สำนักสงฆ์ป่าดงยาง บ้านม่วง สกลนคร

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย ยายทองประสา, 20 กันยายน 2007.

  1. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    สำนักสงฆ์ป่าดงยาง อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร
    ประวัติโดยสังเขป

    .... ตามที่ได้รับฟังมา ที่บ้านยาง อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ทุรกันดาร อยู่ห่างจาก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร 100 กว่ากิโลเมตร หลายท่านอาจคุ้นเคยหรือได้ยินชื่ออำเภอ ก็เนื่องจากพระป่าสายพระอาจารย์มั่นหลายต่อหลายองค์ ล้วนเคยธุดงค์ผ่านเส้นทางนี้ทั้งนั้น
    .... ก็ที่บ้านยางนี้ มีป่าไม้ยาง อยู่สุดหมู่บ้าน (ห่างจากตัวหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร) ณ ที่แห่งนี้เคยเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน มาบัดนี้ได้กลายเป็นเพียงเศษอิฐ ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแห่งความเจริญเท่านั้น ตามธรรมดาของโลก มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายไปในที่สุด


    [​IMG]
    .... เมื่อหลวงปู่ผอง อุชุจาโร (ศิษย์สายพระป่าครูบาอาจารย์มั่น-หลวงปู่ขาวฯ) ได้ธุดงค์ผ่ามาปักกลด ณ สถานที่แห่งนี้ เมื่อตกกลางคืน(วันพระ) ก็มีเสียงร้องรำ ดนตรีปี่พาทย์ระนาดตะโพน อึกกระทึก เป็นที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยทั่วบริเวณนั้นมีเพียงเศษอิฐคล้ายอุโบสถเก่า ต้นโพธิ์คลอบกองอิฐ-เป็นโพรงไม้ มีพระพุทธรูปสำริดโบราณ 1 องค์ และป่าต้นยางเท่านั้น


    ถึงแม้ไม่ใช่วัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ใช่พระอาราม แต่เป็นวัดปฏิบัติธรรม อยู่อย่างพอเพียงสมถะ วัดเล็กแต่จิตใจท่านเจ้าอาวาสกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน
    วัดที่ยังไม่พัฒนาทางวัตถุแต่พัฒนาจิตใจมาก่อน
    [​IMG]
    .... เนื่องจากพบว่าที่นี่มีซากปรักหักพัง เป็นร่องรอยของวัดเก่า และมีความขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพยำเกรงของชาวบ้านละแวกนั้น
    เวลาวันพระ วันดีคืนดี จะมีเสียงดนตรีปี่พาทย์ประโคมเซงแซ่ มาจากซากอุโบสถเก่านั้น น่าอัศจรรย์ชวนขนลุก จนชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
    และมีพระสำริดเก่าแก่ เป็นโบราณวัตถุ ซึ่งแม้แต่กรมศิลป์ ยังไม่กล้าเอาไปเก็บรักษา ต้องนำเอามาคืนไว้ที่เก่า เพราะผู้คนที่เอาสิ่งของใดๆ แม้ก้อนอิฐ
    ไปจากที่นี่มักเจอเรื่องร้ายๆ จนต้องนำกลับมาคืน คาดว่าคงมีทรัพย์สมบัติหลายอย่างรวมอยู่ด้วย แต่ก็หามีใครกล้าไปขุดค้นไม่
    [​IMG]
    .... เมื่อหลวงพ่อ ผอง อุชุกาโร ศิษย์สายพระป่าครูบาอาจารย์มั่นและศิษย์หลวงปู่ขาว เดินธุดงค์จาริกมาถึง ก็ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้
    ทั้งยังเป็นที่สงบสงัด เหมาะแก่การปฏิบัติเจริญธรรม จึงปรารภการบูรณะปฏิสังขรณ์ หรือพัฒนาสถานที่นี้ ให้เป็นธรรมสถาน กลับมามีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อน

    ความดี ที่ทำให้ผมศรัทธา หลวงปู่ผอง อุชุจาโร


    - เรื่องราวปาฏิหารย์ต่างๆ เช่นการรู้วาระจิต การอ่านคนออก รู้เรื่องในอดีต(ระลึกชาติ-อตีคตังสญาน) เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องการันตี ความเป็นพระที่มีตาดี(ทรงญาณ)​

    -แต่เหนือจากเรื่องราวเหลือเชื่อนั้น ยังมีสิ่งที่สัมผัสได้ด้วย กาย วาจา ใจ คือ ความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (ทรงพรหมวิหาร4) เมื่อน้องตุ๊กตา และเพื่อน เดินทางไปบวชชีอยู่กับหลวงปู่ 1 สัปดาห์, หลวงปู่ก็อุตส่าห์ ไปตามแม่ชีอีกวัดซึ่งอยู่ห่างไปนับ 50 กิโลฯ เพื่อมาเป็นแม่ชีพี่เลี้ยง คอยสอนวัตรต่างๆ,​

    -ท่านเสียสละกุฏิที่ดีที่สุดของวัด ซึ่งปกติท่านจะจำวัดที่กุฏิหลังนี้ ให้แก่แม่ชีบวชใหม่อย่างน้องตุ๊กตาและเพื่อน,​

    -เมื่อน้องตุ๊กตาเกริ่นกับหลวงปู่ว่า "ลูกอยากได้พระไว้กราบไหว้บูชาสักองค์ค่ะ" ปรากฎว่าหลวงปู่ ได้ไปหาเศษไม้ มาแกะสลักพระพุทธรูปขนาดพอเหมาะ(หน้าตักประมาณ 2 นิ้ว) ด้วยตัวท่านเองจำนวน 2 องค์ และยังมีบล็อคสกรีนผ้ายันต์ ท่านทำด้วยตัวท่านเองเลย 4 ผืน ติดบ้างไม่ติดบ้างตามประสาทำเอง และยังบอกอีกว่าท่านจะทำให้ 3 เดือนแล้วค่อยมาเอา ถือเป็นความเมตตา กรุณา จากหลวงปู่อย่างสูง...​

    -ท่านมีอุเบกขา ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ต่อคำนินทา-สรรเสริญใดๆ เมื่อน้องตุ๊กตาทราบว่าบางคนกล่าวหาว่า "พระป่าก็อย่างนี้แหละ มีแม่ชีสาวๆ มาบวช มาอยู่ด้วย พาลูกพาเมียมาอยู่ด้วย ฯ" ก็ไม่สบายใจ เพียงแต่เก็บอาการไว้ไม่พูด ต่อเมื่อพบหลวงปู่ ท่านก็พูดขึ้นมาเลยทีเดียวว่า "คนเค้าพูดกันอย่างนี้มานานแล้ว ตั้งแต่สมัยครูบาอาจารย์มั่นแล้วลูกเอ้ย อย่าไปใส่ใจเลย" (ซึ่งน้องตุ๊กตาไม่เคยพูดสักคำว่าไม่สบายใจเรื่องอะไร) ข้อนี้บอกถึงคุณธรรมความดีที่ท่านเป็นผู้มีอุเบกขา และเทศนาได้ตรงใจ(อ่านใจคนออก)​

    -คุณธรรมข้อใหญ่ ที่ผมอดทราบซึ้งใจไม่ได้คือ ขันติบารมี สัจจะบารมี วิริยะบารมี และความสมถะของท่าน เรื่องมีอยู่ว่าสมัยหลายปีก่อนที่ท่านเพิ่งเดินธุดงค์มาปักกลด ปฏิบัติธรรมที่นี่ ท่านเดินบิณฑบาตรอยู่ 7 วันไม่เคยได้รับข้าวสักเม็ด น้ำสักหยดเลย แต่ท่านมีธรรมใหญ่คือความอดทน(เป็นเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง) ท่านยังปักกลดอยู่ที่นี่ต่อไป และเมื่อวันที่ 8 อาหารที่ท่านได้รับบิณฑบาทคือ กล้วย 1 ลูก(ไม่ใช่ 1 หวีนะ) นั่นทำให้ผมนึกถึงพุทธพจน์บทหนึ่งที่ว่า​

    "ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ท่านจงจาริกไปตามรุกขมูล ตามถ้ำ เงื้อมผา อาศัยอยู่เถิด"
    "แม้ที่ใด ลำบากด้วยปัจจัย4 มีบิณฑบาตรเป็นต้น ภิกษุทั้งหลายก็จงอยู่เถิด หากสถานที่แห่งนั้นสงบสงัด เหมาะแก่การประกอบความเพียร แม้ลำบากด้วยปัจจัยฯ ก็พึงสำเนียกไว้ว่า เราทั้งหลายบวชเข้ามารับผ้ากาสาวพัตร เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน มิได้บวชเพื่อแสวงหาลาภหรือปัจจัย"

    ข้อนี้เองที่ผมครัทธาหลวงปู่มาก ว่าท่านเดินตามธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นผูมีศีล ธรรม ทรงพรหมวิหาร4 มีขันติบารมี สัจจะบารมี มีความสมถะ เป็นผู้กินง่ายอยู่ง่าย สมาธิจิต สัมมาวายามะ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ฯลฯ มีมรรคเป็นเบื้องต้น มีผลเป็นท่ามกลาง มีนิพพานเป็นที่สุด (ผมชื่อว่าย่อมเกิดมีแก่ท่านแน่)
    สมกับเป็นสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ควรแก่การกราบไหว้ บูชาสักการะ และของที่นำมาถวาย เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่ง​

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ยังไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดของท่าน ๆ ยังมีอีกเยอะ เพียงแต่กล่าวไว้โดยสังเขป เป็นสิ่งที่ผมประทับใจในตัวท่าน ไม่ได้เขียนเพื่อให้สงสาร สังเวช หรือให้เกิดศรัทธาปาฏิหาริย์แต่อย่างใด แต่ให้เกิดข้อคิดสะกิดใจบ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี และข้อวัตรปฏิบัติอันดีงามของท่าน พวกเราจะได้นำมาเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ เท่านั้นเอง​






    <!-- / message --><!-- sig --><HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->จากน้อง tunica :





    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->- เมื่อครั้งที่ได้นมัสการหลวงปู่ที่สำนักสงฆ์เมื่อปลายปี48 ยังไม่รู้จักท่านดีนัก เราคิดว่าไปเยี่ยมคุณตาที่บวชอยู่ที่นั่นโดย ขับรถไปแบบ ดูแผนที่แล้วก็ถามชาวบ้านไปเรื่อยๆจนพบ เราก็นั่งคิดในใจตามประสาวัยรุ่น "เราคิดในใจเมื่อเห็นวัด ทำไมต้องมาอยู่ในป่า แล้วทำไมคนเราต้องนั่งสมาธิด้วย" หลวงปู่ท่านเดินมาที่กุฏิที่คุณตาบวชอยู่ขณะนั้น ท่านบอกว่าโยมช่วยไปกวาดศาลาหน่อยนะ ฝุ่นมันเยอะเหลือเกิน เราก็ไปกวาด กวาดเสร็จท่านก็ถามว่า สะอาดหรือยัง เราเอามือลูบที่พื้นมันก็ยังติดอยู่ คราวนี้ถูด้วย เดินกลับมาอีกก็ยังมีฝุ่นอีก เราเลยพนมมือบอกท่านว่า หลวงปู่เจ้าขา กวาดยังไงมันก็มาอีกอยู่ดี สะอาดได้สุดๆแค่นี้แหละเจ้าค่ะ ท่านตอบว่า นี่หล่ะ กวาดผิดวิธีก็ไม่สะอาดหมดจด ไม่กวาดก็สกปรก เหมือนจิตใจนั่นแหละโยม ทำไมสาวกผู้ปฏิบัติต้องทำกรรมฐาน ฝึกจิต จิตใจก็เหมือนศาลาไม่กวาดก็ไม่สะอาด กวาดไม่เป็นก็ไม่สะอาด ที่พระท่านบำเพ็ญปฏิบัติ ก็เหมือนกวาดจิตใจนั่นแหละ พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าทำอย่างไร กวาดจิตใจให้ถูกเป็นอย่างไร จะอยู่เฉยทำไม มาหัดฝึกหัดกวาดให้มันสะอาดสิ จริงมั๊ย
    จากนั้นมา เราก็เป็นศิษย์วัด คอยอุปฐากท่าน และวัดมาตลอดจนวันนี้เลย

    ขนมเค้ก :
    -เรื่องที่จะเล่าแบ่งปันกันวันนี้ เป็นเรื่องประสบการณ์ ครั้งที่เราได้บวชอยู่ที่สำนักสงฆ์ดงยาง เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ก่อนจะไปบวชเราได้แวะซื้อข้าวของกันที่อำเภอสว่างแดนดิน เราแวะซื้อขนมเค้กนุ่มๆที่บรรจุห่ออย่างดีที่เราคิดว่าหาได้ ไปวัดด้วยในใจก็คิดว่าถ้าเอาขนมอร่อยๆนุ่มๆใส่บาตรก็คงดีไม่น้อย ทั้งที่เราก็รู้ว่ายังไงท่านก็เอาอาหารทุกอย่างคลุกลงในบาตรอยู่ดี แต่ก็ยังอยากให้ท่านฉันขนมนี้ให้ได้ วันแรกที่บวชเราเอาขนมใส่บาตร ท่านก็ไม่หยิบลงบาตรเลย(คิดอย่างสามัญว่าท่านคงไม่ชอบขนมฝรั่งๆ) จากนั้นชาวบ้านก็เอาขนมนี้ไปแบ่งกัน เราก็เสียดายนิดๆ วันต่อมาก็ใส่อีก คราวนี้เด็กเต็มเลยอยากกินขนมนี้เลยมาวัดกันเยอะประสาเด็กๆ เราก็ใส่บาตรด้วยขนมสองชิ้น เมื่อฉันท่านก็ยังไม่เอาใส่บาตรอยู่ดี วันที่สามสองชิ้นสุดท้าย เราตื่นมาตอนตีสี่แม่ชีก็ลงไปกวาดศาลา เรากะเพื่อนอีกคน(แม่ชี) ก็ลงไปเตรียมโรงทานที่ห่างจากกุฏิท่านประมาณร้อยเมตร เราแอบบ่นกะเพื่อนว่า "หลวงปู่ไม่ฉันขนมเราเลยอ่ะ อยากให้ฉันจัง รู้ว่าท่านไม่ยึดอะไรอร่อยไม่อร่อย แต่อยากให้ฉันขนมดีๆที่เราตั้งใจใส่บาตร" เพื่อนเลยบอกว่า "ช่างเหอะท่านรู้ว่าเด็กๆชอบ ท่านเลยไม่ฉัน ท่านทานให้เด็กๆที่รอ "เราก็รู้สึกท้อใจนิดๆประสาคนมีกิเลสอยู่ นึกขึ้นมาได้ก็พนมมือ พูดออกมากะเพื่อน"สาธุ ขอให้หลงปู่ฉันบ้างเถอะสองชิ้นสุดท้ายแล้ว ให้เห็นกะตาเลยนะเจ้าคะ ถ้าท่านฉันเราจะเดินจงกลมเป็นหลักร้อยรอบเลยวันนี้ กำลังใจจะได้มีเยอะๆ" เราไม่คิดอะไร พูดเสร็จก็ทำงานต่อ ถึงเวลาใส่บาตรก็ใส่ปกติ วันนี้ทุกคนจ้องกันใหญ่ ท่านก็เหมือนเดิม นั่งนิ่ง เงียบ สายตามองพื้นห่างจากท่านหนึ่งเมตร เหมือนหุ่นขี้ผึ้ง พอมัคทายกประเคนภัตตาหาร ท่านก็ตักทุกอย่างลงในบาตรเหมือนทุกวัน คราวนี้กระแอมไอหนึ่งครั้ง เราทุกคนหันไปมอง ท่านหยิบเค้กหนึ่งชิ้นลงบาตร แทนที่จะดีใจทุกคนขนลุก(คิดในใจ สงสัยบังเอิญ) หลังจากนั้นเวลา10.00 น ท่านก็เดินผ่านหน้ากุฏิเรา เรากำลังกวาดใบไม้ ท่านบอกว่า "ให้แม่ชีไปทำความเพียรที่ท้ายวัดนะ มีทางจงกรมกับที่นั่งสมาธิ ท่านก็ถามต่อว่า "ตั้งใจจะทำนานมั๊ย "เราก็ตอบ ว่า"เท่าที่จะอดทนได้เจ้าค่ะ" ท่านอมยิ้มเล็กน้อย บอกว่า "ฉันให้เห็นกับตาแล้วนะ ทำความเพียรให้เยอะๆหล่ะ" แล้วท่านก็เดินกลับกุฏิไป ทิ้งเรากะเพื่อนให้อึ้งอยู่ประมาณ 15 นาที
    <!-- / message -->





    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->จากน้อง Naphathara :





    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->(f) เราก้อเป็นหนึ่งในสี่คนที่ไปบวชกับ tunica

    ก้ออยากจะเล่าให้ทุกท่านฟัง ....ถึงความประทับใจ

    การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางไปอีสานครั้งแรกของเด็กเหนือคนหนึ่ง

    ระหว่างเดินทางก็กลัวไปสารพัด
    อุตส่าห์พยายามหัดพูดอีสาน แต่เพื่อนๆก้อล้อว่า ....มันเหน่อ

    พอไปถึง....มันก้อจริง
    จากคนพูดมากๆ ต้องเงียบ เพราะพูดอีสานไม่เป็น
    แต่พอฟังรู้เรื่อง....
    เรื่องอาหารการกินก็ไม่ค่อยเป็นปัญหา
    เพราะอาหารคล้ายๆของเหนือ

    ส่วนการบวชก้อ...เป็นครั้งที่สามแล้ว เลยไม่ค่องเกร็งเท่าไร

    แต่ความประทับใจคือ
    ทุกวันหลังจากสวดมนต์เย็นแล้ว

    ทั้งศาลา(ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์) มีหลวงปู่ ตา แม่ชี กับแม่ขาวหน้อยอีก 4 คน
    หลวงปู่กับตาก็เริ่มสนทนาธรรม
    หลวงปู่เริ่มเทศน์เป็นภาษาอีสาน
    ซึ่ง...ฟังได้เข้าใจง่ายมาก และหลวงปู่ก็พยายามเทศน์เป็นภาษาไทยเพื่อให้เราฟังเข้าใจด้วย....
    หลังจากนั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม หลวงปู่ก็จะให้เราเริ่มทำกรรมฐาน เดินจงกรม
    เป็นอะไรที่......เฮ้อ
    ไม่ใช่เพราะว่ามันเบื่อ หรือไม่อยากทำนะ

    แต่ มัน มืด มาก
    กลัว ผี.... เดินไป ระแวงไป
    พอเริ่มชิน เริ่มทำใจไม่กลัว

    เท้าก็เริ่มบวม
    เนื่องจากที่เดินเป็นปูน...ขรุขระ (พิ้นศาลาที่ยังไม่ได้ปู)
    เพื่อนเราคนหนึ่งก็มีเลือดซึม....เรียกกันว่า "รอยบุญ"
    ก็เลยเลือกที่จะมานั่งสมาธิแทน
    แต่ ที่กุฏิของแม่ชี หรือของหลวงปู่จะมีทางเดินจงกลมในตัว
    ซึ่งเป็นคันดิน เดินแล้วไม่เจ็บเท้า
    เวลาที่เรานั่งที่ศาลาแล้วมองไปที่กุฏิของแม่ชี เวลาแม่ชีเดินจงกลม
    แม่ชีจะจุดเทียน ไว้เป็นทางแล้ว เดิน.....แอบผิดศีลคิดนิดนึง...สวยจัง

    พอเดินกลับกุฏิตอนประมาณ ตี1 ....
    ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งรับรู้ได้ถึงความ มืด สนิท
    ดวงดาวเต็มท้องฟ้า แบบหาดูไม่ได้อีกแล้วในเมือง
    หรือตามชนบทก้อตามที...ท้องฟ้ามืดสนิทแบบนี้หาดูได้ยากมาก
    และแล้วก็อีกครั้งที่เราพยายามเดินใกล้ตาให้ได้มากที่สุด
    (แต่โดนตัวตาไม่ได้ เดี๋ยวผิดศีล)
    ...ไม่ได้กลัวผีนะ กลัวความมืด

    ......เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆจริงๆ
    ถ้ามีเวลาจะมาเล่าให้ฟังนะคะ

    เว็บไซด์ที่ลูกศิษย์ลูกหาได้ทำขึ้น
    http://www.geocities.com/oxygenperfl...real/first.htm
    ลิ้งค์ไปยังกระทู้รับบริจาค
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=91806
    แผนที่ จ.สกลนคร
    http://203.78.109.3/my_documents/20063138D49_sakon-02big.gif

    (ปล. สืบเนื่องจากระทู้โครงการหาเงินสมทบทุนสร้างศาลาการเปรียญ ผมเห็นว่า เรื่องราวของวัดๆ นี้ น่าจะควรเผยแพร่ให้ทุกคนได้รับทราบ ถึงความเป็นวัดเก่ามาก่อน และท่านหลวงพ่อเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามแนวทางพระป่าสายหลวงปู่มั่น - หลวงปู่ขาว หากแม้จะคิดว่าเป็นการโฆษณาวัด ก็ไม่ผิด เพื่อหาเงินบริจากเข้าวัด ก็ไม่ผิด แต่ผมคิดว่ากระทู้นี้ มีสิทธิ์ตั้งได้ในห้องนี้ เพื่อรวบรวมวัดที่น่าสนใจ ถ้าหากเป็นการผิดกฎบอร์ด ก็ไม่เป็นไรนะครับ ขออภัยไว้ด้วย)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2007
  2. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • iMapImage.jpg
      iMapImage.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136.3 KB
      เปิดดู:
      214
    • iMapImage2.jpg
      iMapImage2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138.1 KB
      เปิดดู:
      494
    • iMapImage3.jpg
      iMapImage3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      173.8 KB
      เปิดดู:
      504
    • iMapImage4.jpg
      iMapImage4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      191.4 KB
      เปิดดู:
      479
    • iMapImage5.jpg
      iMapImage5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      206.1 KB
      เปิดดู:
      473

แชร์หน้านี้

Loading...