สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 5 มกราคม 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี
    ทุกข์ทั้งหลายเกิดจากการยึดมั่น
    ยึดเขา ยึดเรา ยึดคณะ ยึดพวก
    เมื่อใดเกิดความยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ แม้เพียงสิ่งเดียว
    เมื่อนั้นย่อมเกิดความทุกข์

    หัวข้อ อุเบกขา แก่นพุทธศาสนา มรรคแปด ไม่มีอะไร
    มนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์ การทำจิตให้สงบ กฎแห่งกรรม ความทุกข์

    อุเบกขา
    ถ้าเราเข้าถึงธรรมะข้ออุเบกขาอย่างถ่องแท้ได้แล้ว. . . . .เราก็มีความสุข
    มีความสุขโดยไม่ต้องมีความเสียดาย ไม่มีความเสียใจ ไม่มีความพอใจ ไม่มีความไม่พอใจ
    ไม่มีความชอบ ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความว่าจะต้องทำ และไม่มีความว่าไม่ต้องทำ
    นั่นคืออารมณ์แห่งความอุเบกขาที่แท้จริง

    กลับ
    มรรคแปด
    มรรคในหลักแห่งพระพุทธศาสนาก็คือ มรรคมีองค์แปด องค์แปดนี้สำหรับสามัญปุถุชนก็คือให้อยู่ในสัมมาอาชีวะชอบ คิดชอบ เลี้ยงตนชอบ ปฏิบัติชอบ นี่คือเข้าหลักแห่งมรรค เมื่อปฏิบัติตนชอบย่อมถึงผล ผลอันนี้หมายถึงผลแห่งการมีความสุข เพราะว่าเราปฏิบัติตนดี เรามีสัจจะ เรามีความจริงในการบำเพ็ญตนเพื่อสัมมาอาชีวะชอบ เราไม่มีทุจริตต่อใคร กระแสจิตของเราย่อมไม่มีทุกข์ เพราะว่าเราเป็นมิตรกับทุกคน ย่อมมีมรรคแห่งตน มรรคอันนี้ก็หมายความว่า สัมมาอาชีวะชอบในหลักของการเป็นคนธรรมดา เมื่อมรรคดี...ผลก็ดี มรรคเลว...ผลก็เลว
    มรรคแปลว่า สิ่งปฏิบัติของมนุษย์เพื่อให้หลุดพ้นจากความชั่วให้ถึงความดี
    อยู่ในสัมมาอาชีวะชอบ ในการงานชอบ ในการปฏิบัติวิปัสสนาชอบ ในการอยู่ในศีลในธรรมชอบ
    อันนี้ทางหลักของศาสนาเขาก็ถือว่า นี่แหละคือมรรคแห่งการปฏิบัติของคน

    กลับ
    มนุษย์
    ธรรมชาติสร้างพืชพันธ์ให้พอกินสำหรับมนุษย์ที่เกิดมา มนุษย์จะไม่อดอยาก ถ้ามนุษย์บางเหล่าไม่เก็บ ไม่สะสม ไม่ยึดเกินควร คือถ้ามนุษย์ทุกคนเข้าซึ้งถึงสัจจะแห่งความจริงว่า " เกิดมาไม่มีอะไร ตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ และตายไปแล้วไม่สูญ " อาตมาคิดว่า ถ้าเราใช้ธรรมของธรรมะ หรือหลักความจริงนี้ตีแผ่เข้าไปในหมู่ชนชั้นที่มีตัวโลภะครอบงำมากได้แล้วไซร้ โลกมนุษย์นี้ก็คงจะน่าอยู่กว่าปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้โลกมนุษย์ยุ่งเหยิง ศีลธรรมประจำใจมนุษย์เสื่อม เพราะว่ามนุษย์พยายามจับความผิดคนอื่น เพราะว่ามนุษย์ไม่พิจารณาตัวเอง ไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง มนุษย์ทุกวันนี้ถูกวัตถุครอบงำ มนุษย์ทุกวันนี้ไม่สนใจกับ ตน จึงทำให้โลกทุกวันนี้ปั่นป่วน ความสงบในโลกมนุษย์ไม่มี ความร้อนยิ่งทวีคูณขึ้น เพราะฉะนั้นอาตมาจึงฝากเอาไว้ว่า จะทำอย่างไรจึงจะช่วยเหล่ามนุษย์ทั้งหลายให้เดินถูกทางเล่า อันนี้ฝากให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายไปพิจารณากัน

    กลับ
    ไม่มีอะไร
    มาไม่มีอะไร ไปไม่มีอะไร มีอยู่ก็แต่จิตใจและวิญญาณ ท่านทำดีก็เสวยกรรมดี ทำไม่ดีก็ตกนรกไป ท่านอย่านึกว่าท่านตายแล้วสูญเปล่า ท่านทั้งหลายจะพบกันในโลกวิญญาณอีก หนี้สินที่ท่านสร้างขึ้นในโลกมนุษย์ก็จะชดใช้กันในโลกวิญญาณ ใช้ไม่หมดก็ต้องไปเกิด ไม่อย่างนั้นจะไม่เรียกว่า เวียนว่ายตายเกิด โลกนี้กลมไม่สิ้นภพ สิ้นชาติ โปรดพิจารณาตัวท่านเมื่อไม่มีสิ่งใดปกปิดเถิด

    กลับ
    การเกิดเป็นมนุษย์
    การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ส่วนมากที่มาจากสัตว์เดรัจฉานแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยการบำเพ็ญกุศล อารมณ์ของจิต ระหว่างภพชาติที่เป็นสัตว์นั้นๆ เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติแรกที่เริ่มเป็นมนุษย์นั้น มนุษย์เหล่านี้เป็นมนุษย์ที่ล้วนแต่ติดอยู่ในกามฉันทะ
    การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเพราะอนุสัยที่นอนเนื่องอยู่ เมื่อมาเกิดในโลกมนุษย์ก็แบ่งออกเป็น 3 จำพวก คือ
    มนุษย์ประเภทที่หนึ่ง เกิดมาแล้วเอาแต่เสพกามและข้องอยู่ในกาม มนุษย์ประเภทนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงของกุศลและของจิตจากพวกสัตว์เดรัจฉานที่พ้นขั้น มาสู่การเป็นมนุษย์
    มนุษย์ประเภทที่สอง เกิดมาจากมนุษย์ที่บำเพ็ญ ทำบุญสุนทาน ทำสมาธิ และมาจากเทพพรหมที่หมดอายุขัยแห่งการเสวยทิพยอำนาจ มนุษย์ประเภทนี้ชอบเสพกามแล้วก็สร้างเกียรติเพื่อประดับบารมี
    มนุษย์ประเภทที่สาม คือมนุษย์ประเภทเหนือกามเหนือเกียรติ มาจากการเป็นเทพ การเป็นพรหม การเป็นมนุษย์ที่เคยครองอยู่ในเพศนักพรตมาบ้าง บำเพ็ญมาเป็นชาติๆ บ้าง มนุษย์ประเภทนี้มาจากพวกที่เปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ทั่วไปสองประเภทแรก มาสู่การเหนือเกียรติ เหนือกาม ก็คือมนุษย์ประเภทนักพรต
    เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า อนุสัยเปลี่ยนแปลงตามกฎอนิจจัง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ซึ้งตามทันธรรมะแห่งธรรมชาติของอนัตตา เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า อนุสัยนั้นรับกันเป็นชาติๆ แล้วเปลี่ยนแปลงยกฐานะของอนุสัยขึ้นเป็นลำดับๆ นั้นแล

    กลับ
    การทำใจให้สงบ
    เมื่อท่านหาเวลาว่างได้ จงพยายามทำจิตให้สงบ เมื่อจิตสงบดีแล้วจะเกิดอำนาจทิพย์ช่วยให้ท่านเป็นผู้มีสมองปลอดโปร่ง มีปัญญาในการดำรงไว้ซึ่งสัมมาอาชีวะ ความสุขจะเกิดแก่ท่าน ทุกสิ่งในโลกนี้ถ้าเราไปยึดก็เกิดทุกข์ ถ้าไม่ยึดคือวางจิตให้นิ่งๆ ตามภาวะกรรมตามแบบที่เรียกว่า วันนี้ตื่นเช้าขึ้นมา ข้าฯยังไม่ตาย ข้าฯจะต้องทำอะไรเพื่อเลี้ยงชีพให้ขันธ์ข้าฯ อยู่ นี่คือสิ่งที่สมองคิด. . . คิดแค่นี้พอ เมื่อถึงเวลาทำงานก็ทำงานไปให้ดีที่สุด กลับจากทำงานมีเวลาว่างก็ควรพักผ่อนสมองด้วยการทำจิตให้สงบนี่คือการบำรุง
    ในการทำจิตให้สงบ อำนาจสมาธิช่วยขจัดโรคภัยในตัวได้โดยเฉพาะโรคภัยที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติแห่งฤดูกาล ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ทำให้เลือดลมในตัวท่านดีช่วยให้ท่านแก่ช้า คือแม้อายุจะมากตามวันเวลา แต่สังขารโดยเฉพาะใบหน้าของท่านจะดูอ่อนกว่าวัย

    กลับ
    กฎแห่งกรรม
    กฎแห่งกรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ก็เปรียบเสมือนหนึ่งธรรมชาติของการเติบโตของผลไม้ตามฤดูกาล กรรมที่ท่านสร้างมาในอดีตภพ ย่อมนำท่านมาสู่ปัจจุบันภพฉันใดก็ฉันนั้น ทีนี้กรรมเหล่านั้นที่ท่านได้ทำไว้แต่ท่านได้ลืมเสีย เมื่อท่านได้รับผลใดๆ ที่เกิดจากกรรมที่ทำได้ทำไว้ท่านจึงได้สงสัย มนุษย์ที่ยึดว่าทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เป็นเพราะไม่โปร่งในขั้นสมุฏฐานของเหตุและปัจจัย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าท่านหว่านพืชชนิดใดลง พืชชนิดนั้นจะขึ้นตามเหล่ากอพืชพันธ์นั้น กรรมใดที่ท่านสร้างมาในภพที่ท่านลืมไปแล้ว แต่กรรมนั้นก็ยังตามเสวยตามภพชนิดต่างๆ อยู่ ซึ่งเปรียบง่ายๆ สมมุติว่า
    เมื่อสองปีก่อน (นี่คือวิธีการเกิด-ดับที่ให้ดูง่ายๆ) ท่านได้ฆ่าคนตายในที่แห่งหนึ่งในเมืองบางกอกแล้วท่านหนีจากบางกอกไปอยู่แก่งคอย เรียกว่าท่านไปเกิดภพโน้นทั้งๆ ที่ตัวของท่านคือคนเดิม แต่ไปอยู่ในภพนั้นเมืองนั้น . . . . . .
    ในขณะที่ท่านเกิดสำนึกผิดขึ้นมา ท่านอยู่ในเมืองนั้นท่านจะเป็นคนที่ถือศีล ทำบุญ ให้ทาน เป็นมิตรกับชาวบ้านที่อยู่ด้วยกัน ชาวบ้านในภพนั้นก็ยกย่องสรรเสริญท่านว่าเป็นคนดี - มีศีลธรรม น่าเคารพนับถือ แต่กรรมที่ท่านสร้างในบางกอกคือฆ่าคนในระหว่างปีโน้น. . . กรรมอันนั้นย่อมตามมาหาท่านอยู่ ก็คือกฎของบ้านเมือง ตำรวจจะคอยติดตามท่านเปรียบเสมือนหนึ่งการตามของภพของกรรมไปถึงที่นั่น แม้ว่าท่านกำลังถืออุโบสถอยู่ในวัด ถ้าตำรวจหลวงไปพบเข้าก็จะต้องจับท่านทันที คนในละแวกนั้นจะเกิดความไม่พอใจ หรือจะด่าทอตำรวจที่มาจับคนดีที่ถืออุโบสถอยู่ แต่กรรมที่ท่านสร้างที่บางกอกนั้น ชาวบ้านในหมู่ในภพนั้นไม่มีใครรู้ นี่ก็เปรียบเสมือนหนึ่งกรรม
    สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ให้พิสูจน์ง่ายๆ ของคำว่า กรรม ก็คือกรรมใดที่ท่านสร้างมา ท่านจะต้องเสวยกรรมนั้นในภพใดภพหนึ่ง แต่ทีนี้ท่านเสวยกรรมนั้นในภพนั้นวันนั้น คนในหมู่นั้นในปัจจุบันชาตินั้น หรือตัวท่านเองไม่เข้าใจ จึงทำให้คิดว่า ทำแต่ความดี ทำไมจึงไม่ได้ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียด กฎแห่งกรรมคือกฎแห่งธรรมชาติ ย่อมทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ท่านสร้างกรรมดีในปัจจุบันนี้ กรรมอันนั้นอาจจะให้ท่านเสวยในอีกภพหนึ่งก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกงล้อแห่งกงเกวียนกำเกวียนที่จะแยกแยะออกมาชาติไหน ชาติอะไร ชาติโน้นชาตินี้เป็นสิ่งยาก เพราะว่ามนุษย์เราแต่ละคนที่เกิดมาในปัจจุบันนี้...ชาตินี้ เป็นภพเป็นชาติที่นับได้เป็นร้อยๆ พันๆ ชาติ เป็นกงเกวียนกำเกวียนที่ทับถมทั้งดีทั้งชั่ว โดยเจ้าตัวเองก็แยกแยะไม่ออก ยกตัวอย่างง่ายๆ เสมือนหนึ่งตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นจิตของท่านมีความคิด ความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา พอตกเย็นท่านมานั่งทบทวน ท่านก็ยังแยกแยะทบทวนไม่ค่อยออกว่า เวลาไหนท่านมีอกุศลอารมณ์ใด เวลาไหนท่านมีโทสจริต เวลาไหนท่านมีโมหะจริต เวลาไหนท่านมีเมตตาจิต เพราะว่าการเคลื่อนไหวของธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณนี้เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณูทั้งหลาย เร็วยิ่งกว่าปรอท เพราะฉะนั้นจึงแยกได้เพียงว่าท่านสร้างกรรมใดไว้ ท่านย่อมจะต้องเสวยกรรมนั้นในภพหนึ่ง - ชาติหนึ่งแน่นอน
    เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายที่ประกาศตนเข้ามาเป็นพุทธสาวกเป็นพุทธมามะกะเป็นผู้ที่อยู่ในศาสนา จงเชื่อในเหตุผล อย่าเชื่อในสิ่งงมงาย จงสร้างความดี แล้วท่านจะได้เสวยความดีนั้นไม่ภพใดก็ภพหนึ่ง

    กลับ
    ความทุกข์
    ทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นเพราะมนุษย์นั้นไม่รู้จักการครองตนให้อยู่ในสัมมาอาชีวะ มนุษย์นั้นไม่รู้จักวางตนในการเป็นคน ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ท่านทำตนให้พ้นทุกข์ทางใจ ดับทางจิตนี้ก็เนื่องจากว่า ทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นได้เพราะอุปาทานของจิต จิตท่านยึดสมมุติบัญญัติมาก ท่านก็เป็นทุกข์มาก สิ่งเหล่านี้เกิดจากอุปาทานของจิต เพราะอะไรเล่า ...เพราะว่าชีวิตของคนเรานี้ ถ้าท่านอยู่อย่างไม่กลัวสังคมหนึ่ง. . .อยู่อย่างรักธรรมชาติหนึ่ง อยู่อย่างสันโดษหนึ่ง วันหนึ่งๆ ท่านมีปัจจัยในการเลี้ยงชีพเท่าไร ท่านกินข้าวเพียงกี่มื้อ ถ้าท่านกินด้วยไม่มีอุปาทาน ถือว่าขันธ์นี้เกิดขึ้นได้ และดำรงอยู่เพราะปฏิกูลบำรุง ปฏิกูลให้ขันธ์นี้อยู่เพื่อใช้กรรม เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ท่านนุ่งห่มอย่างพอปกปิดกายเพื่อไม่ให้เป็นที่อุจาดตา ไม่จำเป็นที่จะต้องไปตัดเสื้อผ้าราคาแพงๆ ถ้าท่านตัดคน ไม่กลัวสังคม แล้วท่านจะยิ้มรับชะตากรรมของท่านด้วยความภูมิใจว่า ข้าฯ นี้ไม่ต้องติดหนี้ใคร ข้าฯ นี้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับใคร ข้าฯ นี้อยู่ไปวันหนึ่งๆ เพื่อใช้กรรมของกระแสแห่งการพัวพันมาในอดีตภพที่ส่งข้าฯ ให้มาเกิดเป็นคน
    ถ้าท่านดำรงอยู่ในสิ่งเหล่านี้ การเป็นปุถุชนก็ย่อมจะมีทุกข์น้อย ทั้งนี้และทั้งนั้นพระพุทธองค์รู้วาระกระแสจิต คือรู้ว่าทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะความยึดของอุปาทานของจิต ถ้าตัดสมุฏฐานคืออุปาทานนี้เสียได้ ท่านก็ย่อมจะไม่มีทุกข์

    กลับ
    แก่นพุทธศาสนา
    พุทธะหมายถึงผู้รู้ พุทธศาสนาหมายถึงศาสนาของผู้รู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าซึ้งถึงแก่นของพระพุทธศาสนา ก็หมายความว่าต้องรู้ในด้านปฏิบัติ เพราะว่าศาสนาพุทธมีจุดสำคัญก็คือให้ทุกคนเข้าซึ้งถึงแก่นของธรรมชาติ ให้ทุกคนรู้หลักแห่งความจริง รู้กฎของอนัตตา นี่คือหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา
    ที่นี้ท่านเพียงแต่รู้กฎของศาสนา แต่ไม่ถึงธรรมของศาสนา ก็เปรียบเสมือนหนึ่งท่านเป็นนักศึกษาที่อ่านตำราเป็นร้อย ๆ เล่ม แต่ไม่ได้เอามาทดลองปฏิบัติ หรือนำสิ่งที่ศึกษามาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ การที่ท่านจะเข้าซึ้งถึงศาสนาพุทธอย่างแท้จริง ท่านจะต้องวางตนให้ปฏิบัติตนอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาคือทางสายกลาง ท่านก็จะต้องใช้ตัวเองเข้าไปปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ให้รู้ถึงเหตุและผลนั้นๆ เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่ไม่ให้คนเชื่องมงาย แต่ให้เชื่อในสิ่งที่เห็นที่ปฏิบัติได้ ทุกวันนี้มีแต่คนพูดถึงเรื่องศาสนา แต่ไม่มีการเข้าไปทำให้ถึงแก่น
     
  2. one-zee

    one-zee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    6,029
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,824
    กราบบูชาหลวงปู่ โต พรหมรังษีครับ.......

    ขออนุโทนา สาธุ กับพระธรรมคําสอนครับ :cool:.........
     

แชร์หน้านี้

Loading...