คืนเยี่ยมไข้

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 18 เมษายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    ใบหนาด

    "รณจักร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในโรงพยาบาล

    เรื่องผีๆ สางๆ น่ะใครไม่เชื่อว่ามีจริงก็แล้วไปเถอะครับ แต่ถ้ามาพูดกับผมเมื่อไหร่ รับรองว่าผมเถียงคอเป็นเอ็นเมื่อนั้น เพราะผมเชื่อว่าผีมีจริงน่ะสิ แถมกลัวผีจับอกจับใจอีกต่างหาก

    บางคนเชื่อว่าผีมีจริง แต่ไม่กลัวผีเลย เหตุผลคือผีถูกฝังหรือถูกเผาไปแล้ว เหลือแต่เถ้าถ่านนิดหน่อย จะมาทำอะไรคนเป็นๆ คนมีชีวิตได้ล่ะ?

    ถ้าวิญญาณมีจริง วิญญาณก็คงไปผุดไปเกิดหมดแล้วล่ะน่า! ถ้ายังเป็นสัมภเวสี ผีเร่ร่อน ก็ต้องรอให้ญาติมิตรทำบุญทำทานไปให้ ไม่งั้นก็อดโซ ตายอดตายอยากไปตามๆ กัน ที่โผล่ออกมาวับๆ แวบๆ ก็เพราะอยากได้ส่วนบุญส่วนกุศลเท่านั้นแหละ

    คิดง่ายๆ ว่าตัวเองยังเอาไม่รอด แล้วจะไปมีปัญญาหลอกหลอนคนเป็นๆ ได้ยังไงกัน?

    ด้วยเหตุผลเหล่านี้แหละ ทำให้เขาไม่กลัวผี!

    บอกตรงๆ ว่าผมอดนึกชมเชยเขาไม่ได้ ว่าเก่งกาจ กล้าหาญชาญชัยมากๆ จนน่านับถือ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะร่ำร้องบอกกล่าวเหลือเกินว่า...ลองมาเจออย่างผมดูมั่งเถอะ จะกลัวขนหัวตั้งแค่ไหน? หัวใจแทบจะล่มสลายปานใด? แล้วยังจะกล้าปากแข็งอีกหรือเปล่าว่าไม่กลัวผีเลย

    สาเหตุที่ผมมีประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อราว 5 ปีก่อน ก็เพราะมีปัญหาระบบขับถ่ายไม่น่าไว้ใจ ต้องไปนอนโรงพยาบาลเอกชนแถวสุขุมวิทนี่เอง เพื่อตรวจร่างกายเป็นเวลา 2 คืน

    ขณะนั้นผมอายุ 40 เศษ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับทางเดินอาหารที่รู้จักมักคุ้นกันมา 2-3 ปี พูดอ้อมๆ ว่าน่าจะตรวจลำไส้ใหญ่ให้แน่นอนว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? จะมีก้อนเนื้อหรือไม่?

    ถ้าพูดกันตรงๆ คือสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งน่ะแหละครับ!

    ใจหายวูบ นึกถึงเพื่อนรุ่นน้องที่ตายเพราะสาเหตุนี้เมื่ออายุแค่ 30 เศษๆ

    ก่อนหน้านั้นหลายปี ผมเคยให้หมอตรวจกระเพาะด้วยการ "กลืนแป้ง" เอกซเรย์มาแล้ว แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ...แพทย์ชื่อหมออรุณบอกว่าการตรวจลำไส้ใหญ่จะใช้เอกซเรย์ไม่ได้ ต้อง "ส่องกล้อง" ตรวจอย่างเดียวเท่านั้น

    ยอมรับว่าหวาดเสียวมากๆ แต่หมออรุณบอกให้สบายใจว่า ไม่ต้องกลัวหรอกน่าเพราะจะ "ดมยา" ให้หลับสบาย ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อย

    ภรรยาจะมาเฝ้าไข้ หรือนอนเป็นเพื่อนแต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร อยู่บ้านกับลูกเถอะ รุ่งขึ้นเย็นๆ ค่อยพาลูกแวะมาก็ได้...คืนนั้นพยาบาลเอายาน้ำโถใหญ่มาให้ดื่มเพื่อขับถ่ายกากอาหารออกไปให้หมด รุ่งขึ้นแพทย์จะได้ส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่ได้อย่างปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรมาเกะกะกีดขวาง

    ก่อนจะดื่มยาระบายครั้งมโหฬารในชีวิต มีเพื่อนฝูง 2-3 คนแวะมาเยี่ยม แถมหอบเบียร์มาหลายกระป๋องอีกด้วย ผมก็...เลยตามเลย! เดี๋ยวก็ต้องกินยาระบายอยู่ดี

    เพื่อนๆ กลับไปราวสามทุ่ม ผมต้องเข้าห้องน้ำเกือบสิบครั้ง กว่าจะหลับผล็อยไปอย่างอ่อนเพลียสุดๆ รุ่งขึ้นผมก็ถูกเข็นขึ้นเขียง เอ๊ย! เข้าห้องผ่าตัด...เหลือบเห็นสายยางยาวเป็นวาก็แทบจะอยากสลบไปก่อนจะ "ดมยา" ซะด้วยซ้ำ

    ครั้นฟื้นขึ้นมาก็ได้ข่าวดีว่าปลอดภัย ไม่มีเนื้อร้ายอะไรงอกงามขึ้นมาเป็นส่วนเกิน ผมถามว่าเมื่อไหร่ต้องมาส่องกล้องกันอีก? หมออรุณหัวเราะอารมณ์ดี บอกว่าถ้าจะเป็นก็อีกนานมาก...อาจจะตายไปก่อนก็ได้!

    เฮ้อ! โล่งอกไปที...ภรรยาพาลูกมาเยี่ยมตอนเย็น เพื่อนชุดใหม่โทรศัพท์มาถามข่าวล่วงหน้าแล้ว ตกค่ำก็หอบเบียร์มาเกือบโหล บอกว่าต้องฉลองข่าวดีกันหน่อยเพราะพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว

    จนกระทั่งกลางดึกคืนนั้นเอง!

    ผมปิดทีวี ปิดไฟหัวเตียง รูดม่านหนาทึบเรียบร้อย มีแต่แสงไฟหน้าห้องน้ำสลัวๆ อากาศเย็นฉ่ำ ผมนึกถึงญาติสนิทมิตรสหายที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยโรคภัยไข้เจ็บบ้าง ด้วยอุบัติเหตุบ้าง...ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายทั้งนั้น แต่ไม่ว่าใครๆ ก็ล้วนแต่กลัวตายไม่อยากตาย...เช่นผมเองนี่ไง

    เพื่อนชุดใหม่โผล่เข้ามาสองคน หิ้วเบียร์กระป๋องมาฝากตามเคย แถมบอกว่าขืนเอาเบียร์ขวดมาเยี่ยมไข้ ต้องแอบๆ ไปขอที่เปิดจากแม่บ้าน...จำได้ไหม?

    ผมเปิดไฟกลางห้อง ลุกขึ้นมานั่งซดเบียร์กับเพื่อน...ถึงจะขัดเขินหน่อยก็ไม่เป็นไร ก็ผมไม่ใช่คนไข้นี่นา เพื่อนก็บอกว่าซดเบียร์เย็นๆ สักสองกระป๋องเดี๋ยวก็หลับสบายแล้ว...พวกเราขอลาไปก่อน...

    ขนลุกซ่าไปทั้งตัว ร้องว่า...อะไรนะ? เฮ้ย! นี่พวกลื้อ...แล้วสุ้มเสียงก็ขาดหายไปในลำคอ แผ่นหลังเย็นวาบเหมือนถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง อ้าปากค้าง เบิกตาโพลง ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่บัดดล

    ฤทธิ์เบียร์ทำให้รู้สึกช้า เพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนสองคนที่มาเยี่ยมน่ะตายไปแล้วทั้งคู่ จากอุบัติเหตุรถชนกัน กับตายเพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ 30 เศษนั่นปะไร!

    ...ภาพของเพื่อนคู่นั้นค่อยๆ เดินถอยห่างออกไป เลือนลางจางหายในแสงไฟเยือกเย็น ผมสะบัดหน้าร้องเฮ้ยๆ อะไรกันวะ? เราคงตาฝาดไปแน่ๆ แต่เสียงผมคงจะดังไปถึงข้างนอก เพราะพยาบาลสาวหุ่นดีคนหนึ่งเดินสวนทางกับผู้ไร้ร่างกายที่หน้าประตูห้องน้ำเข้ามาทันที

    เธอบอกให้ผมนอนพักได้แล้ว ก่อนจะปิดไฟตามเดิม...ร่างสูงระหงเดินกลับไปช้าๆ...ละลายไปในอากาศธาตุแถวใต้แสงไฟใกล้ๆ ประตูนั่นเอง

    ผมหลับตา ความรู้สึกดับวูบลง...เมื่อรู้สึกตัวตอนเช้าก็เห็นหน้าหมออรุณเข้ามายืนยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ เตียง พยาบาลสาวผู้หนึ่งยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง...ไม่ใช่คนเมื่อคืนแน่นอน ผมอาจจะเมาเบียร์ก็ได้ครับ แต่ภาพที่เห็นคืนนั้นนึกแล้วขนหัวลุกทุกที!
     

แชร์หน้านี้

Loading...