ตำนานผีปอบ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย สิกขิม, 20 มิถุนายน 2006.

  1. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    http://www.saranair.com/article.php?sid=7861



    " ผีปอบ" มีต้นกำเนิดมาจากผู้ที่มีวิชาไสยศาสตร์หรือมนต์ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอันเข้มขลังจากเวทมนตร์คาถาไปกระทำร้ายหรือทำลายชีวิตผู้อื่นได้ เช่น ทำ เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝังรอยเสกหนังควาย เสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณภูตผีไปเข้าสิง

    วิชาไสยศาสตร์เหล่านี้มีข้อห้ามข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์ซึ่งพระ พุทธเจ้าทรงระบุว่า เป็นเดียรฉานวิชาจะต้องระวังไม่ให้ละเมิดข้อห้ามข้อปฏิบัติโดยเด็ดขาด หากกระทำผิดข้อห้าม ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า "คะลำ" ก็จะเกิดโทษหนักในข้อ "ผิดครู" วิญญาณบรมครูจะลงโทษให้กลายเป็นปอบ

    หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่กลายเป็นปอบก็คือ เล่นคาถาอาคมอย่างคลั่งไคล้ และใช้ความขลังแห่งวิชามนต์ดำไปทำลายทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัวบาปกลัวกรรมกระทำชั่วเป็นอาจิณกรรม กระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับมาเข้าตัวเองกลายเป็นปอบไปในที่สุด

    "ผีปอบ" ยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น "ปอบ ธรรมดา" หมายถึงคนที่มีปอบสิงอยู่ในร่าง (คือตนเองเป็นปอบ ) เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยู่ก็จะ ตายตามไปด้วย

    "ปอบเชื้อ" หมายถึงครอบครัวใดพ่อแม่เป็นปอบเมื่อพ่อแม่ตายไปลูก หลานก็จะสืบทอดให้เป็นปอบต่อไป อีกประการหนึ่งเป็นกรรมพันธุ์ไม่ว่า จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม เรียกว่าเป็นปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ

    "ปอบแลกหน้า" หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ถนัดเอาความผิดไปโยนให้ผู้อื่น กล่าวคือเวลาไปเข้าสิงใคร เมื่อถูกสอบถามว่ามีผู้ใดเลี้ยงหรือบังคับ ปอบจะไม่บอกความจริง หากแต่จะไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้โดยที่ผู้ถูกระบุชื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

    " ปอบกักกึก " (กึก ภาษาอีสานแปลว่า "ใบ้") หมายถึงปอบที่ไม่ยอมพูดอะไรเวลามีคนถาม จนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของใครมีใครใช้ให้มาเข้าสิง

    ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิงหรือที่ชาวอีสานเรียกว่า "ปอบเข้า" จะมีอาการแตกต่างกันไป บางคนแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนจะนอนซมซึมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆ นาๆ แต่ไม่ว่าจะมีทีท่าอาการอย่างไร ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้นำอาหารสุกๆ ดิบๆ จำพวกหมูตับไก่ต้มมากินเหมือนๆ กัน เวลากินก็แสดงความตะกละมูมมามและกินได้จุผิดปกติ

    เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยถูกปอบเข้าสิง เขาก็จะไปตามหมอผีให้มาไล่ปอบ การไล่ปอบให้ออกจากร่างมีหลายวิธีตามแนวทางที่หมอผีได้ร่ำเรียนมา บางคนจะเอาพริกแห้งมาเผาให้ควันรมคนป่วยจนสำลักควันน้ำตาไหลพราก

    ครั้นปอบออกจากร่างแล้ว หมอผีจะข่มขู่สอบถามว่าผีปอบเป็นใครมาจากไหน เมื่อปอบรับสารภาพหมอผีก็จะปล่อยไป คนป่วยได้สติหายเป็นปกตินัยน์ตาที่แดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกเผารมจะหายไปทันที แต่เจ้าของปอบกลับมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือดจนต้องหลบหน้าอยู่แต่ในห้องไม่กล้าให้ใครพบหน้า

    อีกวิธีหนึ่ง ที่หมอผีทั่วไปนิยมใช้ไล่ผี คือใช้หวายเฆี่ยนไล่ปอบซึ่งก็เท่ากับเฆี่ยนคนป่วยนั่นแหละ
    หากปอบกล้าแข็งหมอผีจะเฆี่ยนหนักๆ กระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วยรอยหวาย เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไปร้อยหวายก็จะจางหายไปทันที แต่วิธีไล่ผีปอบแบบนี้เคยเป็นเรื่องเป็นข่าวมาแล้ว เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้ถูกปอบเข้าสิงหากป่วยเป็นโรคประสาท ญาติคิดว่าปอบเข้าจึงไปตามหมอผีมาไล่ หมอผีจัดการเฆี่ยนคนป่วยด้วยหวายได้รับบาดเจ็บบอบช้ำจนหลายครั้งหลายหน โดยคิดว่าปอบฮึดสู้ไม่ยอมแพ้ ในที่สุดคนป่วยก็เสียชีวิตร้อนถึงตำรวจต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมาย และหมอผีคงคิดคุกติดตะรางไปตามระเบียบ

    อีกวิธีหนึ่งหมอผีจะนำสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวบางชนิด มาข่มขู่ให้ปอบกลัว เช่น คางคก ตุ๊กแกหรืองู ในกรณีนี้ คนที่ถูกปอบเข้าสิงมักจะเป็นผู้หญิงหรือตัวปอบเป็นหญิง แม้จะเป็นผีปอบ (เธอ) ก็ยังขยะแขยงสัตว์ประเภทนี้ และมักจะยอมออกจากร่างที่เข้าสิงง่าย ๆ

    ผีปอบที่แก่กล้าเวลาเข้าสิงใครจะออกยาก กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย เมื่อหมอผีดำเนินการไล่ผีปอบจากร่างที่ถูกปอบสิงมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมอยู่ใต้ผิวหนังปูดนูนขึ้นมา เวลาหมอผีจี้ก้อนกลมๆ นี้ด้วยไพลเสก มันจะเลื่อนหนีได้ และเมื่อก้อนกลมๆ นี้หายไป หมอผีที่มีวิชาอาคมยังไม่เก่งนักมักคิดว่าปอบออกไปแล้ว แต่ที่จริงปอบมันจะเลื่อนหนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบหรืออวัยวะเพศ ทำให้หาไม่พบ

    สำหรับหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมเข้ามัดข้อมือข้อเท้าและรอบคอด้วยด้ายสายสิญจน์ เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจากร่าง จากนั้นก็จะใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลมๆใต้ผิวหนัง เรียกว่าก้อนกลมนี้หนีไปที่ใดก็จะตามจี้ไม่ยอมปล่อย เวลาที่ถูกไพลเสกจี้ทางอีสานเรียกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2006

แชร์หน้านี้

Loading...