เรื่องเล่าจากหลังวัด

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 1 สิงหาคม 2014.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,852
    ตอน : สัมภเวสี...

    เมื่อพ.ศ.๒๕๔๒ปลายเดือนเมษายนอายุผมครบบวชพระพอดี ทางบ้านที่ต่างจังหวัดก็อยากให้กลับไปจัดงานบวชกันที่นั่น ผมก็ไม่ขัดใจกลับไปบวชตามที่พ่อแม่และญาติๆต้องการแต่ผมก็ต้องรีบเดินทางกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดในกรุงเทพฯในรุ่งขึ้นของอีกวัน เพราะต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ ในวันแรกของการเป็นพระของผมนั้นเป็นการไม่ยากต่อการปรับตัวเลย เพราะเคยบวชเป็นสามเณรมาก่อน
    คืนนั้นหลังจากที่เดินทางถึง ทำความสะอาดห้องและอาบน้ำแล้วเวลาก็เกือบเที่ยงคืน แต่ผมยังไม่รู้สึกง่วงจึงหยิบหนังสือมาอ่านเพื่อรอให้ง่วง ผ่านไปเกือบชั่วโมงก็ยังไม่ง่วงสักที จึงตัดสินใจนอนคิดว่าคงหลับได้ไม่ยากเพราะเวลาตอนนั้นเงียบมากและกุฏิก็อยู่ท้ายวัด แม้ว่ากุฏิที่ผมพักนั้นจะอยู่ท้ายๆแต่ก็ติดกับทางเดินของคนแถววัดที่กว้างพอแค่ให้มอเตอร์ไซค์วิ่งได้ ด้านที่ไม่ได้ติดกับกำแพงวัดนั้น เป็นสวนกล้วยปลูกผสมกับมะพร้าวและผลไม้ต่างๆที่ขึ้นกันอย่างหนาแน่นเพราะขาดการดูแลที่ดีจึงทำให้มองดูเปลี่ยวและน่ากลัวแม้ในเวลากลางวัน .
    “แขวก!….แขวก!..”
    เสียงนกแสกที่อาศัยอยู่ที่พระอุโบสถร้องแทรกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจนในความเงียบแบบนี้ บางคืนที่อ่านหนังสือในช่วงสอบผมมักจะไปเดินเล่นบริเวณพระอุโบสถเพื่อตั้งใจฟังเสียงของมัน เพราะรังของมันอยู่ที่นั่น
    ครั้งแรกที่ทำอย่างนี้คำบอกเล่าเกี่ยวกับเสียงและตัวของมันทำให้ผมถึงกับขนลุกเหมือนกันแต่พอหลายครั้งผมกลับรู้สึกสงสารมันมากกว่า เพราะดูหน้าตามันแล้วก็แค่นกกลางคืนชนิดหนึ่งเท่านั้นออกจะดูน่ารักเหมือนลูกแมวด้วยซ้ำ แต่กลับถูกใส่ความหาว่าเป็นนกแห่งความตายซะอย่างนั้น ทั้งที่นกมันก็ร้องของมันตามธรรมชาติคนเราก็ตายเป็นธรรมชาติเหมือนกันแต่เรากลับหาว่ามันร้องจนคนตาย
    ผมเคยถามคนแก่คนเฒ่าที่หมู่บ้านที่ต่างจังหวัดว่า
    “ ถ้าหากว่ามันร้องหรือบินข้ามหลังคาบ้านแล้วคนตาย
    ทำไมตายแค่คนเดียวหรือบ้านหลังเดียว ทั้งที่อยู่ในบ้านกัน
    หลายคน หรือกว่ามันจะบินมาถึงบ้านคนที่ตายก็ข้ามมา
    ตั้งหลายหลังแล้วนี่”
    แกมองหน้าผมอย่างงงๆปนขำๆก่อนจะบอกว่า
    “เออ...กูก็ว่าอย่างมึง แต่เขาเชื่อกันมานี่นาจะทำไงได้”
    แล้วก็คุยกันเรื่องอื่นไป
    นั่นคือตอนที่ผมเป็นเด็ก พอโตขึ้นและได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้นผมก็ยิ่งเห็นใจเจ้านกแสกมัน เมื่อว่างๆและไม่ง่วงเกินไปผมจึงมักไปนั่งเล่นแถวพระอุโบสถเพื่อฟังเสียงของมัน
    และคืนนี้คิดๆดูผมก็อยากออกไปฟังเสียงมันเหมือนกันแต่ติดตรงที่ดึกมากแล้วเดี๋ยวไม่มีแรงตื่นมาสวดมนต์เช้า เดือนหงายของข้างขึ้น ๑๓ ค่ำนั้นทำให้ในห้องสามารถมองเห็นอะไรได้ลางๆแบบพอดูรูปร่างออกว่าเป็นอะไร ไฟฉายขนาดสี่ถ่านวางข้างๆตัวห่างพอประมาณเพราะเวลาหลับมืออาจไปโดนเดี๋ยวจะพาลตื่นขึ้นมาได้
    เสียงนกแสกยังดังแว่วมาแต่แค่เบาๆแสดงว่ามันบินไปไกลแล้ว
    นอนบริกรรมไปเรื่อยๆโดยการกำหนดนามรูปที่อาการของร่างกายช่วงท้องที่พองและยุบ ตามปกติทุกคืนเป็นประจำทุกครั้งที่นอน และก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
    แต่คืนนี้ทำอย่างไรก็ไม่ยอมหลับสักทีทั้งที่เดินทางทั้งวันเหมือนมีบางอย่างมาคอยทำให้ระบบประสาทตื่นตัว จนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงทุกอย่างเงียบสงัดนกแสกเงียบเสียงไปแล้วคงได้อาหารเป็นหนูตัวโตหรือเขียดตัวใหญ่สักอย่างหนึ่ง จะมีก็เพียงเสียงผึบผับของค้างคาวที่นานๆจะผ่านมาทีหนึ่งเพราะผมพักชั้นบนของกุฏิชั้นบน
    และทันใดนั้น
    “ กราก....กราก.......”
    มีเสียงบางอย่างที่ทางเดินด้านนอกกำแพงวัด เป็นเสียงเหมือนคนเดินลากรองเท้าแตะกับพื้นลูกรังของทางเดิน เสียงเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆและรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจนในความเงียบแบบนี้ เพราะความที่นอนไม่หลับแล้วยังมีใครก็ไม่รู้มาเดินรบกวนอีก ผมจึงบ่นออกมาแบบเปรยๆว่า
    “อะไรกันนี่ ดึกป่านนี้แล้วใครยังมาเดินอยู่ได้นะ”
    บ่นได้ไม่ทันขาดคำดีนัก กุฏิก็สะเทือนยึบ เหมือนมีคนที่ตัวหนักมากๆกระโดดขึ้นมาเกาะที่ขอบหน้าต่างห้องด้านที่ผมนอนอยู่พอดี
    แสงจันทร์ข้างขึ้นพอให้มองเห็นเงาดำของอะไรบางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนคนแต่ขนาดโตกว่าสักสองเท่าโผล่ที่หน้าต่างขึ้นมาครึ่งตัวและวูบเข้ามาในห้องก่อนที่ผมจะทันขยับตัว โดยที่ไม่ได้เปิดบานมุ้งลวด !
    เงานั้นนั่งในท่ายองๆวางข้อมือทั้งสองข้างบนเข่าเหมือนคนกำลังผิงไฟใช้มืออังไฟเพื่อความอบอุ่นแต่ตอนนี้มันนั่งอยู่บนตัวผมตรงช่วงท้องพอดี ด้วยปฏิกิริยาบวกกับความตกใจจึงจะคว้าไฟฉายที่วางไว้ห่างออกไป เหมือนมันรู้ทันมือที่มีขนาดของนิ้วประมาณกล้วยหอมใบเขื่องก็คว้ามับเข้าที่กลางตัวของผมด้านซีกขวา หัวนิ้วโป้งของมันอยู่ที่กลางหน้าอกขณะที่อีกสี่นิ้วกำรอบถึงซี่โครงด้านซ้ายพอดี
    และบีบอย่างแรง!
    ความรู้สึกที่ปวดเหมือนกระดูกจะหักทำให้มือที่ยื่นไปคว้าไฟฉายของผมหมดแรง อึดอัดหายใจไม่ออกเรื่องจะร้องนั้นเป็นอันหมดหวัง ที่ทำได้ตอนนั้นคือ...
    นอนจ้องตาไปที่มันเท่านั้น
    เมื่อผมอยู่นิ่งๆแรงบีบของมันก็คลายลงผมจึงคิดจะลองหยิบไฟฉายอีกครั้ง เท่านั้นเองแรงบีบของมันก็เพิ่มขึ้นอีกจนผมต้องบอกดังๆในใจว่า
    “ไม่หยิบก็ได้”
    แรงบีบก็คลายลง ผมจึงใช้วิธีใหม่ท่องนะโมในใจ พอครบสามรอบก็เริ่มบทสวดแผ่เมตตาจนจบ
    เท่านั้นเอง! แรงบีบที่มหาศาลกว่าเก่าก็ถูกกดลงที่ร่างผมอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดง่ายๆเสียด้วยไม่ว่าผมจะตะโกนในใจว่าอย่างไรก็ตาม
    จนในขณะที่ความรู้สึกผมจะหมดเพราะความเจ็บปวดนั่นเอง สิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าปาฏิหารย์ดีหรือไม่ก็เกิดขึ้น คือตัวหนังสือที่เป็นบทสวดพระคาถาชินนบัญชรที่ผมเคยท่องเป็นประจำได้ผุดขึ้นมาในมโนนึกของผมเหมือนตัวเลขรายงานหุ้น ผมอ่านตามทันที
    “ชะยาสะนาคะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง
    จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา
    ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
    สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา
    สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะ
    เน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโรฯ”
    พอได้ถึงท่อนนี้ เจ้าเงาดำที่นั่งอยู่บนตัวผมก็สะบัดมือที่กำตัวผมออกอย่างรวดเร็วและพร้อมกับที่ตัวมันวูบผ่านตัวผมออกไปทางประตูห้องคนละทางกับที่มันขึ้นมาโดยที่ประตูยังปิดอยู่อย่างนั้น!
    ผมรีบพลิกตัวคว้าไฟฉายลุกขึ้นตัวปลิวตามไปทันทีแต่ช้าตรงที่เปิดกลอนประตู เมื่อเปิดประตูออกไปได้ก็กราดแสงไฟไปทุกมุมทั่วบริเวณหน้ากุฏิแต่ไม่พบอะไรผิดปกติ
    “รี๊.........”
    ครู่ใหญ่ๆผ่านไปโดยที่ผมยังนั่งอยู่ที่ระเบียงนั่นเอง เสียงของแมลงกลางคืนก็เริ่มมีให้ได้ยินดังมาจากสวนกล้วยด้านหลังกุฏิหลังจากที่เงียบเสียงมาตั้งนานโดยที่ผมไม่ได้สังเกตเลย
    กลับเข้ามาในห้องพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป นี่ถ้าหากว่าผมหลับไปก่อนหน้าและไม่ได้บ่นให้เสียงนั่น ผมคงไม่ได้เจอกับเรื่องอย่างนี้หรืออาจจะไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาเลยก็เป็นได้
    “โชคดีที่พระคาถาช่วยเอาไว้”
    นึกถึงตรงนี้แล้วผมก็ขนลุกจนน้ำตาคลอด้วยความศรัทธาและขอบคุณในอานุภาพของพระพุทธคุณที่ช่วยให้ผ่านพ้นจากอำนาจคุกคามของเจ้าเงาดำสิ่งนั้น ผมจึงครองผ้าอย่างดีและสวดพระคาคาชินนบัญชรอีกห้ารอบระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยและสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) ก่อนที่จะนอนโดยระลึกภาพของท่านมาอยู่เบื้องหัวและหลับไปจนเช้า
    หลังจากสวดมนต์ทำวัดเช้าผมไม่ลืมที่จะแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปยังเจ้าของเงาดำแขกยามวิกาลที่ผ่านมาทักทายพระใหม่เช่นผมในคืนนั้น
    ทุกวันนี้แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นพระแล้วแต่ผมก็ยังนึกถึงเขาอยู่
    และหากว่าเขาผ่านไปทักทายคุณละก็ฝากถามเขาด้วยว่าได้รับส่วนบุญ
    ที่ผมแผ่ไปหรือเปล่า
    เอ๊ะ! แล้วนั่นเสียงเดินลากรองเท้านี่?
     
  2. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    ขอคาราวะผู้กล้าหาญซักสิบครั้ง สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  3. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    ผมก็เคยเจอเหมือนกัน สวดบทใหนก็ไม่ไป ลองชินบัญชรแค่คำแรกเผ่นแน่บ
     

แชร์หน้านี้

Loading...