มิลินทปัญหา วรรคที่ ๗

ในห้อง 'พระไตรปิฎก เสียงอ่าน' ตั้งกระทู้โดย Kob, 31 ธันวาคม 2009.

  1. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,161
    ค่าพลัง:
    +19,894
    ปัญหาที่ ๑ ถามอาการแห่งสติ
    ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องทําบาปทําบุญ
    ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องการดับทุกข์ใน ๓ กาล
    ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความไกลแห่งพรหมโลก
    ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไปเกิดในพรหมโลกและเมืองกัสมิระ
    ปัญหาที่ ๖ ถามถึงวรรณะสัณฐานของผู้ไปเกิดในโลกอื่น
    ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องถือกําเนิดในครรภ์มารดา
    ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องโพชฌงค์ ๗
    ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมากกว่ากันแห่งบาปและบุญ
    ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงการทําบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้
    ปัญหาที่ ๑๑ ถามถึงผู้ที่ไปอุตตรกุรุทวีปและสวรรค์
    ปัญหาที่ ๑๒ ถามเรื่องกระดูกยาว
    ปัญหาที่ ๑๓ ถามเรื่องเกี่ยวกับลมหายใจ
    ปัญหาที่ ๑๔ ถามว่าอะไรเป็นสมุทร
    ปัญหาที่ ๑๕ ถามเรื่องการตัดสิ่งที่สุขุม
    ปัญหาที่ ๑๖ ถามความวิเศษแห่งปัญญา
    ปัญหาที่ ๑๗ ถามความต่างกันแห่งวิญญาณเป็นต้น
    ปัญหาที่ ๑๘ ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทําได้ยากของพระพุทธเจ้า
    ปัญหาที่ ๑๙ พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสได้ปวารณาพระนาคเสน


    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=44216[/MUSIC]
     
  2. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,161
    ค่าพลัง:
    +19,894
    วรรคที่ ๗
    ปัญหาที่ ๑ ถามอาการแห่งสติ

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า"ข้าแต่พระนาคเสน สติ เกิดขึ้นด้วย อาการเท่าใด ?"
    พระนาคเสนตอบว่า"ขอถวายพระพร สติ เกิดขึ้นด้วยอาการ ๑๗ อย่าง คือ เกิดขึ้นด้วยการรู้ยิ่ง ๑ ด้วยทรัพย์ ๑ ด้วยวิญญาณอันยิ่ง ๑ ด้วย วิญญาณเกื้อกูล ๑ ด้วยวิญญาณไม่เกื้อกูล ๑ ด้วยนิมิตที่เหมือนกัน ๑ ด้วยนิมิตที่แปลกกัน ๑

    ด้วยการรู้ยิ่งกถา ๑ ด้วยลักษณะ ๑ ด้วยการระลึก ๑ ด้วยการหัดคิด ๑ ด้วยการนับตามลําดับ ๑ ด้วยการจํา ๑ ด้วยการภาวนา ๑ ด้วยการจดไว้ ๑ ด้วยการเก็บไว้ ๑ ด้วยการเคยได้พบเห็น ๑

    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้อว่า สติเกิดขึ้นด้วยการรู้ยิ่งนั้น คืออย่างไร ?"
    "ขอถวายพระพร สติเกิดขึ้นด้วยการรู้ ยิ่งนั้น เช่นกับผู้ที่ระลึกชาติได้ และสติของ พระอานนท์ อันฟังพระสูตรครั้งเดียวจําไว้ได้ และสติของ นางขุชชุตตราอุบาสิกา ฟังพระ สัทธรรมเทศนาครั้งเดียวก็จําได้ แล้วมาแสดง ให้ผู้อื่นฟังได้ถ้วนถี่"

    "ข้อว่า สติเกิดขึ้นด้วยทรัพย์นั้น คืออย่างไร ?"
    "ขอถวายพระพร คือคนขี้หลงขี้ลืมย่อมมีอยู่ เวลาเห็นคนเหล่าอื่นเก็บทรัพย์ของเขาไว้ ก็นึกถึงทรัพย์ของตนได้ จึงเรียกว่าสติเกิดขึ้น ด้วยทรัพย์"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยวิญญาณอันยิ่งนั้น คืออย่างไร ?"
    "ขอถวายพระพร เหมือนอย่างพระราชา ผู้ได้รับอภิเษกใหม่ หรือผู้ได้สําเร็จโสดาปัตติผล ย่อมมีความรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ความดีใจนั้น ทําให้เกิดสติ นึกถึงสิ่งต่าง ๆ ได้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยวิญญาณเกื้อกูลนั้น คืออย่างไร ?"
    "ขอถวายพระพร บุคคลได้รับความสุขในที่ใด ก็ระลึกได้ว่า ตนได้รับความสุขในที่นั้น"

    "ข้อว่า สติเกิดขึ้นด้วยวิญญาณอันไม่เกื้อกูลนั้น คืออย่างไร ?"
    "ขอถวายพระพร บุคคลได้รับความทุกข์ในที่ใด ก็ระลึกได้ว่า เราได้รับความทุกข์ในที่นั้น"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยนิมิตที่เหมือนกันนั้น คืออย่างไร ?"
    "ขอถวายพระพร คือบุคคลได้เห็นผู้ เหมือนกันกับมารดาบิดา พี่ชาย พี่สาว หรืออูฐ โค ลา ของตนแล้ว ก็ระลึกถึงมารดาบิดา พี่ชาย พี่สาว อูฐ โค ลา ของตนได้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยนิมิตที่แปลกกันนั้น คืออย่างไร ?"
    "ขอถวายพระพร คือเมื่อได้รู้เห็น สี กลิ่น รส สัมผัส ของผู้ที่แปลกกัน หรือสิ่งที่แปลกกัน ก็ระลึกได้ถึงสิ่งนั้น ๆ บุคคลนั้น ๆ เช่น เห็นคนขาว ก็นึกได้ถึงคนดําเป็นตัวอย่าง

    "ข้อว่า สติเกิดขึ้นด้วยการรู้ยิ่งซึ่งกถานั้น คืออย่างไร ?"
    "ขอถวายพระพร ได้แก่ผู้ขี้หลงขี้ลืม เวลาที่มีผู้อื่นตักเตือนก็นึกได้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยลักษณะนั้น คือ อย่างไร ?"
    "คือเกิดขึ้นด้วยได้รู้เห็นลักษณะแห่งคนหรือสัตว์นั้น ๆ เช่น ได้เห็นโคของผู้อื่นที่มี ลักษณะเหมือนโคของตัว ก็นึกถึงโคของตัวได้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยการระลึกนั้น คืออย่างไร ?"
    "คือคนขี้หลงขี้ลืมมีผู้เตือนให้ระลึกแล้วๆ เล่า ๆ ก็ระลึกได้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยการหัดคิดนั้น คืออย่างไร ?"
    "คือผู้ได้เรียนหนังสือแล้วย่อมรู้ได้ว่า อักษรตัวนี้ควรไว้ในระหว่างอักษรตัวนี้ ส่วนอักษรตัวนี้ควรไว้ติดกันกับอักษรตัวนี้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยการนับนั้น คืออย่างไร ?"
    "คือธรรมดาผู้นับย่อมระลึกถึงสิ่งต่างๆได้มาก เพราะเมื่อนับดูก็ย่อมนึกได้ถึงสิ่งนั้นๆ"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยการจํานั้น คืออย่างไร ?"
    "คือผู้จําดีก็นึกถึงสิ่งต่าง ๆ ได้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยการภาวนานั้น คืออย่างไร ?"
    "คือผู้ได้อบรมปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ย่อมระลึกชาติหนหลังได้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยการจดไว้นั้น คืออย่างไร ?"
    "คือเมื่อได้อ่านดูสิ่งที่ตนจดไว้ก็นึกได้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยการเก็บไว้นั้น คืออย่างไร ?"
    "คือได้เห็นของที่ตนเก็บไว้แล้วจึงนึกได้"

    "ข้อว่า สติเกิดด้วยการเคยพบเห็นนั้น คืออย่างไร ?"
    "คือระลึกได้ด้วยได้เคยพบเห็นมาก่อน อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า สติเกิดด้วย อาการ ๑๗ อย่างนี้"
    "ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน"


    ปัญหาที่ ๒
    ถามเรื่องทําบาปทําบุญ

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า "ข้าแต่พระนาคเสน คําว่า ผู้ใดทําบาปกรรมตั้ง ๑๐๐ ปี แต่เวลาจะตายได้สติ นึกถึง พระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว ก็ได้ไปเกิดใน สวรรค์ ดังนี้ ข้อนี้โยมไม่เชื่อ อีกคําหนึ่งว่า ทําปาณาติบาตเพียงครั้งเดียว ก็ไปเกิดในนรกได้ ข้อนี้โยมก็ไม่เชื่อ"

    พระนาคเสนตอบว่า "ขอถวายพระพร ก้อนหินเล็ก ๆ ทิ้งลงไปในน้ำ จะลอยขึ้นบนน้ำได้ไหม ?"
    "ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ก้อนหินตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน เขาขนลงบรรทุกเรือ เรือจะลอยอยู่บนน้ำได้ไหม ?"
    "ได้ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร บุญกุศลเปรียบเหมือนเรือ เพราะธรรมดาเรือของพวกพ่อค้า มีภาระหนักหาประมาณมิได้ บรรทุกของหนักเกิน ไปก็จมลงในน้ำฉันใด คนที่ทําบาปทีละน้อย ๆ จนบาปมากขึ้น ก็จมลงไปในนรกได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่วิดน้ำเรือทําให้เรือเบา ก็จะข้ามฟากไปถึงท่า คือนิพพานได้ฉันนั้น ขอถวายพระพร"

    "ถูกดีแท้ พระผู้เป็นเจ้า"

    ปัญหาที่ ๓
    ถามเรื่องการดับทุกข์ใน ๓ กาล

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า "ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าพยายามละทุกข์ที่เป็นอดีตหรืออย่างไร ?"
    พระนาคเสนตอบว่า "หามิได้ ขอถวายพระพร"

    "ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าพยายามละทุกข์อนาคตอย่างนั้นหรือ ?"
    "หามิได้ ขอถวายพระพร"

    "ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าพยายามละทุกข์ปัจจุบันอย่างนั้นหรือ ?"
    "หามิได้ ขอถวายพระพร"

    "ถ้ามิได้พยายามละทุกข์ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันแล้ว พยายามเพื่ออะไร ?"
    "ขอถวายพระพร พยายามเพื่อให้ทุกข์ที่มีอยู่ดับไป และเพื่อไม่ให้ทุกข์ใหม่เกิดขึ้น"

    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทุกข์อนาคตมีอยู่ หรือ ?"
    "มี มหาบพิตร"

    "ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลเหล่าใด พยายามเพื่อละสิ่งที่ยังไม่มี บุคคลเหล่านั้น เป็นบัณฑิตเกินไปเสียแล้ว"


    อุปมาป้องกันภัยจากข้าศึก

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยมีอริราชศัตรูหรือไม่ ?"
    "เคยมี พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร เมื่อมีอริราชศัตรูที่จะมาจู่โจมบ้านเมืองเกิดขึ้น มหาบพิตรจึงโปรดให้ ขุดคู สร้างกําแพง สร้างประตูเมือง สร้างป้อม ขนเสบียงอาหารเข้ามาไว้ในพระนครเวลานั้นหรือ ?"
    "หามิได้ ต้องเตรียมไว้ก่อน"

    "พระองค์ทรงให้ฝึกหัดช้าง ม้า รถ ธนู ดาบ หอก เวลานั้นหรือ ?"
    "หามิได้ ต้องฝึกหัดไว้ก่อน"

    "ขอถวายพระพร ที่ทําดังนั้นเพื่ออะไร ?"
    "ทําไว้เพื่อป้องกันภัยอนาคตน่ะซิ"

    "ขอถวายพระพร ภัยอนาคตมีอยู่หรือ ?"
    "มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร พวกใดตกแต่งบ้านเมือง ไว้เพื่อละภัยอนาคต พวกนั้นก็เป็นบัณฑิตเกินไปน่ะซิ"
    "ขอนิมนต์อุปมาด้วย"

    อุปมาป้องกันความกระหายน้ำ

    "ขอถวายพระพร เมื่อใดมหาบพิตร อยากเสวยน้ำ เมื่อนั้นมหาบพิตรจึงโปรดให้ ขุดบ่อน้ำ ขุดสระโบกขรณี ขุดเหมือง ขุดบ่อ อย่างนั้นหรือ ?"
    "ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า สิ่งเหล่านั้น ต้องทําไว้ก่อนทั้งนั้น"

    "ขอถวายพระพร ทําไว้เพื่ออะไร ?"
    "ทําไว้เพื่อละความกระหายน้ำน่ะซิ"

    "ขอถวายพระพร ความกระหายน้ำอนาคต มีอยู่หรือ ?"
    "มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร พวกที่ตระเตรียมการณ์ไว้เพื่อละความกระหายน้ำ อันยังไม่มีอยู่นั้น ก็เป็นบัณฑิตเกินไปน่ะซิ"
    "ขอนิมนต์อุปมาอีก"

    อุปมาป้องกันความหิว

    "ขอถวายพระพร เมื่อมหาบพิตรทรงหิว พระกระยาหาร จึงโปรดให้ไถนา หว่านข้าว ปลูกข้าวอย่างนั้นหรือ ?"
    "ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ต้องให้ทําไว้ก่อนทั้งนั้น"

    "ขอถวายพระพร ทําไว้เพื่ออะไร ?"
    "ทําไว้เพื่อป้องกันความหิวอนาคตน่ะซิ"

    "ขอถวายพระพร ความหิวอนาคตมีอยู่หรือ ?"
    "มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรที่โปรดให้ทําสิ่งนั้น ๆ ไว้ เพื่อป้องกันความหิวอันยังไม่มีอยู่ ก็เป็นบัณฑิตเกินไปน่ะซิ"
    "พระผู้เป็นเจ้ากล่าวสมควรแล้ว"


    ข้อวินิจฉัย

    ปัญหานี้สลับซับซ้อนในข้อที่ว่า ทําไมพระนาคเสนจึงปฏิเสธว่า มิได้พยายามละทุกข์ ที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน แต่ท่านรับ
    ว่า พยายามเพื่อให้ทุกข์ที่มีอยู่ดับไป และเพื่อไม่ให้ทุกข์ใหม่เกิดขึ้น

    ปัญหาต่อไปพระเจ้ามิลินท์ถามว่า ทุกข์ อนาคต (ที่ยังไม่มาถึง) มีอยู่หรือ ? ต้นฉบับ ส.ธรรมภักดี ตอบว่า "มี" แต่ฉบับพิสดารกลับตอบว่า "ไม่มี" แล้วพระองค์ทรงตรัสเย้ยพระนาคเสนว่าฉลาดเกินไป ที่พยายามละสิ่งที่ยังไม่มีอยู่ในเวลานี้

    พระนาคเสนจึงย้อนกลับ โดยยกอุปมาภัยของข้าศึก และภัยจากความหิวในอนาคต ซึ่งจะต้องมีการเตรียมพร้อมไว้ก่อน จากการเปรียบเทียบพอจะวินิจฉัยได้ว่า "ภัยในอนาคต" ก็เหมือน "ทุกข์ในอนาคต" อันได้แก่ ความแก่ เจ็บ และตาย เป็นต้น ที่จะมีมาในอนาคต จึงเป็นไปได้ว่า "ความ ทุกข์ในอนาคต" น่าจะมีอยู่

    อีกทั้งหลักฐานจากคําบาลี พระนาคเสนถามว่า "อัตถิ ปน มหาราช อนาคตภยัง" แปลว่า "ภัยอนาคตมีอยู่หรือไม่ ?" พระเจ้า
    มิลินทร์ตรัสตอบว่า "อัตถิ ภันเต" ซึ่งหมายความว่า "มี" ดังนี้


    ตอนที่ ๑๑ ปัญหาที่ ๔
    ถามเรื่องความไกลแห่งพรหมโลก

    "ข้าแต่พระนาคเสน พรหมโลกไกลจากโลกนี้สักเท่าไร ?"
    "ขอถวายพระพร พรหมโลกไกลจากโลกนี้มาก ถ้ามีผู้ทิ้งก้อนศิลาโตเท่าปราสาทลงมาจากพรหมโลก ก้อนศิลานั้นจะตกลงมาได้ วันละ ๔๘,๐๐๐ โยชน์ ต้องตกลงมาถึง ๔ เดือน จึงจะถึงพื้นดิน"

    "ข้าแต่พระนาคเสน มีคํากล่าวว่า ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ผู้มีอํานาจทางจิต หายวับจากชมพูทวีปนี้ ขึ้นไปปรากฏในพรหมโลกได้เร็วพลัน เหมือนกันกับบุรุษผู้มีกําลังคู้แขนเหยียดแขนฉะนั้น ดังนี้โยมไม่เชื่อ เพราะถึงเร็วอย่างนั้น ก็จักไปได้เพียงหลายร้อยโยชน์เท่านั้น"

    "ขอถวายพระพร ชาติภูมิ (ถิ่นกําเนิด) ของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน ?"
    "อยู่ที่เกาะอลสัณฑะ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร เกาะอลสัณฑะไกล จากที่นี้สักเท่าไร ?"
    "ไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระทําสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ในที่นั้น แล้วเคยนึกถึงมีอยู่หรือ ?"
    "มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรนึกไปถึงที่ไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ ได้โดยเร็วพลัน ไม่ใช่หรือ ?"
    "ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า"

    อธิบาย

    ในอรรถกถาสังยุตตนิกาย ท่านกล่าวไว้ว่า ก้อนศิลาขนาดใหญ่ถูกทิ้งให้ตกลงมาจากพรหมโลกชั้นต่ำ ก้อนศิลานั้นตกลงมาวันคืนหนึ่ง เป็นระยะ ๔๘,๐๐๐ โยชน์ จึงจะถึง พื้นดินเป็นเวลา ๔ เดือน เพราะเหตุนั้น ระยะทางระหว่างพรหมโลกชั้น พรหมปาริสัชชา ถึงพื้นดิน บัณฑิต ผู้ทราบนัย พึงทราบว่าเป็น ๕,๗๖๐,๐๐๐ โยชน์ ดังนี้


    ปัญหาที่ ๕
    ถามถึงความไปเกิดในพรหมโลกและเมืองกัสมิระ

    "ข้าแต่พระนาคเสน ถ้ามีคน ๒ คน ตายจากที่นี้แล้วไปเกิดในที่ต่างกัน คือคนหนึ่งขึ้นไปเกิดในพรหมโลก อีกคนหนึ่งไป
    เกิดในเมืองกัสมิระ คนสองคนนี้ คนไหนจะไปช้าไปเร็วกว่ากัน ?"
    "ขอถวายพระพร เท่ากัน"
    "ขอนิมนต์อุปมาด้วย"

    "ขอถวายพระพร ชาติภูมิของมหาบพิตร อยู่ที่ไหน ?"
    "อยู่ที่กาลสิรคาม"

    "ขอถวายพระพร กาลสิรคามอยู่ไกลจากที่นี้สักเท่าไร ?"
    "ประมาณ ๒๐๐ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า"

    "เมืองกัสมิระไกลจากที่นี้สักเท่าไร ?"
    "ประมาณ ๑๒ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า"

    "เชิญมหาบพิตรนึกถึงกาลสิรคามดูซิ"
    "โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า"

    "เชิญมหาบพิตรนึกถึงเมืองกัสมิระดูซิ"
    "โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร ทางไหนนึกถึงช้าเร็ว กว่ากันอย่างไร ?"
    "เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ เร็วเท่ากัน ไปถึงพร้อมกัน"
    "ขอนิมนต์อุปมาอีก"


    อุปมาด้วยเงาของนก

    "ขอถวายพระพร ถ้ามีนก ๒ ตัว บิน มาจับต้นไม้พร้อมกัน ตัวหนึ่งจับต่ำ ตัวหนึ่งจับสูง เงาของนกตัวไหนจะถึงพื้นดินก่อนกัน"
    "ถึงพร้อมกัน พระผู้เป็นเจ้า"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร"
    "ขอนิมนต์อุปมาอีก"


    อุปมาด้วยการแลดู

    "ขอถวายพระพร ขอได้โปรดแลดูอาตมา"
    "โยมแลดูแล้ว"

    "ขอได้โปรดแหงนดู ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์"
    "โยมแหงนดูแล้ว"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรแลดูอาตมา กับแลดูดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ อันอยู่ไกลถึง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ข้างไหนจะเร็วช้ากว่ากัน ?"
    "เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ ไปถึงพร้อมกัน"
    "แก้เก่งมาก พระนาคเสน"


    ปัญหาที่ ๖
    ถามถึงวรรณะสัณฐานของผู้ไปเกิดในโลกอื่น

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอีกว่า "ข้าแต่พระนาคเสน โยมจักถามถึงเหตุอันยิ่งขึ้นไป คือผู้ไปสู่โลกอื่น ไปด้วยสีเขียว แดง เหลือง ขาว แสด เลื่อม อย่างไร..หรือ ไปด้วยเพศช้าง ม้า รถ อย่างไร ?"
    "ขอถวายพระพร ข้อนี้พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกพุทธวจนะ"

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า "ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระสมณโคดม ไม่บัญญัติไว้ว่า ผู้ไปเกิดในโลกอื่น ในระหว่างทางนั้นต้องมีสีเขียว หรือสีเหลือง แดง ขาว แสด เลื่อม อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะว่าพระสมณโคดมทรงรู้จักทุกสิ่งได้หรือ... คําของ คุณาชีวก ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่กล่าวไว้ว่า ผู้ไปสู่โลกอื่นไม่มี ก็ต้องเป็นของจริง ผู้ใดกล่าวว่า โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี ผู้ไปเกิดในโลกอื่นไม่มี ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ากล่าวถูก ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต"

    พระนาคเสนตอบว่า "ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจงตั้ง พระทัยฟังถ้อยคําของอาตมภาพ"
    "โยมตั้งใจฟังอยู่แล้ว"

    "ขอถวายพระพร ถ้อยคําของอาตมภาพ ที่พ้นออกไปจากปาก ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตรนั้น ในระหว่างที่ยังไปไม่ถึงนั้น
    เสียงของอาตมภาพมีสีอย่างไร มีทรวดทรง อย่างไร ?"
    "เห็นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร ถ้ามหาบพิตรว่าเห็นไม่ได้ เสียงของอาตมภาพก็ไม่ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตร มหาบพิตรก็ตรัสคําเหลาะแหละน่ะซิ"
    "โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละ ถึงถ้อยคําของพระผู้เป็นเจ้าไม่ปรากฏสีเขียว หรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ถ้อยคําของพระผู้เป็นเจ้า ก็มาถึงโยมจริง"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้น จะไม่ปรากฏสีเขียว หรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้นก็มีอยู่ เหมือนกับถ้อยคําของอาตมา"

    "น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเสวยราชสมบัติใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้เถิด เพราะขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์ ๕ ไม่มีอะไรตกแต่ง เกิดขึ้นเอง สงสารก็ไม่มี"

    อุปมาด้วยการทํานา

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยโปรดให้ทํานาหรือไม่ ?"
    "อ๋อ...เคยให้ทํา"

    "ขอถวายพระพร ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงข้าวสาลีงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเองหรืออย่างไร ?"
    "ข้าแต่พระนาคเสน ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเอง ไม่มีผู้ใดกระทําไม่ได้"

    "ขอถวายพระพร ถ้าข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดิน ยังไม่มีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงยังไม่งอกขึ้น จะว่าไม่มีผู้ปลูก จะว่าข้าวสาลีไม่มีจะได้หรือไม่ ?"
    "ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถ้าขันธ์ ๕ นี้ไปเกิดเอง คนตาบอดก็จะเกิดเป็นคนตาบอดอีก คนใบ้ก็จะเกิดเป็นคนใบ้อีก บุญก็ไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งใดตกแต่ง เป็นของเกิดขึ้นเอง ขันธ์ ๕ ก็จะ ต้องไปนรกด้วยอกุศลกรรม"
    "ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้น"

    อุปมาด้วยการจุดประทีป

    "ขอถวายพระพร เหมือนอย่างมีผู้เอาประทีปมาจุดต่อกัน เปลวประทีปดวงเก่า ก้าวไปสู่ประทีปดวงใหม่หรืออย่างไร ประทีปทั้งสองนั้น มีขึ้นเองไม่มีผู้กระทําอย่างนั้นหรือ ?"
    "ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า"
    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเอง โดยไม่มีสิ่งใดทําให้เกิดขึ้น"

    "ข้าแต่พระนาคเสน เวทนาขันธ์ ไปสู่โลกอื่นหรือ ?"
    "ขอถวายพระพร ถ้าเวทนาขันธ์ไปสู่โลกอื่น ผู้ที่ไปเกิดในโลกอื่น ก็คือเวทนาขันธ์อย่าง นั้นซิ ?"
    "ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร เพราะเหตุนั้นแหละ มหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า เวทนาขันธ์ ในอัตภาพนี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น"
    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สัญญาขันธ์ ไปสู่ โลกอื่นหรือ ?"

    "ขอถวายพระพร ถ้าสัญญาขันธ์ไปสู่โลกอื่น ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนในอัตภาพนี้ ไปสู่โลกอื่นแล้ว ก็จะต้องมีมือด้วนเท้าด้วนอีกหรืออย่างไร ?"
    "ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า"

    "เพราะเหตุนั้นแหละ มหาบพิตรจงเข้า พระทัยเถิดว่า สัญญาขันธ์ในอัตภาพนี้ ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น"
    "ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก"

    อุปมาด้วยกระจก

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรมีกระจกส่องพระพักตร์หรือไม่ ?"
    "มี พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรจงทรงหยิบ เอากระจกมาวางไว้ตรงพระพักตร์มหาบพิตร"
    "โยมหยิบมาตั้งไว้แล้ว"

    "ขอถวายพระพร ดวงพระเนตร พระกรรณ พระนาสิก พระทนต์ ของมหาบพิตร ปรากฏอยู่ในกระจกนี้เอง หรือว่ามหาบพิตรทรงกระทําให้ปรากฏ ?"
    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดวงตา หู จมูก ฟัน ของโยมปรากฏอยู่ในวงกระจกนี้ ด้วยโยมกระทําขึ้น"

    "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นเป็นอันว่า มหาบพิตรได้ควักเอาพระเนตร ตัดเอาพระกรรณ พระนาสิก และถอนเอาพระทนต์ของมหาบพิตร เข้าไปไว้ในกระจกแล้ว มหาบพิตรก็เป็นคนตาบอด ไม่มีพระนาสิกและพระทนต์ อย่างนั้นซิ ?"
    "ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า เงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยโยมกระทําขึ้น ไม่ใช่ว่าเพราะโยมไม่ได้กระทําขึ้น"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ นี้ไปสู่โลกอื่น ทั้งไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งกระทําเป็นของเกิดขึ้นเอง สัตว์ถือกําเนิดในครรภ์มารดาด้วยกุศลกรรม อกุศลกรรม ที่ตนกระทําไว้ เพราะอาศัยขันธ์ ๕ นี้แหละ จึงเหมือนเงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยการกระทําของมหาบพิตร ฉะนั้น"
    "ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน"

    ปัญหาที่ ๗
    ถามเรื่องถือกําเนิดในครรภ์มารดา

    "ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อสัตว์จะเข้าถือกําเนิดในท้องมารดา เข้าไปทางทวารไหน ?"
    "ขอถวายพระพร ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทาง ทวารไหน"
    "ขอนิมนต์อุปมาด้วย"

    "ขอถวายพระพร หีบแก้วของมหาบพิตร มีอยู่หรือ ?"
    "มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร ขอจงนึกเข้าไปในหีบแก้วดูซิ"
    "โยมนึกเข้าไปแล้ว"

    "ขอถวายพระพร จิตของมหาบพิตรที่ นึกเข้าไปในหีบแก้วนั้น เข้าไปทางไหน ?"
    "ข้าแต่พระนาคเสน จิตของโยมไม่ปรากฏว่านึกเข้าไปทางไหน"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สัตว์ที่ข้าไปถือกําเนิดในท้องมารดา ก็ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทางไหนฉะนั้น"
    "ข้าแต่พระนาคเสน การที่พระผู้เป็นเจ้า แก้ปัญหาปฏิภาณอันวิจิตรยิ่งนี้ได้เป็นอัศจรรย์นักหนา ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
    คงจะประทานอนุโมทนาสาธุการเป็นแน่แท้"
     
  3. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,161
    ค่าพลัง:
    +19,894
    ปัญหาที่ ๘
    ถามเรื่องโพชฌงค์ ๗


    "ข้าแต่พระนาคเสน โพชฌงค์ มีเท่าไร ?"
    "ขอถวายพระพร มี ๗ ประการ"

    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุคคลตรัสรู้ด้วย โพชฌงค์เท่าไร ?"
    "ขอถวายพระพร บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ข้อเดียว"

    "คือข้อไหน พระผู้เป็นเจ้า ?"
    "ขอถวายพระพร คือข้อ ธัมมวิจยสัม โพชฌงค์" (ใคร่ครวญธรรมะ)

    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ไว้ทําไม ?"
    "ขอถวายพระพร พระองค์จะเข้าพระทัย ความข้อนี้อย่างไร...คือดาบที่บุคคลสวมไว้ในฝัก บุคคลไม่ได้ชักออกจากฝัก อาจตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ขาดได้หรือ ?"
    "ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ บุคคลปราศจาก ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ แล้ว ตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ ๖ ไม่ได้"
    "ถูกแล้ว พระนาคเสน"

    อธิบาย

    โพชฌงค์ คือองค์เป็นเครื่องตรัสรู้มี ๗ ประการ ดังนี้
    ๑. สติ ระลึกนึกไว้เสมอ
    ๒. ธัมมวิจยะ ใคร่ครวญธรรมะที่เราจะปฏิบัติ
    ๓. วิริยะ มีความเพียรต่อสู้กับอุปสรรค
    ๔. ปีติ สร้างความอิ่มเอิบใจให้ปรากฏกับจิต
    ๕. ปัสสัทธิ ความสงบ คือสงบจากนิวรณ์ หรือสงบจากกิเลส
    ๖. สมาธิ มีความตั้งใจมั่น
    ๗. อุเบกขา ทรงอารมณ์เดียวเข้าไว้ ไม่ยอมรับทราบอารมณ์อื่นเข้ามาสนใจ

    ปัญหาที่ ๙
    ถามถึงความมากกว่ากัน แห่งบาปและบุญ

    "ข้าแต่พระนาคเสน บุญและบาปข้างไหน มากกว่ากัน ?"
    "ขอถวายพระพร บุญมากกว่าบาป บาปน้อยกว่า"

    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทําไมจึงว่าบุญมากกว่า บาปน้อยกว่า ?"
    "ขอถวายพระพร บุคคลทําบาปแล้ว ย่อมร้อนใจในภายหลังว่า เราได้ทําบาปไว้แล้ว เพราะเหตุนั้นบาปก็ไม่ได้มากขึ้น
    ส่วนบุญเมื่อบุคคลทําเข้าแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีแต่เกิดปราโมทย์ ปีติ ใจสงบ มีความสุข จิตเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น บุญจึงมากขึ้น ดังมีบุรุษผู้มีมือมีเท้าขาดแล้ว ได้บูชาพระด้วยดอกบัวเพียงกําเดียว ก็จักได้เสวยผลถึง ๙๑ กัป ด้วยเหตุนี้แหละ จึงว่าบุญมากกว่า ขอถวายพระพร"
    "ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า"

    ปัญหาที่ ๑๐
    ถามถึงการทําบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้

    "ข้าแต่พระนาคเสน สมมุติว่ามีคน ๒ คน คนหนึ่งรู้จักบาป อีกคนหนึ่งไม่รู้จัก แต่กระทําบาปด้วยกันทั้งสองคน ข้างไหนจะได้บาปมากกว่ากัน ?"
    "ขอถวายพระพร ข้างไม่รู้จักได้บาปมากกว่า"

    "ข้าแต่พระนาคเสน ราชบุตรของโยม หรือราชมหาอํามาตย์คนใดรู้ แต่ทําผิดลงไป โยมลงโทษแก่ผู้นั้นเป็นทวีคูณ"
    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร..คือสมมุติว่ามีคน ๒ คน จับก้อนเหล็กแดงเหมือนกัน คนหนึ่งรู้ว่าเป็นก้อนเหล็กแดง อีกคนหนึ่งไม่รู้ คนไหนจะจับแรงกว่ากัน ?"
    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คนไม่รู้จับแรงกว่า"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ไม่ รู้บาปได้บาปมากกว่า"
    "ชอบแล้ว พระนาคเสน"


    ปัญหาที่ ๑๑
    ถามถึงผู้ที่ไปอุตตรกุรุทวีปและสวรรค์

    "ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ไปสู่อุตตรกุรุทวีป หรือพรหมโลก หรือไปทวีปอื่นด้วยกายนี้มีอยู่ หรือ ?"
    "ขอถวายพระพร มีอยู่"
    "ข้อนี้คืออย่างไร พระผู้เป็นเจ้า ?"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระโดดที่แผ่นดินนี้ได้คืบหรือศอก ?"
    "อ๋อ...โยมเคยกระโดดได้ ๘ ศอก"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรกระโดด อย่างไร...จึงได้ถึง ๘ ศอก ?"
    "พอโยมคิดว่าจะกระโดด กายของโยมก็เบา โยมจึงกระโดดได้ถึง ๘ ศอก"

    "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีอํานาจทางจิตภาวนา อธิษฐานจิต แล้ว ก็เหาะไปสู่เวหาสได้"
    "ถูกแล้ว พระนาคเสน"

    ปัญหาที่ ๑๒
    ถามเรื่องกระดูกยาว

    "ข้าแต่พระนาคเสน มีคํากล่าวว่า มีกระดูกยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์ โยมไม่เชื่อ เพราะต้นไม้ที่สูงตั้ง ๑๐๐ โยชน์ ก็ยังไม่มี กระดูกที่ไหนจักยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์"
    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ทรงสดับหรือไม่ว่า ปลาในมหาสมุทรตัวยาวตั้ง ๕๐๐ โยชน์มีอยู่ ?"
    "เคยฟัง พระผู้เป็นเจ้า"

    "ถ้าอย่างนั้น กระดูกของปลาที่มีตัวยาวตั้ง ๕๐๐ โยชน์ จักยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์มิใช่หรือ ?"
    "ใช่แล้ว พระผู้เป็นเจ้า"

    ปัญหาที่ ๑๓
    ถามเรื่องเกี่ยวกับลมหายใจ

    "ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลอาจทําลมหายใจให้ดับได้หรือ ?"
    "ขอถวายพระพร ได้"
    "ได้อย่างไร...พระผู้เป็นเจ้า ?"

    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ยินเสียงคนนอนกรนบ้างหรือ ?"
    "อ๋อ...เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร เวลาเขาพลิกกายเสียงกรนเงียบไปไหม ?"
    "เงียบไป พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร เสียงกรนนั้นเป็นเสียงของผู้ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต แต่เมื่อพลิกตัวก็ยังหายไป ส่วนลมหายใจของผู้ได้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต เข้าจตุตถฌาน จะไม่ดับหรือ... มหาบพิตร ?"
    "ชอบแล้ว พระนาคเสน"

    อธิบาย

    คําว่า "จตุตถฌาน" ได้แก่ ฌาน ๔ ที่มีลักษณะดับความรู้สึกจากลมหายใจในขณะนั้น ซึ่งเป็นอาการทั่วไปของผู้ที่เข้าฌาน ๔ มิใช่ว่าลมหายใจจะดับสิ้นไป ดังนี้


    ปัญหาที่ ๑๔
    ถามว่าอะไรเป็นสมุทร

    "ข้าแต่พระนาคเสน มีคํากล่าวกันอยู่ว่า"สมุทร ๆ" น้ำหรือชื่อว่าสมุทร ?"
    "ขอถวายพระพร น้ำเค็มมีอยู่ในที่เท่าใด ที่เท่านั้นแหละ เรียกว่าสมุทร"

    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดสมุทรจึงมีรสเดียว คือรสเค็ม ?"
    "ขอถวายพระพร เพราะมีน้ำขังอยู่นานจึงเค็ม"
    "สมควรแล้ว พระนาคเสน"

    ปัญหาที่ ๑๕
    ถามเรื่องการตัดสิ่งที่สุขุม

    "ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลอาจตัดสิ่งที่สุขุมกว่าสิ่งทั้งหลายได้หรือ ?"
    "ขอถวายพระพร ได้"

    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อะไรชื่อว่าเป็นสิ่งสุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย"
    "ขอถวายพระพร พระธรรม ชื่อว่า สุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย แต่ธรรมะไม่ใช่สุขุมไปทั้งหมด คือ สุขุมก็มี หยาบก็มี แต่ว่าสิ่งที่ควรตัดด้วยปัญญามีอย่างเดียว คือ ธรรมะ นอกจากนั้นไม่มี"
    "ชอบแล้ว พระนาคเสน"

    ปัญหาที่ ๑๖
    ถามความวิเศษแห่งปัญญา

    "ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญา อยู่ที่ไหน ?"
    "ขอถวายพระพร ปัญญาไม่ได้อยู่ที่ไหน"
    "ถ้าอย่างนั้น ปัญญาก็ไม่มีน่ะซิ"

    "ขอถวายพระพร ลมอยู่ที่ไหน ?"
    "ลมไม่ได้อยู่ที่ไหน"

    "ถ้าอย่างนั้น ลมก็ไม่มีน่ะซิ"
    "ถูกแล้ว พระนาคเสน"


    ปัญหาที่ ๑๗
    ถามความต่างกันแห่งวิญญาณเป็นต้น

    "ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญา วิญญาณ ชีพในภูต เหล่านี้มีอรรถะ พยัญชนะต่างกัน หรือว่ามีอรรถะอย่างเดียวกัน มีพยัญชนะ ต่างกัน ?"
    "ขอถวายพระพร วิญญาณ มีการ รู้สึก เป็นลักษณะ ปัญญา มีการ รู้ทั่ว เป็นลักษณะ ชีพในภูต คือในผู้ที่เกิดแล้วไม่มี"

    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าไม่มีชีพเป็นตัวเป็นตน ก็ใครเล่าเห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียง ด้วยหู สูดกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น สัมผัสด้วยกาย รู้จักอารมณ์ด้วยใจ ?"
    "ขอถวายพระพร ถ้าชีพเห็นรูปด้วยตา ตลอดถึงรู้จักอารมณ์ด้วยใจแล้ว เมื่อเปิดตาขึ้น ชีพนั้นก็ต้องมีหน้าไปข้างนอก ต้องได้เห็นรูปดาวได้ดี เมื่อเปิดหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีพนั้นก็ต้องหันหน้าไปภายนอก รู้จักอารมณ์ได้ดีอย่างนั้นหรือ ?"
    "ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ชีพก็ไม่มี
    ในภูต"
    "ชอบแล้ว พระนาคเสน"

    อธิบาย

    คําว่า "อรรถะ" คือแปลมีความหมาย ส่วน "พยัญชนะ" คือแปลตามศัพท์ หรือ ที่เรียกกันว่า "แปลยกศัพท์" นั่นเอง


    ปัญหาที่ ๑๘
    ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทําได้ยากของพระพุทธเจ้า

    "ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งที่ทําได้ยากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทํานั้น ได้แก่อะไร ?"
    "ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทําสิ่งที่ทําได้ยาก ได้แก่การทรงแสดงซึ่งธรรมอันไม่มีรูปร่าง อันมีอยู่ในจิตเจตสิก อันเป็นไปในอารมณ์อันเดียวเหล่านี้ได้ว่า อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนา อันนี้เป็นสัญญา อันนี้เป็นเจตนา อันนี้เป็นจิต"
    "ขอนิมนต์อุปมาด้วย"

    "ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษคนหนึ่งลงเรือไปที่มหาสมุทร วักน้ำขึ้นมาวางไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่านี้เป็นน้ำคงคา นี้เป็นน้ำยมนา นี้เป็นน้ำสรภู นี้เป็นน้ำอจิรวดี นี้เป็นน้ำมหิ ดังนี้ได้ เป็นของง่ายหรือยากล่ะ ?"
    "เป็นของยาก พระผู้เป็นเจ้า"

    "ขอถวายพระพร การที่พระพุทธเจ้าทรงบอกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ที่มีในจิตใจ ที่เป็นอารมณ์อันเดียวกันว่า นี้เป็นผัสสะ นี้เป็นเวทนา นี้เป็นสัญญา นี้เป็นเจตนา นี้เป็นจิต ดังนี้ ยิ่งยากกว่านั้น"
    "ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า"


    ปัญหาที่ ๑๙
    พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสได้ปวารณาพระนาคเสน

    พระนาคเสนถวายพระพรว่า "มหาบพิตรทรงทราบว่า เวลานี้เป็นเวลาอะไรแล้ว ?"
    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมทราบว่าเวลานี้เป็นเวลามัชฌิมยามแล้ว เพราะคบเพลิงสว่างไสว"

    ขณะนั้นพวกเจ้าพนักงานก็นําผ้า ๕ พับมาถวาย ข้าราชการโยนกทั้งหลายก็ทูลขึ้นว่า "พระภิกษุองค์นี้ฉลาดมาก เป็นบัณฑิต
    แท้ พระเจ้าข้า"
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า "ถูกแล้ว..เธอทั้งหลาย ถ้ามีอาจารย์อย่างนี้ มีศิษย์อย่างนี้ ไม่ช้าก็ต้องรู้ธรรมะได้ดี"

    พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีด้วยการแก้ปัญหาของพระนาคเสน จึงถวายผ้ากัมพลราคาแสนตําลึงแก่พระนาคเสนแล้วตรัสว่า
    "ข้าแต่พระนาคเสน จําเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป โยมจะให้จัดอาหารไว้วันละ ๑๐๘ สํารับ สิ่งใดที่สมควรอันมีในพระราชวังนี้ โยมขอปวารณาพระผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น"
    "อย่าเลย มหาบพิตร อาตมภาพพอมีชีวิตอยู่ได้ก็แล้วกัน"

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า "ข้าแต่พระนาคเสน โยมรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้า พอมีชีวิตอยู่ได้ ก็แต่ว่าขอพระผู้เป็นเจ้าจงรักษาตัวของพระผู้เป็นเจ้า และรักษาตัวของโยมไว้

    ข้อที่ว่า ขอให้พระผู้เป็นเจ้ารักษาตัวพระผู้เป็นเจ้าไว้นั้น คืออย่าให้มีผู้ติเตียนได้ว่า พระนาคเสนทําให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใส แล้วก็ไม่ได้อะไร

    ข้อที่ว่า ขอให้รักษาตัวโยมไว้นั้น คืออย่างไร...คืออย่าให้มีผู้กล่าวได้ว่า พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสแล้ว ไม่ได้ทรงแสดงอาการเลื่อมใสแต่อย่างใด"

    พระเถระจึงตอบว่า "แล้วแต่พระราชประสงค์"
    พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พญาราชสีห์อันบุคคล ขังไว้ในกรงทองย่อมหันหน้าไปภายนอกฉันใด ถึงโยมจะอยู่ครองบ้านครองเมือง ก็หันหน้าไปภายนอกฉันนั้น ถ้าโยมออกไปบรรพชา ก็ จะมีชีวิตอยู่ไม่นาน เพราะศัตรูโยมมีมาก"


    แสดงความชื่นชมต่อกัน

    ครั้นพระนาคเสนเถระแก้ปัญหาพระเจ้ามิลินท์เสร็จแล้ว จึงกลับไปสู่สังฆาราม เมื่อพระนาคเสนกลับไปแล้วไม่ช้า พระเจ้ามิลินท์
    ก็ทรงคิดดูว่า เราได้ถามเป็นอย่างไร พระผู้เป็นเจ้าแก้เป็นอย่างไร จึงทรงนึกได้ว่า สิ่งทั้งปวงเราก็ได้ถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็ได้แก้ดีแล้ว

    ฝ่ายพระนาคเสนก็นึกอย่างเดียวกันกับพระเจ้ามิลินท์ เช้าขึ้นจึงได้ครองจีวรสะพายบาตรเข้าไปที่พระราชนิเวศน์ แล้วนั่งลงบนอาสนะ

    พระเจ้ามิลินท์กราบไหว้แล้ว จึงตรัสขึ้นว่า "ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่า คิดว่า โยมได้ถามปัญหาพระนาคเสนแล้ว พระผู้เป็นเจ้าย่อมให้ราตรีที่ยังเหลืออยู่ สิ้นไปด้วยความยินดีนั้น ขออย่าเห็นอย่างนี้

    โยมได้นึกอยู่ตลอดราตรีว่า การถามของ เราเป็นอย่างไร การแก้ของพระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างไร ก็นึกได้ว่าเราถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าแก้ดีแล้ว
    พระเถระก็ตอบว่า "ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรอย่าคิดว่าอาตมภาพได้แก้ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์แล้ว มหาบพิตรย่อมทรงบรรทมหลับตลอด ราตรีที่ยังเหลืออยู่ด้วยความยินดีนั้น ขออย่า ทรงเห็นอย่างนี้ อาตมภาพได้คิดอยู่ตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่ว่า พระเจ้ามิลินท์ถามอะไรแล้ว เราได้แก้อะไรแล้ว ก็นึกได้ว่า พระเจ้ามิลินท์ได้ถามสิ่ง ทั้งปวงแล้ว เราก็ได้แก้สิ่งทั้งปวงแล้ว" เป็นอันว่า ปราชญ์ทั้งสองนั้น ได้แสดง ความชื่นชมยินดีต่อกันและกันอย่างนี้.

    ที่มา : http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=127#ninth<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...