ทำทานเมื่อไรจึงจะพอ

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 1 มิถุนายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ถาม – ถามตัวเองเสมอว่าแค่ไหนจึงเรียกว่าทำทานพอดีแล้ว ในเมื่อเราให้ไปแล้ว ยังต้องให้อีกเรื่อยๆอย่างนั้นหรือ? ใจจริงไม่ใช่คนชอบให้อะไรใคร ที่เคยให้ๆไปก็เพราะหันมาเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป แต่ก็ยังเป็นความเชื่อที่ไม่หมดความสงสัย ไม่ได้เห็นผลของการให้แบบทันตาทันใจ

    เพื่อให้รู้ว่าพอดีแล้วหรือยัง เราต้องมาดูเป้าหมายของการทำทานตามอุดมคติของพระพุทธศาสนากันก่อนนะครับ จุดใหญ่ใจความของทานคือเพื่อให้มีความสุขในปัจจุบัน มีความสุขในอนาคต และมีความสุขที่ยั่งยืน แจกแจงได้ดังนี้

    ๑) เพื่อให้มีความสุขในปัจจุบัน คือการทำลายความตระหนี่ถี่เหนียว พุทธเราถือว่าความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นก้อนกรวดหรือก้อนหินโสโครกที่ขวางกระแสความสุข ความสุขอันประเสริฐนั้นรินมาจากใจซึ่งเปี่ยมความเมตตากรุณา หากเจอสิ่งอุดตันอย่างความตระหนี่ขวางทาง ก็หมดสิทธิ์หลั่งรินมาทำความชุ่มฉ่ำให้ใจเราเป็นแน่ คุณลองนึกถึงตอนจะเอาแล้วไม่ได้อย่างใจ หรือนึกถึงตอนตัวเองเถียงหน้าดำหน้าแดงเพื่อแย่งสมบัติกับใคร ใจมันเปิดโล่งหรือคับแคบ อึดอัดหรือสบาย หายใจเข้าออกด้วยความทุกข์หรือความสุข แล้วถ้าตลอดทั้งชาติเกิดมาเพียงเพื่อได้รู้จักกับรสชาติของความหวงแหน ชีวิตจะแร้นแค้นความสุขสักขนาดไหน

    ๒) เพื่อให้มีความสุขในอนาคต คือการสั่งสมบุญ สั่งสมกรรมดี อันจะก่อให้เกิดผลหรือที่เรียก ‘วิบาก’ ในอนาคตกาล ซึ่งอาจเป็นระยะใกล้ชนิดเห็นทันตาในชาติปัจจุบัน หรืออาจเป็นระยะไกลที่ต้องรอดูกันยาวๆด้วยดวงตาของคุณในชีวิตถัดไป ไม่ใช่ด้วยดวงตาในชีวิตนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเสมอว่าผู้ให้ทานเป็นนิตย์ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์และโลกมนุษย์อันมั่งคั่ง ห่างไกลจากความอดอยากและความอัตคัดขัดสน เนื่องจากบุญเป็นความสว่าง เป็นเหตุแห่งความสุขความเจริญ เป็นธรรมชาติที่มีหน้าที่ตกแต่งรูปสมบัติและคุณสมบัติอันน่าใคร่ น่าพอใจ คุณสามารถเห็นลางดีบอกอนาคตอันรุ่งเรืองได้จากหน้าตาและผิวพรรณในปัจจุบัน ยิ่งคิดเสียสละมากขึ้นเพียงใด ความผ่องใสก็ยิ่งปรากฏชัดเจนขึ้นเพียงนั้น

    ๓) เพื่อให้มีความสุขที่ยั่งยืน คือการสร้างปัจจัยเกื้อกูลให้พบทางสู่นิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสว่านิพพานคือบรมสุข คือนอกจากมีรสอันเยี่ยมเกินรสใดๆแล้ว ยังไม่กลับไม่เปลี่ยนมาเป็นทุกข์อีกเลย การหมั่นให้ทานทำให้เราลดความหวงแหน ลดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรๆเป็นสมบัติของเรา อะไรๆเป็นของที่จะเอาติดตัวไปได้ เมื่ออุปาทานเบาบางลงระดับหนึ่ง บวกกับการรักษาศีลและเจริญสติให้ถูกต้องตรงทาง ในที่สุดอุปาทานอันหนาเตอะก็ถูกกะเทาะให้ร่วงกราวลงได้หมด จิตเบ่งบานถึงขีดสุดด้วยการเปิดไปพบมหาอิสรภาพคือนิพพาน ไม่ต้องเวียนกลับมาทนทุกข์ทนร้อนกันอีก

    จาก ๓ เหตุผลของการให้ทานตามอุดมคติของพระพุทธศาสนาดังกล่าวข้างต้น ทำให้พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญทานอันเกิดจากการฝืนใจทำชั่วครั้งชั่วคราว แต่พระองค์จะสรรเสริญผู้ที่มีความ ‘ตั้งมั่นในทาน’ หมายถึงการ ‘มีแก่ใจคิดให้’ ไปเรื่อยๆ เป็นนิสัย เป็นความเคยชิน เป็นธรรมชาติแท้จริงที่ไม่ได้เกิดจากการฝืนใจหรือเล็งโลภหวังผลต่างๆนานา

    เมื่อรู้จักฝึกเป็นฝ่ายให้ได้ตลอดชีวิต นั่นแหละจะก่อนิสัยใหม่ทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า พูดง่ายๆให้รวบรัดคือเปลี่ยนแปลงตนเองจากความเป็นคน ‘ไม่ได้มีใจจริงที่คิดจะให้’ เป็นคน ‘มีใจจริงที่จะให้’

    อย่างไรก็ตาม การทำทานที่ ‘พอดี’ คือทำแต่ละครั้งไม่รู้สึกว่าตนต้องเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง ไม่ได้กู้ยืมใครเขามาทำทาน แต่ทำบ่อยๆจนรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องให้อย่างสมควรแก่ฐานะ คือไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ให้แล้วยังมีกินมีใช้อย่างสบาย

    การทำทานแบบไม่ลืมหูลืมตาจน ‘เกินพอดี’ นั้น คือทำด้วยจิตที่เล็งโลภอยู่ว่าจะได้ผลตอบแทนมากมาย ยิ่งทำเกินตัว จ่ายทรัพย์มากหวังผลมากแบบนักลงทุน อย่างนั้นแทนที่จะได้ดีอาจกลับกลายเป็นได้ร้าย สวนทางเหตุผลของการให้ทาน คือ

    ๑) เป็นผู้ไม่มีความสุขในปัจจุบัน คือสะสมความโลภ วันๆคิดแต่เรื่องการ ‘ลงทุนทำทาน’ เพื่อให้รวยเร็ว หรือเพื่อให้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงส่ง เมื่อกระวนกระวายเล็งรับผลอยู่ ใจย่อมไม่เป็นสุข ความตระหนี่ย่อมไม่หายไปไหน ซ้ำร้ายอาจพอกพูนขึ้นกว่าเดิม เห็นได้จากการที่บางคนทำบุญด้วยการกะเกณฑ์ว่าบุญกองนี้เป็นส่วนของฉันเท่านั้น ห้ามใครยุ่งเกี่ยว ห้ามใครมามีส่วนร่วม นั่นสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ายังขาดความเข้าใจเรื่องการแบ่งปัน การมีน้ำใจต่อส่วนรวม อันเป็นเป้าหมายแท้จริงของการเสียสละเป็นทาน

    ๒) เป็นผู้ไม่มีความสุขในอนาคต คือสั่งสมบุญอันเจือด้วยความโลภ แม้อนาคตกาลเมื่อเกิดใหม่ในตระกูลร่ำรวย หรือได้เป็นพ่อค้าแม่ขายที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจแล้ว ความร่ำรวยนั้นย่อมกระตุ้นให้ละโมบโลภมาก เนื่องจากเคยเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งทำบุญในอดีตชาติ ว่าขอให้รวย ขอให้มีมาก หาใช่ด้วยน้ำใจสละออก เมื่อรวยและมีมากสมใจ จึงไม่คิดแบ่งปันใคร คิดเป็นแต่จะเอาเข้าตัว พอกพูนให้มากยิ่งๆขึ้นไป คุณลองหามาเถอะ เศรษฐีโลภมากคนไหนบ้างที่เป็นสุขทางใจ ไม่ว่าจะมีกี่ร้อยกี่ล้าน ความตระหนี่และความละโมบโลภมากย่อมเป็นของหนัก ของดำ ของน่าเกลียดน่าอึดอัด ติดจิตติดใจเขาไปทุกฝีก้าว เขาได้ชื่อว่าครอบครองสมบัติเพื่อเป็นทุกข์ทางใจโดยแท้

    ๓) เป็นผู้ไม่มีความสุขที่ยั่งยืน คือสวนทางกับการสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้พบนิพพาน เพราะจะพบนิพพานได้นั้น จิตต้องบริสุทธิ์จากกิเลส แต่นี่ทำบุญเพื่อบำรุงกิเลส ผลแห่งบุญก็ย่อมมีความขัดแย้ง มีความขัดขืนฝืนต้าน ไม่ยอมให้เข้าสู่ทางไปนิพพานได้เต็มตัว

    สรุปสั้นๆนะครับ ผลอันทันตาทันใจของ ‘การให้ทานที่พอดี’ คือความรู้สึกสบายใจในวันนี้ และอบอุ่นใจกับวันหน้า ตราบใดยังไม่สบายใจในวันนี้ และยังไม่อบอุ่นใจกับวันหน้า ก็แปลว่าคุณยังมีความไม่พอดีกับการทำทานนั่นเอง




    ดังตฤณ

    http://dungtrin.com/mag/?19.prepare
     
  2. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ . . . ดีแล้วชอบแล้ว


    .
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    โมทนาครับ ทำทานตามกำลังที่มีครับ อย่าให้ตัวเองและครอบครัวเดือดร้อน แล้วจะมีความสุขครับ
     
  4. ก้อง

    ก้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +397
    ให้ทำเท่าที่เราจะให้ได้ก่อน โดยเราเองไม่เดือดร้อน แต่ก็ให้คิดว่า ถ้ามีเมื่อไหร่ ก็จะให้อีก
     

แชร์หน้านี้

Loading...