เสียงธรรม ความสิ้นสุดของจิต

ในห้อง 'ธรรมเพื่อความหลุดพ้น' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 23 กันยายน 2010.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]

    ความสิ้นสุดของจิต

    เทศน์อบรมพระสงฆ์ และฆราวาส
    ณ วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ (ผาแดง) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๑๒.๒๐ น.

    การภาวนาเอาให้จริงให้จัง ถ้าจริงจังแล้ว..พระพุทธเจ้าแสดงไว้ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม คือเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ไม่ผิดไม่พลาด ตรงแน่วต่อหลักความจริง ถ้าเป็นแปลนก็เป็นแปลนชั้นเอก เป็นบ้านเป็นอะไรก็เป็นชั้นเอก ๆ ไม่ผิด แปลนของธรรมก็เหมือนกัน แปลนของธรรมคือสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ทรงบำเพ็ญมาก่อนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจดจารึกเอาไว้

    เรื่องการภาวนานี่สำคัญ ต้องมีครูมีอาจารย์แล้วเป็นผู้สนใจด้วย สนใจกับการภาวนาด้วย มีครูมีอาจารย์เป็นผู้แนะด้วย ท่านแนะ เราทำด้วยความสนใจ ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า ถึงเวลาแล้วก็ทำไป อยากหยุดเมื่อไรก็หยุด อยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีขื่อมีแป อย่างนั้นใช้ไม่ได้ภาวนา มีครูมีอาจารย์ด้วยแล้วเป็นผู้สนใจด้วยในการปฏิบัติตามท่าน ไปได้คล่องตัว

    การภาวนาของเล่นเมื่อไร เวลาได้เป็นขึ้นในใจสว่างไสวไปหมดละ พูดอย่างนี้เราก็เคยพูดบ้าง เช่นไปอยู่ทางวัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนนั้นกำลังเร่งภาวนาจิตมันสว่างไสว คือตอนนั้นจิตมันเข้าขั้นว่าง มองดูที่ไหนมันว่างไปหมดเลย คือมันว่างหมดจริง ๆ เมื่อถึงขั้นว่างแล้วเราจะเอาวัตถุมาพิจารณาไม่ได้นะ การพิจารณาอย่างเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ท่านสอนในเบื้องต้น พอเป็นปากเป็นทางแล้วต่อไปมันก็เหมือนต้นไม้ เรื่องกิ่งก้านสาขาดอกใบมันเป็นของมันเอง บำรุงลำต้นให้ดี การภาวนาความเพียรให้หนัก ใช้ความเพียรให้มาก นั่นละความเพียรหนุนให้จิตมันจะผาดโผนโลดเต้นเหมือนม้าแข่งก็ตามมันไม่หนีจากสติปัญญาไปได้ละ

    เราก็หนักเหมือนกันนะภาวนา เวลาฝึกฝึกจริงๆ ทำเหลาะๆ แหละๆ มันไม่ได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ล่ะ ทำทำจริงๆ ทำอะไรให้จริง ความจริงจังความเด็ดเดี่ยวสำคัญมากนะ ว่าอะไรเป็นอันนั้นจริงๆ อย่างนั้นได้ผล ทำสักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าทำมันก็มีแต่ผลสักแต่ว่าได้ถ้าว่าได้ก็ดี ดีไม่ดีไม่ได้ ถ้าเอาจริงเอาจังได้จิตนี้ เราเคยฝึกมาแล้วถึงได้มาพูด พูดได้ ผาดโผนที่สุดก็คือจิต คึกคะนองที่สุดคือจิต ที่ทันกันก็คือสติปัญญาไม่ถอยมันก็อยู่ อย่างนั้นละ สักแต่ว่าทำมันไม่ได้เรื่องละ

    เดินจงกรมจนออกร้อนฝ่าเท้านึกว่าฝ่าเท้ามันแตก เดินไม่หยุด วันนี้ก็เดินวันไหนก็เดิน เวลาไหนก็เดินเว้นแต่หลับ เดินแล้วนั่ง เอาขนาดนั้นละมันถึงอยู่ จิตเวลามันหมดกิเลสตัวคะนองแล้วไม่มีอะไรดื้อนะ ตัวดื้อคือตัวกิเลส ตัวคึกคะนองที่สุดก็คือกิเลสตัวคึกคะนอง ที่จะทันกันก็คือสติ-ปัญญา-ศรัทธา-ความเพียรสามสี่อย่างนี้เอาลงได้ล่ะ นอกนั้นเอาไม่ได้ ต้องเอาจริงเอาจัง
    นิสัยมันจริงจังนะเรา ว่าอะไรเอาจริง ๆ ไม่ทำเล่น ไม่เหลาะๆ แหละๆ ถ้าลงได้ทำแล้วเอาจริง อย่างนั้นจึงได้พอมองเห็นเมฆเห็นหมอกบ้าง ทำธรรมดาสักแต่ว่าทำมันไม่ได้เรื่องละการภาวนา เอาจริงเอาจัง สติสำคัญมาก สตินี้จะเผลอไปไม่ได้ เผลอไปเมื่อไรก็ขาดความเพียร ความเพียรอยู่กับสติ ติดแนบอยู่อย่างนั้น แล้วจิตมันจะผาดโผนขนาดไหน ก็อยู่ในเงื้อมมือของสติของปัญญา เป็นอย่างนั้นละ

    เรื่องจิตเรื่องหนานี่มันหนาด้วยกันทุกคน แต่สำคัญที่ความเพียรความพยายามความคิดอ่านไตร่ตรองนั่นละระงับได้ ถ้าทำไปเฉยๆ มันก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไรละ ให้พากันจำเอาเรื่องภาวนาต้องจริงต้องจัง ตั้งแต่ตื่นนอนมาตั้งสติจับปุ๊บเลย เอาทั้งวันจนกระทั่งหลับ ไม่ให้มันเผลอเลย อย่างนั้นล่ะฆ่ากิเลสฆ่าอย่างนั้น สักแต่ว่าทำแล้วก็เผลอๆไผลๆ ไปอย่างนั้นไม่ได้เรื่อง เอาจริงเอาจังเอาจนจิตมันหมอบเลย คือสติปัญญาความพากเพียรไม่ถอยได้ มันจะหนาขนาดไหนก็บางได้

    นี่เดินจงกรมจนได้มาดูฝ่าเท้าเจ้าของ มันออกร้อน ออกร้อนมาก นึกว่าฝ่าเท้าแตกเอามาดูมันก็ไม่แตก แต่เวลาเอามือมาถูมันเสียวแปลบๆ ฝ่าเท้ามันแตก คือว่าแตกนี้มันกัดเนื้อหยาบนี้เข้าไปไปถึงเนื้อนั้นแล้วนั่นละท่านเรียกว่าแตก มันไม่ใช่แตกอย่างนี้นะ มันกัดกันเข้าไป กัดเข้าไปหาเนื้อหยาบเข้าไปถึงเนื้อแล้วเขาว่าฝ่าเท้าแตก นั่นละเรียกว่าฝ่าเท้าแตกมันแตกอย่างนั้น มันค่อยกัดเข้าไป กัดเข้าไป บางเข้าไป แล้วฝ่าเท้าแตกก็คือมันกัดเข้าไปถึงเนื้อ เอามันอย่างนั้นทำภาวนา มานั่งอยู่นี่ออกร้อนฝ่าเท้า นึกว่ามันทะลุถึงเนื้อมันไม่ทะลุ แต่เวลาเอามาไปอย่างนี้มันเสียวนะ มันจะเข้าถึงเนื้อ คือมันกัดเข้าไป กัดเข้าไปจะถึงเนื้อแล้วก็เสียว ถ้าถึงเนื้อแล้วก็เจ็บ เรียกว่าแตก มันไม่ใช่แตกอย่างนี้นะ มันค่อยกัดเข้าไป เข้าถึงเนื้อแล้วก็เรียกว่าฝ่าเท้าแตก อย่างนั้นละ

    การภาวนานี้หนัก นิมิตบอกก็ถูกอยู่น่ะล่ะ ไปภาวนา นั่งกำลังภาวนาอยู่มีตาปะขาวคนหนึ่ง เป็นในภาวนานะ เดินเข้ามาหา นั่งภาวนาอยู่ เดินเข้ามาแล้วมายืน กึ๊กข้างหน้า มาทำอย่างนี้นะนับข้อมือให้เราดูตาปะขาวคนนั้น ทำอย่างนี้นะ เท่ากับว่าหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า ถึงเก้านี้ พอถึงที่เก้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาดูเรา ทางนี้ก็รู้รับกันปั๊บว่าเก้าปีสำเร็จ ว่าอย่างนั้น แต่เราสงสัยมันเก้าปีหรือเก้าวันเก้าเดือนน้า สงสัย ถึงเก้าวันก็ไม่ได้เรื่อง เก้าเดือนก็ไม่ได้เรื่อง ฟาดปีที่เก้านี้ได้เรื่อง ปีที่เก้าแสดงเต็มเหนี่ยวให้รู้ชัดเจน นี่มันบอกนะ เก้าปีสำเร็จ ปีที่เก้าปีฟ้าดินถล่ม ทำความเพียรอยู่เก้าปี

    หากเพียรจริงๆนะ ไม่ใช่เพียรเล่นๆ เอาจริงเอาจัง เพราะนิสัยเรามันผาดโผนโจนทะยาน ว่าอะไรเอาจริงเอาจังมาก ไม่ได้เหลาะแหละนะ นี่เก้าปีตาปะขาวมาบอกถึงเก้าปี แล้วมาตีปัญหาอีกมันเก้าวันหรือเก้าเดือนหรือเก้าปีน้า ถึงเก้าวันก็ไม่ได้เรื่อง คงจะเป็นเก้าเดือน ซัดอีกเก้าเดือนก็ไม่ได้เรื่อง ไปถึงเก้าปีนี้ได้เรื่องชัดเจนมาก นี่เชื่อความนิมิตของเจ้าของมาบอก ถึงเก้าปีแล้วฟ้าดินถล่มกิเลสขาดสะบั้นหมดเลย จิตนี้ว่างหมดเลย เก้าปี ได้ขึ้นเวทีแบบไม่มีกรรมการแยกมวยล่ะ ใครดีให้อยู่ใครไม่ดีให้ตกเวทีไปเลย ซัดกันอยู่เก้าปี ถึงเก้าปีแล้วทีนี้เหมือนฟ้าดินถล่ม บทเวลากิเลสมันเลิกออก อย่างนั้นละการปฏิบัติภาวนา เก้าปีแล้วนี่ พอจะลืมหูลืมตาได้เอากันอยู่เก้าปี หนักมาก

    พอกิเลสขาดไปหมดแล้วก็ว่างไปหมด กลายเป็นจิตไม่มีงาน เป็นจิตว่างเปล่า จิตหมดงาน กิเลสหมดงานก็หมด งานมีมากมีน้อยเพราะกิเลส กิเลสนั่นละตัวรบกวน เรียกว่ารบกันกับกิเลส เอากิเลสขาดลงไปหมดแล้วก็หมดงาน จิตก็ว่างไปหมดเลย ไม่มีงาน เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เมื่อท่านสิ้นกิเลสแล้วท่านไม่มีงานนะ งานแก้กิเลสไม่มี พระอรหันต์หมดงาน วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ การประพฤติพรหมจรรย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว งานที่ควรทำคืองานฆ่ากิเลสได้ทำเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่างานฆ่ากิเลสไม่มี ขึ้นรับกันปุ๊บเลย ขาดไปหมด ทีนี้ก็หมดงาน นั่นละสิ้นกิเลสแล้วก็หมดงาน งานป็อกๆ แป็กๆ ธรรมดาไม่เรียกว่างาน งานแก้กิเลสต่างหากเรียกว่างาน พอกิเลสขาดหมดแล้วงานไม่มี จิตก็ว่างไปหมด ไม่มีงาน

    เอาให้มันถึงนั้นละมันถึงสบาย กิเลสขาดไปแล้วไม่มีอะไรมากวนใจ ไม่มีตลอดเลย อย่างนั้นละว่างไปหมด นั่นละจิต กิเลสเป็นตัวภัยตัวเสี้ยนตัวหนามตัวหอกตัวแหลมหลาวคือกิเลส พอกิเลสขาดแล้วเหล่านี้ขาดไปตามๆ กันหมด จิตก็ว่างเปล่าไป หมดงาน นั่นละหมดงานล่ะทีนี้ คืองานฆ่ากิเลส พอกิเลสหมดไปแล้วก็หมดงาน ว่างไปหมด พูดด้วยมันเป็นในหัวใจเจ้าของด้วยมาพูดไม่ผิด พูดด้นๆ เดาๆ มันผิดๆ พลาดๆ ไปทั้งวันนั่นละ ถ้าพูดจากความเป็นจริงที่มันเป็นในเจ้าของแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อกิเลสมันขาดจากใจหมดแล้วหมดงาน งานก็คิดธรรมดา ไม่ใช่งานเป็นข้าศึกต่อเรา งานที่ว่าเป็นความเพียรคือความเพียรฆ่ากิเลส กิเลสนั้นแหละทำให้มีงาน ถ้ากิเลสหมดแล้วมันก็หมดงาน หมดงาน

    พระทั้งหลายให้ฟังนะ ที่พูดนี้ไม่ได้พูดเล่นๆ ให้ฟังนะ พูดจริงพูดจังมาก เราเอาจริงๆ อย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้จริงๆ ถึงได้พูดเต็มปากเต็มคอไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวว่าจะผิดไป ไม่ผิด เพราะเจ้าของผ่านมาเอง ทีนี้เมื่อกิเลสมันหมดแล้วอยู่อย่างไรก็อยู่ได้สบาย ไม่มีอะไรกวนใจนะไม่มี คิดก็คิดธรรมดาๆ ไม่ได้คิดที่เป็นเสี้ยนเป็นหนามเป็นหอกเป็นแหลมเป็นหลาวทิ่มแทงเจ้าของนะ ความคิดก็ไม่เป็นภัย กิเลสพาให้ความคิดเป็นภัย ถ้ากิเลสมีอยู่มากน้อยคิดมากคิดน้อยจะเป็นภัยไปตลอด ถ้ากิเลสขาดแล้วความคิดคิดได้เหมือนกันหมดแต่ไม่เป็นภัย จำให้ดีผู้ฟังผู้ภาวนา

    ที่พูดมานี้ได้ผ่านมาหมดแล้วนะ ผ่านมาหมด เอาจนว่างไปหมดเลย อยู่ที่ไหนก็สบายๆ อย่างทุกวันนี้พูดได้ชัดเจนเลยว่าเราไม่ได้หมายป่าช้า เกิดตายที่ไหนสบายไปเลย เพราะสิ่งที่เป็นข้าศึกมันขาดสะบั้นไปหมดแล้ว หมด ยังเหลือแต่ความรู้ความคิดธรรมดา ความคิดประจำขันธ์ ไม่ใช่ความคิดที่กิเลสบ่งการให้คิด ความคิดธรรมดาก็มี ความคิดที่กิเลสบ่งการก็มี ถ้ากิเลสขาดลงไปแล้วความคิดก็สักแต่ว่าคิด เรียกว่าไม่มีงาน กิเลสขาดแล้วไม่มีงานล่ะ ว่างไปหมดเป็นอิสระตลอดเวลา ภาวนาให้เห็นอยางนั้นซิ สักแต่ว่าภาวนาไม่ได้เรื่องล่ะ

    เหนื่อย พูดไปพูดมาก็เหนื่อยนะ ทุกวันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน ถึงเหนื่อยก็เหนื่อย ตายก็ตายไปเถอะ ทุกวันนี้หายทุกอย่างแล้ว หายเป็นหายตาย ไม่มีกลัวไม่มีสะทกสะท้านจะเป็นจะตายที่ไหนเราพร้อมทุกอย่างแล้ว ปัจจุบันบอกอยู่ว่าอะไรจะมีเงื่อนต่อไม่ต่อมันรู้อยู่ในจิต ขาดหมดแล้วไม่มีเงื่อนต่อ คิดก็คิดไปธรรมดา นั่นละภาวนาถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วพระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะ สฺวากฺขาโตตรัสไว้ชอบแล้วไม่ผิดไม่พลาด มันผิดพลาดแต่พวกเรา ผิดจากครองอรรถครองธรรมที่ท่านสอนไว้มันก็ผิดไปเรื่อยๆ คิดประโยคหนึ่งก็ผิดไปหนึ่ง คิดไปเท่าไรผิดไปเท่านั้น ถ้ามีสติให้ติดตามคิดก็ไม่เสียหาย คิดก็มีสติพาให้คิด จำเอานะใครก็ดี

    ผลแห่งการปฏิบัติ ความสิ้นสุดของจิตก็คือกิเลสขาดไปจากใจไม่มีเหลือแล้ว เรียกว่าหมดงาน งานของผู้ภาวนาเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ การประพฤติพรหมจรรย์ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว คือกิเลสมันตายแล้วก็หมด ไม่อย่างนั้นมีเงื่อนต่อตลอดภพตลอดชาติ เกิดชาติใดภพใดไม่แน่นอน ไปเกิดเป็นหนอนอยู่ในส้วมก็ได้ ถ้าชำระได้ดีแล้วมันแน่อยู่ในหัวใจนี้ละ

    เอาล่ะทีนี้พูดเท่านั้นละ ไปล่ะเรา เหนื่อย จำเอานะพวกพระทั้งหลายที่สอนนี้สอนอย่างแม่นยำไม่ผิด ถอดออกมาจากหัวใจมาสอน เอาล่ะเลิกกันละนะ

    Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ����ѹ��
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2010
  2. F-5E

    F-5E เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +964
    โมทนาสาธุครับ
     
  3. sonthya

    sonthya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,489
    ค่าพลัง:
    +8,797
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. wutlions

    wutlions เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    793
    ค่าพลัง:
    +1,385
    อนุโมทนาครับ
     
  5. เลอสันติ์

    เลอสันติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +141
    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  6. FinalRebirth

    FinalRebirth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +39
    อนุโมทนาสาธุๆๆๆๆ
     
  7. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,819
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,021
    อนุโมทนาครับ ขอบคุณมากครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...