มองให้เห็นทุกข์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ahhaboy, 14 สิงหาคม 2007.

  1. ahhaboy

    ahhaboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,354
    ค่าพลัง:
    +2,034
    เธอจงเห็นทุกข์ในปัจจุบันที่เรียกว่านิพันธทุกข์เสียก่อน นิพันธทุกข์ คือทุกข์เนืองนิจที่มีอยู่ทุกวันมันมีอะไรบ้าง เมื่อบริโภคอาหารเข้าไปแล้วกิจอื่นที่จะตามมาเนื่องด้วยอาหารนั่นคืออะไร น้ำที่บริโภคเข้าไปมาก ร่างกายใช้เหลือความต้องการก็เกราอะทิ้งมา มาเป็นปัสสาวะ แล้วอาหารก็เช่นเดียวกัน ที่ร่างกายต้องถ่ายน้ำที่ไม่ต้องการ ระบายอาหารที่ไม่ต้องการ ที่เราเรียกว่าอุจจาระปัสสาวะ มันเป็นความสุขหรือความทุกข์
    ตามบันทึกท่านทูลตอบว่ามันเป็นความทุกข์พระพุทธเจ้าข้า และเป็นความทุกข์ที่เหลือที่จะทน ไม่ใช่ทนได้ยาก เหลือที่จะทน คือทนไม่ไหว
    ท่านก็ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นจงจำไว้ว่าอาหารนี่ไม่ใช่ปัจจัยของความสุข อาหารนี่เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ จะหาสุขจากอาหารจริง ๆ นั้นมันไม่มี
    ต่อจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า เธอจงคิดไว้เสมอว่าชีวิตเลือดเนื้อและร่างกายถ้ายังมีอยู่เพียงใด คำว่าหมดทุกข์ไม่มี เราจะต้องประสบกับความทุกข์อย่างนี้ตลอดเวลา ถ้าเราจะสิ้นทุกข์ได้ก็เพราะอาศัยเห็นว่าร่างกายที่เราเกิดมานี่มันเป็นทุกข์ แล้วก็สมบัติที่เราถือว่าเป็นเราเป็นของเรานี่มันได้มาด้วยความทุกข์ คืออาศัยความเหน็ดเหนื่อยเป็นของสำคัญ ถ้าเราไม่เหน็ดเหนื่อยแล้วเราก็ไม่ได้มา
    เมื่อได้มาแล้ว หามาได้แล้ว แทนที่จะใช้สอยให้มันเป็นการพอดี ให้มันทรงอยู่กับเรา มันก็เปล่า มันก็สิ้นไปเสื่อมไป ทำไมจึงจะมานั่งสนใจด้วยอาหาร ด้วยเรื่องร่างกาย
    แต่ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ใช่ให้ทำลายร่างกาย ไม่ใช่อดอาหาร เพราะว่ามันเกิดมาแล้ว ร่างกายที่เกิดมาเราก็ต้องเลี้ยงมัน มันเป็นของธรรมดา แต่ถ้าหากว่าเราจะถึงปรารถนาในมันนั้น เห็นไม่สมควร
    จงมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า หน้าที่ในการบริหารร่างกาย เราจะถึงทำเมื่อร่างกายต้องการอะไรบ้าง แต่ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินไป ตั้งใจบริหารมันเข้าไว้ เพราะว่าเป็ฯการระงับความทุกข์ส่วนหนึ่ง แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นการหายทุกข์ มันเป็นการบรรเทาความทุกข์
    และจงคิดว่าความสุขจริง ๆ ก็คืออธิโมกขธรรม ได้แก่ธรรมเป็นเครื่องพ้นจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้แก่พระนิพพาน
    คนที่จะถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องอาศัยไม่ติดอยู่กับปัจจัยที่ทำให้เกิดความทุกข์ คือร่างกาย ไม่ติดอยู่ในรสอาหาร นี่เป็นอันดับแรก
    แล้วต่อไปเธอจงถอยหลังเข้าไป ส่วนใหญ่ของบุคคลที่พึงคิด เขาจะไม่คิดถึงความเป็นจริงของร่างกาย แล้วไม่คิดถึงความเป็นจริงของร่างกาย แล้วไม่คิดถึงความเป็นทุกข์ของร่างกาย ในศัพท์ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าจับปลายรูป นั่นคือมองไม่เห็นความทุกข์ คือเลี้ยงร่างกายให้อ้วนพี พยายามทะนุถนอมร่างกายนี้ไม่ให้ทรุดโทรมร่างกายต้องการอะไรหาให้ทุกอย่าง แต่ว่าเธอเคยเห็นไหมว่าคนที่บำรุงบำเรอร่างกายอยู่เป็นปกติเขามีความสุข เป็นอันว่าเธอจะหาไม่ได้ ไม่มีปัจจัยส่วนใดที่จะเป็นเหตุให้เกิดขึ้นได้ มันก็จะมีแต่ความทุกข์ส่วนเดียว
    จงจำถ้อยคำนี้ไว้ให้ดีว่า ร่างกายนี้มันเป็นความทุกข์ อาหารที่เราได้มาก็ได้มาจากความทุกข์ ถ้าต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้เราก็ต้องทำกิจอยู่อย่างนี้ทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราจะกินข้าวเช้าแต่เวลาเดียวมันก็ไม่อิ่มไปตลอดวัน วันหนึ่งเราบริโภคหลายหน เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วแทนที่จะสิ้นทุกข์ มันก็เกิดทุกข์เนื่องจากการขับถ่ายของร่างกาย
    ร่างกายเป็น โรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค มันมีอาการเสียดแทงอยู่เป็นปกติ ทุกข์อื่นใดที่จะทุกข์ยิ่งกว่าร่างกายนั้นไม่มีคือความปรารถนาของร่างกายนี้เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ทุกอย่าง
    เธอจงวางภาระคือขันธ์ห้า ได้แก่ร่างกายเสีย
    จงจำไว้ว่าคนเราจะเกิดมาทรงตัวอยู่ได้อย่างนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ตลอดเวลา การทำไร่ไถนาหรือการแสวงหาทรัพย์สินมาเพื่ออาหารการบริโภคในชีวิตนี้เราจะ ไม่มีโอกาสได้หยุด ต้องทำตลอดชิวิต แล้วการต้องทำตลอดชิวิตอย่างนี้เต็มไปด้วยความทุกข์
    นับตั้งแต่นี้ต่อไปเธอจงใช้ปัญญาหาทุกข์ให้พบ ถ้าเธอยังเห็นว่าโลกนี้จุดใดจุดหนึ่งเป็นอาการของความสุข นั่นก็ชื่อว่าเธอไร้ปัญญา ถ้าขณะใดเธอพิจารณาในมุมโลกทั้งหมด คนทุกขนาด ทุกประเภท ทุกชั้น ทุกวรรณะ ทุกชั้นทุกวัย ไม่ว่าคนประเภทใด เห็นอาหารเขามีความทุกข์ แล้วก็จิตใจของเธอมีอาการไม่มีเยื่อใยกับอาการของความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น แล้วก็มีความปรารถนาทำลายให้มันสิ้นไป ชื่อว่าเธอมีปัญญาสามารถจะเข้าเป็นพระอริยเจ้าได้

    ที่มา ทางสายเอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...