ทุกๆท่านก็คงจะเคยศึกษาเกี่ยวกับพระชาติของพะพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เคยสร้างพระบารมี ทั้งใน บารมีขั้นต้น บารมีขั้นกลาง บารมีขั้นสูง มาพอสมควรใช่มั้ยครับ ในบารมีทั้ง 30 ทัศ ซึ่งแบ่งเป็น ขั้นต้นอย้างละ 10 บำเพ็ญด้วย วัตถุสิ่งของ ขั้นกลางอย่างละ 10 บำเพ็ญด้วย อวัยวะ ขั้นสูงอย่างละ 10 บำเพ็ญด้วย ชีวิต เช่น บารมีข้อแรก คือ ทาน จัดเป็น 3 ระดับ คือ 1.ทาน ขั้นตั้น ให้ วัตถุสิ่งของ 2.ทาน ขั้นกลาง ให้ อวัยวะ 3.ทาน ขั้นสูง ให้ ชีวิต ส่วนข้ออื่นๆ ก็ ลักษณะเดียวกัน แต่ละข้อมี 3 ระดับเช่นกัน ========================= และ ผมอยากจะขอถามทุกท่านครับ ว่า 1.จะทำอย่างไรจึงจะมีสุขคติตลอดไปในทุกๆชาติ ซึ่งพอจะเป็นไปได้ 2.จะทำอย่างไรจึงจะมีจิตใจเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นตลอดทุกชาติ 3.จะทำอย่างไรจึงจะรู้สึกต้องการสิ่งที่จะช่วยผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงแล้วนึกแสวงหาคือพระโพธิญาณ ได้ในทุกๆชาติ 4.จะทำอย่างไรจึงจะตั้งมั่นในศีลทุกๆชาติที่เกิด 5.จะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ยินดีและตั้งมั่นในการให้ทานในทุกๆชาติ 6.จะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ไม่หลงผิดมีสติปัญญาตั้งอยู่ในหลักเหตุผลในทุกๆชาติ 7.จะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีกำลังใจอันยิ่งในการส้างบารมีในทุกๆชาติ 8.จะทำอย่างไรจึงจะทำในแต่ละข้อๆให้รวมลงในข้อหนึ่งๆได้ 9.เมื่อรวมหรือสงเคราะห์ข้อต่างๆเข้าเป็นข้อเดียว เพื่อกระทำข้อเดียว แต่ได้หลายๆข้อในเวลาเดียวกัน มีอะไรบ้างคับ ซึ่งเท่ากับเป็นการฝึกข้ออื่นๆ เจริญข้ออื่นๆไปด้วย +++ คำถามเหลานี้ อาจแปลกไปหน่อยแต่ก็คงมีประโยชน์อยู่บ้างครับ ผมก็มีปัญญาไม่ละเอียดพอ ต้องรอท่านผู้รู้มาตอบหรือทุกท่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายครับ ยิ่งหลายแง่คิดก็ยิ่งได้ความรู้ และเป็นธรรมทาน ซึ่งมีอานิสงส์มากด้วยครับ ขอ อนุโมทนา<!-- google_ad_section_end -->
นาบุญในการบำเพ็ญบารมี 30 ทัศที่ประเสริฐสุดคือ พระพุทธเจ้า ในสมัยพระสิริมัตตะพุทธเจ้า พระศรีอาริยเมตไตรยทรงเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าสังข์จักรจอมจักพรรดิ์แห่งนครอินทปัตต์ วันหนึ่งทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ๆเมืองอินทปัตต์ทรงดีพระทัยยิ่งจึงรีบเสด็จไปด้วยพระบาท เพียงแรกพบพระพุทธเจ้าก็ทรงสลบลงด้วยความปลื้มปิติ เมื่อฟื้นพระวรกายจึงตรัสว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า" และมิได้ตรัสอะไรได้อีกด้วยความยินดีพระทัย และพระองค์ขอสดับธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงบทเดียวเพราะไม่มีสิ่งใดถวายบูชาพระธรรมเทศนา จึงทรงตัดพระเศียร (ศีรษะ) ด้วยพระนขา (เล็บ)ถวายเป็นพุทธบูชา และในยุคของพระโคตมพุทธเจ้า พระศรีอาริยเมตไตรยทรงเป็นพระสงฆ์สาวกของพระโคตมพุทธเจ้า พระนามว่าพระอชิตเถระ ครั้งหนึ่งทรงได้รับพุทธยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
ตราบใดที่เรายังต้องเกิด ยังอยู่ภายใต้กฏของไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ย่อมหาความเที่ยงแท้แน่นอนอะไรไม่ได้ ยังครึ่งผีครึ่งคนอยู่โอกาสพลาดมีมาก ยกเว้นเสียแต่เราจะเข้าถึงไตรสรณคมณ์..........ทุกคำถามควรถามตัวเอง และตอบตัวเองครับ แล้วจะโดนใจตัวเองมากที่สุด
ขออธิบายเพิ่มเติมนะครับ 1.จะทำอย่างไรจึงจะมีสุขคติตลอดไปในทุกๆชาติ ซึ่งพอจะเป็นไปได้ ก็ต้องพยายามทำความดี เราต้องรักษาความดีเหมือนรักษาชีวิตเราเอง นี่คือความหมายของคำว่า "ด้วยชีวิต" 2.จะทำอย่างไรจึงจะมีจิตใจเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นตลอดทุกชาติ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าถึงขนาดที่ยอมเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น อย่างนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอุปนิสัยติดตัวไปทุกภพทุกชาติ นี่คือความหมายของคำว่า "ด้วยชีวิต" ในข้อนี้ 3.จะทำอย่างไรจึงจะรู้สึกต้องการสิ่งที่จะช่วยผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงแล้วนึกแสวงหาคือพระโพธิญาณ ได้ในทุกๆชาติ คำตอบเดียวกับข้อ 3 แต่ขออธิบายเพิ่มเติมว่า จริงๆเรื่องความมีเมตตาหรืออยากจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์นั้น ไม่จำเป็นต้องปรารถนาพระโพธิญาณก็ได้ เพียงแต่ผู้ปรารถนาโพธิญาณนั้น น่าจะปรารถนาเพิ่มเติมไปอีกว่าเราจะนำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากวัฏสงสาร ซึ่งอาจจะเป็นข้อแตกต่างกับผู้ที่มีจิตเมตตาทั่วไป ที่ต้องการช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ แต่ไม่ถึงขนาดที่จะนำพาให้คนพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปได้ อย่างไรก็ตาม ในข้อนี้คนที่มีจิตเมตตากรุณาต่อคนอื่น โดยเห็นความสำคัญของชีวิตคนอื่นมากกว่าหรือเทียบเท่าชีวิตตัวเราเองแล้วไซร้ คนอย่างนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง นี่คือความหมายของคำว่า "ด้วยชีวิต" ในข้อนี้ 4.จะทำอย่างไรจึงจะตั้งมั่นในศีลทุกๆชาติที่เกิด ข้อนี้ก็ง่ายมาก รักษาศีลเท่ากับรักษาชีวิตไงครับ 5.จะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ยินดีและตั้งมั่นในการให้ทานในทุกๆชาติ ข้อนี้ก็หมายถึงว่า ให้ทานจนไม่รู้จะให้อะไรแล้ว ก็เลยให้ชีวิตเป็นทาน หรือสามารถให้ชีวิตเป็นทานได้ นี่แหละคือความหมายของคำว่า "ด้วยชีวิต" 6.จะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ไม่หลงผิดมีสติปัญญาตั้งอยู่ในหลักเหตุผลในทุกๆชาติ เคยได้ยินคำว่า หลงทางเสียเวลา หลงติดยาเสียอนาคตไหมครับ ? เอ๊ย ไม่ใช่ ข้อนี้ก็หมายถึงว่า เราจะใช้สติปัญญาพิจารณาหรือตัดสินใจต่างๆด้วยเหตุด้วยผล ด้วยการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย ด้วยการมองรอบด้าน ไม่มีอคติ พิจารณาด้วยความระมัดระวังเหมือนรักษาชีวิต เพราะเรารู้ว่า "เดินทางผิด คิดจนตัวตาย" บางเรื่องบางกรณี เราใช้อารมณ์ไปนิดนึง ก็เลยเสียใจจนกระทั่งวันตาย เหมือนกับตายทั้งเป็น เมื่อไม่อยากตายทั้งเป็น หรือเสียใจจนวันตาย ก็ต้องใช้เหตุใช้ผลด้วยความระมัดระวัง เหมือนกับรักษาชีวิต ยังไงยังงั้น นี่คือ ความหมายของข้อนี้ที่ว่า "ด้วยชีวิต" 7.จะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีกำลังใจอันยื่งในการสร้างบารมีในทุกๆชาติ สิ่งที่มีค่าของเราก็คืออะไร ก็คือ "ชีวิต" ถูกมั้ย คนที่คิดฆ่าตัวตาย เพราะเห็นว่าชีวิตนี้ไม่มีค่าอีกต่อไปแล้ว หรือคนที่ฆ่าคนอื่น เพราะคิดว่าชีวิตคนอื่น ไม่มีคุณค่าเหมือนชีวิตเรา เพราะฉะนั้น หากเราแปรเปลี่ยนคำว่า "ด้วยชีวิต" อันนี้มาใช้ในการสร้างบารมี เรียกว่าเราจะสร้างบารมีแบบ "ถวายชีวิต" เลยวุ้ย อย่างนี้ก็จะมีกำลังใจอันใหญ่ยิ่งในการสร้างบารมี 8.จะทำอย่างไรจึงจะทำในแต่ละข้อๆให้รวมลงในข้อหนึ่งๆได้ คำตอบรวบยอดของข้อ 1 - 8 ก็คือ คำว่า "ด้วยชีวิต" คือทำ เพราะตระหนักในคุณค่าของสิ่งที่ทำ เทียบเท่าชีวิตของเราเอง 9.เมื่อรวมหรือสงเคราะห์ข้อต่างๆเข้าเป็นข้อเดียว เพื่อกระทำข้อเดียว แต่ได้หลายๆข้อในเวลาเดียวกัน มีอะไรบ้าง คำว่า "ด้วยชีวิต" นี่แหละ ที่เป็นหลักสูงสุดในการสร้างบารมี 10 คือรวมแล้วเหลือเพียง 1 และจาก 1 จะแตกเป็น 10 ในแต่ละข้อของการสร้างบารมีก็ได้ ไม่เชื่อก็ไปเพิ่มหรือต่อท้ายในบารมี 10 แต่ละข้อดูซิว่า เราจะทำ "ด้วยชีวิต" นั่นแหละจะทำให้ได้ความชัดขึ้น ;aa44
มีคำตอบเดียวคือ "สติ" ครับ สติคุมได้ทุกอย่าง แม้จะไปสุคติภูมิ สติก็ยังคุมให้ไปได้... ดังนั้น ฝึกสติเถิด จะนำมาซึ่งกุศลทั้งปวง การที่โพธิสัตว์จะให้ด้วยชีวิตได้ ไม่ใช่เพียงบารมีข้อใดข้อหนึ่ง แต่กอปรด้วยบารมีทุกๆข้อ จึงทำให้สามารถให้ชีวิตได้... เหตุเพราะอุปาทานน้อย จึงไม่ยึดในตัวเรา-ของเรา จึงสามารถทำด้วยชีวิตได้ ส่วนจะทำอย่างไรให้นึกแสวงพระโพธิญาณ ก็คือ "สติ" อย่างที่ตอบล่ะครับ แต่ว่าข้อนี้ไม่ต้องห่วงเลย ปรารถนาเป็นความรู้สึก ซึ่งความรู้สึกมันข้ามภพข้ามชาติครับ เคยได้ยินไหมครับ ว่า ความรู้สึกคือกรรมเก่า นั่นแหละครับ... มันฝังอยู่ในภวังคจิต ถ้าเสริมความมุ่งมั่น มันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆข้ามภพข้ามชาติ แต่บารมีอย่างหนึ่งที่ผมว่าสำคัญที่สุด คือ ปัญญาบารมี จะได้กำจัดเหตุแห่งความหลงทั้งปวง พูดไปพูดมาก็วนๆอยู่ที่"สติ"เนี่ยแหละครับ...
และ ผมอยากจะขอถามทุกท่านครับ ว่า คำถามเหลานี้ อาจแปลกไปหน่อยแต่ก็คงมีประโยชน์อยู่บ้างครับ อิอิ ผมก็มีปัญญาไม่ละเอียดพอ ต้องรอท่านผู้รู้มาตอบหรือทุกท่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายครับ ยิ่งหลายแง่คิดก็ยิ่งได้ความรู้ และเป็นธรรมทาน ซึ่งมีอานิสงส์มากด้วยครับ ขอ อนุโมทนา 1.จะทำอย่างไรจึงจะมีสุขคติตลอดไปในทุกๆชาติ ซึ่งพอจะเป็นไปได้ ตอบ ให้คบหาบัณฑิตทางธรรม หลีกเลี่ยงการคบคนพาล 2.จะทำอย่างไรจึงจะมีจิตใจเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นตลอดทุกชาติ ตอบ ให้เจริญเมตตาเจโตวิมุตติยา 3.จะทำอย่างไรจึงจะรู้สึกต้องการสิ่งที่จะช่วยผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงแล้วนึกแสวงหาคือพระโพธิญาณ ได้ในทุกๆชาติ ตอบ ให้มองทุกข์ของสรรพสัตว์ เสมอด้วยทุกข์ของตน 4.จะทำอย่างไรจึงจะตั้งมั่นในศีลทุกๆชาติที่เกิด ตอบ 5.จะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ยินดีและตั้งมั่นในการให้ทานในทุกๆชาติ ตอบ ให้ละความตะหนี่ เมื่อทำอย่างนี้ได้ทุกๆชาติ ก็จะเป็นอุปนิสัย 6.จะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ไม่หลงผิดมีสติปัญญาตั้งอยู่ในหลักเหตุผลในทุกๆชาติ ตอบ ให้ถือศีลห้าให้บริสุทธิ์ หมั่นเจริญจิตภาวนา 7.จะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีกำลังใจอันยื่งในการส้างบารมีในทุกๆชาติ ตอบ เมื่อถูกทดสอบ ให้สร้างกำลังใจให้กับตนเอง หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว เมื่อทำอย่างนี้ได้ทุกๆชาติ ก็จะเป็นอุปนิสัยติดตัวไปทุกๆชาติ 8.จะทำอย่างไรจึงจะทำในแต่ละข้อๆให้รวมลงในข้อหนึ่งๆได้ ตอบ เพียรสั่งสมบารมี สามสิบทัศ ให้เต็ม 9.เมื่อรวมหรือสงเคราะห์ข้อต่างๆเข้าเป็นข้อเดียว เพื่อกระทำข้อเดียว แต่ได้ หลายๆข้อในเวลาเดียวกัน มีอะไรบ้าง ตอบ พระโพธิญาณ
สร้างบารมี เราทำอย่างหนึ่ง มันจะพ่วงอีกหลายๆอย่างไป ต้องขึ้นกับการฝึกจิต จิตเป็นตัวส่งครับ เช่น ทาน จิตมีความอดทน บวชจิต เพียร สัจจ เมตตา ตั้งใจตั้งมั่นกับการทำความดีหรืออธิษฐาน ศีล วางเฉย ปัญญา ครบนะ 30ทัต คือทำด้วยการปล่อยวาง และ เราอยู่กับการทำความดีเท่าชีวิต
ผู้ใกล้พุทธ จะเข้าใจทุกอย่างด้วยตนเอง เพราะเขาเจอเรื่องเลวร้ายมาหลายต่อหลายชาติเศษเสี้ยวของความรู้สึกจะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ ทำให้เจอเหตุการณ์ ต่างก็ตัดสินใจโดยอัตโนมัติ ว่าควรทำอย่างไร เสียสละอย่างไร สรุปคือพยายามทำมันไปทุกๆชาติจนกว่าจะฝังไว้ในกมลสันดาน scofield (prison break)
ได้สดับรับฟังแล้วความปิติมันล้นขึ้นมา น้ำตาแห่งความปิติมันไหล ชิวิตนี้ขอมอบถวายแด่พระพุทธองค์ผู้เป็นบรมครูของสัตว์ทั้งปวง .....
อันนี้ได้ยินได้ฟังมาครับจากท่านผู้รู้ที่ว่าไว้ การที่จะสร้างบารมีให้ตลอดรอดฝั่งได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อธิษฐานบารมี คือจะต้องอธิษฐานให้รอบคอบ ล้อมกรอบป้องกันไม่ให้เราเฉออกนอกเส้นทางการสร้างบารมี เช่นอธิษฐานอย่าให้ไปประกอบกรรมชั่วใดๆอีกเลย ให้สร้างแต่กุศลกรรม ให้มีศีลบริสุทธิ์ อย่าได้คบคนพาล ให้มีปัญญาสอนตนเองได้ เป็นสัมมาทิษฐิ อย่าได้หลงไหลในกามคุณทั้งหลาย อย่าได้ลืมมโนปณิธานของตนไปทุกภพทุกชาติ ให้ได้สร้างบารมีทั้ง 30 ทัศอย่างบริบูรณ์มีแต่รุดหน้าไม่ถอยกลับอีก เป็นต้น เมื่อทำบุญใดๆก็ให้อธิษฐานอย่างนี้ เมื่อทำบ่อยๆเข้าอธิษฐานบารมีก็จะกลายเป็นผังชีวิตติดตัวไปในภพเบื้องหน้า คอยกำกับความคิดคำพูดและการกระทำของเราให้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง เวลาใดที่เผลอคิดจะทำบาปอกุศล ก็จะมีสำนึกลึกๆสอนตนเองได้ หรือมีเหตุการณ์ที่ยับยั้งไม่ให้ทำความชั่วสำเร็จ เมื่อความชั่วไม่ทำ ทำแต่ความดีอย่างเดียวก็เป็นอันปิดนรกไปได้อย่างสนิท คุณก็จะท่องเที่ยวสร้างบารมีอยู่แต่ในเทวโลกและมนุษยโลกไม่พลัดไปอบายเลย
ที่คุณกล่าวมาทั้งหมดคือทศบารมี ซึ่งทุกคนบำเพ็ญกันอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ตัว ทั้งทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ขันติบารมี วิริยบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ปัญญาบารมี สัจจบารมี และอธิษฐานบารมี แต่ที่บำเพ็ญกันอยู่โดยทั่วไปยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น ต้องการบำเพ็ญให้ได้ในทุกชาติ สิ่งสำคัญคือกำลังใจที่หนักแน่นมั่นคง กำลังใจที่เกิดจากปัญญามองเห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด กำลังใจจะหนักแน่นมั่นคงได้ด้วยสัจจบารมีและอธิษฐานบารมี เพื่อมุ่งตรงพระโพธิญาณ
อธิฐาน แปลว่าตั้งมั่น อธิฐานซ้ำๆ แปลว่าตอกย้ำ เริ่มจาก ทาน ศีล ภาวนา ทำไปเรื่อยๆ มากบ้าง น้อยบ้าง เดี๋ยวกำลังใจมากก็จะผลักดัน ให้เราเห็นสิ่งที่ควรทำในหลายๆอย่าง เอง มันเหมือนสั่งสมนิสัยค่อยเป็นค่อยไป catt14 จะเป็นนักยกน้ำหนัก เหรียญทอง โอลิมปิค ก็ต้องผ่านการยกขวดนมกันมาก่อนทั้งนั้น แต่ต้องทำถึงจะเข้าใจ. chearr