ทรงกำชับสาวกให้เล่าเรียนปฏิจจสมุปบาท

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 22 มกราคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเสด็จประทับอยู่ในที่หลีกเร้นแหน่งหนึ่งแล้ว ได้ทรงกล่าว
    ธรรมปริยายนี้ (ตามลำพังพระองค์) ว่า :-
    “เพราะอาศัย ตา ด้วย รูป ทั้งหลายด้วย จึงเกิด จักขุวิญญาณ;
    การประจวบแห่งธรรม ๓ ประการ (ตา + รูป + จักขุวิญญาณ) นั่นคือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
    เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
    เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
    เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขุโทมนัสอุปายาสทั้งหลายจึงมีขึ้นพร้อม :
    ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.

    เพราะอาศัย หู ด้วย เสียง ทั้งหลายด้วย จึงเกิดโสตวิญญาณ; การประจวบ
    แห่งธรรม ๓ ประการ (หู + เสียง + โสตวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    …ฯลฯ… …ฯลฯ…
    (ข้อความเต็มในกรณีแห่ง หู ก็มีอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งตา ทุกตัวอักษร, ต่างกัน แต่ชื่อ.
    ในกรณีแห่งจมูก ลิ้น กาย ก็มีนัยเดียวกัน. ในกรณีแห่งมโน จะเขียนเต็มอีกครั้งหนึ่ง).
    …ฯล ฯ… …ฯล ฯ… ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
    เพราะอาศัย จมูก ด้วย กลิ่น ทั้งหลายด้วย จึงเกิด ฆานวิญญาณ; การประจวบ
    แห่งธรรม ๓ ประการ (จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    …ฯลฯ… …ฯลฯ…
    …ฯลฯ… …ฯลฯ… ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการ อย่างนี้.
    เพราะอาศัย ลิ้น ด้วย รส ทั้งหลายด้วย จึงเกิด ชิวหาวิญญาณ; การประจวบ
    แห่งธรรม ๓ ประการ (ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    …ฯลฯ… …ฯลฯ…
    …ฯลฯ… …ฯลฯ… ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการ อย่างนี้.
    เพราะอาศัย กาย ด้วย โผฏฐัพพะ ทั้งหลายด้วย จึงเกิด กายวิญญาณ;
    การประจวบแห่งธรรม ๓ ประการ (กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    …ฯลฯ… …ฯลฯ…
    …ฯลฯ… …ฯลฯ… ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
    เพราะอาศัยใจ ด้วย ธัมมารมณ์ ทั้งหลายด้วย จึงเกิดมโนวิญญาณ;
    การประจวบแห่งธรรม ๓ ประการ (ใจ + ธัมมารมณ์ + มโนวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;

    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
    เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
    เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
    เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขุโทมนัสอุปายาส
    ทั้งหลายจึงมีขึ้นพร้อม : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.

    (ปฏิปักขนัย)

    เพราะอาศัย ตา ด้วย รูป ทั้งหลายด้วย จึงเกิด จักขุวิญญาณ; การประจวบ
    แห่งธรรม ๓ ประการ (ตา + รูป + จักขุวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา.
    เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งตัณหา นั้น จึงมีความดับแห่งอุปทาน;
    เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ;
    เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ;
    เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขุโทมนัส-
    อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.

    เพราะอาศัย หู ด้วย เสียง ทั้งหลายด้วย จึงเกิดโสตวิญญาณ; การประจวบ
    แห่งธรรม ๓ ประการ (หู + เสียง + โสตวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    …ฯลฯ… …ฯลฯ…

    (ข้อความเต็มในกรณีแห่ง หู ก็มีอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งตา ทุกตัวอักษร, ต่างกัน แต่ชื่อ
    ในกรณีแห่งจมูก ลิ้น กาย ก็มีนัยเดียวกัน. ในกรณีแห่งมโน จะเขียนเต็มอีกครั้งหนึ่ง).

    …ฯลฯ… …ฯลฯ… ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมี ด้วย
    อาการอย่างนี้.
    เพราะอาศัย จมูก ด้วย กลิ่น ทั้งหลายด้วย จึงเกิด ฆานวิญญาณ; การ
    ประจวบแห่งธรรม ๓ ประการ (จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    …ฯลฯ… …ฯลฯ…
    …ฯลฯ… …ฯลฯ… ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
    เพราะอาศัย ลิ้น ด้วย รส ทั้งหลายด้วย จึงเกิด ชิวหาวิญญาณ; การประจวบ
    แห่งธรรม ๓ ประการ (ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    …ฯลฯ… …ฯลฯ…
    …ฯลฯ… …ฯลฯ… ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
    เพราะอาศัย กาย ด้วย โผฏฐัพพะ ทั้งหลายด้วย จึงเกิด กายวิญญาณ; การประจวบแห่ง ธรรม ๓ ประการ
    (กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    …ฯลฯ… …ฯลฯ…
    …ฯลฯ… …ฯลฯ… ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
    เพราะอาศัยใจ ด้วย ธัมมารมณ์ ทั้งหลายด้วย จึงเกิดมโนวิญญาณ;
    การประจวบแห่งธรรม ๓ ประการ (ใจ + ธัมมารมณ์ + มโนวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
    เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา.
    เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งตัณหา นั้น จึงมีความดับแห่งอุปทาน;
    เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ;
    เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ;
    เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขุโทมนัส-
    อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.

    สมัยนั้น ภิกษุองค์หนึ่ง ได้ยืนแอบฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระ-
    เนตรเห็นภิกษุผู้ยืนแอบฟังนั้นแล้ว ได้ทรงกล่าวกะภิกษุนั้นว่า “ดูก่อนภิกษุ! เธอได้ยินธรรมปริยายนี้แล้วมิใช่หรือ?”
    “ได้ยินแล้ว พระเจ้าข้า!”

    “ดูก่อนภิกษุ! เธอจงรับเอาธรรมปริยายนี้ไป. ดูก่อนภิกษุ! เธอจงเล่าเรียนธรรมปริยายนี้. ดูก่อนภิกษุ! เธอจง
    ทรงไว้ซึ่งธรรมปริยายนี้. ดูก่อนภิกษ! ธรรมปริยายนี้ ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์”,ดังนี้ แล.

    ———————————————————————————————————–
    สูตรที่ ๕ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต์ นิทาน.สํ. ๑๖/๘๙/๑๖๖-๘, และสูตรที่ ๑๐ โยคักเขมิวรรค
    สฬายตนสังยุตต์ สฬา.สํ. ๑๘/๑๑๑/๑๖๓, กล่าวตามลำพังพระองค์ในคราวประทับหลีกเร้น ซึ่งมีภิกษุรูปหนึ่งยืนแอบฟังอยู่ด้วย.

    Pobbuddha
     

แชร์หน้านี้

Loading...