ปู่เจ้าสมิงคา (ทวดเสือ) เทพเจ้าผู้ปกปักรักษาภาคใต้...ที่เกือบไม่มีคนรู้จัก

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย เพชรฉลูกัน, 21 สิงหาคม 2009.

  1. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,180
    <TABLE width=939 border=0><TBODY><TR><TH scope=col bgColor=#66ff00 colSpan=2>ปู่เจ้าสมิงคา (ทวดเสือ) เทพเจ้าผู้ปกปักรักษาภาคใต้</TH></TR><TR><TH scope=row colSpan=2><TABLE width=469 border=0><TBODY><TR><TH scope=col width=463><TABLE borderColor=#66ff00 width=1 border=1><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE>รูปปู่เจ้า สมิงคา ถ่ายภาพโดย โกหนึ่งภาพจริงจากสฐานที่จริง
    ณ โรงเลื่อยจักรกรุงหยัน-องค์การสวนยาง 2 อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช​




    </TH></TR></TBODY></TABLE></TH></TR><TR><TH scope=row colSpan=2>
    คำนำ

    การจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เพื่อต้องการให้ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ได้ทราบถึงประวัตย่อ ๆ ของพระรูปเสด็จปู่เจ้าสมิงคา เทพเจ้าผู้ปกปักรักษาภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งพวกเราไม่เพียงแต่คนใต้เท่านั้นที่มาสักการะ เคารพ บูชา แต่ปรากฏว่าคนทุกภาคที่ได้ยินกิตติศัพท์ก็ได้เดินทางมาสักการะและขอพระรูปเสด็จปู่กลับไปบูชา​

    ในการจัดพิมพ์ครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจาก นายสว่าง กนกวิจิตร นายเศวต กนกวิจิตร นางอำพัน กนกวิจิตร นางฟองจันทร์ เรืองตระกูล
    นายกาจ กนกวิจิตรนายอนันต์ รอดแก้ว นายประวิท กนกวิจิตร นางสุกัญญา หอวัฒนานันท์ นางทัศนา กนกวิจิตร นายเอกสิทธิ์ กนกวิจิตร และ นางสุภาวดี ภู่ขจรดิฉัน ดร.พูลศรี กนกวิจิตร ในนามประธานจัดงานฉลอง 30 ปี เสด็จปู่ฯ ขอกราบขอบพระคุณ ทุกท่าน ที่มาร่วมงาน รวมทั้งคุณครู-อาจารย์-นักเรียน โรงเรียนกรุงหยันวิทยาคม ทุกท่าน ที่คอยดูแลเสด็จปู่ฯ และพระตำหนักด้วยดีตลอดมา​

    ดร.พูลศรี กนกวิจิตร​




    </TH></TR><TR><TH scope=row width=484></TH><TD width=445></TD></TR><TR><TH scope=row colSpan=2>ประสบการณ์เกี่ยวกับวิญญาณของ พล.ท.สมาน วีระไวทยะ ตอน ปู่เจ้าสมิงคา (ทวดเสือ) เทพเจ้าผู้ปกปักรักษาภาคใต้

    ถ่ายทอดโดย ทองทิว สุวรรณทัต





    </TH></TR><TR><TH scope=row></TH><TD></TD></TR><TR><TH scope=row colSpan=2>ท่าน พล.ท.สมาน วีระไวทยะ ซึ่งรู้จักและให้ความเมตตาแก่ผู้เขียนประดุจพี่ที่มีต่อน้องมาช้านาน และท่านได้ถึงแก่ อนิจกรรมด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ในคืนวันที่ 10 มีนาคม 2529 นั้น เป็นผู้ประพฤติและปฏิบัติธรรมมาเกือบตลอดชีวิตของท่าน

    และผลจากการปฏิบัติธรรมของท่าน ทำให้สามารถติดต่อกับเทพชั้นสูงได้ทุกเวลาจนสามารถช่วยชีวิตของผู้ที่ทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย
    มาหลายสิบราย ทั้งสามารถขจัดภัยอันตรายอันพึงมีบังเกิดแก่ผู้อื่นได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ท่าน พล.ท.สมาน วีระไวทยะ ได้ช่วยท่านผู้หนึ่งให้ฟื้นจากความหายนะอย่างมหัศจรรย์ โดยได้ติดต่อกับ ปู่เจ้าสมิงคา เทพผู้ปกปักรักษาภาคใต้ด้วยการนั่งสมาธิ จึงขอเชิญท่านที่สนใจติดตามอ่านบันทึกของท่านได้ ณ บัดนี้
    อาคันตุกะยามวิกาล
    เมื่อประมาณต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2510 ได้มีบุคคลหนึ่งไปขอพบข้าพเจ้าที่บ้านพักในตอนกลางคืน เวลาประมาณ 20.00 น. และแนะนำตนเองว่าชื่อ สวัสดิ์ กนกวิจิตร มีบ้านพักและกิจการทางธุรกิจต่าง ๆ อยู่ทางภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี
    นครศรีธรรมราช ไปจนถึง สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี ตอนแรกข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ คุณสวัสดิ์ก็มาหาข้าพเจ้าทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แต่เมื่อสังเกตดูก็รู้สึกว่าเป็นคนดี พอคบหาสมาคมกันได้ ประกอบกับ คุณสว่าง กนกวิจิตร ผู้พี่ที่มากับคุณสวัสดิ์เป็นคนที่ดูออกจะสงบเสงี่ยมหงิมและซื่อ ๆ อยู่มากเมื่อพิจารณาดูทั้งคุณสวัสดิ์และคุณสว่าง สองพี่น้องนี้โดยถี่ถ้วนแล้วสัญชาตญาณแห่งการคุ้มครองป้องกันภัยก็บอกว่า เป็นบุคคลที่คบได้ทั้งคู่
    ด้วยประกายแห่งดวงตา บ่งบอกความซื่อสัตย์และเสียสละ ไม่คิดจะเอาแต่ได้ของ ตนฝ่ายเดียวเมื่อข้าพเจ้าสอบ ถามเรื่องราวหรือธุระที่ ี่ต้องการมาพบ ข้าพเจ้าอย่างเจาะจง ก็ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพี่น้อง 2 ท่านนี้มาดีและคงต้องเป็นคนดีแน่ ๆ เพราะข้าพเจ้าได้รับคำตอบว่า คุณสาย รัตนสมบัติ (พี่สาย) กับ คุณจรูญ ประกาศสุขการ
    (รองอธิบดีกรมสรรพสามิตสมัยนั้น) ซึ่งทั้งสองท่านนี้เคยขอให้ช่วยเรื่อง บริษัทสุรามัชการ สาขาเชียงใหม่ เกี่ยวกับท่านท้าวรณกาจพนาสูรย์ เป็นผู้แนะนำให้มาข้าพเจ้าจึงยินดีจะช่วยเต็มสติปัญญา ความรู้ และเต็มกำลังความสามารถ​

    ดังนั้น หลังจากที่ได้สนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศกันพอหอมปากหอมคอตามธรรมเนียม และแถมท้ายด้วยการยกย่องในความรู้ ทั้งทางนอกทางใน กันพอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอให้ คุณสวัสดิ์ มิตรใหม่ของข้าพเจ้าเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาให้ฟัง เพื่อประกอบ กับการพิจารณา ดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามความรู้ความสามารถและสติปัญญาของข้าพเจ้าต่อไป
    ซึ่งต่อไปนี้ เป็นไปตามคำบอกเล่าอย่างละเอียดของคุณสวัสดิ์ แต่ข้าพเจ้าตัดทอนเอามาประกอบเรื่องตามที่เห็นว่าเหมาะสม เพื่อให้เรื่องปะติดประต่อกันได้ โดยคุณสวัสดิ์ ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังตามบันทึกการสนทนาดังนี้​






    </TH></TR><TR><TH scope=row></TH><TD></TD></TR><TR><TH scope=row colSpan=2>ความทุกข์ของนักธุรกิจชาวใต้


    คุณสวัสดิ์ : เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา กิจการค้าที่เคยรุ่งเรื่อง ได้เกิดประสบความผิดพลาดล้มเหลวอย่างไม่เคยนึกฝันว่าจะเป็นมาก่อนความผิดพลาดล้มเหลว ในครั้งนั้น ก่อให้เกิดความเสียหายมากมายทั้งเงินทองและทรัพย์สิน ถ้าจะคิดเป็นมูลค่าก็ประมาณ 5-6 ล้านบาท โดยเฉพาะกิจการ โรงงานต้มกลั่นสุรา และโรงเลื่อย (ไฟไหม้) เป็นการสูญเสียอย่างหนักจนเป็นที่เลื่องลือกล่าวขวัญกันอยู่มาก ในหมู่นักการค้าและนักธุรกิจทาง ภาคใต้ ในขณะนี้กำลังคิดกอบกู้ความเสียหาย และภัยพิบัติให้กลับคืนเข้าสู่สภาพดังปกติ เหมือนเช่นแต่ก่อน หากแต่ว่าจะทำ อะไรหรือประกอบกิจการอะไรดูมันมืดมนติดขัดไปเสียหมดทุกอย่างไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดดูเหมือนโชคชะตามันช่างกลั่นแกล้งเสียจริง ๆ ไม่รู้ว่ามันจะถึงคราวเคราะห์อะไร และตามธรรมดาแต่ไหนแต่ไรมา
    ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองไม่ใคร่เชื่อดวงชะตาหรือโชคเคราะห์อะไร เพราะเคยบุกบั่นฟันฝ่าชีวิตมามาก ตั้งแต่เป็นเด็ก หนุ่ม ๆ มาถึงบัดนี้จนอายุจะเกือบ 50 เข้านี่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จมาด้วยดี เพิ่งจะมาประสบความสูญเสียใหญ่หลวงกันครั้งนี้เอง และทั้งที่ได้พยายามกอบกู้มาเกือบ 2 ปีแล้วดูมันยังไม่ใคร่มีอะไรกระเตื้องขึ้นเลย
    ทาง คุณสาย และ คุณจรูญ เห็นใจและสงสารผมมาก จึงแนะนำว่าให้ลองมาหาท่าน และขอรับคำปรึกษาหารือจากท่านดูว่า ท่านพอจะมีหนทาง ช่วยเหลืออะไรได้บ้างเพื่อจะได้นำไปแก้ไขสถานการณ์ เผื่อจะคลี่คลายไปในทางดีได้บ้างนึกว่าขอให้ช่วยผมด้วย ผมจะไม่ลืมบุญคุณ ท่านเลยเป็นอันขาด
    ข้าพเจ้า : ผมได้ฟังเรื่องจากคุณแล้วรู้สึกสงสารและเห็นใจคุณมาก ใจจริงนั้นผม อยากจะช่วยคุณ เพราะผมได้เคยช่วยคน มามากแล้วถ้าเรื่องอะไรที่ไม่เกินความสามารถของผมแล้ว ผมจะพยายามช่วยสุดกำลังและฝีมือเสมอ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีอยู่ว่าการช่วยนั้น เมื่อได้ผลสำเร็จแล้วผมก็ไม่ได้ดิบได้ดีอะไรขึ้น ตรงกันข้ามกลับถูกตำหนิติเตียน ถูกนินทาเสียอีกแต่ช่างเถอะ ผมไม่ถือ เพราะจะไปห้ามเขาหรือใคร ๆ ไม่ให้นินทานั้นไม่ได้ ด้วยพระพุทธองค์ท่านทรงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า นตุถิ โลเก อนินฺทิโต ไม่มีใครในโลกที่ไม่ถูกนินทา แต่เมื่อผมได้ตัดสินใจจะช่วยคุณแล้ว ก็ต้องช่วยจนได้ ส่วนเรื่องอื่นไม่มีปัญหา ใครจะนินทาว่าร้ายหรือจะตำหนิติเตียนอย่างไรก็ช่างเขา เราจะไปห้ามเขาไม่ได้ ​

    มูลเหตุแห่งเคราะห์กรรม
    เมื่อข้าพเจ้ารับปากกับคุณสวัสดิ์แล้ว จึงเริ่มทำจิตให้สงบเป็นสมาธิแล้วใช้กระแสจิตตรวจสอบเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนตรวจดูสถานที่ที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการของคุณสวัสดิ์ รวมทั้งตรวจสาเหตุแห่งความผิดพลาดล้มเหลว
    จนก่อให้เกิดความสูญเสียรายได้และทรัพย์สินเป็นมูลค่ามากมายก็ได้ทราบว่า เหตุทั้งหลายเกิด ขึ้นเนื่องจาก ถึงคราวที่จะต้อง ประสบเคราะห์กรรมตามชะตาลิขิตของตัวคุณสวัสดิ์เอง ทั้งเป็นคราวเคราะห์ที่แรงมาก จึงต้องประสบความเสียหายอย่างใหญ่หลวงถึงเช่นนั้น
    ยังดีแต่เจ้าตัวไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต หรือเจ็บป่วยรุนแรง ซึ่งความจริงแล้วตามเกณฑ์ชะตาจะต้องประสบอุบัติเหตุ หรือเกิดการเจ็บป่วยอย่างหนัก แต่ที่รอดพ้นมาได้ก็เพราะมีวิญญาณของเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งคอยติดตามคุ้มครองช่วยเหลืออยู่ตลอดมา จึงทำให้คุณสวัสดิ์ ปลอดภัยเรื่อยมาจนถึงขณะนี้ แต่เกณฑ์เคราะห์อันร้ายแรงก็ยังหาได้หมดไปไม่ ยังคงมีอยู่อีก จึงต้องหาหนทางป้องกันและขจัดปัดเป่าให้พ้นไป หรือผ่อนหนักเป็นเบาจนกว่า
    จะถึงเวลาสิ้นเคราะห์กรรม ซึ่งยังกินเวลาประมาณ 2 ปี จึงจะหมดเคราะห์ เมื่อปรากฏเรื่องราวดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าจึงแจ้งให้คุณสวัสดิ์ทราบเพื่อฟังความคิดเห็นและข้อตกลงใจของคุณสวัสดิ์ว่าจะมีอย่างไร
    และยังได้บอกให้คุณสวัสดิ์ทราบด้วยว่า วิญญาณศักดิ์สิทธ์ดวงนั้นมีความสัมพันธ์กับชีวิตในปัจจุบันของคุณสวัสดิ์มาตั้งแต่ในอดีตชาติ และด้วยความห่วงใยผูกพันธ์กับคุณสวัสดิ์จึงได้ติดตามมาคอยให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือแก่คุณสวัสดิ์อยู่ทุกระยะตลอดมาในชาติปัจจุบัน
    ถ้าคุณสวัสดิ์ต้องการอยากทราบเรื่องอะไร หรือต้องการติดต่อกับดวงวิญญาณเทพผู้ศักดิ์สิทธ์องค์นั้น ข้าพเจ้าก็ยินดี ที่จะรับเป็นสถาน ีสื่อกลางให้โดยทางสมาธิจิต (ไม่ใช่เข้าทรงเพราะข้าพเจ้ารับทรงไม่ได้ และไม่เคยคิด ที่จะเป็นคนทรงหรือร่างทรงของวิญญาณใด ๆ ทั้งสิ้น)​

    รู้สึกว่าเมื่อได้ทราบข่าวนี้ทำให้คุณสวัสดิ์ดีใจและตื่นเต้นมากคุณสวัสดิ์ : ผมเองก็รู้สึกประหลาดใจมานานแล้วว่า ทุกครั้งที่จะมีเหตุการณ์ อะไรเกิดขึ้นกับตัวผม ผมมักจะได้ยินหรือรู้ถึงเหตุการณ์นั้นล่วงหน้าอยู่เสมอซึ่งบางทีก็ได้ยินเหมือนกับมีคนมากระซิบบอกที่หู หรือบางทีก็เกิดฝันเห็น หรือฝันว่ามีคนมาเตือนล่วงหน้าแต่ผมมันเป็นคนมีนิสัยไม่ใคร่จะเชื่ออะไรได้ง่าย ๆ นักจึงมักจะไม่เชื่อ แต่ครั้นแล้วก็ปรากฏว่าเกิดเรื่องขึ้นทุกครั้ง ตามที่ได้รู้ได้ฝันนั้นเสมอมา
    และก็แปลกอีกเหมือนกันในข้อที่ว่า ทุกครั้งที่มีเหตุเกิดขึ้น จะดูรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครก็ไม่ทราบมาช่วยคุ้มครองป้องกัน หรือคอยปัดเป่าให้หนักเป็นเบาไว้เสมอยกเว้นเรื่องไฟไหม้โรงเลื่อยกับโรงงานสุราขาดทุน ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปหรือเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เกิดขึ้นมาและเป็นไปแล้วทำให้ผมต้องได้รับความเสียหายอย่างมากมายเหลือเกิน เมื่อได้ทราบเรื่องราวจากท่านเช่นนั้น ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกและค่อยเบาใจลงไปมากเหมือนยกภูเขาออกจากอกไปลูกหนึ่งใหญ่ ๆ
    ยิ่งได้ทราบว่า ผมมีวิญญาณเทพ ผู้ศักดิ์สิทธ์โปรดกรุณาคอยติดตามช่วยเหลือคุ้มครองอยู่ผมก็ยิ่งเบาใจและปราบปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง ถ้าท่านจะกรุณาแล้ว ผมอยากจะติดต่อ กับดวงวิญญาณเทพผู้ศักดิ์สิทธ์ ซึ่งมีพระคุณช่วยชีวิตผมองค์นั้นอย่างมาก เพื่อจะได้ทราบเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันธ์ ระหว่างผม กับดวงวิญญาณเทพองค์นั้น และผมจะได้ทราบความ ต้องการเพื่อสนองพระคุณของ ท่านเทพผู้ศักดิ์สิทธ์ที่มี พระคุณกับชีวิตผมหาก ท่านจะกรุณาและไม่รังเกียจแล้ว ขอได้ช่วยผมให้มีโอกาสได้ติดต่อกับเทพวิญญาณองค์นั้นด้วย​

    ข้าพเจ้า : เอาล่ะ เมื่อผมรับปากว่าจะช่วยแล้วผมก็ต้องช่วย เพื่อคุณจะได้ตั้งตัวใหม่และเจริญรุ่งเรื่องยิ่งกว่าเก่า แต่อย่าใจร้อนรีบรวยลัดรวยเร็ว เพราะทุกอย่างมันจะต้องเดินไปตามจังหวะเวลาและกฎเกณฑ์แห่งชะตาชีวิต สมเด็จอาจารย์ (หลวงพ่อโตพรหมรังสี วัดระฆัง) ของผมท่านสั่งสอนและพูดเสมอว่า
    “ลูกเอ๋ย เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าก็ไม่ได้ ครั้นถึงเวลาแล้ว ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่”
    อนึ่งเล่า “ผลไม้คาต้น คนชิงสุกก่อนห่าม ถึงจะเอาไปบ่มไปทำอย่างไรมันก็กินไม่ได้”​

    นี่แหละเป็นข้อควรจำ ควรประพฤติปฏิบัติและรักษาไว้ในดวงใจ อย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน อย่าไปเร่งให้ผมไม้สุกก่อนห่าม จะเสียการ​






    </TH></TR><TR><TH scope=row><TABLE borderColor=#33ff00 width=1 border=1><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE></TH><TD><TABLE borderColor=#66cc00 width=1 border=1><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TH scope=row colSpan=2>
    อัญเชิญเทพวิญญาณ





    เมื่อคุณสวัสดิ์รับคำและยืนยันว่าจะปฏิบัติตามแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้เชิญวิญญาณเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธ์องค์นั้นทันที ด้วยการเข้าสู่สมาธิ ติดต่อทางกระแสจิตอันแรงกล้า บัดดลก็ปรากฏเป็นเงาดำ ในรูปคนมายืนอยู่ทางด้านขวามือของข้าพเจ้า แล้วเงานั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏเป็นร่างของชายชราผู้หนึ่ง ศีรษะเถิกผมบาง แต่ยาวเลยบ่าลงไปเล็กน้อย สีขาวราวกับเส้นไหมสีเงิน ใบหน้าค่อน ข้างสี่เหลี่ยม มีเคราสีขาวที่ลูกคาง รูปร่างสันทัดดูล่ำสัน ผิวคล้ำ เป็นชาวทะเล นุ่งผ้าขาวแบบพระภิกษุนุ่งสบง มีผ้าขาวห้อยสไบเฉียงไหล่ขวามีย่ามสีขาวเก่า ๆ ห้อยอยู่ใบหนึ่ง มือขวาถือสังข์สำหรับเป่า มือซ้ายถือไม้เท้า ยืนเท้าเปล่า รูปร่างทะมัดทะแมง เข็มแข็ง แม้จะดูเป็นผู้มีอายุมาก คะเนว่าเกิน 80 ปีเศษแล้วก็ตาม แต่ก็ดูแข็งแรงตามแบบอย่างและลักษณะของชาวทะเลทั่ว ๆ ไป ท่าทางกระปรี้กระเปร่า และดูรู้สึกว่าจะเป็นคนใจดี​

    เทพแดนทักษิณ
    ข้าพเจ้าจึงถามท่านผู้นี้ว่า ท่านชื่ออะไร? เป็นใคร? อยู่ที่ไหน? ที่มานี่มีธุระสิ่งใด? ต้องการอะไร? มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคุณสวัสดิ์อย่างไร? ท่านจึงตอบว่า.
    เทพวิญญาณ : เราชื่อ “ปู่เจ้าสมิงคา” หรือคนทั่วไปในสมัยเรา เรียกว่า “ตาทวดเสือ” เราเป็นเทพที่ปกปักรักษาดินแดนภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพร ลงไปจนสุดเขตแดนแห่งประเทศสยาม (ไทย) ทางติดต่อกับพวกแขกมลายู
    เราอยู่ที่ไหนก็ได้ทุกแห่งภายในพื้นที่ซึ่งเราปกครองรับผิดชอบรักษาอยู่ ที่มานี่ก็เพื่อจะหาโอกาสมาพูดคุยกับท่าน ซึ่งเราอยากพบมานานแล้ว แต่ไม่ใคร่มีโอกาสได้พบกันในลักษณะเช่นนี้ และไม่มีเรื่องสำคัญพอถึงกับจะมารบกวนท่าน อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อจะมาบอกให้เจ้าสวัสดิ์มันรู้ว่า ในอดีตชาตินั้นมันเกิดมาเป็นลูกเรา แต่ในปัจจุบันชาติเราไม่ได้มาเกิด มันมาเกิดคนเดียว
    เราได้มาเข้าฝันบอก และเข้านิมิตดลใจบอกมันหลายครั้ง แต่มันก็ไม่รู้เรื่องสักที ทั้งมันก็หัวดื้อด้วย ไม่เชื่อถือเรื่องวิญญาณภูตผีอะไร มันจึงไม่ระลึกถึงและไม่เคารพบูชาเราเลยส่วนเรานั้นมีความรักและห่วงใยมัน เราจึงคอยติดตามช่วยเหลือมันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนที่ดวงชะตาของมันกำลังเข้าเกณฑ์เคราะห์
    ข้าพเจ้า : ขอให้คุณสวัสดิ์รับทราบเรื่องราวเหล่านี้ไว้ด้วยเพื่อจะได้ทราบความเป็นมาต่าง ๆ และความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันระหว่าง ตัวคุณกับเสด็จปู่เจ้าสมิงคา เทพเจ้าผู้ทรงปกปักรักษาภาคใต้
    ต่อไปนี้ขอให้เป็นเรื่องระหว่าง ตัวคุณกับเสด็จปู่เจ้าสมิงคา (ตาทวดเสือ) ที่จะพูดจาซักถาม ปรึกษาหารือกันโดยผมจะทำหน้าที่ล่ามจิตภาษา หรือสถานีสื่อกลางระหว่างคุณซึ่งเป็นมนุษย์กับเสด็จปู่เจ้าสมิงคาซึ่ึ่งเป็นดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธ์ให้ด้วยการถ่ายทอดการรับส่งทางกระแสจิตต่อไป

    สนทนาทางจิต
    คุณสวัสดิ์ ก่อนอื่นกระผมต้องกราบขอบพระคุณเสด็จปู่เจ้าสมิงคา ที่กรุณาเสด็จมาให้กระผมได้พบและได้กรุณาเล่าเรื่อง ๆ ให้กระผมทราบตลอดจนเรื่องที่ได้คอยคุ้มครองช่วยเหลือตัวกระผมและครอบครัวให้พ้นภัยอันตรายเสมอมา
    กับขอประทานอภัยที่กระผมมิได้มีความเชื่อถือและเคารพเสด็จปู่ เพราะเป็นการผิดวิสัยของกระผมที่ไม่สามารถทำได้ เพราะมีนิสัยไม่เชื่อในเรื่องวิญญาณหรือภูตผีปีศาจอะไรมาก่อนเลย เพิ่งจะมาเกิดความเชื่อถือเอาวันนี้ และในตอนนี้เอง หลังจากที่กระผมได้รับคำแนะนำจากคุณสายและคุณจรูญ ให้มาพบกับท่านผู้นี้ และได้มีโอกาสพบกับเสด็จปู่
    ซึ่งก็น่าแปลกประหลาดมากที่เรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งเสด็จปู่รับสั่งมานั้นล้วนเป็นความจริงที่ เกิดขึ้นกับตัวกระผม และครอบครัวของ กระผมหลายครั้งหลายหน ซึ่งบางเรื่องบุคคลภายนอกไม่ทราบเลย
    โดยเฉพาะท่านผู้นี้ ไม่เคยทราบเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับตัวกระผมและครอบครัวเลยเพราะเราไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน แต่เหตุไฉนเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านพูดเกี่ยวกับส่วนตัวกระผมและครอบครัวจึงถูกต้องไปหมดทุกอย่าง ดูรู้สึกน่าแปลกประหลาด อัศจรรย์ใจเหลือเกิน จึงทำให้กระผมเกิดความเลื่อมใสนับถือมาก
    ต่อไปนี้กระผมเชื่อแล้วว่าวิญญาณมีจริง ศักดิ์สิทธ์จริง สามารถรู้เห็นอะไรได้หมดและทำอะไรต่ออะไรได้จริง ๆ จึงขอกราบเท้าเสด็จปู่เจ้า ขอเคารพนับถือ เป็นวิญญาณของบรรพบุรุษชั้นสูงของกระผมผู้หนึ่ง ซึ่งกระผมขอเคารพนับถือตลอดไปตราบเท่าชีวิตจะหาไม่ หากจะให้กระผมรับทำอะไรบ้าง กระผมยินดีจะปฏิบัติเพื่อสนองความต้องการของเสด็จปู่เจ้าทุกอย่างเท่าที่กระผมจะสามารถทำได้
    ปู่เจ้าสมิงคา เออ ดีแล้ว อ้ายหลานรัก ข้าเองก็ทั้งรักทั้งห่วงเอ็ง เพราะความผูกพันธุ์ที่มีกันมาแต่ในอดีตชาติ จึงต้องคอยติดตามช่วยเหลือคุ้มครองเอ็งอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากดวงชะตาของเอ็งกำลังเข้าเกณฑ์เคราะห์
    นี่ก็เป็นการดีอยู่ที่บังเอิญเอ็งกับข้าได้มีโอกาสมาพบปะพูดจากันรู้เรื่อง ด้วยความกรุณาติดต่อทางวาระจิตของท่านผู้นี้เป็นสื่อกลางให้ มิฉะนั้นเอ็งกับข้าก็คงไม่มีโอกาสจะพูดจากันได้ไม่มีโอกาสจะพบปะเรื่องราวซึ่งกันและกันการที่เอ็งหัวดื้อใจแข็ง
    ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เอ็งต้องประสบความล่มจมเสียหายแม้จะไม่ถึงกับล้มละลาย แต่ก็มากอักโขอยู่เอาเถอะไม่เป็นไร เรื่องนี้ข้าจะช่วยให้เอ็งตั้งตัวใหม่ ให้ยิ่งใหญ่กว่าเก่า แม้จะต้องใช้เวลานานสักหน่อยเอ็งก็ต้องอดทน อีกอย่างหนึ่งข้าก็ดลใจ บังคับใจให้เอ็งไปติดต่อกับคนทั้งสอง เพื่อจะให้เขาชักนำเอ็งให้มาหาท่านผู้นี้ จะได้มีโอกาสพบปะพูดจากับข้าได้ เอ็งจะได้รู้ว่าการที่เอ็งไม่เชื่อถืออะไรเสียเลยนั้นมันก็มีผลเสียแก่ตัวของเอ็งอยู่ไม่น้อย ส่วนข้านั้นไม่ได้พลอยเสียหายอะไรไปกับเอ็งด้วยเลย
    อีกประการหนึ่งความต้องการของข้าก็คือ อยากจะช่วยให้ความคิดของท่านผู้นี้สำเร็จดังความปรารถนา คือท่านผู้นี้ปรารถนาจะสร้างรูปของข้าขึ้นไว้ให้เป็นที่เคารพบูชาของประชาชนภาคใต้ เพื่อจะให้เขาได้รู้จักว่าข้าเป็นใคร มีหน้าที่อะไร มีคุณประโยชน์แก่มนุษย์อย่างไร​





    </TH></TR><TR><TH scope=row></TH><TD></TD></TR><TR><TH scope=row colSpan=2>เทพประจำภาคทั้ง 6

    เรื่องมันมีอยู่ว่าในแผ่นดินสยามของคนไทยทั้งชาตินี้ แบ่งเขตการปกครองโดยฝ่ายเทพวิญญาณออกเป็น 6 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ ในแต่ละภาคได้จัดให้มีเทพแต่ละองค์ปกครองดูแลรักษากัน ในเขตพื้นที่บริเวณตามการรับมอบเทวอำนาจจากเทวบัญชา หรือเทวโองการ ขององค์อิศวรมหาเทพ และองค์อมรินทราธิราช เทพนายก ดังต่อไปนี้
    1. ภาคเหนือ เป็นเขตในอำนาจปกครองของ ปู่เจ้าสมิงพราย
    2. ภาคกลาง เป็นเขตในอำนาจปกครองของ ปู่เจ้าเขาเขียว
    3. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เป็นเขตในอำนาจปกครองของ ปู่เจ้าจำปาศักดิ์
    4. ภาคตะวันตก เป็นเขตในอำนาจปกครองของ ปู่เจ้าประภัสสร
    5. ภาคใต้ เป็นเขตในอำนาจปกครองของ ปู่เจ้าสมิงคา
    6. สำหรับภาคตะวันออก นั้นขณะนี้ยังมิได้แต่งตั้งเทพองค์ใดให้ปกปักรักษา คงฝากการปกครองบังคับบัญชาไว้กับ ปู่เจ้าจำปาศักดิ์
    เนื่องจากเทพผู้ปกครองดินแดน เขตแคว้นตะวันออกนี้ ได้ถูกโยกย้ายขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่อยู่กับสมเด็จพระอมรินทราธิราชนานมาแล้ว จึงทำให้ตำแหน่งนี้ว่างอยู่ และกำลังพิจารณาแต่งตั้งเทพวิญญาณที่เหมาะสม (ตั้งปู่เจ้าเขาเขียวแล้ว)
    อันเทพเจ้าผู้ปกปักรักษาเขตแค้วนแดนดินทั่วประเทศสยามทั้ง 6 ภาคนี้ ทั้ง 5 องค์ ล้วนขึ้นอยู่กับสมเด็จพระสยามเทวาธิราชผู้เป็นใหญ่ และการแต่งตั้งเทพวิญญาณ เพื่อปกปักรักษาเขตแค้วนแดนดินในภาคต่าง ๆ ก็จะต้องปรึกษาหารือกับ สมเด็จพระสยามเทวาธิราช ก่อนเสมอเดิมทีเคยมีเทพดำริทรงพิจารณาจะแต่งตั้ง ปู่เจ้าท้าวหิรัญพนาสูรย์ แต่ท่านองค์นั้นขอตัวไม่รับตำแหน่ง เพราะกำลังต้องการ บำเพ็ญบารมีเพื่อใช้หนี้กรรมที่เคยทรงเป็นพรานป่ามาก่อน
    แม้บัดนี้พระทัยจะบริสุทธิ์แล้วและได้สร้างบารมีมามากแล้ว จนมีพระทัยเยือกเย็นสุขุมคัมภีรภาพ มีเมตตากรุณาธิคุณสูงแล้วก็ตาม แต่พวกวิญญาณทั้งหลาย ก็ยังหวาดกลัวอยู่ โดยเฉพาะวิญญาณสัตว์ป่าด้วยเหตุนี้ ท่านท้าวหิรัญพนาสูรย์จึง ไม่ยอมรับ ตำแหน่งเทพเจ้า ผู้ปกปักรักษาภาคตะวันออก ครั้นจะแต่งตั้งวิญญาณดวงอื่น ก็ยังไม่มีวิญญาณ ที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเลย ตรงข้ามมีอยู่มากแต่ท่านไม่ปรารถนาจะรับกันเพราะท่านไม่อยากมายุ่งกับโลกยุ่ง กับมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ที่เบียดเบียนชีวิตฆ่าฟันประหัต ประหารกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน

    กฎเกณฑ์การสร้างรูป
    ความปรารถนาในการที่จะสร้างรูปนั้น มิใช่เฉพาะรูปข้าคนเดียว แต่ต้องการสร้างทั้ง 6 รูป ล้วประดิษฐานไว้ในพื้นที่อันอยู่ในเขตความรับผิดชอบ
    ของแต่ละท่านเหล่านั้น จะตั้งไว้ที่จังหวัดใดก็ได้ไม่ขัดข้อง หากต้องอยู่ในเขตพื้นที่ของแต่ละภาคตามความรับผิดชอบปกปักรักษาของแต่ละองค์
    ที่นี้สำหรับเจ้านั้น เจ้าจะยอมรับสร้างรูปให้ปู่หรือไม่ แต่ไม่ใช้สร้างเฉพาะรูปเท่านั้นจะต้องสร้างตำหนัก (ศาล) ให้ปู่ด้วย
    ไม่ต้องใหญ่โตนักก็ได้ จะสร้างเมื่อไรก็ได้ และก็ไม่ต้องให้ใหญ่โตอะไรนัก พอสมกับฐานะกำลังทรัพย์ของเจ้า ต่อเมื่อเจ้ามั่งคั่ง สมบูรณ์ขึ้นจะทำอย่างไร ก็ได้สุดแล้วแต่ความคิดเห็นของเจ้า
    คุณสวัสดิ์ : กระผมยินดีจะทำถวายให้เสด็จปู่ตามที่รับสั่งและคิดว่าจะทำให้ใหญ่เท่าองค์จริงของเสด็จปู่ โดยจะหล่อพระรูปด้วยทองแดง และจะสร้างพระตำหนักให้ด้วย แต่อาจต้องรอไปอีกสักหน่อย พอหายใจได้ทั่วท้องขอให้เสด็จปู่ประทานอภัยด้วย
    ทีนี้เรื่องพระรูปของเสด็จปู่มีรูปร่างลักษณะอย่างไร มีส่วนสูงเพียงใด รูปร่างใหญ่เล็กเท่าใด ส่วนพระตำหนักนั้นจะสร้างให้มีรูปร่างอย่างไร
    มีอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง ขอเสด็จปู่ได้โปรดบอกให้ทราบด้วย และลูกจะทราบได้อย่างไร
    ปู่เจ้าสมิงคา : เรื่องนี้ปู่จะบอกให้ รูปร่างของปู่สูงเท่าคนขนาดธรรมดา (ประมาณ 5 ฟุตเศษ) และมีลักษณะดังที่ได้พรรณนาไว้ในตอนต้นแล้ว ไม่ต้องบอกซ้ำอีกส่วนตำหนักนั้น เจ้าจะทำเป็นสี่มุข หรือเป็นศาลาก็ได้ แต่ขอให้มีอ่างน้ำสำหรับเลี้ยงปลา และภาชนะสำหรับใส่น้ำมนต์ กับหาเรือไว้ให้ปู่สัก 1 ลำ ไม่ต้องใหญ่โตนัก สำหรับปู่จะเอาไว้เดินทางในท้องทะเลเมื่อเจ้ารับปากปู่แล้ว ต่อไปนี้ปู่ก็จะช่วยเจ้าให้เต็มที่ เจ้าจะฟื้นตัว ซึ่งเจ้าจะได้เห็นเอง
    ต่อจากนั้นข้าพเจ้าจึงได้เขียนภาพร่างขั้นพอเป็นเค้า และเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับรูปร่างลักษณะส่วนสัดต่าง ๆ ของรูปทรงปู่เจ้าสมิงคา พร้อมทั้งรายการต่าง ๆ ตามที่ปู่เจ้าสมิงคาต้องการมอบให้กับคุณสวัสดิ์ไป
    เมื่อคุณสวัสดิ์ได้รับรายการและรายละเอียดต่าง ๆ จากข้าพเจ้าแล้ว จึงได้กราบเรียนเสด็จปู่ว่าจะไปตกลงกับช่างที่เป็นอาจารย์กรมศิลปากร ซึ่งเป็นคนรู้จักกัน ให้เริ่มดำเนินการเขียนภาพและออกแบบพระตำหนักต่อไป ครั้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ปู่เจ้าสมิงคาก็ลากลับไปยังทิพยสถานที่อยู่อาศัยของท่านตามถ้ำในภูเขาทางภาคใต้ที่ท่านสถิตย์อยู่
    ทั้งคุณสวัสดิ์ และคุณสว่าง กนกวิจิตร สองพี่น้องต่างยอมรับอย่างเห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ออกจะแปลกประหลาด มหัศจรรย์มาก ซึ่งไม่เคยประสบพบ เห็นมาก่อนเลยในชีวิต เพิ่งจะได้มาพบในครั้งนี้เป็นครั้งแรกและจะคอยดูความจริงจะปรากฏอย่างไรต่อไป

    ภาพเหมือนเสด็จปู่
    หลังจากนั้นมาคุณสวัสดิ์ ก็ได้ติดต่อไปมาหาสู่ข้าพเจ้าอยู่ไม่ขาด พร้อมทั้งนำเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่าให้ฟังว่ากิจการซึ่ง ทรุดโทรมลงนั้น บัดนี้ได้ค่อย ๆ กระเตื้องดีขึ้นเป็นลำดับ
    การเงินก็คล่องขึ้น จนขณะนี้สามารถจะเริ่มดำเนินการเรื่องการสร้างพระรูปหล่อเจ้าสมิงคา และการสร้างพระตำหนักถวายได้แล้ว จึงได้ไปติดต่อกับอาจารย์กรมศิลปากร ให้วาดภาพเสด็จปู่และทำแบบขยายเท่าองค์จริง เพื่อหล่อพระรูปด้วยทองแดงหรือสัมฤทธิ์
    แต่ก่อนที่จะทำแบบขยายได้นำพระรูปที่เขียนแล้วมาให้ข้าพเจ้า เพื่อแก้ไขให้เหมือนรูปร่างจริง ๆ ของเสด็จปู่เมื่อข้าพเจ้า ได้รับรูปเขียนนั้นมาดูก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นภาพที่เหมือนกับภาพที่ข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิต จะมีผิดอยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อย
    ครั้นแล้วข้าพเจ้าจึงเชิญพระวิญญาณของปู่เจ้าสมิงคามาสอบถาม และได้ถวายรูปให้ดูรู้สึกว่า เจ้าปู่พอพระทัยมากและ เมื่อได้แก้ไข อีกเล็กน้อยพอให้ถูกต้องแล้วก็คืนให้คุณสวัสดิ์ และอนุญาตให้นำไปทำแบบพิมพ์ขยายรูปได้ พร้อมแสดงความขอบใจข้าพเจ้า คุณสวัสดิ์และ
    อาจารย์กรมศิลปากรผู้นั้นตลอดจนให้พรต่าง ๆ อีกเป็นอันมากแล้วจึงได้ลากลับไปสู่ทิพยวิมานของท่าน
    เขียนจากแบบจริง
    เรื่องการเขียนแบบนี้ คุณสวัสดิ์ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ เพราะอาจารย์ผู้นั้นรู้สึกงงต่อการที่จะเขียนภาพมาก ทั้งไม่ใคร่กล้าจะเขียน เนื่องจากเป็นภาพอันเกิดจากจินตนาการ หรือความคิดคำนึงของคน ๆ หนึ่ง อาจผิดความจริงก็เป็นได้และยิ่ง เป็นภาพของวิญญาณเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกกลัวเกรงมากยิ่งขึ้นอีก เพราะถ้าหากผิดพลาดไปอาจเกิดโทษขึ้นกับตนเองหรือครอบครัว
    ดังนั้นก่อนจะลงมือเขียน จึงได้เพ่งดูภาพวาดที่ร่างไปและรายละเอียดที่เขียนประกอบบอกไว้ให้ ครั้นดูแล้วก็ได้ตั้งสมาธิอันแน่วแน่อัญเชิญ ดวงวิญญาณของปู่เจ้าสมิงคา ให้มาปรากฏต่อหน้าเพื่อเป็นแบบ และขอให้ดลใจให้เขียนภาพได้เหมือนองค์จริง หรืออย่างน้อย ก็ให้ได้ใกล้เคียงที่สุดและก็เป็นการน่าประหลาดอัศจรรย์ยิ่งด้วยปรากฏภาพจริง ๆ ของปู่เจ้าสมิงคาขึ้น เฉพาะหน้าของอาจารย์ผู้นั้นทันที
    อาจารย์ผู้นั้นจึงลงมือวาดภาพและเขียนภาพนั้นโดยไม่รอช้า และก็ปรากฏว่าการเขียนภาพได้เสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็วมาก ในที่สุดก็ได้ภาพสีอย่างสวยงาม ดังที่ได้เห็นอยู่ขณะนี้นับได้ว่าเป็นอิทธิปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา และเมื่อแก้ไขภาพให้ถูกต้องแล้ว จะได้นำไปปั้นเป็นแบบหล่อเท่าองค์จริง
    รูปหุ่นปูนปั้น
    จากนั้นมาอีกประมาณ 3 เดือน การปั้นแบบก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย คุณสวัสดิ์ ได้มาชวนข้าพเจ้า ไปตรวจดูแบบ และขอให้เชิญ พระวิญญาณของ ปู่เจ้าสมิงคาไปชมด้วย ซึ่งเราได้ไปกันที่ห้องงานช่างปั้นของกรมศิลปากร ณ ที่นั้นมีอาจารย์ผู้เขียนภาพและปั้นแบบคอยอยู่พร้อมกับหัวหน้ากอง
    เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นรูปแบบเข้าถึงกับตกตะลึง เพราะแบบนั้นปั้นด้วยดินเหนียวสีน้ำตาล สีน้ำตาลอ่อน ๆ นั้นคล้ายสีของผิวมนุษย์ ภาพนั้นยืนตระหง่านเด่นมาก ทั้งดวงตาก็ดูเหมือนดวงตามนุษย์ จึงทำให้รู้สึกเหมือนปู่เจ้ากำลังยืนจ้องมองดูพวกเราอยู่อย่างตาไม่กระพริบ ทำให้เหมือนคนจริง ๆ มากที่สุดแต่ใบหน้านั้นคล้าย ๆ กับจะยิ้ม ๆ แสดงความพอใจและขอบใจพวกเราทุกคน ทำเอาพวกเราขนลุกซู่ซ่าตั้งแต่ศีรษะลงไปตลอดทั่วทั้งตัว
    และที่ดวงตานั้นจ้องเป๋งดูเขม็งและแข็งมาก แม้เป็นภาพดินเหนียวปั้น ยังมีอำนาจแรงถึงเพียงนี้ เล่นเอาพวกเราไม่กล้าสู้สายตาเลยจริง ๆ มองอยู่ครู่เดียวแล้วก็ต้องหลบตาลงเออแน่ะ ภาพปั้นอะไรช่างงามน่าดูเช่นนั้น ถ้าไม่เห็นและรู้ว่าเป็นดินเหนียวแล้ว จะต้องเข้าใจว่าเป็นคนจริง ๆ มายืนอยู่อย่างแน่นอน มีทั้งความสง่าผ่าเผยน่ายำเกรงอยู่ในตัว เราต่างพากันดูเพลินจนลืมตัวไปชั่วคราว​

    เชิญวิญญาณสู่หุ่นปั้น
    ครั้นแล้วคุณสวัสดิ์จึงขอให้ข้าพเจ้าเชิญพระวิญญาณของปู่เจ้ามาเข้าในรูปปั้นนั้น ข้าพเจ้าบอกว่า “ไม่ต้องเชิญอีกแล้ว เพราะพระวิญญาณของท่านได้เข้ามาประทับอยู่ในรูปก่อนที่พวกเราจะเข้ามาในห้องนี้เสียอีก คุณไม่เห็นที่ พระเนตรหรอกหรือ? ไม่ใช่ลูกตาของรูปปั้น หากแต่เป็นลูกตาของคนจริง ๆ” คุณสวัสดิ์จึงยอมรับและพูดว่า “ผมนึกแล้วทีเดียวว่า เสด็จปู่มาอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว เพราะรูสึกผิดสังเกต ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในนี้แล้ว แต่เพื่อให้แน่ใจอีกครั้งจึงได้เรียนถามท่านดู ถ้าจริงเช่นนั้น ก็เป็นอันว่าความ รู้สึกในใจของผมถูกต้องไม่ผิด” ข้าพเจ้าบอกว่า​

    “ไม่มีปัญหาอะไรเลย คุณไม่ต้องสงสัยอะไรอีกต่อไปแล้ว และต่อไปถ้าคุณไม่เป็นคนขี้สงสัยเช่นที่แล้ว ๆ มา คุณจะติดต่อกับท่านได้โดยตรง”
    อัญเชิญสู่ตำหนัก ต่อมาในตอนปลายปี พ.ศ. 2511 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับการหล่อพระรูปของปู่เจ้าสมิงคาก็เป็นอันเรียบร้อย จึงเริ่มลงมือหล่อพระรูป ประมาณต้นปี 2512 นับว่าได้พระรูปที่งดงามอย่างไม่มีตำหนิ จากนั้นก็ได้มีการตกแต่งขัดสีฉวีวรรณพระรูปหล่อ กว่าจะเสร็จก็ต้องใช้เวลากว่า 3 เดือน ครั้นแล้วคุณสวัสดิ์ก็หาฤกษ์อันเป็นมงคลอัญเชิญพระรูปหล่อนี้ลงไปประดิษฐาน
    ไว้ที่สำนักงาน และเริ่มงานสร้างพระตำหนักต่อไปจนเสร็จ ครั้นถึง *วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2513 จึงได้กระทำพิธีอัญเชิญ พระรูปของเสด็จปู่เจ้าสมิงคา ผู้ปกปักรักษาภาคใต้ ขึ้นประดิษฐานไว้บนตำหนัก ณ โรงเลื่อยจักรกรุงหยัน-องค์การสวนยาง 2 อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
    อันนับว่าเป็นมหามงคลอุดมฤกษ์เบิกชัยศรีมีโชคลาภปราบทุกข์ยุคเข็ญอันจะเกิดแก่ประชาชนทั้งหลาย ทั้งจะบังเกิดโชคลาภนานาประการแก่บรรดาผู้ที่ได้ กระทำสักการะอธิษฐานเป็นมิ่งขวัญของชาวใต้ต่อไป
    หลังจากได้ดำเนินการต่าง ๆ เท่าที่ได้เล่าสู่กันฟังมาตั้งแต่ต้นจนจบลง นี้แล้วก็ปรากฏว่ากิจจการค้า และฐานะของคุณสวัสดิ์ได้ กระเตื้องขึ้นตามลำดับ แม้ว่าจะมีอุปสรรคขัดขวาง บ้างก็แก้ไข ได้เป็นส่วนมาก และคาดว่าคงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่าแต่ก่อน สมดังคำพยากรณ์ของเสด็จปู่เจ้าสมิงคา (ตาทวดเสือ) อย่างแน่นอน​

    *หมายเหตุ ตามต้นฉบับเป็นวันที่ 30 มีนาคม 2513 ตามที่พิมพ์ไว้ แต่ความจริงสถาปนา เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2513
    ส่วนข้าพเจ้าก็ประสบความสำเร็จไปเรื่องหนึ่งคือ การสร้างพระรูปและพระตำหนักของปู่เจ้าสมิงคา ผู้ปกปักรักษาภาคใต้ได้สำเร็จ ยังคงอยู่อีก 5 แห่ง คือ ปู่เจ้าสมิงพราย ปู่เจ้าเขาเขียว ปู่เจ้าจำปาศักดิ์ และปู่เจ้าประภัสสร (เฉพาะปู่เจ้าเขาเขียวปกครองสองภาค คือภาคกลาง และภาคตะวันออก)
    ซึ่งต่อไปนี้ คงจะมีผู้ศรัทธาแก่กล้าจัดสร้างขึ้นไว้ เพราะท่านเหล่านี้ล้วนมีหน้าที่โอบอุ้มคุ้มครอง พระบวรพุทธศาสนาขององค์์พระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ทุกองค์ด้วยกันทั้งนั้น





    </TH></TR><TR><TH scope=row><TABLE borderColor=#66ff00 width=1 border=1><TBODY><TR><TH scope=col>[​IMG]</TH></TR></TBODY></TABLE></TH><TD></TD></TR><TR><TH scope=row colSpan=2>
    หมายเหตุ




    1. รูปเสด็จปู่เจ้า เริ่มสร้าง ขณะนั้น พล.ท.สมาน วีระไวทยะ ยังมียศเป็น “พันเอก” (พ.อ.)
    2. ข้อความในหนังสือฉบับนี้ทั้งหมดลอกมาจากวารสารที่ คุณทองทิว สุวรรณทัต ได้นำไปลงโดยมิได้เปลี่ยนแปลงข้อความเลย
    3. หากท่านใดต้องการทราบรายละเอียดในการสร้าง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ นั้น กรุณาติดต่อที่ ดร.พูลศรี กนกวิจิตร
    น้องสาว คุณสวัสดิ์ กนกวิจิตร ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานจัดงานฉลองครบรอบ 30 ปี พระรูปเสด็จปู่เจ้าสมิงคา​





    </TH></TR><TR><TH scope=row colSpan=2></TH></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...