ทำงาน ‘รับจ้าง’ 3 ปี เพื่ออาหารถาดเดียว

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย omio, 18 ธันวาคม 2008.

  1. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,215
    เรื่องนี้เกิดที่เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย เด็กหนุ่ม "คันธะ" เกิดมาบนกองทรัพย์กองใหญ่ เพราะคุณพ่อเป็นเศรษฐีใหญ่ที่ได้รับการทรงตั้งจากองค์ราชา

    พอ พ่อเศรษฐีถึงแก่กรรมแล้ว คันธะก็ได้รับราชโองการให้เข้าเฝ้า และได้รับพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีใหม่สืบต่อพ่อ ปรากฏชื่อที่คนสาวัตถีเรียกขานกันว่า "คันธเศรษฐี"ทรัพย์ สมบัติที่บิดาทิ้งไว้ก่อนสิ้นลมก็มี "มหาศาล" ดังนั้นการจะใช้สอยอย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็จะต้องคิดการอ่านเขียนให้ดี เพราะไม่เช่นนั้น กองทรัพย์ที่ว่าอาจมลายหายไปในพริบตาได้


    สำหรับคันธเศรษฐีใช้จ่ายทรัพย์อย่างไร มาดูกันหน่อย


    อย่างแรก เขาเอาเงินแสนหนึ่ง (แสนกหาปณะ) ไปทำห้องน้ำ...แก้วผลึกทั้งหลัง
    อย่างสอง ใช้เงินแสนหนึ่งทำบัลลังก์โก้หรูนั่ง
    อย่างสาม ใช้เงินแสนหนึ่งทำถาดใส่อาหาร
    อย่างสี่ ใช้เงินแสนหนึ่งสร้างมณฑปอย่างงามเป็นที่สังสรรค์รับประทาน
    อย่างห้า ใช้เงินแสนหนึ่งทำตั่งรองถาดอาหาร
    อย่างหก ใช้เงินแสนหนึ่งสร้างสีหบัญชรในเรือน


    ค่า อาหารแต่ละวัน...อาหารเช้าพันหนึ่ง อาหารเย็นพันหนึ่ง แต่วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง จะจ่ายค่าอาหารถึงแสนกหาปณะต่อวันทีเดียว...นับว่ากินเพื่อโก้หรู เพื่อบำรุงบำเรอแท้จริง


    พอถึงคราวจะกินแต่ละมื้อ เศรษฐีก็ยังลงทุนใช้เงินอีกแสนหนึ่งตกแต่งบริเวณบ้านชนิดที่ว่า "กินแต่ละครั้งมันต้องเริดหรูอลังการ" จากนั้นก็ให้คนเที่ยวตีกลองป่าวประกาศให้คนมาดู "การเปิบอาหารของตน" ซึ่งก็มีไทยมุงมาดูกันแน่นขนัดทุกรายการแทบไม่น่าเชื่อ


    ถึง คราวอาบน้ำ ต้องใช้น้ำหอมถึง 16 ถัง อาบน้ำเสร็จแต่งกายเรียบร้อย เศรษฐีก็เปิดสีหบัญชรนั่งบัลลังก์ ณ เวลานั้น บริกรรับใช้ก็นำถาดมาวางบนตั่งรองตักอาหารมีราคาค่าแสนหนึ่งบริการ. โดยมีนางนักรำแวดล้อมให้ความบันเทิงตลอดโภชนเวลา


    ในความเอร็ดอร่อยของเศรษฐี แต่เป็นความหิวกระหายของชายบ้านนอกคนหนึ่งที่หาฟืนมาแลกเสบียงอาหารในเมืองซึ่งพักแรมในเรือนของสหาย
    " ตั้งแต่เกิดเราไม่เคยเห็นการกินแบบนี้เลย มันช่างใหญ่โตหรูหราพาเพลินเสียจริง ข้าอยากกินอาหารที่อยู่ในถาดนั้นแล้วล่ะ" สหายบ้านนอกเกริ่นให้สหายในเมืองฟัง สหายในเมืองกล่าวเตือนสหายบ้าน นอกว่า อย่าได้พร่ำเพ้อรำพันถึงอาหารถาดนั้นเลย ถึงอย่างไร ก็ไม่มีวันได้มันมาหรอก เลิกล้มความอยากนั้นจะดีกว่า


    แต่สหายบ้านนอกกลับยืนกรานพร้อมยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า เมื่อไม่ได้อาหารถาดที่ว่าข้าจะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เพราะอยู่ไปก็แค่นั้น อยู่ไปก็ไร้ความสุขอยู่ดี สหายในเมืองซึ่งยืน อยู่ท้ายกลุ่มไทยมุงทนรบเร้าไม่ไหว จำส่งเสียงดังๆ ขึ้น 3 ครั้งไปทางเศรษฐีว่า ท่านคันธเศรษฐีขอรับ ขอได้โปรดเถอะ เพื่อนจากบ้านนอกคนหนึ่งของกระผม กระสันอยากจะกินอาหารเมนูเลิศรสในถาดที่ท่านกำลังเอร็ดอร่อยอยู่ ท่านพอเมตตาที่จะแบ่งให้เขาสักก้อนจะได้มั้ย


    "ให้ไม่ได้หรอก" เศรษฐีตอบทันควัน


    "หากไม่ได้เขาก็จะตายต่อหน้าท่าน.และหมู่คนที่มามุงดู ณ ที่นี้นะ"


    เศรษฐี เอ่ยขึ้นว่า ถ้าเพื่อนของเธอขอ คนอื่นๆ ก็ต้องขอ หากข้าให้เพื่อนเจ้า เราก็ต้องให้คนอื่นๆ ด้วย เมื่อหมดสิ้นแล้วข้าจะกินอะไร ลองตรองดู
    แต่ สหายในเมืองก็ยังยืนคำเดิมว่า หากไม่ได้ก็จะได้เห็นการตายเกิดขึ้นในที่นี้ ขอท่านเศรษฐีจงเห็นแก่ชีวิตของเขา หรือไม่ก็ลูกเมียของเขาทีเถิด.


    คันธ เศรษฐีทนรำคาญไม่ไหว หรือเพราะเห็นใจไม่ทราบได้จึงใจอ่อนยอมให้ แต่จะให้ง่ายๆ ก็เกรงไทยมุงจะหาว่าลำเอียง ก็เลยยื่นข้อเสนอกลับไปให้พิจารณา ถ้าตกลงตามนั้นก็โอเค


    "เขาไม่อาจ ได้เปล่าๆ นะ เพื่อนของเธอจะต้องทำงานรับจ้างในเรือนของเราเป็นเวลา 3 ปี เราจึงจักให้อาหารถาดหนึ่งแบบที่เรากินในวันเพ็ญแก่เขา"


    สหายบ้าน นอกได้ยินเช่นนั้นจึงตอบตกลงทันที และตั้งแต่นั้นก็เข้ามาอยู่ในเรือนเศรษฐี ทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะในเรือนหรือในป่า กลางวันหรือกลางคืน เขาทำได้อย่างเรียบร้อยจนได้คำชมจากเศรษฐีอยู่บ่อยครั้ง
    นายคนนี้ โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนในเมือง มิมีใครที่ไม่รู้จักเขา และรู้จักเขาดีในฐานะผู้ทำงานรับจ้าง 3 ปีเพื่ออาหารถาดเดียว ประชาชนจึงได้ตั้งชื่อเขาว่า "นายภัตตภติกะ" แปลว่า ผู้รับจ้างเพื่อให้ได้อาหาร

    ชื่อของเขาได้เป็นที่รู้จักกันทั่วเมือง เมื่อรับจ้างครบ ๓ ปี ท่านเศรษฐีก็ให้อาหารแก่เขาตามสัญญา

    พวกชาวเมืองพากันมาดูการบริโภคอาหารของนายภัตตภติกะ ในขณะที่นายภัตตภติกะกำลังล้างมือเพื่อบริโภคอาหาร พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเพิ่งออกจากสมาบัติ เหาะมาทางอากาศมายืนอยู่ตรงหน้า นายภัตตภติกะเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วคิดว่า เราได้ทำงานรับจ้างในเรือนเศรษฐีมา ๓ ปี ก็เพื่อแก่ถาดภัตรถาดเดียว เพราะการที่เราไม่ได้ให้ทานแต่กาลก่อน บัดนี้ภัตรที่เราได้มานี้ ถ้าเราบริโภคเข้าไป ก็จะรักษาชีวิตของเราไว้ได้เพียงวันหนึ่ง คืนหนึ่งเท่านั้น


    ก็เราถวายภัตรนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้า ย่อมได้รับอานิสงส์มากมาย จึงยกเอาภัตรขึ้นเกลี่ยภัตรลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้าจนหมด ยกมือขึ้นไหว้ แล้วเรียนว่า "ท่านขอรับ ผมอาศัยถาดภัตรถาดเดียว ต้องทำงานรับจ้างในเรือนคนอื่นถึง ๓ ปี ได้เสวยทุกข์แล้ว บัดนี้ ขอความสุขจงมีแก่กระผมในที่บังเกิดแล้วเถิด "ขอกระผมจงมีส่วนแห่งธรรม ที่ท่านเห็นแล้วเถิด"
    พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า "ขอจงสมคิดเถิด เหมือนแก้วสารพัดนึก ความดำริทั้งปวง จงเต็มเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ"
    ฝ่ายคันธเศรษฐี ได้ทราบว่านายภัตตภติกะถวายภัตรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า โดยที่นายภัตตภติกะยังไม่ได้บริโภคเลย จึงเกิดความปีติยิ่งนัก ได้แบ่งทรัพย์สมบัติของตนให้แก่นายภัตตภติกะนั้นครึ่งหนึ่ง



    ขอบคุณที่มา http://www.posttoday.com/
    อ.ตุ้ย วรธรรม
     
  2. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,215
    สัมปทา ๔ อย่าง
    จริงอยู่ ชื่อว่า สัมปทา มี ๔ อย่าง คือ...

    วัตถุสัมปทา...ปัจจัยสัมปทา... เจตนาสัมปทา... คุณาติเรกสัมปทา...

    ในสัมปทา ๔ อย่างนั้น พระอรหันต์ หรือพระอนาคามี ผู้ควรแก่นิโรธสมาบัติ ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ชื่อว่า วัตถุสัมปทา

    การบังเกิดขึ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย โดยธรรมสม่ำเสมอ (หมายถึงปัจจัยที่ใช้ในการถวายทาน ได้มาโดยสุจริต และชอบธรรม) ชื่อว่าปัจจัยสัมปทา

    ความที่เจตนาใน ๓ กาล คือในกาลก่อนให้ทาน ขณะกำลังให้ทาน และภายหลังจากให้ทาน สัมปยุตด้วยญาณ(ประกอบด้วยปัญญา)อันกำกับโดยโสมนัส(หมายถึงผู้ให้ทานมีปัญญา เชื่อในเรื่องกรรม และผลของกรรม พร้อมทั้งเกิดความปีติโสมนัสในการให้ทานยิ่งนัก ดังเช่นที่เกิดกับนายภัตตภติกะ) ชื่อว่าเจตนา สัมปทา

    การที่ พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ชื่อว่า คุณาติเรกสัมปทา

    ทานของนายภัตตภติกะ ถึงพร้อมด้วยสัมปทา ๔ คือ
    ๑.พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ขีณาสพ(ผู้สิ้นจากอาสวะกิเลส)เป็นทักขิไณยบุคคล เป็นวัตถุสัมปทา
    ๒. ปัจจัยของนายภัตตภติกะ ได้มาโดยชอบธรรม ด้วยการทำงานรับจ้าง ๓ ปี เป็นปัจจยสัมปทา
    ๓. เจตนาบริสุทธิ์ในกาลทั้ง ๓ เป็นเจตนาสัมปทา
    ๔. พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ เป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เป็นคุณาติเรกสัมปทา

    ด้วยอานุภาพแห่งสัมปทา ๔ นี้ นายภัตตภติกะ จึงบรรลุมหาสมบัติ ในทันตาเห็นทีเดียว เพราะฉะนั้น นายภัตตภติกะนั้น จึงได้สมบัติจากท่านเศรษฐี และต่อมาพระราชาได้ทราบเรื่องของนายภัตตภติกะ ทรงพอพระทัย พระราชทานโภคะให้เป็นอันมาก และได้พระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้เขา ได้มีชื่อว่า "ภัตตภติกะเศรษฐี"
    เมื่อ"ภัตตภติกะเศรษฐี"ถึงแก่กรรมแล้ว เขาได้ไปเกิดในเทวโลก เสวยทิพย์สมบัติอยู่ ๑ พุทธันดร(ช่วงระหว่างพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า กับพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า)เมื่อจุติจากเทวโลก(สิ้นภพชาติจากเทวโลก)แล้ว เขาได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยพระโคตรมสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้บวชเป็นสามเณร เมื่ออายุ ๗ ขวบ พร้อมกับได้บรรลุพระอรหัต เมื่ออายุ ๗ ขวบนั่นเอง
    (ที่มา...อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบถ เรื่องสุขสามเณร)


    ;aa14
     
  3. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,506
    อ่านแล้วก็ขออนุโมทนาในการทำบุญของท่านสุขสามเณรครับ สาธุ
    ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า คล่องตัวทั้งทางโลกและทางธรรม ตลอดสิ้นกาลนาน เทอญ
     
  4. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    ขอบคุณและอนุโมทนากับทั้งเจ้าของกระทู้และแหล่งข่าวค่ะ
    ซาบซึ้งใจจริงๆค่ะ ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้นเสด็จมาโปรด และ คันธเศรษฐี กับพระราชาเกิดปีติ จึงให้ทรัพย์สมบัติแก่นายภัตตภติกะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...