ตอนที่ 29 ปาฏิหาริย์อันลึกลับ

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 4 ตุลาคม 2014.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,852
    การที่ใจหนึ่งนึกอยากจะโกรธแล้วสามารถรั้งความโกรธไว้ได้ทันท่วงทีในขณะนั้นหาใช่เหตุอื่นใดไม่ หากเกิดจากผลโดยตรงจากการฝึกสมาธิที่ทำให้สติอยู่กับเนื้อตัวและทันต่อความคิด จึงสามารถรั้งความโกรธเอาไว้ได้ทันท่วงที

    และใจหนึ่งที่รำลึกถึงคุณของแม่ชีก็เพราะได้คิดว่าแม่ชีก็รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีพระสมเด็จฝังกรุอยู่ในวัดระฆังเลย แต่ยังสู้อุตส่าห์บอกที่ทางให้หลายที่ซึ่งแต่ละที่ก็เป็นที่สงบวิเวกทั้งสิ้น จึงเท่ากับเป็นการแนะสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนอานาปานสตินั่นเอง

    ก็เพราะว่าการฝึกปฏิบัติอานาปาณสติภาวนานั้นจะให้ได้ผลดีก็ต้องมีสมรภูมิหรือชัยภูมิอันเลิศ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำไว้ว่าให้ไปที่เรือนว่างหรือป่าช้าหรือป่าหรือที่เปลี่ยวหรือถ้ำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่สงบสงัดวิเวก เกื้อกูลต่อการที่จิตจะรวมตัวตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว

    เมื่อสติตั้งมั่นแล้วจิตก็จะมีความบริสุทธิ์ผ่องแผ้วเพิ่มมากขึ้น จิตที่บริสุทธิ์ในขณะที่ครองสติไม่ขาดตอน ไม่เผลอเรอนั้น จิตนั้นย่อมอ่อนควรแก่การทำหน้าที่การงานของจิตในระดับที่เป็นไปตามภูมิธรรมหรือการฝึกฝนอบรมมา ลักษณาการฝึกฝนอบรมจิตดังนี้พระท่านเรียกว่าฝึกอบรมจิตให้ประกอบด้วยองค์สาม คือเป็นสมาหิโตหนึ่ง เป็นปาริสุทโธหนึ่ง และเป็นกัมมนิโยอีกหนึ่ง

    จิตอันประกอบด้วยองค์สามนี้แล้วเป็นจิตที่มีความผ่องแผ้วโดยลำดับ และเป็นลักษณะของจิตที่อยู่ในคำสอนแห่งโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งทรงตรัสสอนไว้เป็นสามลำดับ คือละบาปหนึ่ง ทำดีหนึ่ง และทำจิตให้ผ่องแผ้วหนึ่ง จิตที่ผ้องแผ้วในโอวาทปาฏิโมกข์นี้ก็คือจิตที่ประกอบด้วยองค์สามดังกล่าวนั่นเอง แต่จะผ่องแผ้วระดับไหนขั้นไหนนั้นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่กับการฝึกฝนอบรมจิตของแต่ละคน และจะได้รับผลหรืออานิสงส์ตามลำดับขั้นที่พึงได้สำหรับการฝึกฝนหรืออบรมจิตในขั้นนั้นๆ

    การที่แม่ชีเฒ่าบอกกล่าวสถานที่หลายแห่งที่เสมือนหนึ่งว่าให้เป็นสถานที่ตั้งจิตอธิษฐานอาราธนาขอพระสมเด็จ แต่แท้จริงแล้วก็คือการแนะนำสถานที่ในการฝึกฝนอบรมจิตให้ยกระดับสูงขึ้นนั่นเอง ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้พระสมเด็จดังประสงค์ แต่ก็ได้รับโอกาสในการฝึกฝนอบรมจิตที่คาดคิดไม่ถึงมาทดแทนและคุ้มค่ามาก

    หลังจากตั้งความเพียรพยายามที่จะได้พระสมเด็จรุ่นแรกๆ สูญสลายไปในครั้งนั้นแล้วผมก็หมดความคิดความใฝ่ฝันและเลิกแสวงหาพระสมเด็จรุ่นแรกๆ ตั้งแต่บัดนั้นจนมาถึงบัดนี้

    แต่บางทีก็เป็นเรื่องแปลกเพราะในยามที่สิ้นแล้วซึ่งความปรารถนาที่จะได้พระสมเด็จรุ่นแรกๆ เพราะได้เพียรพยายามมานักต่อนักก็ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เหตุการณ์ประหลาดมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น

    คืนวันหนึ่งเป็นคืนแห่งฤดูฝน ฝนตกหนักมาก ผมกลับมาจากดูหนังรอบค่ำที่โรงหนังบ้านขมิ้นเป็นเวลาสามทุ่มเศษแล้ว ในขณะที่เดินผ่านประตูคณะหนึ่งมาใกล้จะถึงชานบันไดข้างกุฏิหลวงปู่นาค ขณะนั้นมืดสนิทแล้ว ก็เห็นเหตุการณ์ประหลาดที่มิได้คาดคิดมาก่อน

    ปรากฏเป็นแสงไฟสว่างจ้าขึ้นที่ตู้พระไตรปิฎกเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใต้ถุนกุฏินั้น เป็นแสงสว่างในลักษณะสีแดงปนเหลือง แผ่เป็นวงกว้าง รัศมีเกือบสองวา แม้จะปรากฏเป็นแสงสวยสดงดงามเจิดจ้า แต่ทำเอาผมตกใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะก้าวขาก็ไม่ออกจึงหยุดยืนชะงักอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง

    ใจหนึ่งก็คิดว่าหรือเกิดจากไฟฟ้าช็อตในบริเวณนั้น อีกใจหนึ่งก็ระแวงว่าถูกผีหลอก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดล้วนเป็นเรื่องไม่ปลอดภัยแก่ตัวทั้งสิ้น แต่ผมเป็นคนมีสติมั่นคงในยามเช่นนั้น แม้ไม่กล้าจะเดินฝ่าผ่านไปแต่ก็กุมสติหันหลังกลับ เลี้ยวอ้อมกุฏิหลวงปู่นาคไปทางด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีพงหญ้ารกไปจนถึงริมรั้วต้นชบาของกุฏิธรรมนิวาสแล้วมุดรั้วลวดหนามเข้ากุฏิไป

    ผมกลับเข้ากุฏิแล้วแต่ในใจก็ยังหวาดหวั่นด้วยความรู้สึกประหลาดใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องราวใดกันหนอ คิดตรองเท่าใดก็ไม่ได้ความชัด จึงคิดผลัดเป็นว่าไว้วันรุ่งพรุ่งนี้จะค่อยหาสาเหตุให้จงได้

    ผมข่มใจนอนให้หลับก็ไม่หลับเพราะในใจนึกถึงแต่เหตุการณ์ที่มีแสงไฟประหลาดบังเกิดขึ้นที่ตู้พระไตรปิฎกเก่าแก่นั้น

    หมอปานเห็นผมนอนพลิกไปพลิกมานานช้าแล้วก็ยังไม่หลับ ประกอบกับวันนั้นหมอปานไอลุกขึ้นมาหายาแก้ไอกิน จึงถามผมว่าวันนี้เป็นอะไรดูกระสับกระส่ายชอบกล

    ผมเกรงว่าหมอปานจะกังวลตามไปด้วย จึงแสร้งบอกว่าไปดูหนังมาเป็นหนังผี รู้สึกน่ากลัว เรื่องราวในหนังยังติดตามมาถึงกุฏิจึงนอนไม่ค่อยหลับ

    หมอปานจึงว่าอยู่วัดจะไปกลัวผีทำไม เดินผ่านข้างโบสถ์มีโกดังเก็บศพล้วนเป็นผีทั้งนั้น ไม่เห็นผีทำอะไรคนได้เลย ผีที่นอนอยู่ในโกดังทำอะไรคนไม่ได้ แล้วผีที่ไหนจะมาหลอกหลอนคน หมอปานกล่าวต่อไปว่าเกิดมาเป็นคนอย่าไปคิดกลัวผี หากจะกลัวก็กลัวคนด้วยกันจะดีกว่า เพราะผีหลอกไม่ร้ายเท่าคนหลอก ดูอย่างเรานี่เป็นไรถูกผู้หญิงหลอกจนหมดตัว ต้องมาพึ่งพาอาศัยวัดจนบัดนี้

    ผมก็รับคำหมอปานแล้วชวนกันนอน พอล้มหัวลงถึงหมอนผมก็ทำใจให้อยู่ในสมาธิไปจนกระทั่งรุ่งสาง

    วันรุ่งขึ้นผมตามพระไปบิณฑบาตตามปกติ ในขณะที่เดินผ่านตู้พระไตรปิฎกเก่าแก่ทั้งสองใบนั้นก็ชำเลืองมอง เผื่อว่าจะได้เห็นร่องรอยอะไรให้ปรากฏว่าแสงไฟเมื่อคืนเกิดจากสาเหตุใด แต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ คงเห็นแต่ตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนั้นเป็นปกติเหมือนที่เคยเห็นทุกวัน เป็นแต่วันนี้ตู้พระไตรปิฎกคร่ำคร่าทั้งสองใบนั้นเปียกโชกด้วยน้ำฝนซึ่งไหลมาตามพื้นชานข้างกุฏิหลวงปู่นาค

    เมื่อกลับจากบิณฑบาต จัดแจงอาหารการกินเสร็จสรรพแล้ว ผมจึงเดินออกจากประตูกุฏิไปที่ตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนั้นอีกครั้งหนึ่ง ยืนพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดก็เห็นเป็นตู้พระไตรปิฎกเหมือนที่เคยเห็นอยู่ทุกวัน แต่เพราะการพิจารณาโดยละเอียดจึงได้รู้ว่าทุกครั้งที่มีฝนตกน้ำฝนก็จะไหลตามพื้นชานข้างกุฏิลงมาที่ตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนี้จนทำให้ดูเก่าคร่ำคร่าและชำรุดไปตามกาลเวลา โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนี้ตั้งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใด

    ครั้นไม่พบสิ่งใดผิดปกติผมจึงเปิดตู้พระไตรปิฎกใบที่ประตูตู้เปิดอ้าอยู่แล้วตรวจดูสิ่งของภายในตู้ ก็ยังคงเห็นเป็นคัมภีร์ใบลานเก่าแก่เหมือนที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน ผมจึงเปิดตู้พระไตรปิฎกอีกใบหนึ่งก็เห็นลักษณะเป็นอย่างเดียวกันกับตู้ใบก่อน คือน้ำฝนไหลซึมเข้าไปภายในตู้จนคัมภีร์ใบลานเก่าคร่ำคร่า บ้างก็ผุไปตามกาลเวลา

    แต่สะดุดใจที่เห็นขอบกระดาษแข็งแผ่นหนึ่งซึ่งไม่เปียกน้ำเหมือนกับคัมภีร์ใบลานโผล่ออกมาจากใต้คัมภีร์ใบลานประมาณสักนิ้วเศษ ผมดึงขอบกระดาษแข็งนั้นออกมาดู ปรากฏว่าเป็นกระดาษกรอบรูปเก่าแก่คร่ำคร่าที่มีรูปพระภิกษุชราองค์หนึ่งในท่านั่งสมาธิปิดอยู่ที่กรอบรูปนั้น.

    โปรดติดตามตอนที่ 30 “ปาฏิหาริย์อันลึกลับ (ต่อ-จบ)” ในวันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2549
     
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,852
    ตอนที่ 29 ปาฏิหาริย์อันลึกลับ (ต่อ-จบ)

    ดูลักษณะท่านั่งก็ทราบได้จากลักษณะเฉพาะในทันทีว่าเป็นภาพของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี มีข้อความพิมพ์ไว้ข้างใต้ภาพว่า “เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี พระผู้ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ สำเร็จทรงพรหมวิหารชั้นสูง เป็นเอกพระมหาเถราจารย์ ทรงพระอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ มีพระอัจฉริยานุภาพเป็นที่น่าเลื่อมใส น่าถวายความเคารพบูชาอันแท้จริง”

    ผมมีอาการขนลุกซู่ชูชันขึ้นในทันทีราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านจากภาพถ่ายนั้นจนสะดุ้งขึ้นทั้งตัว พอตั้งสติได้ผมก็พนมมือยกรูปนั้นเทิดไว้เหนือศีรษะ ในใจก็ภาวนาคาถาอาราธนาพระว่า “พุทธัง อาราธนานัง ธัมมัง อาราธนานัง สังฆัง อาราธนานัง” จนครบสามจบ

    การยกมือขึ้นพนมพร้อมกับรูปถ่ายและการภาวนาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะสตินึกรู้ว่าความปรารถนาที่จะแสวงหาพระสมเด็จรุ่นแรก ๆ แม้ไม่ได้เป็นพระเครื่องแต่ก็ได้เป็นภาพถ่ายอันอยู่ในมือบัดนี้แล้ว และนี่เกิดแต่เจ้าประคุณสมเด็จบันดาลให้เป็นไปตั้งแต่เมื่อเห็นแสงไฟในตอนกลางคืน และสะดุดใจมาเปิดค้นหาในตู้พระไตรปิฎก จึงได้พบภาพดังกล่าว เพราะหาไม่แล้วไหนเลยจะค้นหาภาพดังกล่าวได้พบ

    ผมอาราธนาพระจบสามรอบก็เอาภาพถ่ายเจ้าประคุณสมเด็จนั้นเข้าไปไว้ที่โต๊ะหนังสือของผมแล้วลงมาปรนนิบัติพระ ในขณะที่จิตใจก็อิ่มเอิบเบิกบานด้วยปิติว่าความปรารถนาที่จะได้พระสมเด็จแต่ไม่สมความปรารถนา ครั้นวางความปรารถนาลงแล้วสิกลับได้ภาพถ่ายของเจ้าประคุณซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นภาพเก่าแก่และได้มาโดยไม่ต้องหาซื้อแต่ประการใด

    ความอันพิมพ์ไว้ใต้ภาพของเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเนื้อความอันไพเราะงดงามและเคร่งขลัง บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงศีลาจริยาวัตรและภูมิธรรมในพระพุทธศาสนาของเจ้าประคุณสมเด็จอย่างถูกตรงที่สุดเท่าที่จะหาคำบรรยายภาพเจ้าประคุณสมเด็จได้

    ความที่ว่าเจ้าพระคุณเป็นพระผู้ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์นั้น ควรสังเกตว่าได้ใช้คำว่า “ทรง” ซึ่งเป็นความหมายทางราชาศัพท์ที่มีฐานันดรศักดิ์ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป บ่งบอกถึงความเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่คำที่จะพึงใช้กับพระที่มีสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ยกเว้นก็แต่สมเด็จพระสังฆราชซึ่งเทียบชั้นฐานันดรศักดิ์เท่ากับหม่อมเจ้า

    เจ้าประคุณสมเด็จถึงจะทรงสมณศักดิ์เป็นที่สมเด็จพระราชาคณะแต่ก็ยังไม่ถึงชั้นสมเด็จพระสังฆราช โดยปกติจึงไม่อาจใช้คำว่าทรงได้ การใช้คำว่าทรงในที่นี้มีมาแต่เหตุที่เชื่อถือกันว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย ตั้งแต่ครั้งที่ยังทรงปฏิบัติราชการอยู่ที่กรุงเก่า เกิดแต่มารดาชื่อเกตุ (ธิดานายชัย) มีสูติกาลเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จ.ศ.1150 ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นที่หม่อมเจ้า แต่ก็เล่าขานกันสืบต่อมาว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า คือเกิดแต่พระราชบิดาในขณะที่ทรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้ากับมารดาซึ่งเป็นคนสามัญ

    ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้วก็ทรงโปรดปรานเจ้าประคุณสมเด็จซึ่งขณะนั้นยังเป็นแค่สามเณรเป็นพิเศษ ถึงกับทรงถวายเรือบัลลังก์กัญญาหลังคากระแชงเป็นพาหนะให้ท่านใช้สอยตามอัธยาศัย มีพลพายตามฐานันดรศักดิ์ชั้นหม่อมเจ้าเป็นกรณีพิเศษด้วย

    บางตำนานระบุว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์แล้ว ทรงถือว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า โดยทรงยกย่องเป็นการส่วนพระองค์เสมือนหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จเป็นหม่อมเจ้า และทรงไว้วางพระราชหฤทัยเสมือนหนึ่งว่าเป็นพระราชวงศ์

    ดังนั้นหลายครั้งหลายหนที่เจ้าประคุณสมเด็จยามเดินทางโดยทางเรือจึงใช้เรือบัลลังก์กัญญา มีพลทหารพายตามอิสริยยศของหม่อมเจ้า บางครั้งเวลาออกบิณฑบาตรเจ้าประคุณคิดสนุกขึ้นมาก็ออกบิณฑบาตรด้วยเรือบัลลังก์กัญญานี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับพระราชทานสิทธิ์พิเศษจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัวสามารถเข้านอกออกในพระบรมมหาราชวังได้โดยไม่ต้องขอรับพระบรมราชานุญาต

    เหตุนี้จึงเป็นที่มาของกรณีที่เจ้าประคุณสมเด็จจุดไต้เข้าไปในพระบรมมหาราชวังสมัยเมื่อครั้งที่มีคำเล่าขานในทางร้ายว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้มีบาทบริจาริกา พระสนมและนางกำนัลเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นทำนองถวายพระพรเตือน และหลังจากครั้งนั้นแล้วก็ปรากฏว่าพระเจ้าอยู่หัวมิได้รับสตรีใดเป็นบาทบริจาริกาอีกเลย

    สมัยหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จได้รับอาราธนาเข้าไปบิณฑบาตรข้างในพระตำหนักของฝ่ายในซึ่งจัดให้มีการรับบิณฑบาตรโดยทางเรือในสระภายในบริเวณพระตำหนัก เจ้าประคุณสมเด็จรับบิณฑบาตรแล้วก็ไม่ยอมขึ้นจากเรือ คงสั่งให้พายเรือวนเวียนอยู่ในสระเป็นหลายรอบแต่มิได้ถวายพระพรประการใด ในชั้นหลังมีผู้สันนิษฐานว่าการกระทำของเจ้าประคุณในครั้งนั้นคือการเตือนด้วยปริศนาธรรมว่าจะบังเกิดเหตุเรือล่มและจะสูญเสียพระมเหสีและพระธิดา แต่ไม่สามารถถวายพระพรโดยตรงได้เนื่องจากเป็นการขัดกับวิบากกรรม ต่อมาเจ้านายของพระตำหนักนั้นได้รับสถาปนาเป็นที่พระมเหสีในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง และเกิดเหตุการณ์เรือล่มอันลือลั่นอยู่ในประวัติศาสตร์

    เจ้าประคุณสมเด็จอุปสมบทมาตั้งแต่น้อย มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีด่าง ไม่มีพร้อย หลังจากอุปสมบทแล้วก็มุ่งมั่นศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถือเพศพรหมจรรย์ตามคำตรัสสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างครบถ้วน เหตุนี้จึงเป็นผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ สอดคล้องกับพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายในการออกไปประกาศพระศาสนาว่าเธอทั้งหลายจงจาริกไปประกาศพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ทั้งอรรถะและพยัญชนะ ให้งดงามทั้งเบื้องต้น ทั้งในท่ามกลางและในที่สุด

    ความที่ว่าเจ้าประคุณสมเด็จสำเร็จพรหมวิหารชั้นสูงนั้น คำว่า “พรหมวิหาร” ในที่นี้หมายความรวมถึงพรหมวิหารธรรมคือธรรมที่ทำให้เป็นพรหม ซึ่งประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาอย่างหนึ่ง และหมายถึงที่อยู่ที่อาศัยของจิตที่มีชื่อว่าพรหมวิหารในความหมายที่เนื่องกับที่อยู่ที่อาศัยของจิตที่ชื่อว่าทิพย์วิหาร พรหมวิหาร และอริยะวิหาร ที่อยู่ของจิตซึ่งเรียกว่าวิหารนี้หมายถึงที่อยู่ของจิตของผู้บรรลุภูมิธรรมในระดับต่าง ๆ กัน ผู้บรรลุภูมิธรรมขั้นสูงก่อนจะถึงขั้นเป็นพระอรหันต์จะมีจิตที่เสวยอยู่ในวิหารที่เรียกว่าทิพย์วิหารหรือพรหมวิหาร

    คำบรรยายดังกล่าวนี้จึงมีความหมายที่บ่งบอกว่าเจ้าประคุณสมเด็จบรรลุภูมิธรรมขั้นสูง ใกล้จะถึงหรืออาจเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคลแล้ว จิตของเจ้าประคุณจึงเสวยอยู่ในวิหารระดับที่เรียกว่าพรหมวิหารขั้นสูงดังนี้

    ความที่ว่าเจ้าประคุณเป็นเอกพระมหาเถราจารย์ ทรงพระอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ ย่อมหมายความว่าในบรรดาพระมหาเถระในยุคนั้นสมัยนั้นยกย่องและถือกันว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเอกพระมหาเถราจารย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีความสามารถทางอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์อันเป็นที่ประจักษ์ แม้ดับขันธ์แล้วถึงกว่าร้อยปี ณ บัดนี้อิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าประคุณสมเด็จก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้นับถือศรัทธาจำนวนมากยังสามารถสัมผัสและรับรู้ได้อยู่อย่างชัดเจน

    การที่จะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้นั้น ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าจะต้องบรรลุภูมิธรรมขั้นสูงถึงจตุตถฌาน หรือฌานที่สี่ของรูปฌานเป็นอย่างต่ำ เป็นภาวะธรรมที่ทำให้นามกายแปรเปลี่ยนเป็นทิพย์กาย และเมื่อเข้าอุปจารสมาธิแล้วก็สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ได้

    ความที่ว่าเจ้าประคุณมีพระอัจฉริยานุภาพเป็นที่น่าเลื่อมใส น่าถวายความเคารพ ย่อมหมายความว่าไม่เพียงแต่มีความบริสุทธิ์บริบูรณ์ บรรลุธรรมขั้นสูง ทรงอิทธิปาฏิหาริย์เท่านั้น ยังมีความเป็นอัจฉริยะที่น่าเลื่อมใสของคนทั้งปวงอีกด้วย และอัจฉริยภาพนั้นก็ได้รับการยอมรับยกย่องโดยทั่วไปแม้แต่พระเจ้าอยู่หัว.

    โดย เรืองวิทยาคม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...