"จิตกับความฝัน"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย phuang, 21 กุมภาพันธ์ 2005.

  1. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,043
    พุทธศาสตร์ศึกษาโดยวิธีอุปมาอุปมัย เรื่อง
    "จิตกับความฝัน"



    ก่อนอื่น ผมขอขอบคุณแพทย์หญิง คุณสวรรยา เดชอุดม ศูนย์แพทย์พัฒนาที่ได้กรุณาเสนอแนะมาว่า ควรขยายความหมายของคำว่า "จิต" ซึ่งผมได้กล่าวไว้ในเรื่อง "จิตกับความฝัน" ตอนที่ ๑ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า "จิตเป็นธรรมชาติของการรับ จำ(สัญญา) คิด (สังขาร) และรู้ ( ปัญญา)" และใคร่ขอเรียนว่า หากจะขยายความออกไปตามที่คุณหมอฯ ได้กรุณาเสนอแนะมา ผมก็จำเป็นที่จะต้องอ้างอิงเชื่อมโยงเข้าลึกไปถึงเรื่อง "เจตสิก" ซึ่งตามพระอภิธรรมได้กล่าวถึงคำนี้ไว้ว่า "เจตสิก คือ ธรรมชาติที่เป็นองค์ประกอบในการทำงานของจิต หรือเป็นกลไกให้จิตทำงาน ให้จำ คิด รู้ในเรื่องราวต่างๆ ทั้งบุญทั้งบาป เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต" และท่านได้แยกอธิบายรายละเอียดของแต่ละหัวข้อออกจากกันเป็น "จิตปรมัตถ์" และ "เจตสิกปรมัตถ์" เพื่อมิให้ท่านผู้อ่านที่เริ่มสนใจและกำลังศึกษาธรรมในระยะแรกๆ เกิดความท้อถอยที่จะจดจำคำศัพท์ และความหมายของคำต่างๆ ซึ่งค่อนข้างยาวจดจำยาก จนละความเพียรกันไปเสียก่อน ผมจึงพยายามใช้คำศัพท์ภาษาบาลีให้น้อยที่สุด แต่ได้ตั้งใจว่า จะสอดแทรกคำศัพท์บาลีไว้เป็นระยะๆ ให้ท่านผู้อ่านเหล่านี้ได้รู้จักคุ้นเคยไปทีละน้อย ดังจะเห็นได้ในบทความเรื่อง "วิธีทำบุญให้ได้ผลที่สุด" ว่า ผมก็ได้เริ่มสอดแทรกคำว่า "เจตสิก" เข้าไว้แล้ว


    ผมหวังว่า คุณหมอฯ และท่านผู้อ่านอื่นๆ ที่มีความรู้ความเข้าใจในพระอภิธรรมสูงกว่าผมคงจะเข้าใจวัตถุประสงค์ของผมที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นด้วยดี ผมจึงขออนุญาตนำท่านผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นเรื่อง "จิตกับความฝัน" ต่อจากตอนที่แล้วเลยครับ <DL><DT>ตามพระอภิธรรม ได้กล่าวถึงเหตุที่จะทำให้เกิดความฝันขึ้นได้ว่า มีอยู่ ๔ ประการ คือ <DD>๑. บุพนิมิต ได้แก่ ความฝันที่เกิดจากผลของกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีตทั้งในชาติก่อนหรือในชาตินี้และได้สะสมฝังอยู่ในใจเป็นตัวการมากระทบใจหรือมโนทวาร ความฝันในลักษณะนี้จึงเป็นการเตือนผู้ที่ฝันล่วงหน้าถึงเหตุร้าย หรือเหตุดีที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำที่สุด <DD>๒. จิตอาวรณ์ ได้แก่ ความฝันที่เกิดจากอำนาจของจิตที่หน่วงเอาอารมณ์ที่ตนได้เห็น ได้ยิน หรือได้พบมาแล้วมาเก็บฝังผูกพันอยู่ในใจเป็นพิเศษ ความฝันในลักษณะนี้เอาเป็นที่แน่นอนไม่ได้ <DD>๓. เทพสังหรณ์ ได้แก่ ความฝันที่เกิดจากมโนทวารของจิตของผู้ฝันในช่วงเวลาที่ได้หลุดจากภวังค์ขึ้นสู่วิถีแล้วถูกกระทบโดยพลังงานซึ่งเป็นรูปหนึ่งของเทพโดยเฉพาะเทวดาชั้นต่ำ (จาตุมหาราขิกา และภุมมเทวา หรือเจ้าที่เจ้าทาง) ที่มีความละเอียดมากไม่สามารถเห็นด้วยตาธรรมดาได้ ที่เรียกว่า "กายทิพย์" มีลักษณะเสมือนกับผู้ที่ถูกสะกดจิต <DD>๔. ธาตุกำเริบ ได้แก่ ความฝันที่เกิดแก่บุคคลที่มีธาตุกำเริบ เช่น ท้องไส้ไม่ปกติ หรือธาตุภายในร่างกายวิปริต การกำเริบของธาตุที่วิปริตเหล่านี้จะส่งผลกระทบกระเทือนอวัยวะและประสาทส่วนที่เกี่ยวข้องในร่างกาย จะทำให้จิตหลุดจากภวังค์ขึ้นสู่วิถีเพื่อเสวยอารมณ์ทันที </DD></DL>

    ในตอนที่ ๑ ผมได้อธิบายถึงสภาพของจิตของเราในขณะที่เกิดความฝันด้วยวิธีอุปมาอุปมัยไปแล้ว ความฝันดังกล่าวนี้มีต้นเหตุมาจาก "ธาตุกำเริบ" และหรือ "จิตอาวรณ์" เป็นสำคัญนั่นเอง

    คำว่า "กายทิพย์" ที่ผมได้กล่าวไว้ในข้อ ๓ นั้น ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับนักวิชาการในสาขาวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ท่านเหล่านี้มีความรู้ความเข้าใจในทฤษฎีปรมาณู ทฤษฎีอิเล็กตรอน ทฤษฎีและสูตรแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสสารกับพลังงานของ ดร.ไอน์สะไตน์ ที่ปรากฏอยู่ในหัวข้อวิชาวิทยาศาสตร์แขนงฟิสิกส์ทั้งเบื้องต้น และขั้นสูงอยู่เป็นอย่างดีแล้ว จึงคงไม่เป็นการยากลำบากที่จะอธิบายให้ท่านทราบและเข้าใจเรื่อง "กายทิพย์" ได้โดยการอ้างอิง "ทฤษฎีปรมาณูของพระพุทธเจ้า" ที่มีปรากฏอยู่ในพระอภิธรรมอยู่แล้ว

    ".....ปรมาณูในพระพุทธศาสนาแยกออกจากเมล็ดข้าวเปลือกให้เล็กๆ ลงไปเรื่อยๆ จนถึงเป็นปรมาณู

    ดังคาถาจาปลินีคัณฑุ (อภิธานัปปทีปิกา) คาถาที่ ๑๙๔ และคาถาที่ ๑๙๕ ในภูมิกัณฑ์ ว่า

    ฉต.ตึส ปรมาณูน เมโก ณุจ ฉตึ เต ตช.ชรี ตาปิ ฉต.ตึส รถรณุจ. ฉตึส เต ลิก.ขา ตา สต.ต อูกา ตา ธญ.ญมาโสติ สต.ต เต

    <CENTER><TABLE width="50%"><TBODY><TR><TD>[size=+1]๓๖ ปรมาณู[/size]</TD><TD>[size=+1]เป็น ๑ อณู[/size]</TD></TR><TR><TD>[size=+1]๓๖ อณูเหล่านั้น[/size]</TD><TD>[size=+1]เป็น ๑ ตัชชารี[/size]</TD></TR><TR><TD>[size=+1]๓๖ ตัชชารีเหล่านั้น[/size]</TD><TD>[size=+1]เป็น ๑ รถเรณู[/size]</TD></TR><TR><TD>[size=+1]๓๖ รถเรณูเหล่านั้น[/size]</TD><TD>[size=+1]เป็น ๑ ลิกขา[/size]</TD></TR><TR><TD>[size=+1]๗ ลิกขา[/size]</TD><TD>[size=+1]เป็น ๑ อูกา[/size]</TD></TR><TR><TD>[size=+1]๗ อูกาเหล่านั้น[/size]</TD><TD>[size=+1]เรียกว่า ธัญญมาส[/size]</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>.....ถ้าคูณตัวเลขเหล่านี้ดูแล้วก็จะได้ถึง ๘๒ ล้านส่วนกับเศษอีกหลายแสน ท่านจะเห็นได้ว่า ใน ๑ ปรมาณูนั้นมาจากเม็ดข้าว ๑ เม็ด ซึ่งแยกออกเรื่อยๆ ไป....



    .....แม้ว่าปรมาณูนั้นจะเล็กน้อยกระจ้อยร่อยเพียงใดก็ตาม แม้ว่าปรมาณูนั้นจะเห็นไม่ได้ สัมผัสด้วยกายไม่ได้ก็ตาม แต่ถึงกระนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังแสดงว่า ทุกๆ ปรมาณูนั้นจะได้หยุดนิ่งเฉยๆ ก็มิได้ มันเคลื่อนไหวอยู่เสมอตลอดเวลาไม่หยุดพักเลย.....แต่เมื่อมันมารวมกันเป็นรูปต่างๆ เข้าแล้ว มันจึงได้ประจักษ์ต่อสายตาของบุคคลได้ เมื่อเหมาะสมก็สามารถรับสัมผัสได้ มันจึงกลายเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นหญิง เป็นชาย...." <CENTER>("จิตกับความฝัน", บุญมี เมธางกูร, สุทธิสารการพิมพ์ ๒๕๑๗) </CENTER>

    ส่วนท่านผู้อ่านที่ไม่เคยศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์มาก่อน ผมใคร่ขอให้ท่านพิจารณาดูที่เมล็ดข้าวสาร หรือ "ธัญญมาส" ก็แล้วกัน ในสภาพทั่วๆ ไป เราสามารถบดให้ละเอียดให้เล็กลงไปเป็นผงแป้ง ฝุ่นละอองธุลีได้ ซึ่งเรียกว่า "อูกา" หรือ "ลิกขา" หรือ "รถเรณู" ประการหลังนี้ ก็คือ ละอองเกสรดอกไม้ ซึ่งจะมีขนาดเล็กจนเราเกือบจะไม่สามารถเห็นด้วยตาได้ทั้งยังมีน้ำหนักเบามากจนสามารถติดไปกับตัวแมลงออกไปขยายพืชพันธุ์ในที่อื่นๆ ได้ เท่านั้นยังไม่เพียงพอ พระพุทธองค์ยังทรงแบ่งให้มีขนาดเล็กย่อยลงไปเป็นแสน เป็นล้านส่วน จึงเป็นการแน่นอนที่สุดที่เราจะไม่มีโอกาสเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย ชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็กละเอียดมากระดับหนึ่ง เช่น แบคทีเรีย จุลินทรีย์ เชื้อโรคต่างๆ เราอาจจะเห็นได้โดยใช้เครื่องมือแพทย์คือ กล้องจุลทรรศน์ ที่มีอัตราการขยายสูงมากช่วย ก๊าซต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเรา เช่น ออกซิเจน โอโซน ไฮโดรเจน ฯลฯ ก็ล้วนแต่มีตัวตนที่มีขนาดเล็กมากไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่าได้ กระแสไฟฟ้าที่ไหลไปตามสายก็เป็นการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าหรืออิเล็กตรอนซึ่งมีขนาดเล็กกว่าปรมาณูลงไปอีก แต่ที่เราสามารถเห็นแสงสว่างเปล่งออกจากหลอดไฟฟ้าหรือเครื่องมือไฟฟ้า เช่น เตารีดไฟฟ้า เตาไมโครเวฟ สามารถให้ความร้อนได้ก็เป็นเพราะพลังงานที่เกิดจากการไหลของกระแสไฟฟ้าตามสายไฟนั่นเอง

    ดังนั้น จึงเป็นที่แน่นอนที่สุดว่า ทฤษฎีและสูตรแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสสารกับพลังงานที่ ดร.ไอน์สะไตน์ นักวิทยาศาสตร์บันลือโลกได้เขียนขึ้นนั้นได้ประยุกต์มาจากทฤษฎีปรมาณูขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง

    "กายทิพย์" ของเทพโดยเฉพาะเทวดาชั้นต่ำ (จาตุมหาราขิกา และภุมมเทวา หรือเจ้าที่เจ้าทาง) จึงจัดเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่มีความละเอียดประณีตมากจนไม่สามารถเห็นด้วยตาเนื้อมนุษย์ธรรมดาได้ และมีจำนวนมากมายเคลื่อนไหวอยู่รอบตัวเราอยู่ตลอดเวลา

    คลื่นวิทยุที่แผ่กระจายอยู่ในอากาศรอบๆ ตัวเราอยู่ขณะนี้ และเราสามารถรับฟังเสียง และหรือเห็นภาพที่ส่งมาพร้อมกับคลื่นวิทยุได้ น่าจะเป็นตัวอย่างช่วยอธิบายเรื่อง "กายทิพย์" ได้เป็นอย่างดี ตามหลักวิชาแล้ว คลื่นวิทยุเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถเคลื่อนที่ไปในอากาศได้เร็วเท่ากับแสงคือ ประมาณ ๓๐๐ ล้านเมตรต่อวินาที มีจำนวนมากมายหลายหมื่นหลายแสนขนาดคลื่นด้วยกัน ครอบคลุมอยู่รอบตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่า เราจะมองไม่เห็น แต่เราก็สามารถรับสัญญาณคลื่นวิทยุดังกล่าวคลื่นหนึ่งคลื่นใดในลักษณะเสียง และหรือภาพได้ตามต้องการถ้าเรามีเครื่องรับวิทยุที่ได้เปิดเครื่องไว้แล้วปรับจูนคลื่นให้ตรงกัน

    เมื่อจิตเริ่มหลุดจากภวังค์ จึงเท่ากับเป็นการเปิด "มโนทวาร" เพื่อการรับรู้เรื่องราวต่างๆ เสมือนกับเป็นการเปิดเครื่องรับวิทยุ และในช่วงขณะที่จิตอยู่ในภาวะ "มโนทวาราวัชชนะ" หรือช่วงที่จิตกำลังเสาะหาอารมณ์ ก็เสมือนกับการที่เรากำลังปรับจูนเครื่องหาสถานีวิทยุที่ต้องการรับฟังนั่นเอง ส่วนในช่วงเวลาที่เรากำลังรับฟังรับชมรายการที่เราต้องการนั้น ก็เปรียบเสมือนกับช่วงเวลาที่จิตอยู่ในภาวะ "ชวนะ" หรือช่วงเวลาที่จิตกำลังเสวยอารมณ์มีความสนุกสนานบรรเทิงพอใจกับรายการที่เรากำลังรับชมรับฟังหรือไม่ มากน้อยเพียงใดนั่นเอง

    ดังนั้น ในสภาพของกายทิพย์ซึ่งเป็นพลังงานรูปหนึ่ง เทพองค์หนึ่งองค์ใดจึงสามารถผ่านเข้ามาทางมโนทวารของผู้ที่ฝันได้ในช่วงขณะที่จิตอยู่ในภาวะ "มโนทวาราวัชชนะ" ทั้งโดยเจตนา หรือไม่เจตนาก็ได้ ความฝันที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ จึงเรียกว่า "เทพสังหรณ์"

    หากเทพที่ผ่านเข้ามาทางมโนทวารของผู้ฝันเป็นเทวดาชั้นต่ำ (จาตุมหาราขิกา และภุมมเทวา หรือเจ้าที่เจ้าทาง) ที่ยังยึดติดอยู่กับตัณหาอารมณ์คล้ายคลึงกับมนุษย์ทั่วไป ความฝันจึงอาจแม่นยำหรือไม่ก็ได้สุดแต่เจตนาของเทพนั้นๆ ถ้าเป็นเทพที่ได้ปฏิสนธิมาจากการจุติของมนุษย์ซึ่งได้ทำบุญกุศล ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมมาแล้วในระดับหนึ่ง ความฝันนั้นจึงจะมีความแม่นยำ

    ส่วนเรื่องความฝันที่เกิดจาก "บุพนิมิต" จะมีที่มาที่ไปอย่างไรนั้น ผมขออนุญาตยกยอดไปไว้ในบทความตอนที่ ๓ ครับ



    <CENTER>********************* </CENTER>
     
  2. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ภพหน้ายายจะอ่านจบกะเค้าไหมไหมเนี่ย... ย้าว!!!ยายตาลายจังดีนะ...puang คนสวยชอบหาเรื่องดีๆมาลง..ไม่เหมือนยายที่คอยแต่หาป่วนเพี้ยนเรี่ยราดเวบแระ!!

    อิอิ...ขอหอม..(ขอกระเทียม&มะนาว)ได้ไหมคะ?...
     
  3. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,043
    ดีมั้ยล่ะคะ คุณยายจ๋า(glass)
     
  4. ดาวประกาย

    ดาวประกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +216
    สุดยอดเลย น้องpuang พอรู้ไหมว่าจะหาซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ที่ไหน
    ชอบวิธีการเขียน และการนำเสนอ อ่านแล้วทำให้เกิดความรู้สึกว่า
    ผู้เขียนตั้งใจเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย
    ไม่ต้องใช้ภาษาสูงสูงมากมาย แต่รู้ได้เลยว่า ผู้เขียนมีภูมิความรู้
    มากมาย เพราะสามารถหยิบยกประเด็น และผสมผสาน ภาษาเขียน
    และภาษาทางธรรม ได้อย่างน่ายกย่อง
     
  5. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,043
    ค่ะขอบพระคุณมากค่ะ แต่ว่าหนังสืออันนี้ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าจะหาได้จากไหน
    ขอโทษด้วยนะคะ
     
  6. kung

    kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +770
    - ความฝันเป็นช่องทางที่ง่ายที่สุดที่จะติดต่อกับมิติอื่น เพียงแค่คุณหลับ
    แต่ผลที่ได้เป็นวิธีติดต่อที่น่าจะแย่ที่สุด
    - ความฝันเป็นช่องทางที่ตัวเราติดต่อตัวเราเอง โดยจิตใต้สำนึกพยายาม
    จะติดต่อกับจิตรู้สำนึก
    - ความฝันเป็นการล้างข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกจากสมอง

    ความฝันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ตอนที่เว็บล่มปลายเดือน ก.พ. ผมเข้ามาดูทุกวัน
    เผื่อจะเข้าได้ รู้สึกหงุดหงิด งุ่นง่านพอสมควร คืนหนึ่งผมฝันว่าผมนอนอยู่ แล้ว
    มีสาวสวยเข้ามากระซิบที่ข้างหูว่า เข้าเว็บพลังจิตได้แล้วจ้าให้ลองเข้าดู
    แล้วผมก็สะดุ้งตื่น ตอนเช้าเลยลองเข้าดูอีกที ปรากฎว่าเข้าได้แล้วจริงๆด้วย

    ไม่ทราบว่าเป็นสาวสวยผู้ใดในเว็บนี้ไปบอกผมหรือเปล่าครับ?
    หรือผมจะคิดถึงสาวๆในนี้มากเกินไปจนเอาไปฝันกันแน่?

    แต่อย่างไรก็ตาม เว็บไม่ล่มอีกเป็นดีที่สุด เพราะกลัวไม่มีใครไปบอกผมอีก
    แล้วผมจะตามหาพลังจิตดอทคอมไม่เจอ คงเหี่ยวเฉาตายแน่ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...