเขียนอันนี้ออกมาให้ได้
    พลังบุญ พลังจิต
    โดย "เฒ่าไม้แห้ง" (นามปากกาของ "หลวงปู่")
    (1) คนที่รู้จักพลังอมตะและพลังอนันต์นั้นไม่มีหรอก หาได้น้อย ส่วนใหญ่เขาจะสอนให้เราทำบุญเฉยๆ ไม่ให้เราเข้าใจถึงพลังอันวิเศษเหล่านั้นหรอกว่ามันมีคุณชาติความสามารถที่จะช่วยปลดปล่อยเราได้อย่างไร ถ้าจะบอกว่ามันเป็นเคล็ดลับของธรรมะแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์หรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามันยิ่งกว่าเคล็ดลับ มันคือหัวใจของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ? มันไม่ใช่หัวใจของพระพุทธเจ้าแต่มันคือไขกระดูกของพระพุทธเจ้า มันอยู่ลึกยิ่งกว่าหัวใจของพระพุทธเจ้าและมันคือหัวใจของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ทุกองค์ที่อยู่ในจักรวาล มันคือไขกระดูกของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ทั้งปวง มันคือโครงสร้างของพระโพธิ์ญาณ มันคือจิตวิญญาณของพระปัจเจกโพธิ และมันคือเลือดเนื้อของพระสาวกสัมมาสัมพุทธผู้ที่ต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลังต่อไป​
    (2) สติคือประตู เมื่อเห็นลมพัดมา มักจะเอาฝุ่นละอองเข้ามา มันจะพาเอาฝุ่นสาดเข้ามา มันจะพาเอาโจรเข้ามา ถ้ารู้ว่ามันเป็นโจร เราก็รีบปิดประตูผู้นั้นมีสติ แต่ถ้าลมพัดมา ฝนสาดมา โจรเข้ามา แต่ไม่มีประตูจะปิด นั่นคือคนไม่มีสติ และเราก็จะโดนปล้นสดมภ์ความเป็นไทของเราออกไปพวกนี้มันจะมาทำให้เราเปียก ฝุ่นเปรอะเรา ขยะก็เต็ม และเป็นมลภาวะภายใน เพราะฉะนั้นถ้าจะถามหลวงปู่ว่า สติคืออะไร มันคือประตูกับหน้าต่าง คนมีสติก็คือคนที่คอยปิดประตู ปิดหน้าต่าง คนไม่มีสติก็คือคนที่ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง พอมันไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง มันก็มีแต่ช่องโล่งๆ ที่อะไรจะเข้ามาก็ได้ และอะไรมันจะออกไปก็ได้โดยไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ หรือไม่รู้จักไม่เข้าใจ จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่าเสียใจ ขาดใจ ไม่หายใจ
    (3)เพราะฉะนั้นการที่พระศาสดาให้เรามีสติ ก็คือ รู้จักเปิดปิดประตูหน้าต่างนั่นเอง ถ้าเรารู้ว่าคนข้างหน้าเรามันเป็นโจร ถ้าเราต้องการจะพูดกับโจรว่าอย่าให้โจรมันมาปล้นเราเราก็ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวที่จะระแวดระวังภัยจากโจร นั่นแสดงว่า เราเริ่มจะมีสติ แล้วคอยปิดประตูหน้าปิดหน้าต่าง แล้วคอบแง้มทองหาทางหนีทีไล่ แต่ถ้าเราคุยกับใครไม่ว่าเขาจะพูดดีก็ตาม ชมก็ตาม หรือนิยมนินทาก็ตาม เราเปิดให้เขาเข้ามานั่งในบ้านแล้วฝอยจนกระทั่งน้ำลายเป็นฟอง พอเขากลับไป แต่เรายังมีหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำพูดของเขาอยู่ นั่นแสดงว่า เราไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่างไม่รู้จักเลือกว่าให้ใครเข้าบ้าน ไม่รู้จักปฏิเสธว่าใครควรจะออก เพราะฉะนั้น คนคนนั้นไม่มีพลัง เสียพลัง ไม่รู้จักใช้พลัง
    (4) ก่อนที่เราจะมาพูดถึงพลัง จึงควรจะต้องพูดถึงประตูกับหน้าต่างก่อน ก่อนที่จะมาพูดถึงสมบัติในบ้าน ถ้าจะมาบอกว่าเปรียบระหว่างพลังกับประตูกับหน้าต่างมาธิก็คือพลัง พลังก็คือสมบัติในบ้าน สติก็คือประตูหน้าต่าง คือรั้ว คือข้างฝา คือหลังคา คือพื้น คือสิ่งแวดล้อมที่รักษาพลัง ถ้าหากมันไม่มีรั้ว ไม่มีหลังคา ไม่มีฝา ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง มีแต่เพชรวางไว้กลางแจ้งอยู่ไม่ได้เดี๋ยวใครก็ขโมยไป เปรียบเหมือนคนที่อยากฝึกพลัง แต่ไม่มีสติก็ใช้ไม่ได้
    (5)เพราะฉะนั้น หลวงปู่จึงพูดได้ว่า พระที่วิเศษไม่ใช่พระหลวงพ่อ ไม่ใช่พระเหรียญห้อยคอ แต่มันคือพระสติ คนที่มีพระสติไม่เตะแก้วแตก คนที่มีพระสติไม่เดินแล้วให้ชาวบ้านเขามาตีหัวเราแตก คนที่มีพระสติมักไม่ทำตัวแปลกให้ใครตำหนิ ติหรือชม คนมีสติไม่ทำให้ใครนิยม ยอมรับ คนที่มีสติคือคนที่ทำตัวให้เป็นตัวของตัวเอง รักษาพลัง สั่งสมพลัง ดูแลพลัง และค่อยๆ จะใช้พลัง เรื่องของพลังอนันต์ พลังอมตะ พระสติ พระจิตวิญญาณนั้น ฟังเผินๆ เหมือนมันอยู่ในเรื่องเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วมันทำหน้าที่กันคนละเรื่อง ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้
    (6) มีผู้คนถามว่า บุญถ้ามีพลังจะเขียนออกมาได้เป็นสมการได้ไหม ? หลวงปู่ก็ตอบไปว่า มันคงจะไม่ได้ เหตุผลก็เพราะสมการเป็นตัวเลข มันเป็นการแสดงสิ่งวัตถุ เป็นค่าของวัตถุ แต่บุญคือพลังงาน เราไม่สามารถเอาสมการมาเทียบเคียงวัดค่าของบุญได้ แต่เราสามารถสัมผัส สามารถรับรู้ถึงพลังแห่งบุญได้ ตัวอย่างเช่น ผู้มีบุญ คนมีบุญ ผู้ใจบุญ ถ้าอยู่ใกล้ใคร เขาก็จะให้พลังที่สงบสุขและสันติต่อผู้อยู่ร่วมและอยู่ใกล้ รวมความแล้ว ผู้มีบุญอยู่ใกล้กับสัตว์ตนใดสัตว์ตนนั้นก็จะสงบสุข สันติ และฉลาด คำว่าสันติ สุข สงบ และฉลาด ไม่สามารถสร้างเอาสมการมาเปรียบเทียบและวัดได้ ซึ่งมันต่างจากวัตถุ หากถามว่า ระหว่างพลังบุญกับพลังจิตเหมือนหรือต่างกันอย่างไร คำตอบก็คือต่างกัน บุญมีกรรมเป็นเจ้านาย บุญมีกรรมเป็นผู้ควบคุม กรรมคือการกระทำของคนและสรรพสัตว์ เป็นผู้ควบคุมพลังบุญ
    (7) ระหว่างนิวตรอน โปรตรอน และอิเล็กตรอน เราว่ามันละเอียดอ่อนลุ่มลึก และก็มีพลังเยี่ยมแล้วมันก็ไม่สามารถเทียบเท่าค่า ราคา และความละเอียดอ่อนของบุญ ซึ่งเป็นพลังงานอนันต์ของสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้าแผ่นดิน บุญมีความละเอียดอ่อนยิ่งกว่าโปรตรอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน และพลังของบุญก็มีความละเอียดอ่อนยิ่งกว่า
    (8) มีผู้ถามต่ออีกว่าระหว่าง"บุญ"กับ"จิต" อันไหนมีพลังเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ? คำตอบก็คือ ไม่เหมือนต่างกัน พลังบุญเป็นอาหารของต้นไม้ บุญเป็นอาหารของจิต แต่พลังจิตเหนือกว่าพลังของบุญ พลังแห่งจิตเป็นพลังอมตะ พลังแห่งจิตไม่มีใครทำลายได้ พลังแห่งจิตเหนือกว่าพลังอนันต์ จิตทุกตนมีพลังอมตะและเท่าเทียมกัน ต่างกันที่คนคนนั้นจะเข้าถึงจิตมากน้อยแค่ไหน ต่างกันตรงที่คนคนนั้น สัตว์เหล่านั้น บุคคลนั้นจะเปิดประตูแห่งวิญาณไปรู้จักหน้าตาแห่งจิตแท้ๆ อย่างละเอียด หยาบ สุขุม ลึก หรือรู้จักแบบความไม่มี เพราะฉะนั้นพลังจิตเป็นพลังอมตะไม่มีพลังใดในโลกจักรวาลสามารถมาทำลายได้
    (9) "บุญ" มีลักษณะพิเศษคือ น้ำท่วมไม่หายโจรปล้นไม่ได้ ไฟไหม้ไม่หมด แต่ "จิต"พิเศษยิ่งกว่า เพราะไม่สามารถเอามาเป็นประโยค เป็นตัวอย่างได้เลย เหตุผลก็เพราะจิตไม่มีรูปร่าง มันเหมือนกับสุญญากาศ จิตยิ่งกว่าสุญญากาศพระพุทธเจ้าเรียกมันว่าสุญตา คือ ความว่าง ความโปร่ง ความโล่ง ความเบาและสบาย มันยิ่งกว่าสุญญากาศ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าถึงพลังจิตก็คือผู้ที่เข้าถึงพลังแห่งสุญตา เป็นอมตะ เป็นนิรันดรไม่มีผู้ใดทำลายล้างได้
    (10) พลังจิต ผู้เข้าถึงมันก็คือ ผู้เข้าถึงจักรวาลผู้ที่ถึงกาแลคซี่ทางช้างเผือก และก็ถึงอนันต์จักรวาล เพราะพระศาสดาเป็นผู้เข้าถึงพลังจิตพระองค์จึงเรียกขานตัวเองว่า เราคือโลก โลกคือเรา จิตคือโลก โลกคือจิต จิตคือเรา เราคือโลก เรา เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าถึงจิต ซึ่งเป็นพลังอมตะ ย่อมแจ่มแจ้งและเข้าใจ และแสดงพลังแห่งโลกได้ เปรียบประดุจดังชี้ให้คนดูลายมือในฝ่ามือตน ซึ่งต่างจากผู้เข้าถึงพลังอนันต์ นั่นก็คือ คำว่า "บุญ" เพราะผู้เข้าถึงพลังแห่งบุญ ก็คือ ผู้ที่เข้าถึงอาหารแห่งจิต ต้องบอกกันตรงๆ ชัดๆ ก็คือ บุญเป็นอาหารแห่งจิต เหมือนดั่งแสงแดดเป็นตัวการหรือเป็นตัวกลางสำหรับปรุงอาหารให้กับต้นไม้เหมือนดั่งธาตุอาหารที่อยู่ในต้นไม้ เปลือกไม้ รากไม้ เยื้อไม้ และลำต้นแห่งไม้ เพราะฉะนั้นบุญจึงเป็นเหตุแห่งจิต บุญจึงเป็นเหตุแห่งพลังในจิตและจิตเป็นผลแห่งบุญ ทั้งจิตและบุญถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่นผู้มีบุญ ผู้มีใจบุญ ผู้เจริญในบุญย่อมมีจิตที่สะอาด สงบ และก็สว่างเพราะว่าจิตแห่งผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยบุญ ย่อมเป็นจิตที่ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท ไม่ริษยา ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ละโมบ ไม่เป็นคนมักหลง และไม่เป็นคนขี้โกรธ จิตที่ปราศจากขยะเหล่านี้ ย่อมเป็นจิตที่เปล่า เข้าขั้นสุญตา แต่ยังไม่ถึงสุญตา เพราะเหตุยังมีอัตตา (ความมีตัวตน)
    (11) สุญญากาศ ไม่ใช่สุญตา เพราะระหว่าง สุญญากาศกับสุญตายังห่างไกลกันหลายอสงไขย (นับไม่ถ้วน)แห่งแสง ซึ่งมันต่างกันมาก แต่เราไม่สามารถใช้ศัพท์อันใดเรียกขานมันได้ว่า อะไรคือสุญตา อะไรคือสุญญากาศ ซึ่งในที่นี้ต้องบอกว่า มันมีเวลาที่ห่วงไกลเนิ่นนานกันขนาดนั้น ผู้ที่มีจิตเป็นบุญ มีบุญอยู่ในจิต หรือมีบุญอยู่ในใจ เป็นผู้มีบุญอยู่ในวิญญาณ ในชีวิต ในการกระทำในการที่พูด และสูตรที่ตนคิด ย่อมมีพลังจิตที่อยู่สูงกว่า พลังอนันต์ แห่งบุญนั้นก็คือเข้าถึงพลังแห่งอมตะซึ่งไม่มีใครสามารถทำลายล้างมัน ให้ตายดับสูญลงไปได้ ผู้ที่มีพลังจิตย่อมมีอำนาจพลิกโลกให้ดำเป็นขาว ให้มืดเป็นสว่าง ให้ยาวเป็นสั้น ผู้มีพลังจิตย่อมมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพชีวิต และสรรพธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง ผู้ที่เข้าถึงพลังจิตย่อมเหนือกว่ามัจจุราชทั้งปวงในโลกและในจักรวาล
    (12) พระศาสดาจึงอาจที่จะอยู่ได้เป็นพันปี ตัวอย่างเช่น ก่อนพระองค์จะปรินิพพาน พระองค์ได้แสดงบุพนิมิตเพื่อเตือนให้พระนนท์ทูลอาราธานาให้พระองค์มีชีวิตอยู่ พระองค์เตือนพระอานนท์หลายครั้งเรื่องบุพนิมิต ด้วยอาธาน ด้วยกิริยาอาการ และสุดท้ายด้วยวาจา แต่พระอานนท์มีปัญญาที่ไม่แจ่มชัดมีญาณอันไม่หยั่งทราบได้ จึงได้กราบทูลอาราธนาให้พระองค์มีชีวิตอยู่ และพระองค์ก็แสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า
    "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เราตถาคตมีอำนาจเหนือมัจจุราชทั้งปวง อาจกล้าและสามารถอยู่ได้เป็นหมื่นปีแสง เป็นพันไขย โดยไม่ดับสูญและตายจากร่างกายหรืออัตตาภาพปัจจุบัน"
    นั่นเป็นการแสดงออกว่า พลังแห่งจิตยิ่งใหญ่เหนือสรรพวัตถุ สรรพธรรมชาติ สรรพวิญาณ และสรรพมัจจุราชทั้งปวงของผู้ที่เข้าถึงพลังอมตะ ซึ่งก็คือพลังจิต ดังนั้น พลังจิตกับพลังบุญจึงต่างกัน แต่เป็นเหตุและผลของกันและกันบุญเป็นพลังงานอนันต์ ทำให้คนเป็นพระเจ้า ทำให้ยาจกเป็นพระราชา ทำให้คนธรรมดาเป็นคนเหนือคนธรรมดา ทำให้คนใกล้ตายกลับไม่ตาย บุญเป็นพลังงานอนันต์ที่ทำอะไรๆ ของใครๆ ที่ปรารถนาให้สำเร็จลุล่วงไปได้ตามความประสงค์ แต่บุญก็ยังเป็นพลังที่รองลงมาจากพลังงานอมตะแห่งจิต เพราะฉะนั้น
    "ผู้ที่เข้าถึงจิต ผู้ที่รวมจิต ผู้ที่รู้จักจิต ผู้ที่เข้าใจจิต
    ก็คือ ผู้ที่เข้าใจโลกและมัจจุราช"
    (13) ถึงแม้ว่าเราจะปฏิเสธการเรียนรู้เรื่องจิต แต่ทุกคนมีพลังจิต แต่ไม่ได้พัฒนา ถึงแม้เราจะบอกเราไม่รู้จักพลังจิต แต่ทุกคนก็มีพลังชนิดนั้นอยู่แต่ไม่รู้จักวิธีใช้ ถึงแม้เราจะบอกกับใครๆ ว่าเราไม่รู้ว่าอะไรคือจิต อะไรคือพลังแห่งจิต แต่จริงๆ แล้วเราใช้มันอย่างฟุ่มเฟือย และไม่รู้จักรักษาเพิ่มเติมสะสม เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงสอนให้เราเข้าถึงจิตของตนและพระองค์ก็ทรงชี้ประโยชน์แห่งการเข้าถึงจิตของตนว่าคนคนนั้น สัตว์ประเภทนั้น ท่านเหล่านั้นจะดับและเย็น นั้นคือ นิพพาน ซึ่งผู้มีบุญไม่มีนิพพาน พลังอนันต์ไม่สามารถผลักดันให้ถึงนิพพานอันแปลว่าดับและเย็นได้ มีพลังงานชนิดเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงนิพพานได้ นั่นคือ พลังแห่งจิตซึ่งต้องได้รับการฝึกปรือ ขัดเกลาพัฒนา ได้มาจากอัตภาพร่างกายและวาจาใจแห่งนี้ พลังงานวิเศษซึ่งเป็นพลังงานอมตะนั้น ไม่ใช่ได้มาจากที่อื่น ไม่ใช่ได้มาจากครูคนใด ไม่ใช่ได้มาจากพระพุทธเจ้าประทานให้แต่ได้มาจากหัวใจที่เอื้ออารีและหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณงามความดี ที่เราเรียกขานกันว่าผู้มีบุญ และมันก็ได้มาจากการทำกรรมดีที่เรียกว่า ทำบุญ สุดท้ายไม่ยึดติดในคำว่าบุญ ไม่หลงไหลในคำว่าบุญ จนกระทั่งสุญญากาศ และก็ยกระดับขึ้นไปสู่คำว่าสุญตา อันแปลว่า ว่างและไม่มีอะไร
    (14) กระบวนการฝึกปรือจิตต้องเริ่มจากการดัดกาย วาจา ใจ ของตนให้เปี่ยมเต็มไปด้วยคำว่าบุญ เพราะบุญเป็นอาหารแห่งจิต และเราจะนำเอาร่างกายไปออกรบเราจะนำเอาร่างกายไปอดตาหลับขับตานอน ไปฝึกปรือ ไปทำกิจกรรมใดๆ แต่ถ้าร่างกายขาดสารอาหาร เราก็มิอาจนำเอาร่างกายและอัตภาพนี้เดินทางไกล หรือไปทำอะไรๆ รบแล้วไปเอาชนะใครได้เลย พระศาสดาจึงสอนให้เราปฏิบัติหลักธรรมซึ่งเรียกว่า กุศล อันแปลว่า ทำดี ทำด้วยความชาญฉลาด และเลือกที่จะทำบุญ พอฉลาดแล้วก็ทำดี พอทำดีแล้วก็เป็นบุญ ซึ่งแปลว่า อิ่ม เต็ม สุขสบายในหัวใจ เมื่อเรามีอาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิต มีอาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกาย ย่อมเป็นที่แน่นอนเกินกว่าว่า ร่างกายของเราจิตของเราย่อมเดินไปสู่ประตู แห่งวิญญาณ ไปสู่พลังอมตะ และไปสู่จุดมุ่งหมายแห่งจิตวิญาณของตนได้ อย่างชนิดที่ไม่ย่นย่อ ไม่ท้อแท้ท้อถอย ไม่เหนื่อยหน่าย และไม่อ่อนแอ เพราะเรามีพลังฝึกพร้อม มีอาหารเต็มเปี่ยมในหัวใจ ในกระเพาะ และในวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น " จงสะสมบุญเพื่อฝึกจิต" นี่คือประโยชน์ของพระพุทธะยิ่งใหญ่ ที่สอนให้เราทั้งหลายได้กระทำ
    (15) เราจึงต้องมีนักบวช มีปฏิคาหก(ผู้รับทาน) ผู้รับที่จะทำหน้าที่จะพัฒนาบุญ ทำหน้าที่บริหารบุญ และทำหน้าที่ให้บุญต่อทายก คือผู้ให้เพื่อจะนำที่ต้องการไปสู่พลังงานอมตะ ข้ามก้าวล่วงพ้นพลังงานอนันต์ที่มี นั่นคือ หน้าที่ของสาวกแห่งพระศาสดาที่จะมาพาลูกหลาน ญาติ และพุทธบริษัททานทั้งหลาย เข้าสู่ประตูแห่งธัญญาชาติ ประตูแห่งอาหาร ประตูแห่งความมั่นคงอุดมสมบูรณ์ คือ ประตูแห่งคำว่าบุญ แล้วก็อาศัยจิตที่เอื้ออาทรและอารีสุดชีวิตทึ่อยู่ในหัวใจของคำว่าสาวกของพระศาสดา สอนให้ผู้ที่เข้าสู่ประตูของคำว่าบุญ ก้าวล่วงล้ำไปในคลังบุญ เข้าไปสู่ประตูแห่งวิญญาณสุญตา คือ ความว่างเปล่า เมื่อนั้นวิญาณนั้น สัตว์ตนนั้น เขาผู้นั้น คนคนนั้น ท่านท่านนั้น ก็จะถึงคำว่านิพพานอันแปลว่า ดับและเย็น
    (16) ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะถึงพลังแห่งจิตพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราทำบุญ 10 อย่าง คือ
    1. ให้ทาน 2. รักษาศีล
    3. ฟังธรรม 4. แผ่เมตตา
    5. เจริญภาวนา 6. ทำหน้าที่ของ พ่อ แม่ ลูกๆ
    7. อ่อนน้อมถ่อมตน 8. ยินดี เมื่อ เห็น คน อื่น ทำดี
    9. ปฏิบัติธรรม 10. ทำความเห็นของตนให้ตรง ถูกต้อง
    นี่คือวิธีเข้าถึงพลังอนันต์ ถ้าเปรียบเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็เหมือนกับกระสวยอากาศ ยานอวกาศที่ไปพ้นจากแรงดึงดูดของโลก เพื่อก้าวล่วงข้ามไปสู่โคจรแห่งจักรวาลได้ ก็ต้องอาศัยเชื้อเพลิงมันผลักดันเอากระสวยอวกาศให้หลุดออกไปได้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็จะใช้วิธีคำนวณเพื่อจะให้สกัดหลุดจากแหล่งเชื้อเพลิงอันนั้น ต่อไปก็จะเดินทางด้วยพลังอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ พลังบุญ เป็นพลังงานที่จะผลักดันเอากระสวยอวกาศให้พ้นจากแรงดึงดูดของโลกจิต เมื่อกระสวยอวกาศพ้นจากแรงดึงดูดของโลกแล้ว ผู้ควบคุมยานอวกาศลำนั้นก็จะทำหน้าที่กดปุ่ม เพื่อสลัดเอาเชื้อเพลิงที่ติดมากับกระสวยอวกาศนั้น สลัดให้หลุดและทิ้งไป และก็จะใช้พลังงานชนิดใหม่ เพราะในอวกาศไม่มีแรงดึงดูดเป็นระบบสุญญากาศ ต้องใช้เชื้อเพลิงชนิดใหม่ที่เบา แข็งแรง มีพลัง และต้านแรงกดดันได้เป็นเยี่ยม และเชื้อเพลิงชนิดนี้ต้องเปียบได้ว่าเป็นพลังจิตเพราะฉะนั้นพวกเรามีหน้าที่ที่จะทำให้หลุดไปจากโลกนี้ให้ได้ แล้วพลัง 2 ชนิดนี้จะทำให้เราหลุดออกไปจากโลกนี้ก็คือ พลังอนันต์ คือพลังบุญ กับพลังแห่งจิต นั้นคือพลังอมตะ พวกเราก็เหมือนกันมีหน้าที่ที่จะพัฒนาชีวิตไปสู่พลัง 2 ชนิดนี้แล้วก็เป็นหน้าที่ที่พระศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธะผู้ยิ่งใหญ่สืบทอดและสั่งการกันต่อๆ มาในตระกูลศากยะ และชาวพุทธะทั้งหลายให้รู้และเข้าใจ
    (17) ความเกิดเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ ความสมหวังและไม่สมหวังเป็นทุกข์ นี่คือความทุกข์ที่อยู่ในโลกนี้ ถ้าเราเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าให้พลังวิเศษ 2 ชนิด เพื่อที่จะให้พ้นจากโลกนี้ เหมือนนักวิทยาศาสตร์เห็นว่า โลกนี้แคบไม่ต้องไปหาโลกใหม่ที่จะอยู่อาศัย ก็สร้างจรวจขึ้นมาและหาพลัง 2 ชนิดขึ้นมาใช้ ซึ่งเหมือนกับพระพุทธเจ้าเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อนพระองค์ก็ทรงคิดขึ้นมาว่า พลังที่จะผลักเอาจิตวิญาณของมนุษย์ให้พ้นจากโลกนี้ได้มีอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกคือพลังอนันต์ ซึ่งเรียกกันว่าบุญ ชนิดที่ สองเรียกกันว่าพลังจิต หรือพลังอมตะ เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ที่จะพัฒนา พลัง 2 ชนิดนี้ ให้อยู่ในจิตวิญาณของเราให้ได้เรามีหน้าที่ตรงนั้นอย่างนั้น เราสาวกแห่งศากยะทั้งปวงก็มีหน้าที่ที่ทำการชี้นำ อบรม สั่งสอนและเผยแผ่วิธีทางแห่งความหลุดพ้นชนิดนี้ให้กับหมู่สรรพสัตว์ สรรพชีวิตทั้งหลาย ได้รับรู้ เพื่อจะนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตของตนกับคนทั้งปวง นี่คือหน้าที่เท่านั้นแหละ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ซึ่งมีหน้าที่พัฒนาวัตถุให้ลอยหลุดออกไปนอกโลกให้ได้เท่านั้นเอง
    (18) นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาคิดค้นหาวิธีการที่จะเอาสสารผลักดันสสารให้หลุดออกไปนอกโลก เขาเพิ่งจะคิดค้นได้ไม่กี่สิบปีมานี้ แต่จริงๆ แล้วพระองค์ทรงคิดค้นหลักการที่จะนำเอาจิตวิญาณและสสาร รวมทั้งพลังงานให้หลุดออกนอกโลกนี้ได้เมื่อสองพันกว่าปีก่อน พระองค์จึงเป็นสัพพัญญู (ผู้รู้หมด) เป็นมนุษย์ที่ยอดมนุษย์ เป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งพลัง 2 ชนิดอันวิเศษสุดในโลกและจักรวาล นั่นคือพลังงานอนันต์กับพลังงานอมตะ เราจึงไม่กล้าปฏิเสธพระองค์ได้เลยว่า พระองค์เป็นยอดมนุษย์เหนือมนุษย์ทั้งปวง ระบบวิทยาศาสตร์ที่มาคิดค้นกันทีหลังก็เป็นแค่ตามก้นพระองค์ หรือรอยเบื้องยุคบาทพระองค์เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องแสง ความไวของเสียง และความเร็วของพลังทั้งปวงในจักรวาลพระองค์ทรงรู้คิดค้นและก็เข้าใจมาก่อนเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นคนยุคนี้กำลังเดินตามก้นคนโบราณ
    (19) จึงขอให้รู้ว่าเรามีพ่อเรามีลูกหลานของตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาล เมื่อใดที่เราเอ่ยนามของพระองค์ อรหันสัมมาสัมพุทธะ เมื่อนั้นเราก็กลายเป็นลูกหลานของพระผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็นผู้มีพระคุณอันประเสริฐสูงสุดในจักรวาล เราจะไม่รู้สึกกระดากปาก ไม่รู้สึกละอายที่จะกล่าวนามของพระองค์ถ้าเราทำตามที่พระองค์สอน ถ้าเราไม่ทำตามสิ่งที่พระองค์บอก ไม่พิสูจน์ทดสอบสิ่งที่พระองค์ทรงสอน จะมีประโยชน์อันใดเล่าที่เราจะ เอ่ยนามของพระองค์วันละหลายล้านครั้ง มันคงไม่มีประโยชน์อันใดกับเราเลย ชั่วชีวิตหลวงปู่รู้สึกภาคภูมิเป็นอย่างยิ่งกล้าที่จะประกาศให้คนทั้งโลกและจักรวาลได้รับรู้ว่า เราคือตระกูลศากยะเราคือชาวศากยะ ซึ่งแปลว่า ผู้อาจ ผู้กล้า และไม่มีใครอาจจะกล้าเกินชาวศากยะไปได้เลยในจักรวาลนี้ ผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณของพระพุทธะและส่งทอดกันต่อๆ ไป ถ่ายทอดกันต่อๆ ไป ก็คือ ผู้กล้าและผู้องอาจ ผู้มีความสามารถในจิตวิญาณของตน ยากและหาได้น้อยมากที่จะเข้าถึงสัจธรรมแห่งพลังงานอนันต์ ยากและหาได้น้อยมากในยุคปัจจุบันที่จะอธิบาย ชี้แจงและกล่าวแสดงเงื่อนไขแห่งพลังวิเศษ 2 ชนิดที่มีอยู่ในพระวรกายแห่งพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต
    (20) หลวงปู่ไม่รู้สึกกระดากเลยที่จะพูดถึงพลังของพระพุทธะ จะไม่รู้สึกลำบากที่จะอธิบายในจิตวิญญาณที่มีอยู่ในพลังพุทธะ เพราะถือว่าเป็นการกล่าวนามประกาศเกียรติคุณในจิตวิญาณของพระองค์ให้ยิ่งใหญ่แผ่กว้างออกไปเพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเราทุกคนก็คือ ถ่ายทอดจิตวิญญาณเข้าไปสู่จิตดวงหนึ่งและส่งทอดต่อๆกันไปกับจิตดวงหนึ่งเรื่อยๆ อย่างชนิดไม่จบสิ้น และพลังชนิดนี้มันก็จะยืนหยัดอยู่ในโลกได้อย่างชนิดช่วยสรรพสัตว์ ทำให้คน สัตว์ และสรรพชีวิตพ้นจากโลกนี้ไปได้

    ***********************
    พลังบุญ พลังจิต โดย ท่านเฒ่าไม้แห้ง (นามปากกาของ "หลวงปู่") หลวงปู่พุทธะอิสระ ... (จากหนังสือริ้วรอยเทพยดา : มังกรจักรวาลภาค 5)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2007
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    <TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=3><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><!--Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2549 10:23:14 น.-->รับพลังพระ พลังบุญ (30 นาทีด้วย"ตาที่สาม")
    <!-- Main -->[SIZE=-1][​IMG][​IMG]

    เรามีวิธีการเคล็ดลับพิเศษ นอกเหนือจากการรับแสงทิพย์อริยธรรมจากสมเด็จองค์ปฐมแดนนิพพาน และวิชารัตนบัลลังก์สีหนาทของพระพุทธเจ้า ที่ได้นำเสนอไปแล้วใน 2 กลุ่มในเว็บฯนี้ ซึ่งใช้เวลาพอสมควรประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ แต่วิธีรับพลังพระ พลังบุญ หรือเรียกว่า สัมผัสที่ 6 ด้วยการพ่วงแบตเตอรี่นี้ ใช้เวลาเพียง15-30 นาทีเท่านั้นเอง นับว่าใช้เวลาน้อยมาก เหมาะสมกับเด็ก วัยรุ่นหนุ่มสาวสมัยนี้ ที่มีสมาธิสั้น ไม่ค่อยมีเวลา เพราะยุ่งอยู่กับการเล่าเรียนศึกษา วิธีนี้เรียนตัวต่อตัว เป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ ทางโทรศัพท์ ทางอินเตอร์เนต การแชทในกลุ่มเฉพาะก็ได้ ผมเคยแนะนำในอินเตอร์เนต และทางโทรศัพท์ก็ใช้ได้ผลดี แค่ 30 นาทีนี้ เด็กๆ เยาวชน จะเปลี่ยนพฤติกรรมจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ที่เคยขี้เกียจก็จะขยัน ที่เกเรเกตุงก็กลับมาสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เรียนไม่ดี ก็กลับเรียนดีขึ้นผิดหูผิดตา ไม่เคยช่วยงานบ้าน ก็กลับไปช่วยพ่อแม่ถูบ้าน กวาดบ้าน ล้างถ้วยโถโอชาม จนพ่อแม่ประหลาดใจไปตามๆกันถามว่า ไปเรียนได้อะไรมาจากที่ไหน ? ใครสอน?เรียนไปแล้วก็นำไปสอนแนะนำคนอื่นต่อได้ไม่จำกัดจำนวน สถานที่ เวลาได้อีกต่างหาก ดังนั้น วิธีนี้จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะนักเรียน นิสิต นักศึกษา ยุวชน เยาวชนทั้งหลาย สนใจแล้วตามผมมาศึกษาเรียนรู้รับกันไปได้เลยครับ.....

    พุทธญาณ
    buddhayan@gmail.com[IMG]http://www.bloggang.com/emo/emo26.gif[/IMG][IMG]http://www.bloggang.com/emo/emo15.gif[/IMG][IMG]http://www.bloggang.com/data/amatamahanippan/picture/1138849969.jpg[/IMG][/SIZE]<!-- End main-->
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="50%">[SIZE=-1]Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2549 10:23:14 น.[/SIZE]</TD><TD><TD></TD><TD>
    [SIZE=-1]2 comments[/SIZE] ​
    </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=3><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD id=1>
    <!-- Comment 1 -->[SIZE=-1][​IMG][​IMG]

    เริ่มต้น-นั่งท่าไหนก็ได้ เอามือแบวางไว้บนหน้าขาเหนือเข่าทั้ง 2 ข้าง หลับตาลง ทำจิตใจให้สงบนิ่ง ใช้ตาที่สามเพ่งดูที่ลิ้นปี่.....สูดลมหายใจเข้ายาวๆลึกๆ 3 ครั้ง แล้วเอาไปเก็บไว้ที่ลิ้นปี่ ทั้ง 3 ครั้ง......

    ดูตนเอง-แบบลัดสั้น ใช้ตาใน(ตาที่สาม ที่เรียกว่าอุณาโลม)ตรงหว่างคิ้วทั้ง2ข้าง หลับตานั่งนิ่งๆเฉยๆ สงบกายใจไว้ที่หน้าอก(ลิ้นปี่)ที่เป็นสวิตซ์ปิดเปิด เป็นเหมือนซีพียูของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด มีความจุแบบไม่จำกัด ....ใช้จิตดูจิต ให้จิตมองจิต จนจิตเห็นจิต ใสสว่าง สงบเย็น ซึ่งจะมีความอิ่มเอิบ ชุ่มชื่น เบิกบานจริงๆ ดูไปเรื่อยๆ ดูเนืองๆ ทำงานอะไรๆก็ดูไปเรื่อยๆ ยืน-เดิน-นั่ง-นอนก็ดูได้ ตรงนี้เรียกว่า"ที่พึ่งภายใน" ไม่ต้องไปมองข้างนอกกาย ให้มองที่"ลิ้นปี่"นี่ที่เดียว จุดนี้ คือ พระธรรมจักร สุข-ทุกข์ เกิดที่นี่ ก็ต้องดับที่นี่ จะพ้นทุกข์ก็ดับทุกข์ที่นี่ จะหลุดพ้น ก็หลุดพ้นตรงนี้แหละ ไม่มีที่อื่น มีที่เดียว.....มีปัญหาคิดอะไรไม่ออก มาดูที่พึ่งภายในนี้ เดี๋ยวก็คิดออกเองว่า เราควรจะทำอะไรก่อน-หลัง แก้ไขไปทีละเปลาะๆ ปัญหาใหญ่แค่ไหน มันก็เล็กลงๆคลายตัวลงไปเรื่อยๆ จนเสื่อมสลายหายหมดไปในที่สุดจนได้แหละน่า......

    เมื่อสูดลมหายใจเข้า 3 ครั้ง แล้ว จะมีความรู้สึกชาๆที่นิ้วมือ ฝ่ามือ บางคนเย็นๆ หรืออุ่นๆ แล้วจะลามเย็นซ่าเข้าไปตามข้อมือข้อศอกแล้วไปทั่วตัวแขนขา จนถึงนิ้วเท้าโน่นเลย นี่แหละเราเริ่มรับพลังพระ พลังบุญที่ท่านผู้รู้ได้แผ่เมตตาออกมาไร้ประมาณวิ่งวนรอบโลกรอบจักรวาลอยู่ ใครมีเสาอากาศดี เครื่องรับดี ก็รับได้ นี่แสดงว่าจิตเราเริ่มดีแล้ว สงบลงแล้ว ต่อไปดูลิ้นปี่ไปเรื่อยๆ จะดีขึ้นมาเรื่อยๆ....ตามดูไม่ปล่อย ละวางเลย.....ถ้าจับลมหายใจไม่ได้ มันว่างๆก็จับตรงที่ว่างๆบริเวณนั้นนั่นแหละ ดีแล้ว แสดงว่าจิตเราละเอียดใกล้เคียงกับความว่างแล้ว......

    สุดท้ายสักประมาณ 15 นาทีก่อนจะจบ ค่อยๆคลายสมาธิ ขยับมือ เท้าเล็กน้อย อย่ารีบลืมตา จะทำให้งุนงง วิงเวียนเพราะร่างกายปรับตัวไม่ทัน แล้วแผ่เมตตาไปให้ตัวเอง พ่อแม่ ลูกเมีย ปู่ย่าตายาย ทวด ครูบาอาจารย์ เทพ พรหมประจำตัว องค์บารมี(องค์ใน-ถ้าใครรู้ตัวว่ามี) เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในบริเวณบ้านเรา ทั่วกรุงเทพ จังหวัดเรา ทั่วประเทศ ทั่วโลก ทั่วจักรวาล ทั่วอนันตจักรวาล โดยแผ่ออกไปจากลิ้นปี่ หายใจยาวๆผ่อนออกไป ไม่มีประมาณ แล้วก่อนเลิกการปฏิบัติ ให้หายใจเข้าลึกๆเหมือนตอนแรกอีก 3 ครั้ง แต่ละครั้งกำหนดคำว่า"กลับ"ครั้งที่1-2-3 แล้วเอาลมไว้ที่ลิ้นปีเหมือนเดิม เป็นการอัดพลังเราให้เต็มเหมือนเดิม การแผ่เมตตาอย่ากลัวว่าพลังหรือบุญกุศลของเราจะพร่อง จะหมด ยิ่งให้ยิ่งได้เป็นร้อยเท่าพันทวี เสร็จแล้วลองทดสอบดูก็ได้ว่าเรามีพลังไหม? เอามือพนม แล้วค่อยแยกออกห่างๆไปเรื่อยๆ แล้วขยับเข้า-ออก จะรู้สึกว่ามีพลังออกจากฝ่ามือ นี่คือเราถูกอัดแบตเตอรี่เต็มแล้ว(เดิมเราไม่มีไฟ หรือมีน้อยมาก สตาร์ทรถก็ไม่ติด ไฟอ่อน) เมื่อไฟเต็มแล้ว ต่อไปเราก็สตารืตรถเราติดทุกครั้ง แถมไปพ่วงคนอื่นได้ด้วย ต่อไปเราก็ไปถ่ายทอดให้คนอื่นต่อไปได้ เป็นมหากุศลกับเราและคนอื่นอีกด้วย.....ทำต่อ สอนต่อแบบนี้เรียกว่า"พ่วงแบตเตอรี่"ครับ...

    หมั่นทำบ่อยๆอย่างนี้ทุกวันยิ่งดี วันละหลายๆหนก็ได้ บางคนนอกจากจะรับพลังพระ พลังบุญได้ ฟังเพลงธรรมะ ไม่ว่าบรรเลงหรือร้องด้วย ฟังเทศน์ฟังธรรม จากทีวี วิทยุ พลังจะเข้ามาทางฝ่ามือเย็นชารู้สึกได้เลย รับได้แสดงว่าดี ถูกต้อง ต่อไปบางคนก็ดูแสงออร่า(แสงกายทิพย์)ของพระพุทธรูป พระเครื่อง รูปหล่อ เทวรูป เทพ พรหม หรือคนที่ไหนๆก็ได้ด้วย เผลอๆบางคนอาจมองเห็นองค์ท่านเลยด้วยก็ได้ แล้วแต่วาสนาบารมีที่เคยบำเพ็ญมาแต่อดีตชาติด้วย....ออร่าสีสวยๆแสดงว่าเป็นคนดี มาดี ถ้าสีเทาๆ มืดๆปสดงว่าเป็นคนไม่ดี มาร้าย เอาเราแน่ ก็หลบห่างไว้ดูแสงออร่าหลับตาแล้วเผยอเปลือกตาเล้กน้อย บางคนเห็น บางคนไม่เห็น ก้ไม่ต้องเดือดร้อนอะไรเพราะเห็นไม่เห็น มืดหรือสว่าง ก็ทำให้เราพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน......

    [​IMG][​IMG][/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amatamahanippan&group=11
     
  7. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    กำลังอฐิษฐานจิตหาข้อมูลอยู่..ปรากฎว่าเจอข้อมูลดีๆเยอะ เลยเอามาฝากครับ..
    เรื่อง"ตาที่สาม"ตอนนี้กล่าวถึงกันกว้างขวางมากๆ..เกือบทุกสำนักก็ว่าได้..
    ตอนนี้ประตูนี้แง้มรอการเปิดอยู่ทุกๆคนครับ รอแรงผลักอีกนิด...
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,713
    ค่าพลัง:
    +51,945
    *** ดวงตาเห็นธรรม ****

    *** ดวงตาเห็นธรรม ****

    ผู้ที่ดวงตาเห็นธรรม...คือ....ผู้ที่เข้าใจความหมายของ "หลักสัจจะธรรม"
    เมื่อ...ดวงตาเห็นธรรม....จะเขาใจทันทีว่า "การปฏิบัติสัจจะ" ... มีความสำคัญอย่างไร
    เขาจะรู้ทันทีว่า.... "สัจจะ" คือ หนทางหลุดพ้นทุกระดับ...หลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากการกระทำ จนหลุดพ้นสู่นิพพาน
    เขาจะรู้ทันทีว่า.... "สัจจะ" คือ หนทางขจัดกิเลสในใจตนเอง

    ความหมายของ..."หลักสัจจะธรรม"....ข้าพระพุทธเจ้านำมาโปรดสอนนานแล้ว
    แต่หาคนสนใจในช่วงต้นได้ยากมาก จนแทบจะไม่มีเลย !!!!!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    สาธุครับ คุณหนุมานฯ...สัจจะในชีวิตประจำวันเป็นหนทางรอดครับ
    ปากตรงกับใจ จิตสำนึกตรงกับจิตวิญญาณ..
    พูดแล้วทำให้ได้ ให้เป็นธรรมชาติ ให้ตรงกับพลังงานต้นกำเนิดซึ่งก็คือ"ธรรม"
    คงต้องฝึกฝนเพื่อฟื้นฟูธรรมในตัวให้ตื่นขึ้นให้เร็วที่สุดนะครับ..
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,713
    ค่าพลัง:
    +51,945
    สิ่งที่เป็นอมตะ...คือ ตัวตนที่เกิดจากการกระทำของเรา....จะติดตัวเรา ...และส่งผลตอบแทนให้แก่เรา....
    สิ่งที่เป็นอมตะ นี้... ทางโลกุตตระ เรียกว่า "ตัวกระทำ"

    ความหมายของ..."ตัวกระทำ"....ข้าพระพุทธเจ้าได้นำมาโปรดสอนนานแล้วเช่นกัน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...